Group Blog
 
<<
กรกฏาคม 2554
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
13 กรกฏาคม 2554
 
All Blogs
 

องค์ที่ ๑๑(๑) : แขกยามวิกาล

องค์ที่ ๑๑ : แขกยามวิกาล
เสียงสัญญาณเตือนดังขึ้นพร้อมกับไฟสีแดงดวงจิ๋วกะพริบบ่งบอกว่ามีการติดต่อเข้ามาจากเจ้าหน้าที่แมค ผู้กองเซอบีรุสหยิบหูฟังไร้สายของวิทยุสื่อสารจากโต๊ะข้างเตียงมาสวมหูและลุกขึ้นเดินออกไปยืนอยู่บนระเบียงหลังห้องพักคนไข้พิเศษ ดวงอาทิตย์ยามเย็นเริ่มอ่อนแสงลงแล้วจนเห็นเป็นสีส้มลอยต่ำลงมาทางทิศตะวันตก ลมเย็นพัดเอื่อยมากระทบผิวหน้าที่หยาบกร้านของเขาเป็นระยะ ผู้กองแห่งหน่วยสงครามพิเศษถึงแม้จะรู้สึกเย็นกายแต่ร้อนใจราวกับมีกองไฟลุกโพล่งอยู่ข้างในอก เพราะเขาเปรียบได้กับสุนัขจิ้งจอกเฒ่าผู้โดดเดี่ยวที่หลงเข้ามาในถิ่นของฝูงหมาใน เขากดปุ่มตอบรับและกรอกเสียงพูดลงไปด้วยน้ำเสียงที่บ่งบอกถึงอารมณ์ที่ขุ่นมัว
“นี่มาร์ดุ๊กพูดสถานการณ์เป็นอย่างไรบ้าง รายงานมาสิ”
“ผมให้เจมส์เข้าไปแอบเก็บภาพพวกมันได้เกือบจะครบทุกคนแล้ว เป็นไปตามที่ผู้กองคาดการณ์เอาไว้ครับ คนไข้ชาวจีนและญี่ปุ่นที่ปะปนอยู่ภายในโรงพยาบาลมีทั้งคนของแก๊งมักกรเขียวและพยัคฆ์ขาวแน่นอนครับ ผู้กองดูรูปถ่ายที่ผมฝากเธอไปให้แล้วหรือยัง”
“อืม... ดูไปแล้ว”
“นั่นละครับ ลำดับที่ 2 และ 3 ของพวกมือโปรจอมอุ้ม เจ้าตาตี่ผมเปียและหน้าตาคล้ายกับเจ้าเปียที่โจมตีเราเมื่ออาทิตย์ที่แล้วชื่อว่า “หลง ฟง” เป็นหัวหน้าของพวกแก๊งมังกรเขียว ส่วนเจ้าคิ้วดกหน้าหยกเป็นลำดับที่ 2 ชื่อว่า ทาเคชิ ฟูจิโมริ เป็นหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์ขาวครับ”
“นายเคยบอกว่าพวกมันไม่ถูกกันนี่ ทำไมในรูปเจ้าเปียดำกับเจ้าคิ้วดกถึงได้ไปนั่งจิบน้ำชาคุยกันอยู่ที่ศูนย์อาหาร”
“สงสัย...ท่าทางจะไม่ชอบมาพากลแล้วครับผู้กอง พวกมันคงคิดที่จะร่วมมือกันจัดการกับพวกเรา”
“เป้าหมายอยู่ที่ไหนตอนนี้”
เจ้าหน้าที่แมคก้มลงดูจอมอนิเตอร์ของเครื่องคอมพิวเตอร์ เขาเห็นไฟกะพริบจุดสีเขียวที่ปรากฏอยู่ในแบบจำลองแผนที่โรงพยาบาลซึ่งเป็นสัญญาณจากอุปกรณ์ระบุตำแหน่งด้วยระบบจีพีอาเอส(GPRS) หมายเลข 1 กำลังเคลื่อนที่เข้าหาจุดสีเดียวกันหมายเลข 2 แมครีบแจ้งกลับไปยังผู้กองเซอบีรุสด้วยน้ำเสียงตื่นเต้นว่า
“เธอกำลังเดินไปหาผู้กองที่ห้องครับ”
“นายสองคนจับตาดูพวกมังกรเขียวกับพยัคฆ์ขาวต่อไปแค่นี้ก่อนละกัน”
เมื่อผู้กองเซอบีรุสออกคำสั่งจบก็เก็บอุปกรณ์สื่อสารลงกระเป๋าเสื้อแล้วจึงก้าวกลับเข้ามาในห้องก็เป็นจังหวะเดียวกับที่มะลิเปิดประตูพอดี เธออยู่ในชุดพยาบาลสวยสะอาดตาแต่ใบหน้าหมองคล้ำจนดูน่าสงสารเดินเข้ามาหยุดยืนอยู่ข้างชุดรับแขกภายในห้องและเอ่ยคำด้วยน้ำเสียงสั่นๆว่า
“คุณมาร์ด็อกจริงหรือเปล่าค่ะที่คุณแมคบอกว่าคนของแก็งอาชญากร 2 กลุ่มเข้ามาปะปนเป็นผู้ป่วยของโรงพยาบาลแล้ว พวกนั้นเข้ามาหาฉันใช่ไหมคะ”
“ถูกต้องแล้วครับ แมคบอกคุณแล้วก็ดีจะได้ระมัดระวังตัวเพิ่มขึ้น ไม่ต้องเครียดไปหรอกนะครับ พวกผมได้เตรียมแผนไว้รองรับสถานการณ์ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว คุณสบายใจได้”
“ถึงจะรู้อย่างนั้น ฉันก็ยังรู้สึกวิตกมากอยู่ดีค่ะ เอาเถอะที่จริงฉันจะมาบอกคุณว่าเย็นนี้ฉันขอไปพบกับจิตแพทย์ประจำตัวของฉันที่คลินิกหน่อย คุณคงไม่ว่าอะไรนะคะ”
“คลินิกนั้นอยู่ที่ไหนครับไกลจากที่นี่มากไหม”
“ชื่อ “สุริยะวงศ์คลินิก” อยู่ไม่ไกลจากรพ.จัสมินนักหรอกค่ะ พบหมอแล้วฉันจะรีบกลับบ้านทันที”
“เชิญตามสะดวกครับพวกผมจะคุ้มกันคุณอยู่ห่างๆเอง ทำเหมือนทุกวันไม่ต้องพะวงอะไร โปรดเชื่อใจพวกผมและขอให้แน่ใจว่าเมื่อเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้นคุณจะเห็นพวกผมทันที”
“ขอบคุณค่ะ งั้นฉันไปเลยนะคะ”
มะลิเดินจากไปไม่นานผู้กองเซอบีรุสจึงติดต่อกลับไปหาลูกทีมทั้งสองเพื่อสั่งให้แมคนำรถตู้ที่เป็นดั่งศูนย์บัญชาการเคลื่อนที่เข้ามารับเขายังจุดนัดหมายภายในอาคารจอดรถของโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่แมครับคำพร้อมกับถามขึ้นว่า
“ผู้กองจะไปไหนครับ”
“เย็นนี้เป้าหมายจะไปพบกับจิตแพทย์ที่เธอไปหาพร้อมกับดร.ทอมสัน ฉันรู้สึกสังหรณ์ใจอย่างไรบอกไม่ถูกเรื่องเจ้าเปียดำกับเจ้าคิ้วดกร่วมมือกัน ต่อไปนี้เราต้องเกาะติดเป้าหมายอย่าให้คลาดสายตา”
“จะไปทั้งชุดผู้ป่วยอย่างนี้เลยหรือครับไม่สะดุดตาของคนอื่นแย่หรือ”
เจ้าหน้าที่แมคแกล้งแซวหัวหน้าทีมด้วยความขบขัน หันไปยิ้มให้เจมส์ที่นั่งอยู่ข้างหลังพวงมาลัยเป็นเชิงรู้กัน เจมส์บอกกับแมคตั้งแต่วันแรกที่ผู้กองเซอบีรุสปะปนไปเป็นคนไข้ของรพ.จัสมินฯแล้วว่า เขาลดความรู้สึกเกรงกลัวต่อผู้กองลงไปมากขนาดไหนเมื่อเห็นผู้กองแห่งหน่วยสงครามพิเศษอยู่ในชุดคนไข้สีฟ้าอ่อนและยังสัญญากันไว้ด้วยว่าจะเอาเรื่องชวนจี้เส้นนี้กลับไปเล่าให้เพื่อนที่หน่วยฟังให้ได้ ผู้กองเซอบีรุสพูดตอบกลับมาด้วยน้ำเสียงขุ่นมัว
“พวกนายระวังตัวไว้ให้ดี ถ้าเอาเรื่องฉันอยู่ในสภาพนี้ไปปูดให้ใครฟัง ฉันฆ่านายสองคนแน่ เตรียมชุดของฉันไว้ให้ด้วย”
“ครับผม”
ผู้กองเซอบีรุสพูดตัดบทพร้อมกับปิดอุปกรณ์สื่อสารลง เขาสบถกับตัวเองอย่างหัวเสียไปตลอดทางที่เดินไปจุดนัดพบ แมคส่งชุดพรางพื้นสีเหลืองอ่อนให้ผู้กองเซอบีรุสผลัดเปลี่ยนจากชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาลทันทีที่เขาเปิดประตูรถตู้รับหัวหน้าทีมขึ้นรถ รถตู้แล่นตามหลังรถเก๋งสีขาวคันเล็กของมะลิออกไปจากโรงพยาบาลจัสมินฯโดยทิ้งระยะห่างไว้พอประมาณ ภายในรถของมะลิเมื่อเธอได้อยู่เพียงลำพังจึงแสดงความกังวลที่ถูกเก็บกักออกมาทางสีหน้าอย่างเต็มที่ ในห้วงแห่งความคิดคำนึงของเธอ มะลิกำลังคิดถึงจิตแพทย์ผู้ที่เธอมักจะมาหาเขาอยู่เป็นระยะเธอจำได้ดีว่าเป็นเวลานับ 10 ปีที่คุณลุงหมอดูแลเธอมาโดยตลอดจากอาการเครียดจากอาการวิตกจริต เธอมักจะคิดไปเองว่ามีคนเฝ้าดูเธออยู่ตลอดเวลาไม่ว่าจะเป็นนอกบ้านในบ้านหรือแม้แต่ภายในห้องนอนของเธอเอง
มะลิจำได้ว่าหลังจากที่เธอมาพบกับเขาครั้งแรกพร้อมกับคุณลุงทอมสันเมื่อสิบปีก่อนอาการเครียดและทุกข์ใจต่างๆเหล่านั้นก็หายไปจนหมดสิ้นราวกับว่ามันเป็นแค่อุปาทานของตัวเธอเอง แต่ที่มาวันนี้ความเครียดนั้นเกิดมาจากสาเหตุอื่น มะลิกำลังชั่งใจอยู่ว่าจะเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณลุงหมอฟังดีไหมก็เป็นเวลาเดียวกับที่รถคันเล็กเลี้ยวเข้าที่จอดรถของแมนชั่นให้เช่าแห่งหนึ่ง มะลิลงจากรถเดินกลับออกมายังด้านหน้าของตัวอาคารที่เต็มไปด้วยร้านค้าหลากหลายชนิด “สุริยะวงศ์คลินิก” อยู่ในตึกแถวที่ปลูกติดกับแมนชั่นหลังนี้ เมื่อมะลิเดินเข้าไปถึงหน้าประตูกระจกจึงเห็นกระดาษสีขาวแผ่นใหญ่ปิดอยู่เขียนไว้ว่า “หยุดพักร้อน 1 อาทิตย์ คุณหมอกลับไปเยี่ยมญาติที่ต่างจังหวัด เปิดร้านอีกทีวันที่...”
หญิงสาวยืนอ่านป้ายประกาศอยู่เพียงอึดใจเดียว วันดังกล่าวที่ระบุไว้เลยมาหนึ่งอาทิตย์แล้ว มะลิถามตัวเองในใจว่าทำไมคลินิกจึงยังไม่เปิด เธอตัดสินใจหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาจากระเป๋าสะพายต่อสายไปตามเบอร์โทรศัพท์ซึ่งระบุไว้ที่ประตูด้วยความรู้สึกกระวนกระวายใจ เสียงเรียกสายดังขึ้นหลายครั้งก่อนที่จะมีคนตอบกลับมา
“สวัสดีครับผมหมอพิเภกพูดสายอยู่ครับ”
“สวัสดีค่ะคุณลุงหมอ มะลิเองค่ะอยากจะมาขอคำปรึกษาจากคุณลุงหน่อย วันนี้คุณลุงเข้ามาที่คลินิกไหมคะ”
“อ๋อ...หนูนั้นเองวันนี้ลุงคงไม่เข้าไปแล้วละครับ อีกตั้งชั่วโมงกว่าลุงจะถึงกรุงเทพฯ ลุงพึ่งจะกลับมาจากต่างจังหวะครับ เอาไว้มาคุยกันพรุ่งนี้ตอนเย็นดีไหม”
“ก็ได้ค่ะ พรุ่งนี้หนูจะมาใหม่ตอน 5 โมงครึ่งนะคะ” มะลิหมุนตัวเดินกลับไปขึ้นรถก่อนจะพูดว่า “ขอบคุณค่ะคุณลุงหมอ แค่นี้นะคะ”
“ครับ พรุ่งนี้เย็นค่อยพบกัน”
หมอพิเภกวางโทรศัพท์มือถือลงหลังคอนโซลหน้าของรถขณะที่รถกำลังทะยานขึ้นสู่สะพานข้ามแม่น้ำแม่กลอง เขาเริ่มสนทนากับคนในรถอีกครั้งโดยกล่าวออกไปว่า
“พ่อหนุ่มยังไม่ตอบลุงเลยว่าจะไปพักที่ไหน”
จอร์จนั่งคิดมาครู่ใหญ่แล้วระหว่างที่คุณหมอพิเภกสนทนากับคนไข้ เขารู้สึกเกรงใจที่จะต้องตกเป็นภาระแก่คุณหมอพิเภกถ้าต้องไปอาศัยบ้านของท่านแต่ก็จนปัญญาที่จะหาที่พักที่อื่นเพราะตนไม่รู้จักใครเลยในกรุงเทพมหานครฯนี้ เขารู้สึกกระดากจึงพูดออกไปด้วยน้ำเสียงบ่งบอกความเกรงใจแบ่งรับแบ่งสู้
“ผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ตอนที่ตัดสินใจก็คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะไปหาคนที่ตั้งใจไว้เท่านั้น”
“งั้นไปพักที่บ้านลุงก็ได้ลุงอยู่คนเดียว ที่สำคัญลุงจะได้หาวิธีอื่นมาลองฟื้นฟูความทรงจำของของพ่อหนุ่มต่อด้วย”
ชายหนุ่มรู้สึกตะขิดตะขวงใจจึงได้แต่นั่งนิ่ง
“หนูหม่อนก็เหมือนกันไปพักที่บ้านลุงซักคืนก่อน ป่านนี้ที่หัวลำโพงน่าจะไม่มีตั๋วรถไฟว่างแล้วกระมัง พรุ่งนี้ค่อยไปซื้อตั๋วตอนเช้าจะได้ไม่ต้องไปนอนรอให้เมื่อยที่ชานชาลา บ้านลุงมีห้องหลายห้องไปพักด้วยกันทั้งหมดนี่ละตกลงไหม”
จอร์จหันไปสบตากับหม่อน เขาตัดสินใจได้แล้วแต่อยากหาเพื่อนแบ่งเบาความรู้สึกจึงหันไปมองทางนักศึกษาสาวที่กำลังส่งยิ้มมาให้
“ขอบคุณค่ะคุณลุงหมอ ขอรบกวนหน่อยนะคะ พรุ่งนี้จะรีบลุกออกไปแต่เช้าเลย”
“รบกงรบกวนอะไรกัน ดีเสียอีกลุงจะได้มีเพื่อนคุย พวกเราทั้งหมดเปรียบเสมือนพี่น้องร่วมศิษย์อาจารย์เดียวกันแล้ว ลุงเองก็รู้สึกเอ็นดูพวกเราทั้งคู่ด้วย เด็กหนุ่มสาวที่นิสัยดีอย่างนี้ลุงเห็นเป็นเหมือนลูกหลานนั่นแหล่ะ ต่อไปนี้ไม่ต้องเกรงใจกันนะ ถือซะว่าเป็นลุงแท้ๆของพวกหนูก็ได้ เข้าใจไหม”
“ขอบคุณค่ะ คุณลุง”
“พ่อหนุ่มล่ะ ยังไม่ตอบลุงเลยว่ายังไง”
ผมขอบอกตามตรงละกันครับ ใจจริงผมไม่รู้จะไปพึ่งใครเหมือนกัน เพราะยังจำใครไม่ได้เลย แต่เกรงใจคุณหมอมากเพราะผมไม่รู้ว่าจะต้องรบกวนอยู่ด้วยกี่วันถึงจะเสร็จธุระ”
“เอาเถอะ จะอยู่กี่วันก็ได้ เอาอย่างนี้ไหมมาเป็นผู้ช่วยที่คลินิกของลุงไปก่อน เราขับรถเป็นบ้างไม่ใช่หรือ ตอนเช้าอยู่ช่วยลุงดูแลที่บ้าน ตอนเย็นก็ขับรถออกมาทำงานด้วยกันที่คลินิก ลุงกำลังหาคนมาเป็นผู้ช่วยอยู่เหมือนกัน พักด้วยกันที่บ้านจะได้สะดวกทั้งสองฝ่าย เดียวลุงจะให้เงินเดือนเราด้วย”
จอร์จฟังที่คุณหมอพิเภกเสนอก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมาเกิดความซาบซึ้งในน้ำใจของท่านเป็นอย่างดี นิ่งตรึกตรองอยู่อึดใจหนึ่งก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่รถแล่นผ่านตลาดมหาชัยเมืองใหม่และกำลังลดความเร็วลงเนื่องจากการจราจรเริ่มหนาแน่น
“ขอบคุณครับคุณลุงหมอ แค่นี้ผมก็เกรงใจจะแย่แล้ว ค่าจ้างไม่ต้องก็ได้ครับ”
“คุณลุงคะหนูขอถามอะไรซักนิดได้ไหมคะ”
“จะถามอะไร ถามมาเลย เรามันคนกันเอง”
“เมื่อเช้าตอนที่คุณลุงคุยอยู่กับหลวงพ่อ คุณลุงพูดถึงคนที่เป็นผู้อำนวยการของโรงพยาบาลจัสมินฯ คุณลุงรู้จักกันมาก่อนหรือคะ”
“อ๋อ... ผอ.จาคอฟสกี้หรือ รู้จักกันดีเลยล่ะ ตอนที่คุณพ่อของลุงยังไม่เสียลุงยังเป็นนักศึกษาปี 1 อยู่เลย เมื่อคุณพ่อเริ่มเข้าไปทำงานกับท่าน ผอ.จาคอฟสกี้ ท่านได้ให้ทุนการศึกษาแก่ลุงแต่โชคร้ายคุณพ่อของลุงด่วนจากไปเสียก่อนทางบ้านจึงขาดคนหารายได้หลักเข้าบ้าน ลุงเกือบจะไม่ได้เรียนแพทย์ต่อด้วยซ้ำ ดีที่ท่านยอมมอบทุนต่อเนื่องจนลุงเรียนจบ และพอลุงจบก็ไปทำงานใช้ทุนให้กับทางโรงพยาบาลในเครือของจัสมินฯอยู่หลายปี ประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่ในกรุงเทพนั่นแหล่ะ ใช้ทุนให้เขาจนหมดลุงจึงลาออกมาเปิดคลินิกส่วนตัวจวบจนทุกวันนี้ยังไงนี่ก็ร่วม10ปีมาแล้ว”
“ทำไมคุณหมอไม่รู้เรื่องสมุดบันทึกอีกเล่มที่ ผอ.เก็บไว้ล่ะครับ” ชายหนุ่มถามขึ้นบ้างด้วยความสงสัย
“เพราะลุงไม่รู้ว่าคุณพ่อทำงานอะไรให้กับรพ.จัสมินฯนะสิ ท่าน ผอ.ก็ไม่เคยพูดถึงมันด้วย ลุงว่าน่าจะมีสาเหตุมาจากลุงยังเป็นเพียงนักศึกษาแพทย์อยู่กระมังจะไปช่วยงานอะไรของเขาก็ไม่ได้ อีกอย่างคุณพ่อของลุงตายการทดลองนั่นคงไม่ได้ทำกันต่อและลุงกับท่าน ผอ.ก็ไม่ค่อยได้เจอกันด้วย จะมีก็แต่ดอกเตอร์ทอมสันเท่านั้นที่ได้พบกันบ้างประมาณเดือนละครั้ง...พ่อหนุ่มเลิกเรียกคุณหมอเสียทีเรียกลุงเฉยๆได้ไหม”
“ได้ครับคุณลุงหมอ”
หมอพิเภกยิ้มพร้อมกับส่ายหัวช้า เขาเข้าใจดีว่าจอร์จยังคงเกรงใจตนอยู่มากจึงอดขำในความซื่อตรงต่อความรู้สึกของชายหนุ่มไม่ได้ ขณะนั้นรถแล่นมาจนถึงสะพานข้ามแยกถนนวงแหวนรอบนอกหมอพิเภกบังคับรถให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนกาญจนาภิเษก อีก10นาทีต่อมารถจึงเลี้ยวขวาเข้าสู่ถนนเส้นเพชรเกษมด้วยความรวดเร็ว ผ่านห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่และวิ่งไปอีกไม่นานจึงชิดขวากลับรถที่จุดกลับเพื่อเข้าสู่โรงพยาบาลจัสมินฯ สาขากรุงเทพมหานครฯ
คุณหมอพิเภกนำรถไปจอดยังที่จอดรถชั่วคราวหน้าตึกก่อนจะเดินนำชายหนุ่มกับนักศึกษาสาวมายังซุ้มที่ให้บริการเครื่องดื่มกาแฟสดในห้องโถงกลางชั้นหนึ่ง เขาสั่งความให้ทั้งสองคนนั่งรอตนอยู่ที่นี่เพราะจะแยกตัวออกไปหาท่าน ผอ.จาคอฟสกี้ที่ห้องของผู้อำนวยการใหญ่เพียงลำพัง ในสายตาของนักศึกษาสาวรู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่เห็นโรงพยาบาลเอกชนเก่าแก่อายุเกือบ 30 ปี ดูหรูหราแลสะอาดสะอ้านราวกับเพิ่งสร้างเสร็จใหม่ๆ นักศึกษาหม่อนคิดในใจว่าที่นี่น่าจะได้รับการปรับปรุงตกแต่งสถานที่ใหม่เมื่อไม่นานมานี้อย่างแน่นอน สมแล้วที่เป็นรพ.ในเครือจัสมินฯที่มีขนาดใหญ่ระดับโลก เม็ดเงินที่มีมากมายและเหลือเฟือคงไม่แปลกอะไรที่จะเจียดมาเนรมิตให้ที่นี่กลายเป็นโรงพยาบาลที่สวยทันสมัยราวกับสร้างใหม่ได้เช่นนี้
จอร์จนั่งจิบกาแฟได้ครู่หนึ่งก็ตัดสินใจบอกกับนักศึกษาสาวว่า ตนขอแยกไปทำธุระส่วนตัวบางอย่างสักครู่ ชายหนุ่มเดินจากที่มุมกาแฟตรงไปยังเคาน์เตอร์ประชาสัมพันธ์เพื่อแจ้งความประสงค์ของตนเพื่อขอพบนางพยาบาลคนหนึ่งที่ชื่อมะลิ ประชาสัมพันธ์สาวสอบซักรายละเอียดเกี่ยวกับนามสกุลหรือแผนกที่เธอทำงานอยู่แต่เขาก็ไม่สามารตอบได้ เธอจึงใช้วิธีดึงชื่อพร้อมรูปถ่ายจากแฟ้มข้อมูลของแผนกบุคคลขึ้นมาให้ชายหนุ่มดูที่ละคน แต่กระนั้นนางพยาบาลที่ชื่อมะลิกลับไม่มีตัวตนอยู่ในฐานข้อมูลเลยจนใช้วิธีการค้นจากชื่อที่ใกล้เคียงกันจึงปรากฏชื่อ“มะลิวัลย์ พันปทีป” พร้อมรูปถ่ายขึ้นมาให้ชายหนุ่มเห็น
อารามดีใจเกือบจะทำให้เขากระโดดโลดเต้นไปพร้อมกับจังหวะการเต้นของหัวใจที่ดังราวกับจังหวะเพลงร็อคแอนด์โรล แต่เขายังมีสติมากพอที่จะเก็บกักอารมณ์ไว้ได้ทัน แสดงออกมาเพียงการฉีกยิ้มที่มีเสน่ห์ให้กว้างยิ่งขึ้นไปกว่าเก่า ชายหนุ่มยิ้มไม่ยอมหุบจนเมื่อเขาทราบว่ามะลิออกเวรกลับบ้านไปแล้ว สีหน้าของเขาก็ผลิกกลับเป็นตรงกันข้ามด้วยความผิดหวังทันที ประชาสัมพันธ์สาวแจ้งรายละเอียดของแผนกและชั้นที่มะลิทำงานให้ชายหนุ่มทราบพร้อมกับบอกให้เขามาหาเธอในวันพรุ่งนี้ จอร์จกล่าวขอบคุณและเดินกลับมาหานักศึกษาสาวที่โต๊ะก็เป็นเวลาเดียวกับที่คุณหมอพิเภกกลับลงมาพร้อมกับสมุดบันทึกปกหนังสีขาวเล่มหนึ่ง
ทั้งสามคนเดินออกทางประตูหน้าเพื่อกลับไปขึ้นรถที่ข้างตัวตึก ชายหนุ่มรู้สึกผิดสังเกตเมื่อเดินสวนกับคนไข้ชายคนหนึ่งที่หน้าประตู ชายคนนั้นใช้สายตาที่เรียวเล็กราวกับอสรพิษจับจ้องอยู่ที่ใบหน้าของเขาตั้งแต่วินาทีแรกที่สบตาและมีทีท่าเหมือนจะเข้ามาทักทายเขาด้วยแต่ชะงักไปเมื่อเห็นว่าเขาไม่ได้มาเพียงลำพัง ชายคนนั้นใช้สายตาจ้องทุกอิริยาบถของจอร์จตั้งแต่หน้าประตูทางเข้าจนเขาก้าวท้าวขึ้นรถและมองรถเคลื่อนที่ออกจากประตูรั้วของโรงพยาบาลไปอย่างไม่ยอมละสายตา ทันทีที่รถของหมอพิเภกพ้นจากประตูทางเข้าเจ้านั่นก็หมุนตัวกลับและวิ่งหายไปอย่างรวดเร็วราวกับร้อนใจที่จะไปพบใครบางคนอย่างรีบด่วน
หลังจากที่คนไข้คนนั้นขึ้นลิฟต์ไปแล้วผู้กองเซอบีรุสจึงเดินกลับเข้ามาทางประตูหน้าของโรงพยาบาลด้วยชุดคนไข้ที่ผลัดเปลี่ยนเรียบร้อย เหตุผลที่เขากลับมาที่นี่เพื่อมาดูความเคลื่อนไหวของเจ้าเปียดำกับเจ้าคิ้วดกด้วยตาของตนเอง และเป็นห่วงว่าเมื่อตนหายออกไปจากโรงพยาบาลโดยที่ไม่มีใครรู้จะทำให้เกิดความอลหม่านขึ้นมาจนพวกมันผิดสังเกตซึ่งมันอาจจะทำให้แผนการทั้งหมดพังลงได้ ผู้กองแห่งหน่วยสงครามพิเศษไม่เฉลียวใจเลยว่าก่อนหน้านี้เพียงไม่กี่นาทีเป้าหมายของพวกเขาปรากฏตัวขึ้น ณ ที่ตรงนี้ ซึ่งเขาเพิ่งเดินผ่านมาและการมานั้นได้ล่วงรู้ไปถึงเงามืดที่แฝงตัวปะปนอยู่ในหมู่คนไข้เรียบร้อยแล้ว ดูเหมือนว่าครั้งนี้จิ้งจอกเฒ่าจะก้าวช้าไปหนึ่งก้าวแบบที่ตนไม่ได้ตั้งใจและความผิดพลาดเล็กๆน้อยๆนี้อาจส่งผลถึงเส้นชัยที่เขาหวังด้วยหรือเปล่าก็ยังไม่มีใครรู้ พรุ่งนี้จะเกิดอะไรขึ้นนั้นสุดที่จะคาดเดาได้ เวลานี้ในโรงพยาบาลจัสมินฯจึงมีความสงบเงียบดั่งเวลาที่ลมทะเลนิ่งสงัดปราศจากสรรพสำเนียงใดๆก่อนที่ลมมรสุมมาสร้างความเดือดร้อนให้กลับนักแสวงโชคทางทะเล




 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2554
0 comments
Last Update : 15 กรกฎาคม 2554 11:27:33 น.
Counter : 759 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


wayoodeb
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




 
      
Friends' blogs
[Add wayoodeb's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.