ภาพพิมพ์แกะไม้ในประเทศญี่ปุ่น (ญี่ปุ่น: 木版画, moku hanga, อังกฤษ: Woodblock printing in Japan) เป็นวิธีที่ใช้ในการสร้างงานศิลปะที่เรียกว่า ภาพอุกิโยะ และใช้อย่างแพร่หลายในการพิมพ์หนังสือในช่วงเวลาเดียวกัน การพิมพ์แกะไม้เป็นสิ่งที่ทำกันในประเทศจีนมาเป็นเวลาหลายร้อยปีในการพิมพ์หนังสือ ก่อนที่จะมีการประดิษฐ์แท่นพิมพ์กันขึ้น
แต่ไม่ได้นำมาใช้ในประเทศญี่ปุ่นจนกระทั่งมาถึงสมัยเอะโดะ (ค.ศ. 1603-ค.ศ. 1867) วิธีการพิมพ์ก็คล้ายคลึงกันกับที่เรียกว่าแกะไม้ในการสร้างพิมพ์ทางตะวันตก
ประวัติ
หนังสือที่พิมพ์จากวิธีการพิมพ์แกะไม้จากวัดพุทธศาสนาในประเทศจีนพบในญี่ปุ่นมาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 8 ในปี ค.ศ. 764 จักรพรรดินีโชะตุกุ (Shotuku) จ้างให้ทำเจดีย์เล็กๆ หนึ่งล้านองค์ (Hyakumanto Darani) แต่ละองค์ก็จะบรรจุม้วนกระดาษเล็ก (กว้างยาวประมาณ 6 x 45 เซนติเมตร) ที่มีคำสวดมนต์
และทรงแจกจ่ายไปยังวัดวาอารามทั่วประเทศเพื่อเป็นการฉลองการปราบกบฎเอมิ (Fujiwara no Nakamaro) ซึ่งเป็นตัวอย่างของการพิมพ์แกะไม้ที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่มีหลักฐานปรากฏในญี่ปุ่น
เมื่อมาถึงคริสต์ศตวรรษที่ 11 วัดในประเทศญี่ปุ่นก็เริ่มพิมพ์หนังสือพุทธศาสนาและภาพของตนเอง แต่การพิมพ์ก็จำกัดเฉพาะสิ่งที่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เพราะการพิมพ์ยังเป็นสิ่งที่มีราคาสูงเกินกว่าที่จะผลิตเป็นจำนวนมากได้ และในขณะนั้นก็ยังไม่มีผู้ที่มีความรู้พอที่จะอ่านหนังสือที่พิมพ์ได้อย่างกว้างขวาง ซึ่งทำให้การพิมพ์ไม่มีตลาด
จนกระทั่งเมื่อมาถึงปี ค.ศ. 1590 จึงได้มีการพิมพ์งานที่ไม่เกี่ยวกับศาสนาขึ้นเป็นครั้งแรกในญี่ปุ่น งานที่พิมพ์คือ Setsuyō-shū ซึ่งเป็นพจนานุกรมจีน-ญี่ปุ่นสองเล่ม แม้ว่านักบวชเยซูอิดจะใช้แท่นพิมพ์ในนะงะซะกิกันมาตั้งแต่ ค.ศ. 1590 แต่อุปกรณ์การพิมพ์ที่นำกลับมา โดยกองทัพของโทะโยะโตะมิ ฮิเดะโยะชิที่ไปทำการรุกรานเกาหลีในปี ค.ศ. 1593 กลับมามีอิทธิพลต่อความเปลี่ยนแปลงทางการพิมพ์ในญี่ปุ่นมากกว่า
สี่ปีต่อมาก่อนที่โทะกุงะวะ อิเอะยะซุจะเป็นโชกุนก็ได้สร้างแท่นพิมพ์ขึ้นเป็นครั้งแรก โดยใช้ไม้เป็นส่วนประกอบแทนที่จะเป็นโลหะ อิเอะยะซุควบคุมการสร้างแม่แบบตัวอักษร 100,000 ชิ้นที่ใช้ในการพิมพ์เอกสารทั้งทางการเมืองและทางประวัติศาสตร์ ในฐานะโชกุนอิเอะยะซุก็สนับสนุนการศึกษาและเป็นผู้นำในการให้การศึกษาแก่ประชาชนในเมือง
การพิมพ์ในช่วงนี้มิได้นำโดยสถาบันโชกุน แต่เป็นสำนักพิมพ์เอกชนที่เริ่มปรากฏขึ้นในเกียวโตเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 นอกจากนั้นโทะโยะโทะมิ ฮิเดะโยะริ (Toyotomi Hideyori) ผู้เป็นปรปักษ์ต่อโทะกุงะวะ อิเอะยะซุก็เป็นอีกผู้หนึ่งที่มีบทบาทในการพัฒนาและเผยแพร่การพิมพ์ในญี่ปุ่นด้วย
หนังสือขงจื๊อ Analects ได้รับการพิมพ์ในปี ค.ศ. 1598 โดยใช้แท่นพิมพ์เกาหลีตามพระบรมราชโองการของ สมเด็จพระจักรพรรดิโกะ-โยเซ (Emperor Go-Yōzei) หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือฉบับที่เก่าที่สุดในญี่ปุ่นที่พิมพ์ด้วยแท่นพิมพ์ แม้ว่าการใช้แท่นพิมพ์จะดูว่ามีความสะดวกแต่ก็เป็นที่ตกลงกันว่าการพิมพ์อักษรญี่ปุ่นที่มีลักษณะเป็นแบบ Semi-cursive script พิมพ์ได้ดีกว่าเมื่อใช้การพิมพ์โดยวิธีแกะไม้
ฉะนั้นการพิมพ์จึงหันกลับไปเป็นการใช้การพิมพ์ด้วยพิมพ์แกะไม้ และเมื่อมาถึง ค.ศ. 1640 การพิมพ์ด้วยวิธีนี้ก็ใช้สำหรับการพิมพ์แทบจะทุกสิ่งทุกอย่าง
หลังจากนั้นการพิมพ์ด้วยวิธีนี้เริ่มเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายในบรรดาศิลปิน และ ได้รับการนำไปใช้ในการพิมพ์งานที่มีขนาดเล็กและราคาถูก และการพิมพ์หนังสือ ผู้ที่เป็นผู้ริเริ่มและผู้นำในการสร้างหนังสือศิลปะด้วยวิธีนี้ที่นำไปสู่การผลิตเป็นอุตสาหกรรมสำหรับสาธารณชนคือโฮะนะมิ โคเอตซุ (Honami Kōetsu) และ ซุมิโนะคุระ โซะอัน (Suminokura Soan) ในสำนักพิมพ์ที่ซะกะทั้งสองคนก็สร้างพิมพ์ไม้สำหรับงานคลาสสิคของญี่ปุ่น ที่รวมทั้งเนื้อหาและภาพประกอบ
ซึ่งเท่ากับเป็นการเปลี่ยนจาก ม้วนหนังสือ (Emakimono) มาเป็นหนังสือสำหรับตลาดที่กว้างขึ้น ปัจจุบันหนังสือเหล่านี้เรียกว่าหนังสือโคเอตซุ, หนังสือซุมิโนะคุระ หรือหนังสือซะกะ ซึ่งถือกันว่าเป็นสิ่งพิมพ์จากงานคลาสสิคแรก ที่มีฝีมือและคุณภาพดีที่สุด โดยเฉพาะที่มีชื่อเสียงที่สุดคืองานพิมพ์ซะกะ ตำนานอิเซะ (Ise monogatari) ที่พิมพ์ในปี ค.ศ. 1608
วิธีการพิมพ์ที่แม้จะเป็นวิธีที่ยุ่งยากและมีราคาสูงกว่าวิธีการพิมพ์ต่อมาแต่กระนั้นก็ยังเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพมากกว่าวิธีที่ใช้กันมาก่อนหน้านั้นที่แต่ละเล่มมาจากการคัดลอกด้วยมือ ซึ่งทำให้เป็นการเริ่มต้นการผลิตหนังสือกันอย่างเป็นอุตสาหกรรมสำหรับสาธารณชน
ขณะที่หนังสือซะกะจะเป็นหนังสือที่พิมพ์บนกระดาษที่สวยงาม และใช้การตกแต่งหลายอย่างเพราะเป็นการพิมพ์สำหรับกลุ่มคนจำนวนไม่มากนักที่เป็นคอหนังสือ แต่สำนักพิมพ์อื่นในเกียวโตหันไปหาวิธีที่จะพิมพ์ให้มีราคาถูกกว่าและขายได้ในวงที่กว้างขึ้น เนื้อหาของหนังสือก็แตกต่างกันออกไปมากที่รวมทั้งหนังสือท่องเที่ยว, ตำราแนะนำ, นวนิยายเชิงล้อเลียน (kibyōshi), วัฒนธรรมคนเมือง (sharebon), หนังสือศิลปะ และบทละครสำหรับการเล่น หุ่น (jōruri)
สิ่งที่มักจะเกิดขึ้นภายในหนังสือแต่ละประเภท เช่นหนังสือบทละครสำหรับการเล่น หุ่น ก็จะมีการเลือกใช้ลักษณะการเขียนแบบใดแบบหนึ่ง ซึ่งก็หมายความว่าลักษณะการเขียนอักษรของผู้ได้รับเลือกก็จะใช้เป็นมาตรฐานของหนังสือประเภทนั้น
สำนักพิมพ์ต่างๆ ได้รับการก่อตั้งขึ้นมาและขยายตัวกันอย่างรวดเร็วที่พิมพ์ทั้งหนังสือและใบปลิว สำนักพิมพ์ที่มีชื่อเสียงที่สุดสำนักพิมพ์หนึ่งคือสึตะ-ยะ (Tsutaya Jūzaburō) สำนักพิมพ์จะเป็นเจ้าของแม่พิมพ์ที่แกะขึ้นซึ่งคล้ายกับการมีลิขสิทธิ์ในสมัยปัจจุบัน สำนักพิมพ์หรือเอกชนสามารถซื้อแม่พิมพ์จากกันและกันได้ เมื่อซื้อแล้วก็จะเป็นผู้มีสิทธิในการพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์ที่ซื้อมา แต่ความคิดเรื่องการเป็นเจ้าของปัญญสมบัติยังไม่ปรากฏ
การพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์แกะดำเนินต่อมาจนกระทั่งความนิยมภาพอุคิโยะเริ่มลดถอยลง และการใช้แท่นพิมพ์และวิธีการพิมพ์แบบอื่นเข้ามาแทนที่ในการพิมพ์งานศิลปะที่เป็นแบบใหม่
วิธีพิมพ์
"Shōki zu" (โชคิก้าวเท้า) โดย โอะคุมุระ มะซะโนะบุ ราว ค.ศ. 1741- ค.ศ. 1751 ตัวอย่างภาพพิมพ์ติดเสาที่เดิมสูงกว้าง 69.2 x 10.1 เซนติเมตรวิธีการพิมพ์เนื้อความ และ ภาพจะคล้ายคลึงกัน ความแตกต่างที่เห็นได้ชัดก็แต่ตรงปริมาณที่พิมพ์ และความซับซ้อนของสีที่ใช้ถ้าเป็นการพิมพ์ภาพ ภาพประกอบหนังสือส่วนใหญ่จะเป็นภาพเอกรงค์ที่ใช้หมึกดำเท่านั้น และในช่วงระยะเวลาหนึ่งการพิมพ์งานศิลปะจะเป็นแต่การพิมพ์เอกรงค์หรือเพียงสองหรือสามสีเท่านั้น
การพิมพ์ก็จะเริ่มด้วยการวาดตัวหนังสือหรือภาพบน กระดาษวะชิ (washi) และปิดบนแผ่นไม้ที่มักจะเป็นไม้เชอร์รี จากนั้นก็จะทำการแกะไม้ตามรอยที่วาดไว้ในรูป หลังจากนั้นก็ใช้ ประคบบะเร็ง (Baren) กดกระดาษให้ติดกับพิมพ์ที่ทาหมึกเพื่อให้ลวดลายหรือตัวหนังสือปรากฏบนกระดาษ
ในระยะแรกการประคบก็อาจจะทำด้วยมือ แต่ต่อมาก็ได้มีการประดิษฐ์เครื่องมือที่ใช้ในตรึงแม่แบบไว้ให้แน่นก่อนที่จะกดพิมพ์ ซึ่งทำให้การพิมพ์หลายสีทำได้ง่ายขึ้นเมื่อต้องการจะพิมพ์สีแต่ละสีซ้อนไปบนสีที่พิมพ์อยู่แล้วอย่างเหมาะเจาะ
ดังที่กล่าวแล้วว่าเนื้อหาของหนังสือและภาพส่วนใหญ่ที่พิมพ์จะเป็นเอกรงค์ แต่ความนิยมภาพอุกิโยะที่เพิ่มมากขึ้นทำให้ความต้องการของจำนวนสีที่ใช้และความซับซ้อนในการพิมพ์มากและซับซ้อนตามขึ้นไปด้วย การวิวัฒนาการของการพิมพ์แบ่งได้เป็นช่วงๆ ดังนี้:
ภาพพิมพ์หมึก (ญี่ปุ่น: Sumizuri-e 墨摺り絵 ?) - ภาพพิมพ์เอกรงค์ที่ใช้แต่หมึกดำ
ภาพพิมพ์สีแดง (ญี่ปุ่น: Benizuri-e 紅摺り絵 ?) - ภาพพิมพ์ที่มีรายละเอียดเป็นหมึกสีแดง หรือเน้นด้วยมือด้วยหมึกสีแดงหลังจากที่พิมพ์เสร็จแล้ว หรือบางครั้งก็จะใช้สีเขียวด้วย
ภาพพิมพ์เน้นสีส้ม (ญี่ปุ่น: Tan-e 丹絵 ?) - ภาพพิมพ์ที่เน้นด้วยสี่ส้มโดยใช้รงควัตถุสีแดงที่เรียกว่า tan
ภาพพิมพ์สีคราม หรือ ภาพพิมพ์สีม่วง (ญี่ปุ่น: Aizuri-e 藍摺り絵 ?), (ญี่ปุ่น: Murasaki-e 紫絵 ?) และภาพพิมพ์ลักษณะอื่นที่เพิ่มสีขึ้นอีกหนึ่งสีนอกไปจากสีดำ หรือแทนที่สีดำ
ภาพอุรุชิ (ญี่ปุ่น: Urushi-e 漆絵 ?) - ภาพพิมพ์ที่ใช้กาวผสมสีเพื่อให้สีมีความหนาขึ้นทำให้ภาพดูเข้มข้นขึ้น นอกจากนั้นก็ยังมีการประดับด้วยทอง ไมคา และ วัตถุอื่นๆ เพื่อเพิ่มคุณค่าทางศิลปะของภาพให้มากยิ่งขึ้น นอกจากนั้นภาพอุรุชิ ยังหมายถึงการวาดภาพบนเครื่องแล็คเคอร์แทนที่จะเพียงแต่ทาสีด้วย
ภาพนิชิคิ (ญี่ปุ่น: Nishiki-e 錦絵 ?) - เป็นวิธีการพิมพ์ที่ใช้แม่แบบหลายแม่แบบที่แต่ละแม่แบบก็สร้างขึ้นเฉพาะส่วนใดส่วนหนึ่งของภาพ ที่ทำให้สามารถใช้ในการพิมพ์ภาพที่มีหลายสีที่สร้างความซับซ้อนและรายละเอียดให้แก่ภาพได้ แม่พิมพ์แต่ละส่วนก็จะแกะขึ้นต่างหากจากกัน และจะใช้แต่เฉพาะส่วนหนึ่งส่วนใดของภาพเฉพาะสีเดียวเท่านั้น
แม่พิมพ์แต่ละส่วนก็จะได้รับเครื่องหมายที่เรียกว่า เคนโต (見当) เพื่อที่จะได้ประสานแม่พิมพ์ส่วนต่างของภาพได้อย่างสะดวก
ตระกูล/โรงเรียนศิลปะ และ ขบวนการทางด้านศิลปะ
การพิมพ์ภาพในญี่ปุ่นก็เช่นเดียวกับศิลปะสาขาอื่นๆ ของญี่ปุ่นที่จัดเป็นตระกูล/โรงเรียนศิลปะ และ ขบวนการต่างๆ ตระกูลการการสร้างภาพพิมพ์ที่มีชื่อเสียงที่ต่อมาคือขบวนการ moku hanga ก็ได้แก่:
สำนักศิลปินโทะรี (Torii school) - ตั้งแต่ ค.ศ. 1700
สำนักศิลปินคะอิเก็ตซุโด (Kaigetsudō school) - ระหว่าง ค.ศ. 1700 ถึง ค.ศ. 1714
สำนักศิลปินคัตซึคะวะ (Katsukawa school) - ระหว่างตั้งแต่ ค.ศ. 1740 ที่รวมศิลปินเช่นซูซูคิ ฮะรุโนะบุ และ โฮะกุไซ
สำนักศิลปินอุตะกะวะ (Utagawa school) - ระหว่างตั้งแต่ ค.ศ. 1842 ที่รวมศิลปินเช่นคุนิซะดะ
สำนักศิลปินโซซะคุ ฮะงะ (Sōsaku hanga) - ระหว่างตั้งแต่ ค.ศ. 1904 หรือขบวนการ "ภาพพิมพ์สร้างสรรค์"
สำนักศิลปินชิง ฮะงะ (Shin hanga) - ระหว่างตั้งแต่ ค.ศ. 1915 หรือขบวนการ "ภาพพิมพ์ใหม่"
ศิลปินอื่นๆ เช่นอุตะมาโระ, ชะระคุ และ ฮิโระชิเงะไม่เกี่ยวข้องกับตระกูลใดโดยเฉพาะ และจะวาดภาพจากหลายลักษณะ
ขนาดของภาพ
ขนาดมาตรฐานของภาพในสมัยเอะโดะมีด้วยกันหลายขนาด เช่นในตัวอย่างข้างล่าง:
Chūban (中判, ขนาดกลาง) (26 x 19 เซนติเมตร)
Chūtanzaku (中短冊) (38 x 13 เซนติเมตร) - หรือเรียกง่ายๆ ว่า tanzaku; ครึ่งหนึ่งของขนาด ōban ตามความยาว
Hashira-e (柱絵) (68-73 x 12-16 เซนติเมตร) - แถบแคบยาวแนวตั้งที่มักจะเรียกว่า "ภาพพิมพ์ติดเสา"
Hosoban (細判) (33 x 15 เซนติเมตร) - ภาพขนาด hosoban หลายภาพตัดมาจาก ō-ōban (大大判, ขนาดใหญ่มาก); hosoban เป็นขนาดที่เล็กที่สุดในภาพพิมพ์ที่เป็นแผ่น
Kakemono-e (掛物絵) (76.5 x 23 เซนติเมตร) - ขนาดใหญ่แนวตั้งที่ประกอบด้วยขนาด Ōban สองชิ้นวางซ้อนกัน นอกจากนั้น คะเคะโมะโนะ ก็ยังหมายถึง จิตรกรรมม้วน ด้วย
Ōban (大判, large size) (39 x 26.5 เซนติเมตร) - เป็นขนาดที่ใช้กันโดยทั่วไป
Ō-hosoban (大細判) (38 x 17 เซนติเมตร) - หรือเรียกว่า Ō-tanzaku
Shikishiban (21 x 18 เซนติเมตร) มักจะใช้สำหรับซุริโมะโนะ
ภาษาญี่ปุ่นสำหรับภาพแนวตั้ง (portrait) คือคำว่า portrait คือคำว่า tate-e (立て絵) และภาพแนวนอน (portrait) คือคำว่า landscape คือคำว่า yoko-e (横絵)
ขอบคุณ วิกิพีเดีย
สิริสวัสดิ์วุธวารค่ะ