ศึกษาประวัติศาสตร์ "กระบี่" ผ่านงานศิลป์กลาง "ถนนประติมากรรม"
คอลัมน์ บันทึกเดินทาง โดย อรพรรณ จันทรวงศ์ไพศาล
พูดถึง "กระบี่" สิ่งที่หลายคนนึกถึงเป็นอันดับต้นๆ คงหนีไม่พ้นชายหาดแสนงาม และหมู่เกาะน้อยใหญ่ในทะเลอันดามันสีมรกตนับร้อย ทั้งอ่าวนาง ทะเลแหวก เกาะลันตา เกาะห้อง และหมู่เกาะพีพี ที่ดึงดูดใจนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกให้มาเยือนมากเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศ
พอเที่ยวบินของสายการบินไทย เที่ยวบินที่ TG 246 แตะพื้นรันเวย์ท่าอากาศยานนานาชาติกระบี่ ความรู้สึกตื่นเต้นที่ได้มาเหยียบเมืองกระบี่เต็มๆ เป็นครั้งแรกก็ผุดขึ้นมา หลังจากเทียวไปเทียวมาปักษ์ใต้หลายครั้ง เฉียดไปเฉียดมาก็หลายหน แต่ไม่เคยมาถึงกระบี่สักที
เมื่อมีโอกาสได้มาเยือนเมืองเขาขนาบน้ำซึ่งขึ้นชื่อเรื่องความสวยงามของธรรมชาติและท้องทะเลทั้งที ก็แอบหวังนิดๆ ว่าจะได้สัมผัสกับความเย็นฉ่ำ ชื่นใจของน้ำเค็มๆ สีมรกตและรับลมทะเลเย็นให้ชุมปอด เมื่อล้อกลมๆ ของรถตู้คันใหญ่เคลื่อนออกจากสนามบิน มุ่งหน้าสู่เมืองกระบี่ ผ่านภูเขาหินรูปทรงตั้งฉากกับพื้นโลกเหมือนใครตั้งใจนำมาตั้งไว้ สลับกับบ้านเรือนและอาคารพาณิชย์ทั้งรูปแบบเก่าและใหม่ เรียงรายเป็นทิวแถว ด้วยความเร็วคงที่ ทำให้รู้ข้อดีของเมืองนี้อีกอย่างคือ แม้จะเข้าเขตเมือง แต่บนท้องถนนก็โล่งว่าง ไม่มีรถติดหนาแน่นอย่างที่พบเห็นจนชินตา-ชาใจแบบในเมืองบางกอก
รถหยุดชะงักเป็นครั้งแรก ที่ 4 แยกไฟแดง "ถนนมหาราช" ถนนสายนี้ไม่ใช่ธรรมดา เป็นจุดเด่นที่ใครไปใครมาก็ต้องเห็น และอดสงสัยไม่ได้ แต่ก็เก็บงำความสงสัยส่วนตัวไว้จนถึงวันรุ่งขึ้น จึงได้มีเวลามาสำรวจถนนสายนี้แบบจริงจัง แยกต่อแยก!
หลังจากพักผ่อน และเพลิดเพลินไปกับการนอนฟังเสียงฝนตกฟ้าร้องขับกล่อมตลอดค่ำคืนที่แสนหวาน ณ "โซฟิเทล โภคีธรา กระบี่ รีสอร์ท แอนด์ สปา" ก็แอบภาวนาให้วันรุ่งขึ้นฝนไม่ตกด้วยเถิด
แล้วเช้าวันใหม่ก็เป็นไปตามที่ภาวนาไว้ ท้องฟ้าสดใสไร้เมฆ คณะของเราจึงออกเดินทางจากที่พักซึ่งตั้งอยู่ริมหาดคลองเมือง เพื่อเข้าสู่ตัวเมืองกระบี่ และเป็นครั้งแรกที่ได้ยินชื่อ "ถนนสายประติมากรรม"
เมื่อรู้ประวัติของถนนเส้นนี้จากผู้นำทางชาวกระบี่ ก็ยิ่งทึ่งกับแนวความคิดในการสร้าง "จุดเด่น" จากถนนสายธรรมดาๆ ให้เป็นมากกว่าทางผ่านของนักเดินทาง ด้วยการยกหลักฐานทางประวัติศาสตร์ มาบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ มากมาย ทั้งเรื่องการปกครอง การค้าขาย ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และวิถีชีวิตของผู้คนชาวกระบี่ ผ่านประติมากรรมปูนปั้นรูปสิ่งมีชีวิตขนากยักษ์สี่แยกละ 4 ตัวหันหน้าเข้าหากัน
ทันทีที่รถจอดริมร้านค้าเล็กๆ ก็มองเห็น "สี่แยกมนุษย์โบราณ" ใจกลางเมืองกระบี่ สิ่งแรกที่เห็นคือรูปปั้น "สยามโมพิเทตัศ อีโอซีนัส" ในสายพันธุ์โฮมินิดส์ ที่รูปร่างหน้าตาคล้ายวานรมากกว่ามนุษย์ สีน้ำตาลเข้มเกือบดำ กำลังยืนหิ้วสัญญาณไฟจราจรไว้ในมือทั้งสองข้างไม่สะทกสะท้านต่อแดดเปรี้ยงๆ ยามนั้น เพื่อแสดงให้เห็นว่า "กระบี่ เป็นแหล่งกำเนิดของมนุษย์เอเชีย เพราะพบซากฟอสซิลที่มีอายุถึง 35 ล้านปี!!!"
ซึ่งเมื่อมองผ่านๆ มีลักษณะคล้ายลิง 4 ตัว กำลังหิ้วปิ่นโตเต็มสองมือ หันหน้าเข้าหา-ทักทายกันและกัน เลยอดอมยิ้มกับตัวเองไม่ได้
หลังจากชื่นชมและเก็บภาพมนุษย์โบราณได้ไม่นาน รถก็เคลื่อนขบวน มุ่งหน้าไปยังถนนรอดบุญและถนนหุตางกูร ที่ถูกเรียกว่า "สี่แยกนกอินทรี" หรือ "นกออก" ประติมากรรมรูปนกสีขาวขนาดใหญ่ กำลังสยายปีกที่มีปลายสีดำเข้ม ราวกับเตรียมตัวถลาไปกับสายลม ตั้งอยู่บนฐานกลมสีขาว สมฐานะนกประจำถิ่นที่อาศัยอยู่บนยอดเขาขนาบน้ำ ตามความเชื่อของชาวกระบี่ เป็นนกที่บินได้สูง สายตาดีมองเห็นได้ในระยะไกล สามารถจับเหยื่อได้อย่างแม่นยำ ซึ่งความพิเศษของรูปปั้นนกออกตัวนี้คือ เป็นหลักกิโลมตรที่ 0 แสดงจุดเริ่มต้นของเมืองกระบี่
ไม่ไกลจากสี่แยกนกอินทรี เป็นท่าเทียบเรือขนาบน้ำที่ชาวบ้านใช้สัญจรไปมา มีประติมากรรมนกอินทรีอีก 2 ตัวตั้งเด่นเป็นสง่า ที่ติดกันยังมีประติมากรรมลูกปัดเม็ดมหึมาสูงกว่า 2 เมตร แต่พระเอกตัวจริงของเมือง คือ "ประติมากรรมปูดำ" สัญลักษณ์ของเมืองกระบี่ มีฉากหลังเป็นเขาขนาบน้ำ จุดนี้จึงเป็นจุดที่บรรดานางแบบ-นายแบบจำเป็นพลาดไม่ได้ หากไม่ได้เก็บภาพที่ระลึกไว้แล้ว เดี๋ยวคนอื่นจะหาว่ามาไม่ถึงกระบี่
กลับมาต่อกันที่ "สี่แยกช้าง" บนถนนประติมากรรม ภาพช้างเผือกตัวใหญ่สีขาวสูง ส่วนหนึ่งของตราเทศบาลเมืองกระบี่ กำลังชูกระบี่ไว้เหนือหัว ยืนตระหง่านอยู่หน้าที่ทำการเทศบาลเมืองกระบี่ ใต้ช้างตัวใหญ่ มีใบหน้าช้างชูงวงแขวนกับเสาสัญญาณไฟ ตัวเสาไม่ได้ลื่นเนียนเหมือนเสาอื่น เพราะเสาทั้ง 4 ต้นที่สี่แยกแห่งนี้แกะสลักเป็นลวดลายช้างอย่างละเอียดทั้งต้น
เล่ากันว่า ช้างตัวนี้ สร้างขึ้นเพื่อสื่อให้รู้ว่ากระบี่เคยเป็นจังหวัดที่มีช้างมากที่สุดในประเทศ เคยมีการคล้องช้างเผือกคู่พระบารมีช้างแรกของรัชกาลที่ 9 ซึ่งพระองค์พระราชทานนามว่า "พระเศวตอดุลยเดชพาหน ภูมิพลนวนาถบารมี ทุติยเศวตกรีกมุทพรรโณภาส บรมกมลาสนวิศุทธวงศ์ สรรพมงคลลักษณคเชนทรชาติ สยามราษฎรสวัสดิประสิทธิ์ รัตนกุญชรนิมิตบุญญาธิการ ปรมินทรพิตรสารศักดิเลิศฟ้า" หรือที่รู้จักในพระนาม "พระเศวตฯ" ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่พระราชวังไกลกังวล จ.ประจวบคีรีขันธ์
แล้วก็มาถึงแยกไฟแดงสุดท้ายบนถนนมหาราช ตัดกับถนนหลวงพ่อ เรียกว่า "สี่แยกเสือเขี้ยวดาบ" ที่อยู่ใกล้กับทางเข้าตลาดสดมหาราช ความละเอียดอ่อนของเสาไฟแดงแยกนี้คล้ายๆ กับช้างเผือกหน้าเทศบาลเมือง เพราะนอกจากเสือเขี้ยวดาบตัวใหญ่จะนั่งอยู่บนเสาทรงกลมที่สลักรูปเสือตัวน้อยๆ แล้ว ยังมีเสือเขี้ยวดาบตัวน้อยนอนหมอบอยู่ใต้เสือตัวใหญ่ที่แยกเขี้ยวด้านบน ดูคล้ายกับราชาผู้แกร่งแกล้าท้าแสงตะวันไม่มีผิด
แม้ช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดินจะมีสายฝนโปรายปรายลงมาบ้าง และไม่ได้เล่นน้ำทะเลอย่างที่ตั้งใจไว้ แต่การเดินทางมากระบี่ครั้งแรกนี้ก็ถือว่าคุ้มค่ามาก เพราะรู้สึกอิ่มเอมกับการท่องเที่ยวเชิงประวัติศาสตร์ ผ่านศิลปะที่ตั้งเรียงรายอยู่สองข้างทาง ที่สามารถเรียนรู้ได้ไม่รู้จบ
ครั้งหน้าถ้ามีโอกาส คงไม่พลาดที่จะท่องเที่ยวและสำรวจทั่วกระบี่ เมืองเล็กๆ ที่มีประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ แฝงไว้ซึ่งมนต์เสน่ห์ที่เป็นเอกลักษณ์
ใครอ่านจบแล้วคาใจ อยากรู้ต้องไปเอง หน้า 13,มติชนรายวัน ฉบับวันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม 2555 ขอบคุณ มติชนออนไลน์ คอลัมน์ บันทึกเดินทาง คุณอรพรรณ จันทรวงศ์ไพศาล สิริสวัสดิ์โสรวารค่ะ
Create Date : 25 สิงหาคม 2555 |
|
0 comments |
Last Update : 25 สิงหาคม 2555 18:56:50 น. |
Counter : 2745 Pageviews. |
|
|
|