| ประตูอิชตาร์แห่งบาบิโลนระหว่างการขุดค้นทางโบราณคดี | | | ถึงแม้ว่าฐานรากของอาคารแห่งนี้จะเป็นโครงสร้างระบบเพดานโค้งที่เหมาะกับการรับน้ำหนักอาคาร อีกทั้งยังมีการขุดพบบ่อน้ำ และสิ่งก่อสร้างที่มีลักษณะคล้ายกว้าน ซึ่งน่าจะใช้สำหรับทดน้ำขึ้นไปบนสวนแบบขั้นบันได รวมทั้งเศษดินเผาแตกๆ อีกจำนวนมากมาย ซึ่งอาจจะเป็นเศษกระถางต้นไม้ดินเผาก็ตาม แต่ก็มีข้อโต้แย้งหลายประการที่ทำให้นักโบราณคดีในปัจจุบันไม่อาจปักใจเชื่อได้ เนื่องจากฐานรากของสิ่งก่อสร้างนี้มีความยาวเพียง 45 เมตร ซึ่งแม้จะมีขนาดใหญ่ไม่น้อย แต่ก็เล็กกว่าที่กล่าวไว้ในบันทึกทางประวัติศาสตร์มาก นั่นคือ ต้องมีความยาวถึงด้านละ 120 เมตร อีกประการหนึ่ง สิ่งก่อสร้างนี้ ถึงแม้จะอยู่ในเขตพระราชฐาน แต่ก็ตั้งอยู่ในส่วนที่เป็นสำนักราชวัง ไม่ได้อยู่ในเขตพระราชวังชั้นใน ที่สำคัญยังไม่ได้ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำยูเฟรติสตามที่สตาร์โบบันทึกไว้ อีกทั้งยังอยู่ห่างจากแม่น้ำค่อนข้างมาก ซึ่งทำให้ยากต่อการบริหารจัดการเรื่องระบบน้ำ นักโบราณคดีบางคนสันนิฐานว่า บางทีสวนลอยแห่งบาบิโลนอาจไม่เคยมีอยู่จริง เพราะผู้ที่เขียนบันทึกเกี่ยวกับสวนลอยแห่งบาบิโลนทุกคน ไม่เคยมีใครเห็นอุทยานนี้ด้วยตาตนเองแม้แต่คนเดียว แม้กระทั่งเบรอสโซส ผู้เขียนบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับสวนลอยแห่งบาบิโลนเป็นคนแรก ก็ยังมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลา 350 ปีก่อนคริสตกาล หรือประมาณ 250 ปีหลังจากได้มีการสร้างสวนแห่งนี้ และที่น่าประหลาดใจคือ แม้กระทั่ง เฮโรโดตุส (Herodotus) บิดาแห่งประวัติศาสตร์โลกชาวกรีก ผู้มีชีวิตระหว่าง 484-424 ปีก่อนคริสตกาล ก็ยังไม่เคยกล่าวถึงสวนลอยแห่งบาบิโลนเลย ดังนั้นจึงอาจเป็นไปได้ว่า ทั้งหมดนี้เป็นเพียงจิตนาการของผู้เขียนบันทึกเท่านั้น เพราะแต่เดิมสวนลอยแห่งนี้ผูกพันกับตำนานเกี่ยวกับ ราชินีเซมิรามิส (Semiramis) จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า สวนลอยของเซมิรามิส อย่างไรก็ตาม นักโบราณคดีส่วนใหญ่ยังคงเชื่อว่าสวนลอยแห่งนครบาบิโลนมีอยู่จริง เพราะในดินแดนอียิปต์และเมโสโปเตเมียการสร้างอุทยานขนาดใหญ่ที่งดงามไปด้วยไม้ดอกไม้ประดับหลากหลายสายพันธุ์รวมทั้งพันธุ์ไม้หายากจากทั่วทุกสารทิศในลักษณะสวนพฤกษชาติ เป็นประเพณีนิยมของทุกราชสำนักในดินแดนแห่งนี้ จากจารึกของ พระเจ้าทิกลัทไพลเซอร์ (Tiglath-Pileser / 1115-1076 ปีก่อนคริสตกาล) ทำให้เราทราบว่า ทุกครั้งที่เสด็จกลับมาจากการศึกสงคราม พระองค์จะทรงนำเอาพืชพันธุ์ไม้แปลกๆ จากดินแดนที่พระองค์ทรงยึดครองได้กลับมายังอัสซีเรียเพื่อนำมาเพาะปลูกไว้ในพระราชอุทยานของพระองค์ ดังปรากฏในจารึกว่า
พืชพรรณไม้มีค่า ซึ่งไม่มีในดินแดนของข้า ข้าได้ปลูกมันไว้ในอุทยานแห่งอัสซีเรียน นอกจากนั้นประติมากรรมนูนต่ำจาก นครคอร์ซาบัด หรือ ดูร์ชาร์รูคิน (Khorsabad / Dur-Sharrukin) (รูปที่ 13) และเมืองเกายูนจิค (Kouyunjik) (รูปที่ 14 และ 15) ยังแสดงภาพอุทยานของอัสซีเรีย ที่สร้างบนเนินสูง มีธารน้ำ ไม้ดอกไม้ประดับนานาพรรณ และนกนานาชนิด บนยอดเนินปรากฏสิ่งก่อสร้างที่สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นเทวาลัยหรือแท่นบูชาสำหรับบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ประติมากรรมนูนนี้ทำให้นักโบราณคดีสันนิษฐานว่า สวนลอยแห่งบาบิโลน ที่มีลักษณะก่อตัวสูงขึ้นไปเป็นชั้นๆ แบบขั้นบันได น่าจะสร้างตามแบบพระราชอุทยานใน นครนิเนเวห์ (Nineveh) ซึ่งพระเจ้าเซนนาเชริบ (Sennacherib) ผู้ปกครองอาณาจักรอัสซีเรียระหว่าง 705-681 ปีก่อนคริสตกาล ทรงมีพระบัญชาให้สร้างขึ้นที่ริมฝั่งแม่น้ำไทกริส เพื่อถวายแก่พระราชินีธาสเมทูนซาร์รัท (Tasmetun-Sarrat) พระมเหสีของพระองค์ (รูปที่ 16 และ 17) สำหรับการบริหารจัดการเรื่องระบบน้ำคงจะใช้ระหัดสูบน้ำของอาร์คิมิดิส ที่ใช้กันแพร่หลายในดินแดนอัสซีเรีย ทดน้ำจากแม่น้ำไทกริสขึ้นไปบนอุทยาน ถึงแม้ว่าฐานรากของอาคารที่มีโครงสร้างระบบเพดานโค้ง ซึ่งโคลเดไวขุดพบ จะไม่ได้รับการยอมรับว่าเป็นของสวนลอยอันเลื่องชื่อ แต่นักโบราณคดีส่วนใหญ่ก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่า อุทยานซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ 1 ใน 7 ของโลกนี้ จะเป็นเพียงจินตนาการอันพิสดารพันลึกของผู้เขียนบันทึกยุคโบราณเท่านั้น สาเหตุเพราะสถานการณ์ความวุ่นวายทางการเมืองในประเทศอิรักที่ผ่านมาหลายปีจนถึงปัจจุบัน ทำให้การขุดค้นทางโบราณคดีในดินแดนพระจันทร์เสี้ยวต้องหยุดชะงักลงอย่างไม่มีกำหนด บางทีสวนลอยแห่งนครบาบิโลนอาจยังรอคอยผู้ค้นพบอย่างสงบภายใต้แผ่นดินอันร้อนระอุของประเทศอิรักอยู่ก็เป็นได้ พบกันใหม่ในสัปดาห์หน้า ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจเกี่ยวกับ น้ำ มาเล่าให้แฟนๆ ที่รักทุกท่านฟังอีก อย่าลืมคลิกเข้ามาอ่านต่อในวันพฤหัสบดีหน้านะคะ
|