|
องค์ที่๖(๒) : ภวังค์
เสียงจากประตูกุฏิทำให้แกละสะดุ้งตื่นขึ้นมาอย่างกะทันหัน เจ้าทโมนน้อยนั่งขยี้ตาดูอยู่นานเมื่อสายตาเริ่มปรับรับภาพได้ตามปรกติจึงเห็นสิ่งที่ทำให้ตกใจจนลุกพรวดพราดออกไปจากที่นอนทันที เจ้าแกละเห็นจอร์จเปิดประตูกุฏิและเดินออกไปสู่ความมืดแห่งรัตติกาลโดยก้าวที่ละก้าวเหมือนคนที่จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ท่าทางที่ฝืดฝืนขัดกับการกระทำที่เจ้าแกละลงความเห็นว่าเขาไม่ได้กำลังนอนละเมอแต่น่าจะตกอยู่ในภวังค์ของอะไรบางอย่างจนควบคุมตัวเองไม่ได้ จอร์จเดินตรงไปยังประตูทางเข้าวัดขณะที่เจ้าแกละก้าวพรวดๆออกวิ่งตามไปอย่างรวดเร็วและปากก็ร้องตะโกนเรียกชื่อชายหนุ่มไปด้วยตลอดเวลา “พี่จอร์จจะไปไหน รอแกละด้วย” ยามวิกาลเช่นนี้ทุกชีวิตในบริเวณวัดกำลังหลับสนิทเพราะอีกเพียงชั่วโมงเดียวก็จะรุ่งสาง เด็กวัดกับพระสงฆ์อีกหลายรูปใกล้จะได้เวลาออกบิณฑบาตกันแล้วแต่เจ้าแกละก็ไม่คิดที่จะเบาเสียงตนลงกลับตะโกนเรียกจอร์จดังยิ่งขึ้นไปกว่าเก่าราวกับต้องการให้ทุกคนตื่นมาดู “พี่จอร์จตื่นๆ” เจ้าทโมนน้อยวิ่งมาจวนเจียนจะถึงตัวชายหนุ่มอยู่รอมร่อก็ผ่อนฝีเท้าลงเป็นเดินตามโดยที่บ่นกระปอดกระแปดกับตัวเองไปด้วยตลอดทางว่า “เดินตาขวางพิกลจัง เรียกก็ไม่ยักตอบเสียด้วยสิ” เจ้าแกละเร่งฝีเท้าขึ้นอีกจนทันร่างไร้สติของจอร์จใช้มือขวาคว้าท่อนแขนชายหนุ่มไว้ได้ก่อนที่เขาจะพ้นจากลานหินหน้าพระเมรุเผาศพไป เด็กน้อยกระตุกแขนชายหนุ่มเต็มกำลังเพื่อเรียกสติแต่แทนที่จะทำให้คนถูกฉุดรู้สึกตัว ตนกลับถูกสลัดอย่างแรงจนกระเด็นถอยหลังหัวไปกระแทกกับบันไดทางขึ้นพระเมรุจนหมดสติ จอร์จเดินต่อไปโดยไม่หันมาเหลียวดูก้าวเนิบๆออกไปจากประตูวัดและเดินดิ่งไปยังซุ้มประตูซึ่งติดกับถนนใหญ่ ชายหนุ่มเดินตัวลอยเลี้ยวขวาไปยังศาลารอรถประจำทางริมกำแพงและเข้าไปนั่งอยู่คนเดียวท่ามกลางบรรยากาศยามดึกที่มืดสนิทและร้างไร้ผู้คน แม้แต่รถสักคันที่สัญจรผ่านไปมาก็ไม่มีให้เห็น เขานั่งอยู่เพียงครู่เดียวก็ล้มตัวลงนอนเหยียดยาวอยู่บนที่นั่งพักในศาลา ลมหายใจค่อยๆผ่อนลงจนกลายเป็นคนหลับสนิทและไม่ไหวติง
เวลาย่ำรุ่งแสงสีทองจากดวงอาทิตย์สาดสัดมาจากทางทิศตะวันออกให้ความอบอุ่นกับพื้นดินและสัตว์น้อยใหญ่ทุกชีวิต ภายในกุฏิของหลวงพ่อรุ่งท่านตื่นขึ้นมาเพื่อเตรียมตัวออกบิณฑบาตตามกิจวัตรของสงฆ์เช่นทุกวัน หลังจากจัดการเรื่องธุระส่วนตัวเสร็จเรียบร้อยท่านจึงหยิบบาตรกับย่ามเดินลงจากกุฏิ เป็นธรรมดาทุกเช้าท่านจะต้องลงมาเรียกปลุกเจ้าจอมขี้เซาให้ตื่นขึ้นมาเดินตามท่านออกไปบิณฑบาต แต่วันนี้ห้องของเจ้าทโมนตัวดีดูเงียบผิดปรกติ ประตูห้องก็เปิดอ้าอยู่โดยปราศจากเจ้าของห้องนอนกรนอยู่บนเสื่อ และแขกผู้มาใหม่ก็อันตรธานไปจากห้องนั้นด้วยเช่นกัน ความคิดแวบแรกของหลวงพ่อรุ่งกะว่าทั้งสองคนคงจะออกไปเดินเล่นกันแต่ต้องรู้สึกผิดสังเกตอีกครั้งเพราะรองเท้าของทั้งคู่กลับถูกทอดทิ้งไว้ที่หน้าประตูห้องนอน หลวงพ่อรุ่งถือบาตรเดินออกจากกุฏิเพื่อที่จะไปตามหาเจ้าทโมนน้อย ทันทีที่ก้าวพ้นธรณีประตูสายตาของท่านก็มองเห็นเจ้าทโมนแกละนั่งหลับพิงเสาบันไดของพระเมรุเผาศพอยู่เพียงลำพัง หลวงพ่อจึงเดินเข้าไปหาจับตัวเขย่าเบาๆเพื่อปลุกพร้อมกับออกเสียงเรียกชื่อ “แกละตื่นสิได้เวลาออกบิณฑบาตของข้าแล้ว มานอนเล่นอยู่ตรงนี้ทำไม” ทโมนน้อยรู้สึกตัวลืมตาขึ้นมาช้าๆและมองสบตาหลวงพ่อรุ่งอย่างงงๆ เจ้าตัวดีสลัดหัวเรียกสติอยู่เพียงชั่วครู่ก็ถามหลวงพ่อรุ่งเร็วปรื๋อว่า “หลวงลุงเห็นพี่จอร์จไหม” “เอ๊ะ...ข้าก็กำลังจะถามเอ็งอยู่เหมือนกันว่าโยมเขาหายไปไหน” เมื่อเจ้าตัวถูกถามกลับมาเช่นนี้ย่อมแสดงว่าหลวงลุงย่อมไม่เห็นชายหนุ่มอยู่ในกุฏิจึงรีบลำดับเรื่องราวให้ท่านฟังตั้งแต่ต้นจนถูกสลัดมือกระเด็นมากระแทกกับเสาบันไดสลบไปและยังบอกข้อสังเกตของตนออกไปด้วยว่า “ผมว่าพี่เขาไม่ได้นอนละเมอหรอกครับหลวงลุง ผมเห็นพี่แกเดินลืมตาออกมาแต่เหมือนเป็นคนละคนกับเมื่อตอนกลางวัน ตาขวางอย่างไรพิกลทำราวกับว่าอยากจะไปฆ่าใครซักคนอย่างนั้นแหล่ะ พี่เขาเป็นอะไรไปหรือครับหลวงลุง หรือว่าความจำของเขากลับคืนมาแล้ว” “เขาไม่พูดกับเอ็งแม้แต่คำเดียวเลยหรือ” “เปล่าครับหลวงลุง เรียกก็ไม่ขาน ถามก็ไม่ตอบอะไรครับ” ขณะที่ทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันอยู่นั้น จอร์จเดินกลับเข้ามาจากซุ้มประตูวัดด้วยท่าทางที่อิดโรย หลวงพ่อรุ่งเหลือบไปเห็นจึงเอ่ยคำกับเจ้าแกละว่า “นั่นไงเดินกลับมาโน่นแล้ว” เจ้าแกละมองตามหลวงลุงของมันไปที่ประตูวัด เมื่อเห็นชายหนุ่มเดินกะปลกกะเปลี้ยใกล้เข้ามาจึงลุกขึ้นก้าวพรวดๆเข้าไปหาโดยมีหลวงพ่อรุ่งตามไปด้วยติดๆ เจ้าตัวดียิงคำถามใส่ทันทีที่เดินถึงตัวจอร์จว่า “พี่จอร์จ ไปไหนมาครับ” จอร์จที่มีสีหน้างง ๆ อยู่ก่อนแล้ว ยิ่งฉงนสนเท่ห์หนักข้อขึ้นไปอีกเมื่อได้ยินเจ้าแกละถาม “พี่ไม่รู้เหมือนกัน ตื่นขึ้นมาก็นอนอยู่ที่ศาลารอรถโน้นแล้ว มีคนมาปลุกถึงรู้สึกตัวเลยเดินกลับเข้ามานี่แหละ” “พี่จำได้ไหม เมื่อเช้ามืดตอนที่พี่เดินออกมาจากกุฏิ ผมตามมาฉุดแขนเรียกชื่อพี่แต่พี่สลัดผมจนหัวไปกระแทกกับบันไดเมรุจนสลบอยู่ตรงนั่นนะ” เด็กชายแกละพูดพร้อมกับชี้มือไปยังเสาบันได “พี่จำอะไรไม่ได้เลย รู้แต่ว่านอนหลับไปพร้อมกับแกละ และฝันร้ายทั้งคืนเท่านั้น” “โยมไม่รู้สึกตัวเลยหรือ ตอนที่เจ้าแกละมันเรียกชื่อ มันบอกว่าโยมเดินลืมตาออกไปนะ” “หา...จริงหรือครับหลวงพ่อ แกละพี่เดินลืมตาด้วยหรือ” “ใช่...ผมเห็นตาพี่สีออกแดงๆยังกับกำลังจะไปฆ่าไปแกงใครก็ไม่รู้ น่ากลัวพิลึกต่างกับตอนนี้เป็นคนละคนเลย” ชายหนุ่มขมวดคิ้วนิ่วหน้าลงยิ่งกว่าเก่าคิดฟุ้งซ่านหาเหตุผลมารองรับพฤติกรรมผิดปรกติของตนไม่ได้ยิ่งเพิ่มความกลัดกลุ้มใจมากขึ้นจนเริ่มรู้สึกกลัว หลวงพ่อรุ่งกับเจ้าแกละเห็นชายหนุ่มแสดงสีหน้าเคร่งเครียดจึงอดสงสารเขาไม่ได้ ท่านจึงพูดปลอบชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน “ไม่ต้องคิดมากไปหรอกโยม ตอนนี้ไปอาบน้ำกับเจ้านี่แล้วรีบกลับมาหาอาตมาตามอาตมาไปบิณฑบาตด้วยกันก่อนกลับมาค่อยมาคิดกันว่าอะไรเป็นอะไร” ชายหนุ่มสัมผัสได้ถึงความเมตตากรุณาของหลวงพ่อรุ่งจากน้ำเสียงที่อบอุ่น ทำให้เขาคลายจากความตึงเครียดลงไปได้มาก เขาเดินตามเจ้าทโมนวัดกลับไปยังใต้ถุนกุฏิเพื่อทำกิจวัตรส่วนตัวเพียงสิบนาทีหลังจากนั้นก็ถือย่ามคนละใบเดินกลับมาหาหลวงพ่อรุ่งพร้อมกัน สีหน้าทั้งคู่ดูสดชื่นขึ้นมากราวกับได้เกิดใหม่ ขณะที่ชายหนุ่มเดินตามหลังเจ้าทโมนน้อยเขารู้สึกผิดต่อเจ้าน้องชายกำมะลอเพราะตนเป็นเหตุให้เจ้าแกละเกือบตายมาแล้วถึงสองครั้ง เขาสาบานกับตนเองในใจอย่างจริงจังว่าจะทำทุกวิธีทางจนสุดความสามารถเพื่อแก้ไขพฤติกรรมของตัวเองให้ได้ และจะไม่ยอมให้ผู้บริสุทธิ์อย่างเจ้าแกละหรือใครอื่นต้องมาคอยรับเคราะห์จากความผิดปรกติของเขาอีก จอร์จรู้สึกมั่นใจนิดๆว่ามีเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะช่วยเขาให้พ้นจากเคราะห์กรรมครั้งนี้ได้ซึ่งบุคคลนั้นก็คือหลวงพ่อรุ่งที่ตนกำลังเดินตามหลังอยู่ขณะนี้นั่นเอง
ณ ถนนที่มุ่งตรงสู่ท่าเทียบเรือเฟอร์รี่ในอาณาเขตของจังหวัดสุราษฎร์ธานี รถเก๋งซีดานสีบรอนซ์ทองวิ่งฝ่าสายฝนไปอย่างรวดเร็วจนได้ยินเสียงหวีดหวิวจากกระแสลมที่ปะทะเข้ากับตัวรถ ถนนเปียกจนลื่นแต่รถยนต์คันงามแทบจะมิได้ลดความเร็วลงเลยแม้แต่น้อย ละอองน้ำทำให้เกิดฝ้าบดบังกระจกหน้ารถ หมอคมสันจึงกดปุ่มเปิดระบบที่ปัดน้ำฝน เสียงหวานๆดังมาจากที่นั่งข้างคนขับท้วงติงมาด้วยสีหน้ากังวล “พี่หมอลดความเร็วลงบ้างเถอะค่ะ” “กลัวหรือครับ พี่แค่อยากพาพวกเราไปขึ้นเรือให้ทันเที่ยวแรกเท่านั้น” “ทำไมต้องเป็นเที่ยวแรกของวันด้วยละคะ” มลเอ่ยถามมาจากที่นั่งด้านหลัง “พี่อยากพาพวกเราไปดูแสงออร่าจากดวงอาทิตย์ยามรุ่งอรุณนะครับ พวกเราจะเห็นมันเป็นม่านแสงแทงทะลุเมฆลงมาที่ผิวน้ำทะเลสวยงามน่าประทับใจมากเลยนะ” “นี่มันเลยเวลาเรือเที่ยวแรกไปแล้วนี่คะ แบงก์จำได้ว่ามันออกตอน 7 โมงเช้า” “ใช่จ๊ะ แต่ฝนตกปอยๆอย่างนี้ ถ้าไปทันเวลาฝนซาเราอาจจะได้เห็นบ้างเหมือนกัน” “มะลิว่าค่อยๆไปเถอะค่ะ ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า” “ตกลงครับ พี่จะไม่ประมาท” หมอหนุ่มลดความเร็วของรถลงจนรถเก๋งฟอร์ดคันหลังที่เร่งความเร็วเกาะท้ายมาตลอดทางแซงขึ้นหน้าลับหายไปจากสายตาอย่างรวดเร็ว หมอหนุ่มชวนคุยไปด้วยเพื่อฆ่าเวลาอีกครั้ง “วันมะรืนนี้วัดข้างๆที่พักจะมีการแสดงโขนให้ชมฟรี เราไปดูด้วยกันนะครับมะลิ” หมอหนุ่มพูดพร้อมกับหยิบแผ่นพับที่วางอยู่บนคอนโซลหน้ายื่นไปให้มะลิรับไปกางดู เขารู้จักนิสัยส่วนตัวของเจ้าหล่อนดีเพราะจดจำได้อย่างแม่นยำว่าสมัยเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาคณะแพทย์และพยาบาลร่วมสถาบันเดียวกัน บ่อยครั้งที่เขาชวนเจ้าหล่อนไปดูภาพยนตร์มักจะถูกปฏิเสธอย่างนุ่มนวล แต่ทุกครั้งที่ชวนไปดูการแสดงโขนของกรมศิลปากรจะได้รับการตอบรับเสมอ เมื่อเขาเห็นแผ่นพับตอนไปจองห้องพักล่วงหน้าของโรงแรมในเกาะสมุยเมื่อวานจึงรีบสอบถามรายละเอียด เขาวางแผนไว้ในใจว่าจะพยายามชวนมะลิไปดูโขนด้วยกันเพียงลำพัง เพราะเขาอยากได้โอกาสในการสารภาพรักกับเธออีกสักครั้งและวาดหวังไว้ด้วยว่ามะลิอาจเห็นใจและตอบรับเขาบ้างในยามนี้ “เอ๊ะ มีโขนให้ดูด้วยหรือค่ะ ดีเลยมะลิไม่ได้ดูมานานแล้ว” “แบงก์ขอตัวนะจ๊ะมะลิ เราดูไม่เป็นหรอกของโบราณผิดยุคผิดสมัยอย่างนั้นนะ น่าเบื่อจะตายไป” “มลขอบายด้วยคนนะ จะอยู่เป็นเพื่อนแบงก์ที่โรงแรมละกัน” ทั้งสี่คนต่างหยิบยกเรื่องราวในสมัยเรียนออกมาคุยกันอย่างออกรสตลอดทางจนหมอหนุ่มไม่ทันสังเกตเห็นรถเก๋งสีทองคันที่เขาพึ่งแซงไปเมื่อครู่จอดเทียบอยู่ริมทาง ทันทีที่หมอหนุ่มขับผ่านรถคันดังกล่าวมันก็บ่ายหัวออกจากข้างทางและขับตามประกบหลังโดยทิ้งระยะห่างพอประมาณ ภายในรถคันนั้นมีชายชาวต่างประเทศสามคนโดยสารมาด้วยกัน ขณะที่คนขับรถใช้มือผิวสีน้ำหมึกกดปุ่มเปิดระบบที่ปัดน้ำฝนเพื่อขับไล่ฝ้าที่กระจกชายคนที่นั่งข้างคนขับหันหลังกลับไปเอ่ยถามผู้ที่นั่งอยู่ยังเบาะหลังว่า “ผู้กองครับ เป้าหมายรู้ตัวหรือเปล่าครับนี่” “ไม่น่าจะรู้เพราะถ้ารู้คงเร่งความเร็วหนีเราไปแล้ว” “จะให้เกาะติดกระชั้นเข้าไปอีกไหมครับ” เจ้าหน้าที่แมคถามโดยไม่ได้ละสายตากลับมาเลย “ไม่ต้อง เอาแค่ระยะเห็นท้ายรถลิบๆก็พอ เรารู้จุดหมายปลายทางที่จะไปแล้วอย่างนี้ไม่จำเป็นต้องแหวกหญ้าให้งูตื่น” ผู้กองเซอบีรุสนั่งบัญชาการโดยที่ในมือยังถือโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมอยู่ การรายงานความเคลื่อนไหวของเป้าหมายใหม่ถูกกำชับจากหัวหน้าใหญ่ให้ต้องทำทุกระยะที่มีการเปลี่ยนแปลง การติดต่อกลับไปที่หัวหน้าใหญ่เมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้จึงเป็นครั้งแรกของวันนี้หลังจากที่รถทั้ง2คันแล่นออกมาจากตัวเมืองหาดใหญ่ไล่ๆกัน ในความคิดของเจ้าหน้าที่เจมส์เขาทราบดีว่าทางรัฐบาลให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก ดูได้จากการที่มันเป็นปฏิบัติการพิเศษที่แม้แต่รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมเองก็ยังไม่สามารถเข้ามารับรู้ ชุดเฉพาะกิจนี้เกิดขึ้นอย่างลับๆโดยไม่ผ่านทางสายงานตามปรกติแต่ผู้มีอำนาจที่เหนือกว่านั้นเป็นคนถ่ายทอดคำสั่งโดยตรงอีกทีหนึ่ง เขากับแมคเคยสุมหัวกันวิเคราะห์และคาดเดาถึงตัวตนที่แท้จริงของหัวหน้าใหญ่มาแล้ว แต่ขาดข้อมูลยืนยันที่จะใช้สรุปตัวบุคคลพิเศษว่าเป็นใครเพราะทุกครั้งที่มีการสนทนาและถ่ายทอดคำสั่งจะมีเพียงผู้กองเซอบีรุสคนเดียวเท่านั้นที่ได้รับความไว้วางใจให้เป็นสื่อกลางและกฎของทหารก็ไม่อนุญาตให้ทหารผู้น้อยอย่างพวกเขาตั้งคำถามผาดผิงไปถึงเบื้องบนเสียด้วย คำถามที่อยู่ในใจเจ้าหน้าที่ทั้งสองจึงเป็นปริศนาที่ค้างคาใจพวกเขาเรื่อยมาว่า“หัวหน้าใหญ่ (บิ๊กบอส) คือใคร”
แสงแดดอ่อนๆยามเช้าที่ส่องทะลุช่องว่างระหว่างใบของต้นจิกลงมาคืนความอบอุ่นให้กับพื้นดินรอบบริเวณหน้าเมรุวัดมุจลินย์ฯ ยอดหญ้าชันต้นขึ้นรับแสงอาทิตย์ในขณะที่ทุกชีวิตได้เวลาออกหากินตามวัฏจักรแห่งชีวิต พระภิกษุสงฆ์หลายรูปทยอยกันเดินกลับเข้ามาพร้อมกับเด็กวัดที่ถือย่ามเดินตามหลัง หลวงพ่อรุ่ง เจ้าทโมนแกละ และจอร์จมาถึงวัดพร้อมกับคนอื่นๆเช่นกัน จอร์จช่วยเจ้าทโมนแกละจัดสำรับกับข้าวที่ได้มาให้กับหลวงพ่อรุ่งและพระรูปอื่นฉันท์ร่วมกันบนหอฉันท์ โดยที่ทั้งคู่นั่งค่อยอำนวยความสะดวกอยู่ใกล้ๆ หลังจากฉันท์เสร็จเรียบร้อยหลวงพ่อรุ่งจึงหันมาสั่งความกับเจ้าแกละ “แกละกินข้าวเสร็จแล้วพาโยมจอร์จขึ้นไปหาข้าด้วยนะ” “ครับหลวงลุงนิมนต์ล่วงหน้าไปก่อนเลยขอเวลาครึ่งชั่วโมงเดี๋ยวแกละจัดให้” “ไอ้เจ้าทโมนนี่ สงสัยห่างไม้กันนานเกินไปละมั่ง ระวังไว้ให้ดีเถอะไอ้ภาษาวัยรุ่นนี่วันไหนข้าหมั่นไส้ขึ้นมาจะฝากรางวัลไว้ที่ก้นเอ็งให้ดู” เจ้าทโมนน้อยสะดุ้ง ยิ้มแห้งๆพร้อมพูดเสียงอ่อยตอบกลับไปว่า “แฮ่ๆๆ...ขอโทษครับหลวงลุง ปากมันพล่อยไปหน่อย” “อืม อย่าลืมที่สั่งล่ะ” หลวงลุงของเจ้าแกละลุกขึ้นเดินกลับไปแล้วแต่เจ้าทโมนน้อยยังไม่หายหงอย หันหน้าเข้าหาวงสำรับกับข้าวพอคว้าจานได้ก็ตักข้าวส่งให้จอร์จที่นั่งอยู่ข้างๆก่อนจะเปรยขึ้นว่า “เอ้า พี่จอร์จกินข้าวกันก่อน เดี๋ยวค่อยขึ้นไปหาหลวงลุงด้วยกัน” ในใจชายหนุ่มเขายังรู้สึกผิดต่อเจ้าแกละเรื่องเหตุการณ์เมื่อเช้า ยังไม่มีโอกาสอยู่กันตามลำพังจึงไม่ได้กล่าวคำขอโทษเจ้าทโมนน้องชาย จอร์จรับจานข้าวมาพร้อมกับเอ่ยคำ “แกละเมื่อเช้าพี่ขอโทษด้วยนะ หัวยังเจ็บอยู่หรือเปล่า” “โนนิดหน่อยไม่เป็นไรหรอกพี่ ฉันไม่โกรธหรอกเพราะรู้ว่าพี่ไม่ได้ตั้งใจ” เจ้าแกละพูดจบเริ่มจัดการกับข้าวในจานของตน เคี้ยวตุ้ยอย่างเอร็ดอร่อยเหมือนลืมเรื่องที่ถูกเอ็ดทันทีที่อาหารเข้าปาก จอร์จตักอาหารใส่ปากไปได้สองสามคำ ก็เอียงคอไปถามเบาๆพอได้ยินกันสองคนว่า “แกละพี่เดินลืมตาออกไปจริงๆหรือ” “จริงสิ ตาพี่แดงยังกับโกรธใครมาเป็นร้อยปีเลยนะ น่ากลัวจะตาย” “ทำไมพี่ไม่เห็นรู้ตัวเลยล่ะ” จอร์จพูดขึ้นมาด้วยสีหน้าสลดจนเจ้าทโมนน้อยสังเกตเห็น “ไม่ต้องกังวลไปหรอกพี่ หลวงลุงรับปากแล้วว่าจะช่วย พี่หายห่วงได้เลยไม่เคยมีปัญหาอะไรที่หลวงลุงแก้ไขไม่ได้” จอร์จหวนกลับไปคิดถึงคำพูดของหลวงพ่อรุ่งที่รับปากว่าจะช่วยตนจึงรู้สึกเบาใจ ลงมือรับประทานอาหารอีกครั้งอย่างรวดเร็วเพราะอยากจะลุกออกไปหาหลวงพ่อรุ่งเดี๋ยวนี้ด้วยซ้ำ แต่ติดอยู่ที่ต้องช่วยน้องชายกำมะลอทำความสะอาดล้างถ้วยโถโอชามเสียก่อน หลังจากที่ทุกคนช่วยกันเก็บกวาดล้างภาชนะของทางวัดเสร็จ เด็กวัดต่างแยกย้ายกันกลับไปยังที่พำนักของตน เจ้าแกละก็เช่นกันนำจอร์จเดินกลับไปยังกุฏิของหลวงพ่อรุ่งและขึ้นไปหาท่านตามที่ถูกกำชับไว้ หลวงพ่อรุ่งนั่งอยู่บนอาสนะตรงตำแหน่งเดียวกันกับเมื่อคืน ท่านวางหนังสือที่กำลังอ่านอยู่ลงและหันกลับมาเอ่ยคำกับชายหนุ่มที่นั่งเรียบร้อยแล้วว่า “โยมลองเล่าความฝันเมื่อคืนให้อาตมาฟังหน่อยสิ เอาให้ละเอียดเลยนะ” จอร์จรับคำพร้อมกับลำดับเรื่องราวตั้งแต่ต้นที่ตนรู้สึกตัวว่าลอยอยู่บนผิวน้ำจนจบและตื่นนอนขึ้นมาบนศาลารอรถหน้าวัดให้ท่านฟัง เขาเองยังแปลกใจเลยว่าทำไมความฝันเหล่านั้นถึงชัดเจนในความรู้สึกของตนมากจนจำมันได้อย่างแม่นยำ สามารถเล่ารายละเอียดให้ฟังได้โดยไม่ตกหล่นสิ่งใดเลยแม้กระทั้งอารมณ์ภายในจิตใจนะเวลานั้น เมื่อเล่าจบจอร์จอ้ำอึ้งอยู่ชั่วอึดใจก่อนที่จะเอ่ยถามหลวงพ่อรุ่งด้วยน้ำเสียงตะกุกตะกักว่า “หลวงพ่อครับ...หลวงพ่อคิดว่าความฝันนี้มันเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์เมื่อคืนหรือครับ” หลวงพ่อรุ่งนิ่งตรึกตรองอยู่อึดใจหนึ่งก่อนจะตอบ “อาตมาไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์นะว่าอาการผิดปรกติของโยมเขาเรียกว่าอะไร คงต้องรอให้คุณหมอพิเภกมาตรวจให้ละเอียดอีกครั้งหนึ่ง แต่อาตมาแน่ใจอย่างหนึ่งว่าจิตใจของโยมมีปมปัญหาที่ต้องการการแก้ไข” “เรื่องเมื่อคืนเกิดจากปัญหาในจิตใจของผมหรือครับหลวงพ่อ หลวงพ่อทราบไหมครับว่าเป็นปัญหาอะไร” “มันน่าจะเกิดจากความโกรธที่สะสมจนกลายเป็นความอาฆาตพยาบาทต่อคนๆนั้นที่โยมฝันถึง” ชายหนุ่มสะดุ้งตกใจจนเจ้าแกละหันมามอง เขาคิดถึงภาพเหตุการณ์ในความฝันที่น่าสยดสยองจนเกิดความกังวล พูดด้วยน้ำเสียงสั่นๆยิ่งไปกว่าเก่าว่า “หลวงพ่อครับ...หรือความฝันที่ผมเห็นมันจะเป็นความทรงจำของผมที่หายไป ถ้า...นั่นเป็นความจริง ผมก็เป็นฆาตกรที่ฆ่าคนตายมามากมายนับไม่ถ้วนเลยสิครับ” “โยมใจเย็นๆฟังอาตมาก่อนนะ จากที่โยมเล่าให้อาตมาฟัง ในความฝันคนที่โยมบีบคอเขาจนตายไปนั้นอายุราว 40 กว่าปีแล้วมิใช่หรือ ถ้ามันเป็นเรื่องจริงหรือเป็นความจำของโยม ทำไมคนๆนั้นถึงแก่กว่าโยมตั้งเยอะ ไหนโยมบอกว่าโตมาด้วยกันเหมือนเป็นพี่น้องคลานตามกันมามิใช่หรือ” จอร์จฉุกคิดขึ้นมาได้เมื่อทบทวนภาพเหตุการณ์ เขาเห็นจริงตามที่หลวงพ่อรุ่งกล่าวรู้สึกเบาใจขึ้นนิดหนึ่งจึงตอบกลับไปว่า “ครับหลวงพ่อ เขาแก่แล้วถึงจะแก่ไม่มาก แต่น่าจะวัยพอๆกับหลวงพ่อนั้นแหล่ะครับ” “เอาอย่างนี้นะโยม ไอ้ความฝันที่โยมเห็นนั้นมันจะเป็นเรื่องจริงหรือไม่จริงยังไม่ต้องไปสนใจมัน เรามาแก้ปมที่ทำให้เกิดปัญหากันก่อนดีกว่าไหมในเมื่อเรารู้สาเหตุของมันแล้ว” “แล้วจะแก้ไขอย่างไรล่ะครับหลวงพ่อ” “โยมเชื่อและไว้ใจอาตมาไหม” “ผมเชื่อมั่นในตัวหลวงพ่อมากกว่าตัวของผมเองอีกครับ หลวงพ่อจะให้ผมทำอย่างไรบอกมาเลยผมยินดีทำทุกอย่าง” “โยมฟังอาตมาก่อนนะและเดี๋ยวอาตมาจะบอกวิธีแก้ไขให้ โยมจำเรื่องที่อาตมายกตัวอย่างให้ฟังเมื่อคืนได้ไหม เรื่องการปล่อยวางความทุกข์นะ” เจ้าแกละมองหน้าหลวงพ่อทีมองหน้าพี่จอร์จทีด้วยความงุนงง “จำได้ครับหลวงพ่อ” “อาตมาขอถามโยมบางอย่างเพื่อเป็นการลำดับความเข้าใจให้ตรงกันก่อน ตอนนี้โยมมีความกังวลและเป็นทุกข์ใจอยู่ใช่ไหม” “ใช่ครับ” “เมื่อวานอาตมาบอกโยมไว้ว่าอย่างไรเรื่องการปล่อยวางความทุกข์” หลวงพ่อถามย้ำอีกครั้งเพราะหวังให้ชายหนุ่มทบทวนความจำด้วยตนเองเพื่อที่จะให้มันฝังแน่นอยู่ในจิตใจของเขา “หลวงพ่อสอนว่าการที่เราจะปล่อยวางความทุกข์ได้โดยไม่ใช่เป็นแค่การลืม เราต้องศึกษาความจริงและธรรมชาติของความทุกข์ก่อน เมื่อเรารู้จักมัน รู้สาเหตุที่ทำให้เกิดมัน เราจะใช้มันเป็นบทเรียนเพื่อไม่ให้มันมีโอกาสทำให้เกิดความทุกข์แก่เราอีกครับ” “ถูกต้อง นั่นแหล่ะคือทางสายเอกที่พุทธองค์ชี้นำเราไว้แล้ว ทุกข์ไม่ได้มีไว้ให้เป็นแต่มันมีไว้ให้กำหนดรู้บันไดขั้นแรกเพื่อการปล่อยวางโยมได้ก้าวขึ้นมาแล้วคือการมีสติรู้ตัวว่าเรากำลังเป็นทุกข์...” หลวงพ่อรุ่งมองสบตากับชายหนุ่มด้วยความจริงใจ ทำให้เขาสัมผัสได้ถึงกระแสแห่งความเมตตาที่ถูกส่งผ่านมา ท่านพูดด้วยน้ำเสียงที่กังวานใสและเปี่ยมด้วยความสงบเย็นที่ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกซาบซ่านราวกับถูกรดด้วยน้ำมนต์เย็นฉ่ำลงกลางหัวใจเหมือนเมื่อพบกันครั้งแรก “โยมลองฟังและคิดตามดูนะว่าสิ่งที่อาตมาพูดนั้นเป็นความจริงหรือเปล่า” ชายหนุ่มพยักหน้านั่งนิ่งฟังอย่างตั้งใจราวกับต้องการสลักมันไว้ในจิตวิญญาณ “ตะกอนแห่งความเครียดแค้นพยาบาทที่กำลังทำให้โยมเป็นทุกข์อยู่ในขณะนี้เกิดขึ้นมาจากความโกรธ โกรธที่ปรารถนาให้ตนเองมีความสุขเมื่อมีการคาดหวังแต่ผิดหวังก็เกิดเป็นความทุกข์ เกิดเป็นอารมณ์ฟุ้งขึ้นมาบดบังสติ เมื่อความโกรธถูกพอกพูนขึ้นมันก็ก่อตัวเป็นความเกรียดชัง เครียดแค้น อาฆาต และพยาบาทไล่กันไปตามลำดับผันแปลไปตามความถี่ของกระบวนทางอารมณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำไปซ้ำมา โยมเห็นถึงธรรมชาติของอารมณ์แล้วหรือยัง ถ้าโยมไม่ตัดวงจรที่เกิดขึ้น ปล่อยให้มันดำเนินต่อไป อารมณ์ร้ายๆนี้ก็จะหวนกลับมาเป็นสาเหตุให้โยมเป็นทุกข์ได้อีกครั้ง เหมือนอย่างถ่านไฟที่อาตมายกตัวอย่างจำได้ไหม” “จำได้ครับหลวงพ่อ” “แต่ถ้าโยมมีสติที่เข้มแข็ง ใช้สติพิจารณาอารมณ์ที่กำลังก่อตัวขึ้นและตัดวงจรของอารมณ์นั้นได้ มันก็เหมือนกับการมองถ่านไฟแล้วจำมันได้ ไม่หยิบมันขึ้นมากำไว้ในมืออีก โยมว่าโยมยังจะเป็นทุกข์ได้อีกไหม” จอร์จเหมือนมีเสียงบางอย่างลั่นเปรี๊ยะก้องอยู่ในส่วนลึกของหัวใจ เกิดความปิติจนน้ำตารินลงอาบแก้มเอ่ยถามหลวงพ่อด้วยน้ำเสียงสั่นเครือสุดระงับ “แล้วผมต้องทำอย่างไรครับถึงจะมีสติที่เข้มแข็ง” “โยมต้องเริ่มจากการรักษาศีลเพื่อเป็นพื้นฐานให้เกิดเป็นสติที่มั่นคงจนกลายเป็นสมาธิ แล้วจิตใจของโยมก็จะเป็นอิสระจากอารมณ์ต่างๆได้อย่างแท้จริง” “ทำไมต้องเริ่มจากการรักษาศีลด้วยละครับ” “เพราะจิตใจของคนธรรมดาอย่างเรามันไม่หนักแน่นและไม่รู้จักอยู่นิ่งเหมือนลูกลิงยังไงละโยม เดี๋ยวคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้วุ่นวายฟุ้งซ่านไปตลอดทั้งวัน ในหนึ่งนาทีโยมเคยลองพิจารณาไหมว่าคิดถึงเรื่องอะไรบ้างมีเป็นสิบ ๆ เรื่องทีเดียวจริงไหม” “จริงครับ” “การรักษาศีลก็เท่ากับการดึงรั้งสติที่แวบไปคิดเรื่องโน้นทีนี่ที่ให้กลับมาที่หลักยึด เปรียบเหมือนการผูกลิงไว้ที่หลักอย่างไรละโยม ยิ่งโยมมีศีลที่เข้มแข็งสติโยมก็จะยิ่งเข้มแข็งไปด้วย เมื่อมันถูกดึงกลับมาบ่อยๆเข้ามันก็จะเกิดเป็นความเคยชิน สติก็ไม่แส่ส่ายไม่ฟุ้งซ่านมีแต่วินาทีที่มีสติเพิ่มพูนขึ้นเรื่อยๆเหมือนลิงที่นิ่งอยู่บนหลักอย่างไรละ” “ผมเข้าใจแล้วครับหลวงพ่อ แล้วผมจะให้ใครสอนการเจริญสติดีละครับ” “ตอนแรกอาตมาว่าจะให้โยมฝึกสติปัฎฐาน4พร้อมกับพวกคุณหมอพิเภก แต่กลัวว่าจะไม่ทันการคืนนี้อาตมาจะสอนขั้นพื้นฐานให้โยมเอง อีกสองวันค่อยไปฝึกร่วมกับอาจารย์สัญชัยที่สวนโมกข์ต่อ โยมจะไปแสดงโขนด้วยมิใช่หรือ “ “ครับหลวงพ่อ” “ถ้าอย่างนั้นพี่จอร์จไปช่วยผมขัดห้องน้ำให้หลวงลุงก่อน บ่ายโมงไปซ้อมโขนด้วยกันแล้วค่อยมาฝึกตอนค่ำๆ” เจ้าทโมนแกละแอบดีใจที่หาคนมาช่วยทำงานได้กะว่าจะยกหน้าที่ทั้งหมดให้จอร์จ ตนจะยืนกำกับอยู่เฉยๆ อารามได้ใจฉายชัดอยู่บนใบหน้าที่ยิ้มแป้นจนหลวงพ่อรุ่งเห็น “ได้คนช่วยงานสบายไปเลยล่ะสิเจ้าตัวดี โยมแค่ช่วยมันทำก็พอนะไม่ต้องไปทำให้มันทุกอย่าง เดี๋ยวติดนิสัยขี้เกียจสันหลังยาวขึ้นมาโยมไม่อยู่อาตมาจะหาคนทำงานให้ไม่ได้” หลวงพ่อรุ่งพูดดักขึ้นอย่างรู้ทัน “ไม่เป็นไรครับหลวงพ่อ ผมยินดีทำครับ” จอร์จก้มลงกราบหลวงพ่อรุ่งสามครั้งอย่างนอบน้อมก่อนจะลุกขึ้นเดินตามศิษย์พี่แกละที่ทำท่าวางอำนาจบาตรใหญ่ชี้นู่นชี้นี่ลงไปใต้ถุนกุฏิ เจ้าแกละสั่งงานชายหนุ่มเป็นเชิงเล่นๆแต่คิดอยู่ในใจคนเดียวว่า “ฮิฮิ....อ้อยเข้าปากช้างแล้วช้างไม่เคี้ยวก็ซื่อบื่อเต็มทีละ มีคนมาช่วยทำงานอย่างนี้ต้องใช้เสียให้เข็ดกลางคืนจะได้ไม่มีแรงลุกขึ้นมาเดินตาลอยทำให้คนอื่นเขาต้องเดือดร้อนไปด้วยอีก”
Create Date : 10 มิถุนายน 2554 |
Last Update : 10 มิถุนายน 2554 13:20:50 น. |
|
0 comments
|
Counter : 584 Pageviews. |
|
|
|
| |
|
|