Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
19 กรกฏาคม 2554
 
All Blogs
 
องค์ที่ ๑๑(๒) : แขกยามวิกาล

รถของหมอพิเภกแล่นย้อนเส้นทางมาตามถนนสายเพชรเกษมขาออก เมื่อขับเลยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่จึงเลี้ยวซ้ายวิ่งขนานไปกับทางลงสะพานข้ามแยกถนนวงแหวนรอบนอกเพื่อกลับเข้าสู่ถนนกาญจนาภิเษกอีกครั้ง รถวิ่งไปจนสุดทางและเบนหัวเข้าเลนซ้ายสุดเพื่อกลับรถใต้สะพาน แล่นไปอีกไม่ไกลนักจึงได้เห็นป้อมยามหน้าหมู่บ้านจัดสรรแห่งหนึ่งซึ่งมีป้ายชื่อเก่าคร่ำคร่าแตกล่อนอ่านว่า “หมูบ้านตะวันนา” รถของหมอพิเภกวิ่งผ่านป้อมยามเข้าไปได้โดยไม่จำเป็นต้องหยุดตรวจเพราะยามจำรถของเขาได้ ทันทีที่แล่นเลยวงเวียนกลางหมู่บ้านจอร์จก็มองเห็นบ้านเดี่ยวหลังหนึ่งตั้งตระหง่านอยู่ทางด้านขวาของซอยตัน รั้วบ้านด้านหนึ่งติดกับทุ่งต้นธูปฤษีที่ชูยอดสูงจรดขอบบนของผนังกั้นอาณาเขตและกำแพงบ้าน ตัวบ้าน 2 ชั้นดูเก่าแก่แต่คงสภาพสถาปัตยกรรมที่แฝงไว้ด้วยกลิ่นไอของศิลปะตะวันตกไว้ได้อย่างสมบูรณ์แบบ เมื่อคุณลุงหมอกดปุ่มที่พวงกุญแจรถจอร์จจึงมองผ่านประตูเหล็กไฟฟ้าเข้าไปเห็นต้นจิกที่ปลูกอยู่ภายในนั้น มันยืนต้นสูงเด่นสลับกับพุ่มไม้เตี้ยๆและต้นไม้ที่ใหญ่พอกันอีกหลายชนิดเต็มบริเวณ เนื่องจากเจ้าของบ้านไม่อยู่เสียหลายวันใบไม้แห้งจึงหล่นร่วงระเกะระกะเต็มพื้นสนามหญ้าหน้าบ้าน
ทันทีที่หมอพิเภกนำรถไปจอดในโรงจอดรถด้านขวามือ เขาก็เดินนำจอร์จและหม่อนเข้าสู่ตัวบ้านอย่างสบายอารมณ์ ภายในบ้านดูสะอาดสะอ้านน่าอยู่ผิดจากข้างนอกราวกับอยู่กันคนละโลก คุณหมอพิเภกวางกระเป๋าเดินทางของตนลงบนโซฟาที่อยู่ในห้องรับแขกกลางบ้านและเริ่มชี้นิ้วบรรยายรายละเอียดบ้านของตนให้แขกฟัง
“ขอโทษนะหลานบ้านมันรกไปหมดไม่อยู่เสียหลายวัน พวกแม่บ้านที่จ้างไว้เลยเข้ามาทำความสะอาดบ้านไม่ได้ ที่นี่มี 3 ห้องนอนพอดีสำหรับพวกเราสามคน ห้องของลุงอยู่ชั้น 2 ติดกับห้องนอนว่างอีกหนึ่งห้อง ห้องตรงกันข้ามกับห้องนอนเป็นห้องทำงานของลุงเอง ส่วนห้องนอนห้องสุดท้ายอยู่ชั้นล่าง ทางเข้าอยู่ในห้องครัว ตรงนี้เป็นที่รับแขก พวกเราหิวกันหรือยัง ลุงมีอาหารแช่แข็งเก็บไว้ในตู้เย็นเหมือนกันนะ เดี๋ยวจะอุ่นกับไมโครเวฟให้ทาน มาตามลุงมาทางนี้เลย”
ทั้งสองคนเดินตามหมอพิเภกไปอย่างว่าง่าย ภายในห้องรับแขกที่จอร์จเดินผ่านมามีเฟอร์นิเจอร์บุนวมอย่างดีชุดใหญ่ตั้งเด่นอยู่กลางห้อง และมีตู้โชว์กระจกใสใส่ของสะสมต่าง ๆ เช่น คริสตัลรูปสัตว์ ถ้วยชามเบญจรงค์และไม้แกะสลักนับไม่ถ้วนประดับประดาอยู่จนเต็ม เป็นบ้านที่หรูหราและสวยงามราวกับพระราชวังย่อมๆหลังหนึ่งก็ไม่ปาน หมอพิเภกเดินนำจอร์จกับหม่อนเข้าไปในห้องครัวซึ่งมีประตูเปิดออกไปยังบริเวณสนามหญ้าหลังบ้าน ในครัวครบครันไปด้วยอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆเช่นเตาไมโครเวฟ ตู้เย็น เครื่องซักผ้า เตาแก๊สและโต๊ะอาหารขนาดใหญ่ตั้งอยู่กลางห้อง หมอพิเภกเดินไปเปิดประตูตู้เย็นหยิบอาหารแช่แข็งออกมาสามกล่อง หยิบถุงมือผ้ามาสวมไว้และเปิดอุ่นมันด้วยเตาไมโครเวฟทีละชนิดอย่างไม่ค่อยคุ้นเคยราวกับว่ามันเป็นงานที่เขาไม่เคยได้จับต้องมาก่อน
เสียงสัญญาณโทรศัพท์มือถือดังขึ้นมาอย่างกะทันหัน หมอพิเภกหยิบมันขึ้นมาจากซองหนังข้างเอว กดปุ่มรับสายไปด้วยพร้อมกับการสลับข้าวกล่องที่เตรียมเสร็จแล้วกับกล่องที่อยู่ข้างนอกอย่างทุลักทุเล
“สวัสดีครับผมหมอพิเภกพูดสายอยู่ครับ”
คุณหมอฟังเสียงของคู่สนทนาอยู่เงียบๆ ถอดถุงมือผ้าออกและสลับมือที่ถือเครื่องโทรศัพท์อันจิ๋วอยู่ไปมาอย่างน่าหวาดเสียวเพราะจับมันไม่ค่อยถนัด
“ตอนนี้ผมอยู่ที่บ้านแล้ว ให้ออกไปหาคุณทันทีคงไม่ค่อยสะดวก ไว้พรุ่งนี้ค่อยมาพบผมที่คลินิกละกัน ขอบคุณครับ”
หมอพิเภกพูดจบกดปุ่มปิดเครื่องโทรศัพท์ลงด้วยอาการฉุนเฉียว ยันไม่ทันที่จะเก็บมันลงซองหนังข้างเอวก็จำต้องวางมันลงอย่างรีบร้อนที่ข้างเตาไมโครเวฟเพื่อหยิบข้าวกล่องออกมาจากเตาด้วยความร้อนรน หมอพิเภกร้องจนเสียงหลงเพราะมือข้างที่ถอดถุงมือผ้าสัมผัสกับความร้อนของภาชนะใส่เข้ากล่อง เขารีบวางมันลงและสะบัดมือไปมาจนพลาดไปโดนเครื่องโทรศัพท์มือถืออย่างไม่ตั้งใจ มันกระเด็นตกลงบนพื้นและหลุดออกเป็นชิ้นๆ จอร์จกับหม่อนที่ดูอยู่ด้วยความเป็นห่วงผุดลุกจากโต๊ะกินข้าวทันทีและเดินไปดูท่านที่กำลังใช้น้ำประปาล้างมือเพื่อผ่อนคลายอาการปวดแสบปวดร้อน หม่อนหันกลับไปก้มลงหยิบเครื่องโทรศัพท์มือถือมาให้ท่าน หมอพิเภกบ่นพึมพำด้วยอาการขบขันกับตัวเอง
“ไม่ได้เรื่องเลยเรา...ลุงไม่เป็นอะไรหลอกพ่อหนุ่ม”
“คุณลุงค่ะหน้าจอแตกหมดเลยค่ะสงสัยจะใช้การไม่ได้แล้ว”
“ชั่งมัน เดี่ยวพรุ่งนี้ไปซื้อเครื่องใหม่ใช้ก็ได้หนูหม่อนไม่ต้องห่วง”
หมอพิเภกรับซากของมันมาเก็บไว้ที่ซองก่อนจะหันกลับไปกำกับให้ชายหนุ่มเป็นมือแทนตนในการเตรียมข้าวกล่องต่อ เมื่อทั้งสามคนร่วมกันรับประทานอาหารค่ำภายในห้องครัวจนแล้วเสร็จ คุณหมอพิเภกจึงพาจอร์จไปดูห้องนอนชั้นล่างซึ่งเป็นห้องพักชั่วคราวของเขาเป็นห้องแรกเพราะมันมีประตูทางเข้าอยู่ในห้องครัวพอดี อันที่จริงคุณหมออยากให้เขานอนในห้องชั้นบนที่ใหญ่กว่านี้แต่ชายหนุ่มออกตัวปฏิเสธโดยให้เหตุผลว่าตนพอใจกับห้องนอนข้างล่างนี้มากกว่า และยกห้องข้างบนนั้นให้กับนักศึกษาสาวใช้แทน เมื่อทุกคนแยกย้ายกันไปอาบน้ำและผลัดเปลี่ยนชุดนอนของตนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงกลับมารวมตัวกันในห้องทำงานของคุณหมอพิเภกอีกครั้งตามที่ท่านสั่ง ซึ่งห้องที่ว่านั้นอยู่ด้านตรงข้ามกับห้องนอนบนชั้นสองของตัวบ้านนั่นเอง
เมื่อจอร์จเดินมาถึงเขาจึงเห็นคุณหมอพิเภกอยู่ในชุดนอนผ้าแพรสีกรมท่านั่งอ่านสมุดบันทึกปกหนังสีขาวอยู่ที่โต๊ะทำงาน มีนักศึกษาหม่อนสวมชุดนอนสีฟ้าอ่อนนั่งอยู่เป็นเพื่อนท่านเงียบๆ เธอคงจะมาถึงก่อนเขาเพียงไม่นานสังเกตจากคุณหมอที่ยังคงจมอยู่กับการอ่านหนังสืออย่างมีสมาธิจนไม่ได้สนใจ ส่วนจอร์จนั้นเขายังคงใส่กางเกงลายพรางทหารสีเขียวตัวเดิมแต่เปลี่ยนท่อนบนจากเสื้อยืดคอกลมสีขาวมาเป็นเสื้อยืดคอวีสีดำที่ได้มาจากมัคนายกเกิด จอร์จเดินมานั่งที่เก้าอี้บุนวมหน้าโต๊ะทำงานของคุณหมอพิเภก
ในความเห็นของจอร์จห้องทำงานของคุณหมอพิเภกมันน่าจะเรียกว่าห้องสมุดมากกว่าเพราะผนังทุกด้านเต็มไปด้วยชั้นหนังสือที่มีอยู่จำนวนนับไม่ถ้วน ด้านตรงกันข้ามกับประตูทางเข้าเป็นหน้าต่างกระจกที่มองออกไปเห็นรั้วของบ้านที่สูงร่วม2เมตรได้อย่างชัดเจน ส่วนด้านซ้ายของห้องเป็นโต๊ะทำงานตัวใหญ่ที่พวกเขานั่งอยู่ และผนังด้านหลังโต๊ะทำงานของคุณหมอนอกจากจะมีตู้หนังสืออยู่เต็มสองข้างกำแพงซ้ายขวาแล้ว ยังมีคันธนูและซองลูกศรที่แปลกตาประดับอยู่บนกำแพงด้วย มันถูกแขวนโชว์อยู่ในกรอบรูปขนาดยักษ์ที่ปูพื้นด้วยสักหลาดสีแดงสด เด่นสะดุดตาจนจอร์จจ้องมองด้วยความสนใจปนทึ่งอยู่เป็นนาน เมื่อหมอพิเภกละสายตาจากสมุดบันทึกและเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาเข้าพอดีจึงเอ๋ยปากว่า
“สนใจธนูคู่ใจของลุงหรือพ่อหนุ่ม คันนี้ลุงเคยใช้แข่งจนได้เหรียญทองเมื่อสมัยเป็นนักศึกษามาแล้วนะ สวยใช่ไหมล่ะ”
“อันใหญ่และสวยมากทีเดียวครับ”
หมอพิเภกวางสมุดในมือลงพร้อมกับลุกขึ้นยืน หันหลังกลับไปหยิบคันธนูมาจากคานเหล็กที่แขวนไว้และส่งให้ชายหนุ่มรับไปพิจารณาด้วยท่าทางทะนุถนอม
“จับดูได้ลุงไม่หวงหรอก”
จอร์จรับไปถือชั่งน้ำหนักอยู่ที่มือรู้สึกถึงความเบาเกินกว่าที่ตนคาดคะเนก็รู้สึกแปลกใจ แต่เขาเชื่อว่ามันต้องแข็งแกร่งและยิงได้ไกลมากแน่นอน เขาลุกขึ้นยืนเดินออกมากลางห้องและทดลองง้างสายธนูเพื่อเทียบหาน้ำหนัก (Draw Weight) และระยะน้าวสาย (Draw Lenght) จึงพบว่าต้องใช้แรงมากไม่ใช่เล่นจนอดพิศวงไม่ได้
“เป็นอย่างไร สบายเลยละสิเราเคยฝึกยิงธนูมาแล้วใช่ไหม เราได้ข้อมูลมาเพิ่มอีกอย่างแล้วเกี่ยวกับความทรงจำของพ่อหนุ่ม นอกจากจะขับรถเป็นแล้วยังเคยฝึกยิงธนูด้วย”
“คลับคล้ายคลับคลาว่าน่าจะเคยฝึกมาบ้างครับ คุณลุงเป็นนักกีฬาประเภทยิงไกลใช่ไหมครับ เจ้านี่กินแรงเอาเรื่องอยู่ ต้องอาศัยน้ำหนักดึงสายถึง50-60 ปอนด์ทีเดียว”
“เดี๋ยวนี้แก่มากแล้วน้าวสายมันหลายครั้งติดๆกันไม่ค่อยไหว”
“คุณลุงทำไมไม่ใส่กระจกกันฝุ่นให้มันละคะ”
“ลุงชอบหยิบมันลงมาทำความสะอาดและเอาไปซ้อมมือที่สนามนะเลยไม่อยากติดกระจกให้มัน เดี่ยวจะเกะกะเวลาหยิบเข้าหยิบออก”
“ผมหายสงสัยแล้วว่าทำไมมันยังอยู่ในสภาพที่ดีมาก คุณลุงหมอดูแลมันเป็นอย่างดีนี่เอง”
จอร์จพูดพร้อมกับเดินกลับมาส่งคันธนูคืนไปให้หมอพิเภกรับไปวางไว้ที่เดิมและนั่งลงที่เก้าอี้ของตน
“คุณลุงอ่านสมุดบันทึกแล้วเป็นยังไงบ้างคะ เข้าใจโครงการทดลองที่คุณพ่อของคุณลุงเขียนขึ้นบ้างไหม”
“ลุงยังอ่านไม่จบอ่านถึงตอนที่ท่านเพิ่งจะเริ่มกล่าวถึงข้อมูลพื้นฐานที่ท่านหามาสนับสนุนแนวความคิดนี้เท่านั้น ว่าจะนั่งอ่านต่ออีกซักพักหนึ่งถึงจะไปนอน พวกหนูเพลียมามากแล้วไม่ต้องรอลุงหรอกนะไปพักผ่อนกันก่อนเลย”
“งั้นหนูไปนอนก่อนนะคะ ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
“ผมขอตัวไปพักผ่อนเหมือนกันครับ ราตรีสวัสดิ์ครับคุณลุงหมอ”
หมอพิเภกพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับแต่ไม่ได้เอ่ยคำใดหยิบสมุดบันทึกขึ้นมากางอ่านต่อไปด้วยความสนใจ จอร์จเดินตามหม่อนออกจากห้องและแยกกันไปยังห้องนอนของตนเมื่อจอร์จกลับเข้ามาอยู่ภายในห้องนอนเขาไม่ลืมที่จะสวดมนต์ตามที่เคยได้ปฏิบัติร่วมกันกับเจ้าน้องชายตัวดีของเขาและล้มตัวลงนอนด้วยความรู้สึกอ่อนเพลียอย่างสุดที่จะทนทานได้ ในภวังค์คิดสุดท้ายของเขาชายหนุ่มนึกทบทวนถึงใบหน้าของหญิงสาวที่ตนคุ้นเคยในความฝันเทียบกับใบหน้าของมะลิคนที่เขาไปตามหาเมื่อตอนเย็นวันนี้ เมื่อเขาพิจารณาอย่างละเอียดอีกครั้งจึงสรุปได้ว่าใบหน้าของคนทั้งสองคนนี้ถึงจะเหมือนราวกับแกะจากพิมพ์เดียวกันแต่ก็มีอะไรบางอย่างที่ทำให้เขาแยกแยะได้ว่าเธอทั้งสองคนเป็นคนละคนกัน เขาคิดกลับไปกลับมาถึงใบหน้าทั้งสองจนหลับไปเมื่อไหร่ไม่ทันได้รู้สึกตัว










เวลาดึกสงัดจันทร์ข้างแรมส่องแสงสว่างนวล สายลมเย็นยะเยือกบรรยากาศวังเวงเงียบสงัด หลอดไฟนีออนหน้าป้อมยามทางเข้าหมู่บ้านตะวันนากะพริบเป็นจังหวะ หน่วยรักษาความปลอดภัยวัยกลางคนสองนายกำลังซ่อนตัวให้พ้นจากกระแสลมยามดึกอยู่ภายในป้อม นาฬิกาบนฝ่าผนังส่งเสียงบ่งบอกว่าเวลาล่วงเลยเที่ยงคืนมาแล้วสองชั่วโมง เสียงรถยนต์ที่ดังแหวกอากาศใกล้เข้ามาช่วยปลุกสติของทั้งสองคนให้พ้นจากอาการง่วงเหงาหาวนอน พวกเขารีบกุลีกุจอออกมายืนดักอยู่ที่แผงเหล็กกันทางเพื่อรอรถตู้ที่กำลังวิ่งตรงดิ่งเข้ามา
เมื่อรถคันดังกล่าวแล่นมาจอดอยู่ไม่ห่างจากแผงเหล็กกันทางเข้าหมู่บ้านมากนัก กระจกด้านหน้าทั้งสองบานเลื่อนลงช้าๆพร้อมกับมีมือยื่นออกมากวักเรียกพวกเขาทั้งคู่ให้เดินเข้าไปหา จังหวะที่ยามทั้งสองคนเดินเข้ามาจนถึงระยะยิง กระสุนยาสลบก็วิ่งออกจากปากกระบอกปืนเสียงดังต่ำๆสองครั้งซ้อน ร่างของยามก็ทรุดฮวบไปกองกับพื้นสิ้นสติสัมปชัญญะ ชายชุดคอมมันโดสีดำสวมหมวกเบเร่ย์ สวมกล้องตรวจการณ์เวลากลางคืน( Night vision goggles) ทับผ้าคลุมหน้าจำนวนสองคนรีบลงจากรถตรงเข้าไปลากร่างของพวกเขาทั้งคู่ไปหมกไว้ในป้อมอย่างรวดเร็วและวิ่งกลับมาจัดการกับโครงเหล็กที่ขวางถนนให้พ้นทาง พวกมันเคลื่อนไหวทุกอิริยาบถชนิดที่เงียบกริบและว่องไว รถแล่นหายเข้าไปในความมืดของหมู่บ้านจัดสรรข้างหน้าไม่นานก็ไปจอดเทียบอยู่ที่ริมรั้วบ้านหลังสุดท้ายของซอยตันที่ติดกับทุ่งธูปฤษี
คอมมันโดชุดดำถืออาวุธครบมือกรูกันออกมาจากรถนับสิบ พวกมันทยอยปีนขึ้นไปยืนบนหลังคารถตู้เหยียบขอบกำแพงรั้วและกระโจนลงไปยังสนามหญ้าหน้าบ้านทีละคนจนครบทีม คนสุดท้ายที่ข้ามมาติดอาร์มรูปสุนัขจิ้งจอกสีแดงคาบดอกมะลิขาวบนหมวกเบเร่ย์สีดำเด่นสะดุดตา มันคือหัวหน้าหน่วยสุนัขจิ้งจอกแดง(Red Fox) เป็นคนเดียวที่มิได้ใส่แว่นตรวจการณ์แต่มีผ้าคลุมหน้าที่เปิดช่องปากเอาไว้ มันส่งสัญญาณมือให้ลูกทีมทุกคนกระจายกำลังกันออกไปปฏิบัติภารกิจตามแผนที่วางไว้ แขกพิเศษยามวิกาลทั้งหมดก็แบ่งกำลังออกเป็นสามชุดย่อยๆชุดละสามคน
ชุดที่หนึ่งเคลื่อนที่จากสนามหญ้าหน้าบ้านไปซุ่มอยู่ที่พุ่มไม้ติดกันกับประตูหลังบ้าน ส่วนชุดที่สองและสามพร้อมด้วยหัวหน้าหน่วยของพวกมันเคลื่อนกำลังอย่างช้าๆตรงไปที่ประตูทางเข้าด้านหน้าชนิดที่ไร้สุ่มเสียง การสะเดาะกุญแจประตูทั้งหน้าหลังเริ่มดำเนินขึ้นพร้อมกันตามสัญญาณเสียงที่หัวหน้าหน่วยสั่งผ่านชุดอุปกรณ์สื่อสารไร้สายของพวกมัน
แม้ว่าการเคลื่อนไหวทุกอิริยบถของแขกไม่พึงประสงค์จะเงียบและเต็มไปด้วยความระมัดระวังแต่เสียงแตกเบาๆของกระเบื้องปากฉลามบนกำแพงเมื่อถูกเหยียบก็เพียงพอที่จะเรียกสติของจอร์จให้ตื่นจากการหลับใหล เขาแง้มผ้าม่านที่หน้าต่างห้องของตนออกเพียงเล็กน้อยจนสามารถมองเห็นความเคลื่อนไหวของพวกมัน สัญชาตญาณบอกจอร์จก็รู้ได้ทันทีว่ากำลังจะเกิดเหตุร้ายขึ้นกับทุกชีวิตที่พักอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้อย่างแน่นอน
ชายหนุ่มพุ่งพรวดออกไปจากเตียงนอนด้วยอาการร้อนรนวิ่งด้วยฝีเท้าที่เบาที่สุดขึ้นบันไดไปยืนอยู่ที่หน้าประตูห้องนอนของหมอพิเภก เขาปลุกเรียกคุณลุงหมอด้วยเสียงที่เบาราวกับกระซิบ เมื่อท่านเปิดประตูออกมาด้วยท่าทางมึนงงเขาจึงแจ้งเรื่องแขกพิเศษที่ไม่พึงปรารถนาให้ท่านทราบพร้อมกับสั่งให้ปิดประตูห้องนอนล๊อกกุญแจและไปพาหม่อนมาหลบยังห้องทำงาน เขาเข้าไปปลดคันธนูกับซองลูกศรลงมาคล้องคอตนเองและหันไปสั่งกำชับหมอพิเภกให้ล็อกห้องนี้เอาไว้ให้แน่นหนา ถ้าไม่ได้ยินเสียงขานเรียกจากเขาห้ามเปิดประตูเด็ดขาด เมื่อสั่งความเสร็จจอร์จจึงผลุบหายออกจากห้องทำงานไปทันทีอย่างรวดเร็ว เขาตรงดิ่งไปยังหน้าต่างที่พักเท้ากลางบันไดบ้านซึ่งสามารถเปิดออกไปสู่สนามหญ้าด้านข้างได้ เขากระโดดลงไปคุกเข่าและพุ่งตัวหายเข้าไปหลบยังหลังพุ่มไม้เตี้ยๆได้ทันเวลาพอดีก่อนที่คอมมันโดชุดที่หนึ่งจะเคลื่อนที่มาประจำยังจุดที่พวกมันกำหนดไว้ ประตูหลังบ้านอยู่ห่างจากพุ่มไม้ที่จอร์จซ่อนตัวซุ่มดูอยู่เพียงแค่ช่วงตัวเดียว
จากการพินิจด้วยสายตาที่แหลมคมของเขา คอมมันโดชุดนี้ถูกฝึกมาอย่างดีแต่อากัปกิริยาบางอย่างบ่งบอกว่าพวกมันยังไม่ใช่มืออาชีพ เนื่องจากบางจังหวะการเคลื่อนไหวที่ไม่รัดกุมเกินกว่าที่จะเป็นบุคคลซึ่งผ่านรูปแบบการฝึกที่เน้นในระเบียบวินัยมาแล้วอย่างเข้มข้น อาวุธปืนประจำมือของพวกมันทั้งสามคนก็เป็นคนละชนิดกันกับปืนประจำการของทหารและตำรวจหน่วยพิเศษตามประเทศต่างๆที่เขารู้จัก
เจ้าคนที่ทำหน้าที่เฝ้าระวังนั่งคุกเข่าอยู่ใกล้ตัวจอร์จมากที่สุดถือปืนM4ติดกล้องเล็งและอุปกรณ์เก็บเสียงเช่นเดียวกับคนที่กำลังทำหน้าที่สะเดาะกุญแจ แต่หัวหน้าชุดกับถือปืนสั้นกึ่งอัตโนมัติM22ติดอุปกรณ์เก็บเสียงแค่เพียงกระบอกเดียวเท่านั้น และมันยังสวมกล้องตรวจการเวลากลางคืนเพียงคนเดียวอีกด้วย
เจ้าคนที่นั่งคุกเข่าอยู่ใกล้จอร์จไม่รู้ตัวเลยว่ามหันตภัยมืดกำลังคืบเข้าไปใกล้มันดั่งเงาของพยัคฆ์ที่คลานเข้าหาเหยื่อ เมื่อลูกบิดประตูหลังบ้านถูกสะเดาะออกก็เป็นจังหวะเดียวกับที่ชุดที่สองและสามเปิดประตูหน้าบ้านสำเร็จเช่นกัน หัวหน้าชุดกับเจ้ามือสะเดาะกุญแจจึงเคลื่อนที่เข้าสู่ตัวบ้านอย่างเงียบกริบ เหยื่อของจอร์จลุกขึ้นเดินตามเพื่อนไปที่ประตูหลังบ้านซึ่งเลื่อนกลับไปบังสายตาของเพื่อนมันพอดี จอร์จปลดซองธนูและทิ้งคันศรก่อนที่จะพุ่งพรวดออกไปฟันสันมือใส่ตำแหน่งเส้นเลือดใหญ่บริเวณก้านคอสุดแรงเกิด มันสิ้นสติทรุดฮวบลงไปนอนวัดพื้นโดยที่ตัวเองไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้น จอร์จลากร่างของมันเข้ามาแอบหลังพุ่มไม้และใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถปลอดเสื้อกั๊กผ้าคลุมหน้าและหมวกของมันออกมาสวมไว้แทนได้สำเร็จ เขาหันกลับไปคว้าปืนของมันมาถือไว้ในมือ โชคดีที่ความมืดช่วยอำพรางร่องรอยของเขาจากเจ้านักสะเดาะกุญแจที่เปิดประตูออกมาตามเพื่อน มันส่งสัญญาณมือเรียกเขาให้ตามมันเข้าไปอย่างหัวเสีย จอร์จพยักหน้าแสดงอาการตอบรับและย่องตามหลังมันไปโดยพยายามทำตัวให้กลมกลืนที่สุด
ภายในบ้านมืดสนิทและเงียบราวกับปราศจากคนอยู่อาศัย ขณะนั้นคอมมันโดชุดที่สองและสามกำลังเคลื่อนที่ผ่านที่พักเท้ากลางบันไดบ้านขึ้นไปยังห้องนอนชั้นบนพร้อมกับชุดที่หนึ่งกำลังย่องเข้าหาประตูห้องนอนในห้องครัวช้าๆโดยมีเจ้าของห้องรั้งท้ายพวกมันไปด้วยตลอดเวลา เจ้ามือสะเดาะกุญแจถูกเรียกใช้อีกครั้งแต่ปรากฏว่าประตูบานนี้กับไม่ได้ล็อกเอาไว้ตามที่พวกมันเข้าใจ หัวหน้าชุดทำสัญญาณมือให้จอร์จตามหลังมันเข้าไปโดยสั่งให้เจ้ามือสะเดาะกุญแจทำหน้าที่คุ้มกันอยู่ด้านนอก เจ้านั้นจึงหันหน้าออกสู่บริเวณห้องครัวและหันหลังให้กับประตูห้องนอนของจอร์จอย่างว่าง่าย
หัวหน้าชุดย่องตรงไปที่เตียงนอนโดยไม่ระแวงเพื่อนรวมทีมของมันเลย จอร์จปิดประตูห้องลงและเดินตามมันไปอย่างกระชันชิด เจ้านั่นใช้ปืนสั้นM22ที่ดัดแปลงเผื่อใช้ยิงกระสุนยาสลบยิงใส่ผ้านวมบนเตียงนอนสองนัด จอร์จเห็นมันใช้มือซ้ายจับชายผ้าและดึงออกช้าๆโดยที่มือขวาถือปืนเล็งอยู่ก็สบโอกาสเหมาะ เขากระแทกพานท้ายปืนใส่ก้านคอของมันเต็มกำลังจนมันล้มคว่ำหน้าสิ้นสติไปโดยไม่ทันได้ส่งเสียงซักคำ
จอร์จถอดหูฟังวิทยุไร้สายและกล้องตรวจการณ์ของมันมาสวมไว้ก่อนที่จะเปลี่ยนปืนที่ตนถืออยู่กับปืนสั้นของมัน เขาเอากระสุนยาสลบที่ถูกยิงออกมาปักคืนให้กับเจ้าของที่ลำคอก่อนจะใช้ผ้านวมคลุมร่างเอาไว้อย่างมิดชิดเขาเดินกลับมายังประตูที่เจ้ามือสะเดาะกุญแจเฝ้าอยู่ จอร์จแง้มประตูออกเล็กน้อยพร้อมกับกวักมือเรียกมันเข้ามาในห้องแต่พอมันมองไม่เห็นเพื่อนอีกคนที่เข้ามาก่อนหน้านี้ก็ฉุกใจกำลังจะหันปากกระบอกปืนกลับมาเล็งใส่จอร์จวินาทีนั้นมันก็ถูกยิงด้วยลูกกระสุนยาสลบเข้าที่ก้านคอแล้ว ฤทธิ์ยาสำแดงอำนาจทันทีเร็วปานสายฟ้าแลบทำให้มันตาลอยล้มทั้งยืนแน่นิ่งไปโดยที่ไม่ทันได้ส่งเสียงร้องเช่นกัน
เสียงของหัวหน้าหน่วยสุนัขจิ้งจอกแดงสั่งงานหัวหน้าชุดที่สองที่สามดังขึ้นมาในหูฟังไร้สายที่จอร์จใส่ ทำให้เขารู้ว่าทั้งสองชุดสะเดาะกุญแจประตูห้องนอนทั้งสองห้องได้แล้วในเวลาไล่เลี่ยกันและกำลังจะเคลื่อนที่เข้าหาตัวเป้าหมายตามที่ได้วางแผนเอาไว้ จอร์จรีบออกจากห้องครัวอย่างรวดเร็ววิ่งไปหยิบคันธนูกับลูกศรและย้อนกลับเข้ามาในบ้านอีกครั้งทางประตูหน้า ชายหนุ่มย่องตามพวกมันขึ้นไปหลบซุ่มดูสถานการณ์อยู่ที่พักเท้ากลางบันไดบ้าน เขามองผ่านกล้องตรวจการณ์ของพวกมันเห็นเงาร่างของเจ้าหัวหน้าหน่วยสุนัขจิ้งจอกแดงในแสงสีเขียวยืนหันหลังให้เขาอยู่ที่ปลายบันไดชั้นบนสุด จอร์จหยิบลูกธนูออกมาขึ้นสายและน้าวสุดแรงเกิดตั้งสมาธิเล็งเป้าไปยังมือข้างที่มันถือปืนกลชูอยู่ที่ข้างลำตัว
ลูกศรวิ่งไปปักคาอยู่ที่หลังมือของมันแม่นยำอย่างกับจับวาง หัวหน้าหน่วยสุนัขจิ้งจอกแดงร้องสุดเสียง ปืนกลของมันกระเด็นตกหายไปในความมืดเสียงดังสะท้อนสะเทือน มันสำนึกถึงอันตรายจากศัตรูที่อยู่ข้างหลังได้ในเสี้ยววินาทีจึงกระโจนพรวดไปข้างหน้าตีลังกาหนีไปจากจุดที่มันยืนตามสัญชาติญาณ เมื่อคอมมันโดชุดที่สองและสามกรูกันออกมาตามเสียงร้องของหัวหน้าหน่วยจึงทันได้เห็นภาพหัวหน้าของพวกมันที่มีลูกศรปักคาอยู่ที่ผ่ามือพยายามลุกขึ้นยืนอย่างทุลักทุเล หัวหน้าหน่วยของพวกมันขบกรามแน่นบ่งบอกถึงความเจ็บปวดแสนสาหัสดังจนได้ยินชัด มันฝืนออกเสียงสบถพร้อมกับสั่งลูกน้องของมันด้วยน้ำเสียงแสดงความโกรธเกินคำบรรยาย
“ไอ้... มันอยู่ข้างล่าง ชุดที่สอง...ลงไปลากคอมันขึ้นมาให้ข้าเดี๋ยวนี้ ส่วนชุดที่สามจัดการกับประตูห้องทำงานซะ เร็วเข้า...แล้วไอ้พวก...ชุดที่หนึ่งหายหัวไปไหนกันหมด ตอบกลับมาหน่อยสิว่ะ”
เมื่อไม่มีเสียงตอบรับจากหัวหน้าชุดที่หนึ่งยิ่งเพิ่มความร้อนใจให้กับมันมากขึ้นไปอีก ขณะที่พวกคอมมันโดชุดที่สองกำลังวิ่งกลับลงไปข้างล่างตามคำสั่ง หัวหน้าหน่วยสุนัขจิ้งจอกแดงก็ขบกรามแน่นกว่าเดิมและยังไม่ทันจะออกคำสั่งเพิ่มเติมหัวหน้าชุดที่2ก็รายงานกลับมาว่า
“หัวหน้าครับ เราพบหัวหน้าชุดที่หนึ่งนอนสลบอยู่ที่ประตูทางเข้าห้องครัวครับ ผมปลุกมันขึ้นมาแล้ว”
“ดีมากตามล่าไอ้ตัวแสบให้ได้ มันใช้ธนูเป็นอาวุธ ไม่ว่ามันจะเป็นใครลากตัวมันมาให้ข้า ข้าจะฆ่ามันเอง”
“ครับผม”
หัวหน้าชุดที่สองส่งสัญญาณมือบอกให้ลูกทีมของตนออกไปค้นหาศัตรูยังบริเวณนอกบ้าน ส่วนตนจะเข้าไปในห้องครัวพร้อมกับหัวหน้าชุดที่หนึ่ง เมื่อสั่งจบมันจึงเดินนำหน้าจอร์จย่องอย่างระมัดระวังเข้าไปในห้องครัวด้วยอาการประทับปืนกลขึ้นกระโจมมือในท่าเตรียมยิงและส่ายไปส่ายมาตลอดเวลา หัวหน้าหน่วยสุนัขจิ้งจอกแดงพยายามดึงลูกศรที่ปักอยู่บนฝ่ามือของมันออกอย่างสุดความสามารถก็เป็นเวลาเดียวกับที่กุญแจประตูห้องทำงานของคุณหมอพิเภกถูกสะเดาะออกพอดี เจ้านักสะเดาะกุญแจพยายามดันเท่าไหร่ก็ไม่สามารถผลักประตูบานนั้นให้เปิดอ้าออกได้จึงเรียกเพื่อนของมันให้เข้ามาช่วยกันอีกแรง เมื่อหัวหน้าหน่วยดึงลูกศรออกมาจากมือของมันได้สำเร็จจึงกรอกเสียงถามหัวหน้าชุดที่สองผ่านทางวิทยุสื่อสาร
“เฮ้ย ...ข้างล่างเป็นไงบ้างว่ะ เจอตัวมันหรือยัง”
ปราศจากเสียงตอบรับมาตามสายราวกับมันกำลังพูดอยู่กับความเงียบเพียงคนเดียว หัวหน้าหน่วยทั้งแปลกใจทั้งฉุนเฉียวจึงรีบเข้าไปช่วยพวกคอมมันโดชุดที่สามดันประตูห้องทำงานสุดแรงเกิด ประตูแง้มออกมามากพอที่จะมองลอดเข้าไปเห็นข้างในห้องได้จากมุมที่มันยืนอยู่ มันเห็นนักศึกษาหม่อนกับคุณหมอพิเภกกำลังช่วยกันดันโต๊ะทำงานมาขวางประตูทางเข้าห้องอย่างหน้าดำหน้าแดง มันจึงกระชากปืนจากเอวของหัวหน้าชุดที่3มายิงกระสุนยาสลบใส่นักศึกษาสาวไปหนึ่งนัด
นักศึกษาหม่อนตาลอยทรุดฮวบลงไปนอนสลบอยู่กับพื้นห้องทันที หมอพิเภกตกใจจนเผลอละมือจากโต๊ะทำงานเป็นเหตุให้ประตูห้องถูกดันจนเปิดกว้าง เขาจึงใช้สองมือหิ้วปีกของนักศึกษาหม่อนและลากให้ออกมาพ้นจากโต๊ะทำงานที่กำลังถูกผลักให้เลื่อนไปจนชิดติดกับผนังด้านข้าง
เจ้าหัวหน้าหน่วยสุนัขจิ้งจอกแดงโยนปืนกลับไปให้ลูกน้องของมันก่อนจะเดินอาดๆเข้ามาในห้องด้วยอาการอดกลั้นอารมณ์ มันรู้สึกโกรธมากจนแทบจะฆ่าใครก็ได้ที่ตนต้องการ แต่ติดอยู่ที่มันถูกมอบหมายภารกิจให้มานำสิ่งของบางอย่างกลับไปพร้อมทั้งจัดฉากฆาตกรรมเชิงชู้สาวเพื่อปิดปากหมอพิเภกมันจึงยังไม่สามารถทำได้อย่างที่ใจคิด สวิทซ์ไฟในห้องถูกเปิดขึ้นมาจนสว่างโพลง เจ้าหัวหน้าหน่วยเดินช้าๆเข้าหาร่างของหมอพิเภกที่ลากตัวนักศึกษาสาวถอยหลังไปจนติดหน้าต่างกระจกและเอ่ยคำทักทายเขาด้วยน้ำเสียงที่แฝงอารมณ์เกรี้ยวกราด
“สวัสดีครับคุณหมอพิเภก”
“พวกแกเป็นใครต้องการอะไรจากฉัน”
น้ำเสียงของหมอพิเภกที่ตะเบ็งตอบมันขุ่นแข็งไม่แพ้กัน เขารู้สึกว่าตนเคยได้ยินเสียงของมันมาก่อน
“พวกผมเป็นใครคุณไม่จำเป็นต้องรู้ สิ่งที่พวกผมต้องการคือสมุดบันทึกปกหนังสีขาวที่คุณได้มาเมื่อเย็นนี้ มันอยู่ที่ไหนบอกมาเสียดีๆ”
“แก...แกรู้ได้อย่างไรว่าฉันมีสมุดบันทึกเล่มนั้น...” หมอพิเภกจำได้แล้วว่าเสียงของมันเหมือนเสียงของคนไข้ที่โทรศัพท์เข้ามาหาเขาเมื่อตอนหัวค่ำจึงถามมันออกไปอีกว่า “ใคร...ใครเป็นคนส่งแกมา”
เจ้าหัวหน้าหน่วยระเบิดเสียงหัวเราะออกมาราวกับคนบ้าคลั่ง มันตอบคำหมอพิเภกกลับไปด้วยท่าทีที่ยียวน
“ฮ่ะๆๆ...คุณหมอยังไม่ได้ตอบคำถามของผมเลยว่ามันอยู่ที่ไหน ถ้าอยากรู้ว่าใครเป็นคนส่งผมมา บอกมาก่อนว่ามันอยู่ที่ไหนแล้วผมจะให้คำตอบ”
“ไม่...ฉันไม่บอกพวกแกหรอก”
เส้นกั้นอารมณ์ของเจ้าหัวหน้าหน่วยเหมือนถูกตัดจนขาดจากกัน มันหุบยิ้มลงทันทีอย่างหัวเสียเปลี่ยนสีหน้าเป็นบึ้งตึงและตะโกนสั่งให้หัวหน้าชุดที่สามเข้ามาในห้องเพียงลำพังทิ้งให้ลูกทีมอีกสองคนยืนอยู่ที่หน้าประตูห้อง มันคว้าปืนกลมือที่สะพายอยู่ข้างหลังของเจ้านั้นมาได้ก็เหนี่ยวไกยิงใส่ขาอ่อนของหมอพิเภกไปหนึ่งนัดอย่างเลือดเย็น
เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของหมอพิเภกดังเกือบจะประสานกับเสียงร้องของคนที่อยู่ข้างล่างพอดี เจ้าสองคนที่ยืนอยู่หน้าประตูจำต้องหันกลับไปมองตามด้วยความสนใจ พวกมันมองเห็นเงาๆของเพื่อนร่วมทีมที่พยายามคลานขึ้นบันไดมาจึงรีบรุดลงไปช่วยเพื่อนโดยไม่ฟังคำสั่งจากใครเลย หัวหน้าชุดที่สามเองก็หันไปห้ามพวกมันไว้ไม่ทันจึงได้แต่ยืนคุมเชิงอยู่ด้านในห้อง เจ้าหัวหน้าหน่วยสุนัขจิ้งจอกแดงเริ่มสังหรณ์ใจไม่ดีรีบหันกลับไปเค้นเอาที่ซ่อนของสมุดบันทึกจากหมอพิเภกอีกครั้ง
“ว่าอย่างไรครับคุณหมอ เจ็บพอที่จะทำให้เปิดปากได้หรือยัง” มันพูดพร้อมกับจ่อปากกระบอกปืนไปทางขาอ่อนอีกข้างของหมอพิเภก เมื่อเห็นว่าเขานั่งนิ่งขบกรามแน่นและไม่ยอมตอบจึงหันปากกระบอกปืนเล็งไปยังที่หมายใหม่คือศีรษะของนักศึกษาสาวซึ่งนอนสลบอยู่ข้างตัวหมอพิเภกพร้อมกับพูดขู่
“หรือจะให้ผมส่งใครไปรอหมอที่นรกซักคนก่อนก็ได้นะ ผมไม่ขัดข้องหรอก”
เจ้านั้นเหนี่ยวไกปืนส่งกระสุนไปเจาะพื้นห้องเฉียดศีรษะของนักศึกษาสาวไปแค่ไม่กี่เซนติเมตร การยิงขู่เช่นนี้กลับได้ผลสมใจเพราะหมอพิเภกหน้าทอดสีเสียงอ่อนและยอมเอ๋ยคำด้วยอาการจำนน
“ตกลง...ผมยอมแล้ว อย่าทำอะไรเธอเลย ผมจะเอามันออกมาให้คุณเดี่ยวนี้”
หมอพิเภกพูดจบลุกขึ้นยืนด้วยขาข้างที่ยังเป็นปรกติสีหน้าแสดงความเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด เขาเดินลากขาที่มีเลือดไหลออกมาเป็นทางเข้าหาผนังด้านที่เคยมีคันธนูแขวนอยู่ก็เป็นเวลาเดียวกับที่ทุกคนในห้องได้ยินเสียงร้องดังมาจากข้างนอกอีกครั้ง เจ้าหัวหน้าชุดจึงหันกลับมาสบตากับหัวหน้าหน่วยเพื่อขอความเห็น เมื่อผู้บังคับบัญชาพยักหน้ามันจึงหมุนตัวกลับเตรียมออกจากห้องไปดูสถานการณ์ด้วยตาตนเอง หัวหน้าหน่วยสั่งกำชับมันด้วยน้ำเสียงจริงจังไล่หลังไปว่า
“ยิงทุกคนที่เคลื่อนไหวถึงมันจะสวมเครื่องแบบของเราอยู่ด้วยก็ตามจำเอาไว้”
“ครับผม”
หัวหน้าชุดที่สามตอบคำพร้อมกับหยิบมีดสนามประจำตัวขึ้นมาถือไว้ด้วยมือซ้ายหันปลายแหลมลงส่วนมือขวากระชากปืนสั้นของมันขึ้นมากำไว้อย่างมั่นคงและเดินออกจากห้องไปด้วยความระมัดระวัง จากกล้องตรวจการณ์เวลากลางคืนที่มันใส่อยู่ มันเห็นเงารางๆของลูกทีมทั้งสองคนนอนฟุบอยู่ที่ปลายบันไดคว่ำหน้าคนหนึ่งและหงายหน้าคนหนึ่ง ส่วนร่างของพวกมันอีกคนที่ใส่แว่นตรวจการณ์และถือปืนยิงยาสลบไว้ในมือกำลังนั่งหงายหลังพิงกำแพงของที่พักเท้ากลางบันไดบ้าน มันประเมินสถานการณ์ดูก็รู้ได้ทันทีว่าคนที่แทรกซึมเข้ามาต้องเป็นผู้ที่ใช้กล้องของหัวหน้าชุดที่หนึ่งแน่นอนเพราะสองคนที่สลบอยู่นั้นถือปืนกลเอ็มสี่และไม่ได้มีคราบเลือดจากการถูกยิงด้วยปืนกลให้เห็นเลย มันจึงเดินข้ามร่างของลูกทีมไปหยุดยืนอยู่ที่หัวบันไดพร้อมกับยิงกระสุนยาสลบใส่ร่างที่นั่งอยู่ทันทีหนึ่งนัด มันจ้องปืนเล็งไว้อย่างนั้นพร้อมกับเดินลงไปหาร่างที่นั่งอยู่
แต่สิ่งที่เจ้านั้นคาดการณ์ไว้ผิดถนัดขณะที่มันก้าวลงบันไดไปแล้วหลายขั้น ร่างของลูกทีมที่นอนคว่ำหน้าอยู่กับพื้นก็ปล่อยปืนกลหลุดจากมือพร้อมกับผุดลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็วถึงมันจะไหวตัวทันและหันปากกระบอกปืนกลับมาได้แต่ก็ยังช้าเกินไปเพราะจอร์จสามารถเตะปืนในมือของมันกระเด็นหลุดหายไปได้เสียก่อน เมื่อรู้ว่าตนเสียรู้ศัตรูแล้วจึงรีบใช้มีดที่มือซ้ายฟันเข้าใส่หน้าแข้งของจอร์จเพื่อแก้สถานการณ์ แต่คมมีดก็ไม่สามารถทำอันตรายชายหนุ่มได้เลยเพราะเขากระโดดถอยหลังไปตั้งหลักได้ทันเสียก่อน เจ้านั้นจึงเดินกลับขึ้นมาที่ทางเดินชั้นสองพร้อมกับหงายมีดที่มือซ้ายขึ้นมากำไว้ด้วยมือขวา มันโยนมีดสลับไปสลับมาระหว่างมือทั้งสองข้างหวังเพิ่มความสับสนให้กับศัตรูพร้อมกับก้าวเท้าเข้าหาจอร์จช้าๆเพื่อหาการระยะโจมตี
สำหรับจอร์จทุกอิริยาบถของมันราวกับภาพสโลโมชั่นที่ถูกเครื่องเล่นภาพยนตร์ชะลอความเร็ว พอมันสลับมีดจากมือซ้ายย้ายมามือขวาในจังหวะสุดท้ายมันก็จ้วงแทงเข้าที่ท้องของจอร์จอย่างรวดเร็ว เขาเบี่ยงตัวหลบแต่มันก็พลิกมีดและฟันออกข้างลำตัวของเขาอย่างชำนาน ถึงกระนั้นเขาก็ยังสามารถหลบคมมีดของมันไปได้โดยไม่จำเป็นต้องถอยหนีเลยแม้แต่ก้าวเดียว มันเปิดฉากกระหน่ำฟันใส่จอร์จซ้ายทีขวาทีอย่างต่อเนื่องไม่ยอมหยุด เขาจึงได้แต่หลบหลีกไปมาและไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้ ในจังหวะที่ชายหนุ่มเสียท่าเปิดช่องอกล่อตา มันก็จ้วงแทงเข้าที่หมายอย่างสุดแรงเกิด แต่มีดเล่มนั้นเป็นดั่งปลาที่ถูกตีน้ำล่อให้เข้าไซ จอร์จเบี่ยงตัวหลบไปได้ในวินาทีสุดท้ายใช้มือปัดมีดของมันให้เบนออกและหนุนตัวตีศอกเข้าใส่ใบหน้าของมันด้วยท่าหิรัญม้วนแผ่นดิน เสียงศอกกระแทกเข้าตำแหน่งปากครึ่งจมูกครึ่งอย่างรุนแรงส่งให้หน้าของมันสะบัดหงายจนเลือดพุ่ง จอร์จคว้าแขนของมันได้ก็ทุ่มมันข้ามไหล่ไปหล่นตุบอยู่หน้าประตูห้องทำงานของหมอพิเภกทันที มันจึงสิ้นฤทธิ์ลงไปนอนแผ่หลาอยู่กับพื้นด้วยอาการมึนงงและเจ็บปวดไปทั้งตัว
ฉากต่อสู้ด้านนอกห้องทำงานเกิดขึ้นและจบสิ้นลงอย่างรวดเร็วโดยที่เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาที หมอพิเภกพึ่งจะเดินถึงตู้นิรภัยบนชั้นหนังสือของตน เมื่อเขาเปิดมันออกมาและหยิบสมุดบันทึกเล่มนั้นขึ้นมากอดไว้แนบอก เจ้าหัวหน้าหน่วยสุนัขจิ้งจอกแดงที่ยืนคาดคะเนสถานการณ์จากเสียงการต่อสู้อยู่ก็เข้าไปล็อกคอและเอาปืนกลจ่อขมับของหมอพิเภกเอาไว้ มันเอาร่างของเขาเป็นโล่กำบังพร้อมกับบังคับให้หันหลังกลับไปทางประตูห้องก่อนจะตะคอกด้วยเสียงที่แสดงออกถึงความโกรธเกรี้ยวสุดชีวิตจิตใจ
“ใครอยู่ข้างนอก โผล่หัวออกมาเดี๋ยวนี้ไม่งั้นไอ้แก่นี่ตาย”
ไม่นานคอมมันโดชุดดำสองคนจึงก้าวเข้ามาในห้องโดยที่คนหนึ่งล็อกคออีกคนเอาไว้และถือมีดสนามกดจี้ไว้ที่ข้างลำคอ ท่าทีที่เยือกเย็นบ่งบอกว่าจอร์จสามารถควบคุมมันไว้ได้เป็นอย่างดี
“ปล่อยคุณหมอซะ ไม่งั้นเพื่อนแกก็ต้องตายเหมือนกัน”
“ฮ่ะๆๆ... มันไม่ใช่เพื่อนของข้า มันเป็นแค่ลูกน้องที่ไม่ได้ความคนหนึ่งเท่านั้น แกอยากจะเชือดมันก็ตามใจ”
“ถ้าอย่างนั้นแกต้องการอะไร”
เจ้าหัวหน้าหน่วยสุนัขจิ้งจอกแดงฉีกยิ้มที่มุมปากก่อนจะตอบคำ
“หัวหน้าใหญ่สั่งให้ฉันมาเอาสมุดบันทึกเล่มนี้กลับ...พร้อมกับดับลมหายใจของพวกแกยังไงล่ะ...”
ขณะที่พูดยังไม่ทันจบประโยคมันก็ใช้ปืนกลยิงรัวใส่ร่างของจอร์จที่ยืนอยู่ข้างหลังลูกทีมของมันชนิดที่นับจำนวนไม่ถ้วน แต่มันไม่สามารถควบคุมวิถีกระสุนไว้ได้อย่างที่ใจคิดทำให้ปากกระบอกปืนส่ายไปส่ายมาแต่มันก็ยังกดแช่ไกปืนเพื่อปล่อยกระสุนออกไปให้ได้มากที่สุด เสี้ยววินาทีที่กระสุนวิ่งเข้าหาร่างของจอร์จเขาพุ่งตัวหลบไปทางซ้ายได้ทัน หมอพิเภกทิ้งสมุดบันทึกของตนและใช้สองมือบีบเข้าที่แผลบนฝ่ามือของมันอย่างเต็มกำลัง เจ้านั่นร้องสุดเสียงด้วยความเจ็บปวด คลายมือจากการล็อกคอพร้อมกับเหวี่ยงร่างของหมอพิเภกไปข้างตัวด้วยความโมโห จังหวะนั้นจอร์จก็ปามีดสนามไปเสียบคาอยู่ที่ท่อนแขนด้านในได้อย่างแม่นยำและก็พุ่งเข้าไปชกหมัดเสยเข้าที่ปลายครางของมันจนหน้าหงายตาลอยเข่าอ่อนทรุดฮวบลงไปนอนคว่ำหน้าอยู่แทบเท้าของเขาได้ราวกับปาฏิหาริย์
จอร์จก้มลงหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาส่งคืนไปให้กับหมอพิเภกและช่วยพยุงร่างของท่านให้ยืนขึ้นมาด้วยความยากลำบาก เขาประคองท่านให้เดินกะเผลกไปที่โต๊ะทำงานเพื่อหยิบกระเป๋าเงินกับพวงกุญแจรถก่อนที่จะผละมาหาร่างที่ไร้สติของนักศึกษาสาว ชายหนุ่มก้มลงช้อนร่างของเธอขึ้นมาอุ้มไว้แนบอกและเดินนำหมอพิเภกออกจากห้องทำงานไปอย่างรีบเร่ง เขาพาทั้งสองคนเดินผ่านร่างของแขกยามวิกาลตามจุดต่างๆของตัวบ้านไปยังลานจอดรถด้วยความทุลักทุเล จอร์จวางร่างของน้องหม่อนไว้บนเบาะหลังของรถแล้วจึงขับรถพาทุกคนหนีออกมาจากที่นั้น เขาคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดในขณะนี้คือต้องพาคุณลุงหมอไปส่งยังโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดให้ทันเวลา เนื่องจากท่านเสียเลือดไปมากแล้ว เขาจึงเร่งความเร็วรถตรงไปยังปากทางเข้าหมู่บ้านเมื่อพ้นจากป้อมยามจอร์จก็เร่งความเร็วรถขึ้นอีก จอร์จคาดว่าท่านคงต้องการให้เขาพาไปยังโรงพยาบาลจัสมินฯแต่เมื่อถูกสั่งให้กลับรถไปอีกทางจึงทำให้ชายหนุ่มแปลกใจจนอดที่จะเอ่ยถามไม่ได้ว่า
“ผมนึกว่าคุณลุงหมอจะให้พาไปที่รพ.จัสมินฯเสียอีกทำไมถึงกลับรถล่ะครับ”
หมอพิเภกตอบคำด้วยน้ำเสียงที่อ่อนแรงกระท่อนกระแท่นและพยายามข่มความเจ็บปวดเอาไว้อย่างเต็มที่
“ลุงคิดว่า...พวกที่เข้ามาเล่นงานเราเมื่อครู่...น่าจะเกี่ยวข้องกับ ผ อ.จาคอฟสกี้ เพราะเรื่องสมุดบันทึกเล่มนี้ ไม่มีใครรู้เรื่องนอกจากเขากับพวกเรา...ถ้าขืนไปที่นั่น...ลุงเกรงว่าพวกเราจะไม่ปลอดภัย”หมอพิเภกหายใจหอบจนต้องหยุดพักก่อนจะพูดต่อ “...ถ้าไม่ได้พ่อหนุ่ม ลุงคงกลายเป็นผีเฝ้าบ้านนั้นไปแล้ว ขอบใจมากนะ”
“คุณลุงไม่ต้องขอบใจหรอกครับ ผมไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายพวกเราอย่างเด็ดขาด”
จอร์จคิดอยู่ในใจลำพังโดยไม่ได้เปิดปากออกมาว่า “ทำไม ผอ.จาคอฟสกี้ต้องส่งคนมาตามสมุดบันทึกเล่มกลับด้วยนะ และทำไมแค่สมุดเล่มเดียวถึงกับต้องฆ่าปิดปากกันเลย” จอร์จขับรถไปตามทางที่หมอพิเภกบอกไม่นานก็เจอกับโรงพยาบาลเอกชนขนาดใหญ่ เขาเร่งความเร็วนำรถเข้าสู่ประตูทางเข้าของโรงพยาบาลอย่างร้อนใจเพราะหมอพิเภกสลบไสลไม่ได้สติไปแล้วตั้งแต่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้



Create Date : 19 กรกฎาคม 2554
Last Update : 19 กรกฎาคม 2554 15:22:33 น. 0 comments
Counter : 696 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

wayoodeb
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




 
      
Friends' blogs
[Add wayoodeb's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.