|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | |
|
|
|
|
|
|
|
ร่ายรัตติกาล บทที่ 1
บทที่ 1
ติ๊ก... ติ๊ก.... ติ๊ก...
เสียงเข็มนาฬิกาทำงานในความเงียบสงัดของห้องพักโรงแรม ชวนให้ประสาทของหญิงสาวในชุดเสื้อสายเดี่ยวผู้นั่งไขว่ห้างอยู่บนม้านั่งปลายเตียงชักจะเริ่มนับถอยหลังติ๊กๆ และระเบิดออกตามได้บ้าง หล่อนขยับตัว กอดอก ถอนใจอย่างหงุดหงิด ตาโตสีดำจัดเพ่งมองเข้าไปในกระจกซึ่งส่องสะท้อนให้เห็นภาพเงาของคนที่นอนคว่ำอยู่บนเตียง ซุกเสี้ยวหน้าคมคายอยู่กับหมอนสีขาวใบโต
...เขาไม่มีทีท่าว่าจะสนใจกับอะไรทั้งสิ้น...
ติ๊ก... ติ๊ก... ติ๊ก...
ทิชาถอนใจอีกครั้ง คราวนี้ลุกยืน เริ่มสาวเท้ากลับไปกลับมา หล่อนมองไปยังกระเป๋าถือซึ่งวางทิ้งอยู่บนโต๊ะเล็กริมหน้าต่าง กัดริมฝีปาก...ชั่งใจ
...ไม่ ไม่ และไม่...
ติ๊ก... ติ๊ก... ติ๊ก...
...ไม่เอา อย่ายอมแพ้ต่อความยั่วยวน...
ติ๊ก... ติ๊ก... ติ๊ก...
“ทำไมโรงแรมนี้ไม่รู้จักใช้นาฬิกาดิจิตอลกับเขาบ้างเนี่ย?”
เสียงฉุนๆ นั้นระเบิดออกจากปากหญิงสาวก่อนเจ้าตัวจะทันยั้ง และชายหนุ่มผู้นอนอยู่บนเตียงก็ขยับตัว พ่นลมหายใจออกมาหน่อยหนึ่ง ก่อนจะพึมพำเป็นคำแรก ด้วยเสียงอู้อี้...เพราะเจ้าตัวยังซุกหน้าอยู่กับหมอนอย่างไม่ยอมเปลืองแรงผงกศีรษะขึ้น
“พาลนาฬิกาอีกแล้วหรือ ทิชา”
คนถูกเรียกทำเสียงฮึในคอ หน้าง้ำลง อยากเถียง แต่เกรงจะเข้าเนื้อ หล่อนจึงทำเพียงกอดอกแน่น มองเขาเหมือนจะกินเลือดกินเนื้อ และฝ่ายนั้นก็เหมือนจะรู้ตัว เพราะชายหนุ่มเอี้ยวกาย ยันตัวขึ้นนิด เลิกคิ้วและมองมา ผมหยักศกตัดสั้นยังยุ่งเหยิง เช่นเดียวกับตาสีน้ำตาลอ่อนจางกว่าคนไทยทั่วไปซึ่งยังหรี่ปรือ แลดูยั่วใจอย่างสาหัสสำหรับผู้หญิง
ไม่ต้องซุกอยู่บนเตียงกับเสื้อผ้ายับยุ่งแบบนี้หรอก แค่ที่ล็อบบี้ข้างล่าง ตอนคุยกับพนักงาน หล่อนก็เห็นสายตาของสาวหลายคนมองมาที่แผ่นฟ้า...เหมือนจะอยากจะฉุดเขาลากเข้าห้องไปเสียเดี๋ยวนั้น หมอนี่ปล่อยฟีโรโมนได้หอมฟุ้งนักละ ต่อให้ยืนอยู่เฉยๆ ก็ตาม
แต่ต่อมฮอร์โมนของหล่อนคงทำงานบกพร่องไปแล้ว เพราะสิ่งที่หล่อนรู้สึกมีแต่ความฉุนเฉียว หรือไม่...หล่อนก็คงเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่รู้จักแผ่นฟ้ามามากพอ พอที่จะมีภูมิต้านทาน
“ฉันเกลียดเสียงเข็มเดินนั่น เกลียดดดดดมันนนนนนนน”
ชายหนุ่มเลิกคิ้วสูงขึ้นอีก แล้วจึงเปิดยิ้มพราย เขายกมือขึ้นขยี้ผม เลื่อนตัวขึ้นนั่งอิงกับหัวเตียง สีหน้าของเจ้าตัวบอกอารมณ์อ่อนใจหน่อยๆ เมื่อเขากระเดาะปาก เอ่ยอย่างที่ทำให้หญิงสาวเริ่มอยากชกหน้า
“ลำบากหน่อยนะ”
“ไม่มีความเห็นที่ดีกว่านั้นหรือ”
หางเสียงของหล่อนเย็นเยียบ ทว่าแผ่นฟ้าไม่มีทีท่าจะสะทกสะท้านกับประโยคคำถามที่ได้ยิน เขาเพียงมองมา ทำหน้าซื่อ...แบบที่ทิชาไม่เห็นความซื่ออยู่ในนั้นเท่าไรนัก และหญิงสาวก็ได้แต่เข่นเขี้ยว หรี่ตาลงมองคนที่บอกหน้าตาเฉย
“ก็ผมมันไม่ใช่แฟนนาฬิกาดิจิตอล พูดก็พูดเถอะ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์น่ะไว้ใจไม่ได้มากนักหรอก”
และนี่เป็นคำพูดจากปากของคนที่ดูเหมือนจะเล่นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แทบทุกชนิดที่มีในโลก และมีเครื่องไม้เครื่องมือไฮเทคจนบางทีสถาบันวิจัยหลายแห่งอาจต้องชิดซ้าย... ทิชากลอกตา ไม่อยากคิดว่าแผ่นฟ้าเอาเงินค่าจ้างของตัวเองไปละลายกับอะไรมาแล้วบ้าง
ผู้ชาย...กับของเล่น
แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้โกหกเสียทีเดียวหรอก เพราะกับนาฬิกาข้อมือ ยังไงๆ เขาก็เลือกนาฬิกาไขลาน แม้เจ้านาฬิกานั่นจะไม่ใช่ของกระจอกๆ แต่ราคาทะลุหลักแสน มีกลไกอันวิเศษที่เขาอธิบายสามวันเจ็ดวันไม่จบ และแน่ละ...หล่อนไม่เข้าใจ
...ใครกันอยากจะเข้าใจ และใครกันจะแคร์ว่าเขาคิดยังไง...
หญิงสาวพ่นลมหายใจออก ทำเสียง ‘ฮึ’ ในคออีกรอบ ในที่สุดก็พ่ายแพ้ต่อความอยากเมื่อสาวเท้าไปยังโต๊ะตัวเล็ก คว้ากระเป๋าถือขึ้นเปิดและดึงซองบุหรี่ออกมา หล่อนยังไม่ทันสูดควันแรกเข้าปอดสำเร็จเลยด้วยซ้ำเมื่อเสียงทุ้มของคนบนเตียงเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ไม่เชิงตำหนิ... ทว่าเหมือนชวนคุยมากกว่า
“ครั้งสุดท้ายที่ไปหา แม่คุณเขาก็เตือนไม่ให้สูบบุหรี่ไม่ใช่หรือ”
“หุบปากน่า”
ทิชาทำเสียงงึมงำลอดออกมาจากปากที่คาบบุหรี่อยู่ หล่อนลดไฟแช็กลง รู้ดี...ว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป
“สูบบุหรี่แล้วจะเป็นมะเร็งปอด รู้ใช่ไหม”
“คุณบอกมาสามพันเจ็ดร้อยครั้งแล้ว”
“เคยเห็นภาพถ่ายหรือเปล่า น่าจะเห็นนี่ มันอยู่บนซองบุหรี่ ปอดดำ สีเน่าๆ...” ชายหนุ่มถอนใจยาว เลื่อนตัวกลับลงไปนอนหงายบนเตียง ถ้ายกมือขึ้นทาบอกได้คงทำไปแล้ว “แล้วคุณเคยเห็นคนเป็นมะเร็งปอดไหม ผอมซีด ไอเป็นเลือด คอบวม หายใจก็ไม่ค่อยออก กินอะไรก็ไม่ค่อยได้...”
“คุณฟ้า...”
“แล้วต่อไปถ้ามะเร็งมันลุกลาม ก็จะเป็นอัมพาต...”
แผ่นฟ้าร่ายสุนทรพจน์เรื่องทุกขเวทนาอันเกิดจากพิษภัยแห่งการสูบบุหรี่ต่อไป ชนิดเจาะทุกช็อต ทุกอาการ วาดให้เห็นทุกภาพ จากมะเร็งปอดไปต่อด้วยถุงลมโป่งพอง ด้วยเสียงรื่นรมย์เหมือนกำลังคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์เรื่องใหม่ที่เพิ่งเข้าโรง
ห้านาทีผ่านไป ทิชาหมดอารมณ์สูบบุหรี่ และนึกสงสัยเป็นครั้งที่ร้อยว่าผู้ชายคนนี้รอดชีวิตมาจนอายุจะสามสิบอยู่รอมร่อได้ยังไงโดยไม่โดนฆ่าหมกศพ
“นี่ คุณฟ้า...”
“กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด!”
คำพูดของหล่อนถูกสะบั้นลงด้วยเสียงร้องโหยหวนที่กรีดขึ้นอย่างปุบปับ แหลมสูง เจ็บปวดอย่างยิ่ง และแสงจากโคมไฟก็ดับพรึ่บลงแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย หญิงสาวสะดุ้ง หวิดจะทำบุหรี่หลุดตกจากมือ ถ้าหล่อนจะไม่จับมันขยี้ลงกับโต๊ะเสียทัน และวิทยากรผู้นิ่งเฉื่อยอยู่บนเตียงเมื่อครู่ก็ดีดตัวผึงขึ้นจากเตียงทันควันเหมือนมีตามองเห็นในความมืดได้ เขาพรวดมาถึงตัวหล่อนแทบจะในอึดใจเดียว พร้อมกับที่แขนแข็งแรงตวัดออก รวบรอบเอวหญิงสาว อุ้มลอยขึ้นโดยไม่ต้องใช้ความพยายาม
...เมื่อเท้าหล่อนแตะพื้นอีกครั้ง ร่างของหล่อนก็ถูกกันไว้ด้วยร่างสูงของแผ่นฟ้า ห่างจากต้นเสียงนั้น...กระจกปลายเตียงที่หล่อนส่องดูอยู่ก่อนหน้านี้
“โอ๊ะโอ”
แผ่นฟ้าอุทานออกมาเบาๆ อย่างที่มีคนไม่น้อยกว่าสิบคนเคยบอกว่า ‘โคตรเหมือนเทเลทับบี้ส์เวอร์ชั่นหลอน’ เขามองไปตรงหน้าตาไม่กะพริบ พึมพำเสียงเย็น
“เอาแล้วไง”
ขนทั่วตัวของเขาลุกซู่ อากาศรอบกายหนาวเยือก เหมือนที่มักเป็นเมื่อเกิดปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติแบบนี้ขึ้น
ของเหลวสีแดงเข้มค่อยๆ ไหลซึมออกมาจากบานกระจก ธารเลือดที่อาจทำให้ใครหลายคนกรีดร้องไม่ได้สติ จับไข้หัวโกร๋นหรือล้มพับหมดสติลงไปตรงนั้น เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคนที่โชคร้ายหลงมาพักในห้องพักห้องนี้หลายคน ทว่าชายหนุ่มเพียงสูดหายใจลึก สอดมือเข้ากระเป๋ากางเกง ก่อนจะยืดตัวตรง เอียงคอมองภาพตรงหน้า ออกปากวิจารณ์อย่างใจเย็น...ผิดมนุษย์
“ให้ตาย เฮี้ยนชะมัดเลยนะเนี่ย”
“ปากเก่งอีกแล้ว! เดี๋ยวก็ได้ตายจริงๆ หรอก!”
เสียงทิชาขู่ฟ่ออยู่ข้างหลังเขา กระแสความเป็นห่วงปะปนอยู่ในถ้อยนั้น และทำให้แผ่นฟ้าลอบยิ้มออกมานิด ทว่าเขาก็เพียงบอกปัดความเห็นกราดเกรี้ยวของหล่อนออกไปเหมือนไม่แยแสด้วยประโยคแถลงเรียบๆ
“ปกติผีไม่ฆ่าคนหรอกน่ะ”
...แล้วไอ้ระดับความเฮี้ยนขนาดนี้มันปกตินักหรือยะ!
หญิงสาวอยากกรีดร้องให้ลั่นโลก แต่ที่หล่อนทำได้คือคว้าชายเสื้อยืดเขาไว้ กำแน่น และชายหนุ่มก็เอื้อมมือกลับมา จับมือหล่อนกุมไว้แผ่วเบา ก่อนจะบีบเข้า เหมือนจะปลอบให้มั่นใจ
...ขณะที่เขายังมองเข้าไปในกระจก...มองใครบางคนที่หล่อนไม่เห็นจากมุมข้างหลังเขานี่...
ความเงียบเข้าครอบคลุมอยู่อึดใจใหญ่ ระหว่างที่แผ่นฟ้าเฝ้ามองภาพเงาซึ่งก่อตัวขึ้นในบานกระจกเลือด ร่างนั้นปรากฏให้เห็นเพียงครึ่ง...ท่อนบนอันโชกโลหิต โปร่งใสจนแลทะลุได้ เขามองเห็นบาดแผลฉกรรจ์มากมาย ดวงตาที่มองมาอย่างเจ็บแค้น ปวดร้าว...อาฆาต
และรอยยิ้มของเขาก็ลบไปทันควัน
...เขาเห็นความทุกข์ทรมานของวิญญาณตรงหน้า...
มันไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะเห็นหรือรู้สึก ไม่ใช่ทุกคนที่มีสัมผัสอย่างเขา
“คุณได้ยินผมไหม”
เสียงเอ่ยของแผ่นฟ้าแผ่วเบา...นุ่มนวล ทว่าก็เหมือนจะสะท้อนกังวานออกได้เมื่อเขามองเจ้าของเงาที่ไร้ร่างนั้น วาจาที่หนักแน่นมั่นคง ทว่าอ่อนโยน เขายื่นมือออกแตะบานกระจก ไม่มีทีท่าหวั่นเกรง ไม่ละสายตา...แม้เมื่อดวงตาก่ำเลือดของวิญญาณหญิงผู้นั้นวาบปลาบขึ้นอย่างกราดเกรี้ยว
“ผมไม่ได้มาร้าย... เราไม่ได้มาร้าย” เขาแก้เมื่อทิชาจิกนิ้วกับชายเสื้อเขาแน่นขึ้น “เราแค่อยากช่วยคุณ”
‘คนโกหก ผู้ชายโกหก ผู้หญิงแพศยา...’
เสียงนั้นกังวานสะท้อนเข้ามาในศีรษะเขา ขุ่นข้นไปด้วยอารมณ์จนแผ่นฟ้าเกือบสำลักความรุนแรงที่กระแทกเข้าใส่ หญิงสาวข้างหลังเขาเองก็ตัวสั่น ชายหนุ่มไม่รู้ว่าหล่อนได้ยินเสียงจากอีกโลกนั้นไหม แต่รู้ว่าหล่อนคงสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงในบรรยากาศเช่นกัน
เมื่อเขามองเข้าในกระจก อาจพูดได้ว่าสายตานั้นมองตรงมายังเขา แต่จะว่าไปอีกที...ก็ไม่ใช่ แม้ดวงตาของวิญญาณนั้นจะมองแน่วมา แต่ชายหนุ่มมีความรู้สึกว่าอีกฝ่ายเห็นคนอื่น
ผู้ชายอีกคน และ...ผู้หญิงอีกคน
“ผมไม่ได้โกหก”
‘โก-หก!’
กระจกแตกเปรี๊ยะ ร้าวออกอย่างรวดเร็วก่อนมันจะพุ่งเข้าใส่เขา แผ่นฟ้ามีเวลาทันพอแค่ให้หลับตา ก้มศีรษะและยกแขนขึ้นกัน... นิดเดียว และอึดใจถัดมา ความเจ็บปวดก็บาดผ่านจนเขาต้องกัดริมฝีปากกลั้นเสียงอุทาน
“คุณฟ้า!”
คราวนี้เสียงร้องของทิชาไม่ใช่เสียง ‘วีน’ หรือเอาเรื่องแบบที่หล่อนมักเป็น แต่ท่วมด้วยความวิตกเมื่อหล่อนดึงชายหนุ่มให้ถอยกลับและเป็นฝ่ายออกหน้าเอาตัวบังเขาไว้เสียเอง หล่อนหันหลังให้กระจกอย่างไม่แยแสเมื่อกวาดตาสำรวจสภาพร่างกายเขาแบบไม่ห่วงอะไรอื่น เสียงถามร้อนรน “คุณเป็นอะไรไหม”
แผ่นฟ้าสั่นศีรษะ แต่หญิงสาวเหมือนจะไม่เชื่อเท่าไรนักเมื่อหล่อนหรี่ตาลง เม้มปากแน่น ปล่อยเขาและหันขวับกลับไปทางกระจกซึ่งแตกเป็นเสี่ยงบานนั้นด้วยท่าทีลุกเป็นไฟขึ้นมา
“นี่มันชักจะมากไปแล้วนะ!”
แรงโทสะของทิชาทำให้ชายหนุ่มหนาวเยือก มันเหมือนแม่งูจงอางที่ถูกมือดีเข้ามาทำลายไข่ ตอนนี้เขาไม่เห็นวิญญาณนั้นอีกต่อไปแล้ว แต่เขารู้ว่าทิชาเห็น หล่อนเปิดสัมผัสของตัวเองออกแล้วในตอนนี้ แม้ปกติทิชามักปฏิเสธความสามารถของตัวเอง การปิดกั้นที่ทำให้หล่อนเหมือนคนธรรมดา
และ...เขารู้ว่าหล่อนทำอะไรได้บ้าง
“อย่า เธอไม่ใช่วิญญาณร้าย”
มือหนาคว้าข้อมือหล่อนไว้ทันควัน บีบกระชับแน่นราวกับปลอกเหล็ก และถ้อยทุ้มหนักก็ดังอยู่ข้างหู ดึงสติของหญิงสาวกลับมา แม้ความโกรธซึ่งหลั่งไหลไปตามกระแสเลือดยังไม่ลดลง
หล่อนมองเจ้าของร่างเงาซึ่งล่องลอยซีดจางอยู่ตรงนั้น นึกอยากทำลายอีกฝ่ายลงไปคามือ กักให้ทนทุกข์ไปอีกชั่วกัปชัวกัลป์...
“ทิชา เขากำลังพูดกับผม”
เสียงของแผ่นฟ้าหนักขึ้น เหมือนว่าเขาอ่านใจหล่อนออกทุกอย่างว่ากำลังคิดจะทำอะไร
ถ้าถามหล่อน หล่อนไม่ใส่ใจเลยสักนิดว่าฝ่ายนั้นจะกลับใจคิด ‘เจรจา’ ด้วยหรือไม่ วิญญาณนั้นทำตัวเป็นศัตรูกับหล่อนก่อน และหล่อนไม่คิดจะดีกลับ ตาต่อตาฟันต่อฟันเป็นหลักการของทิชาเสมอ
แต่แผ่นฟ้ามักพยายามใช้สันติวิธีจนถึงที่สุด และเมื่อเขาออกปากห้าม หล่อนก็ไม่คิดขัดใจ
...แม้จะไม่พอใจ...
หญิงสาวกัดกรามเข้า อดทนอยู่ในความสงัดเงียบของห้องนั้น รู้ว่าชายหนุ่มกำลังสื่อสารทางจิตอยู่ การสื่อสารที่หล่อนไม่ได้ยินด้วย และมันทำให้สติหล่อนใกล้จะขาดเต็มที มีเพียงสัมผัสของแผ่นฟ้าเท่านั้น...ที่ตรึงหล่อนไว้ ทิชาเพียงจ้องมองวิญญาณผู้หญิงตรงหน้า มองดูสีหน้าของฝ่ายนั้นที่แปรเปลี่ยนไปทีละนิด จากสับสนไปจนหมองเศร้า จนเป็นท่าทางเหมือนกำลังสะอึกสะอื้น
ดูเหมือนเพื่อนร่วมงานของหล่อนจะควบคุมสถานการณ์ไว้ได้แล้ว
“คุณจะทำร้ายตัวเองไปอีกนานแค่ไหน”
ที่สุดประโยคนั้นก็หลุดออกจากปากชายหนุ่ม เขาสั่นศีรษะ มองไปรอบห้อง น้ำเสียงสลด...จริงจังและจริงใจจนรู้สึกได้ “คุณจะขังตัวเองอยู่ที่นี่ไปอีกนานแค่ไหน ทำร้ายคนที่ไม่เกี่ยวข้อง...ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยอีกนานแค่ไหน”
วิญญาณนั้นสั่นศีรษะ ขยับปากพูดบางสิ่งที่ทิชาไม่ได้ยิน
“จับมือผม ผมจะพาคุณออกไป”
ร่างนั้นเอื้อมมือออกมา มือที่เผือดซีด ให้สัมผัสเย็นเยียบในมือของเขา แผ่นฟ้าสูดหายใจลึก สัมผัสถึงคลื่นพลังงานที่เลื่อนไหลมาสู่ร่าง มันกระทบกับคลื่นพลังงานในตัวเขา เหมือนวงคลื่นสองวงที่ผสานกันเข้า...และเกิดเป็นรูปแบบใหม่
...ความปั่นป่วนค่อยๆ สงบลง คลื่นวงสุดท้ายแผ่ซ่านออกไป...
จากสายตาของทิชา หล่อนมองเห็นประกายพร่าปรากฏรอบวิญญาณดวงนั้น เหมือนภาพเงาที่เต้นไหวในเปลวแดด หยาดเลือดที่โชกชโลมค่อยๆ เลือนไป เงาร่างยิ่งจางลง...จางลง... จนที่สุด...กับรอยยิ้มขอบคุณรอยยิ้มสุดท้าย เจ้าหล่อนก็หายวับ
และชายหนุ่มก็ยกมือขึ้นกุมหน้า ครางออกมา
“คุณฟ้า?”
หางเสียงเรียกของหล่อนทั้งตกใจ ไม่แน่ใจ แต่แล้วแผ่นฟ้าก็เงยหน้าขึ้น สั่นศีรษะ บอกปัดความห่วงใยนั้นอย่างง่ายๆ
“แค่เหนื่อยนิดหน่อย ไม่เป็นไร”
เขาหมุนตัว สาวเท้ากลับไปที่เตียงนอนอย่างระมัดระวังไม่ให้เหยียบเศษกระจกและนั่งผลุบลง สูดปากเหมือนเพิ่งเริ่มรู้สึกเจ็บแผลกระจกบาดเหล่านั้นขึ้นมา บางทีเขาอาจเพิ่งรู้สึกจริงๆ ก็ได้ ทิชารู้ว่าบางครั้งเมื่อเขาตั้งสมาธิทำงานอยู่แล้ว ใจของเขามีอำนาจเหนือกว่าร่างกาย
และหล่อนแทบไม่อาจรู้เลย ว่าเมื่อไรที่เขากำลังฝืนจนอาจล้มลงไปได้ยามเรื่องทั้งหมดยุติลง
ชายหนุ่มยกแขนทั้งสองขึ้น สำรวจดูสภาพแผล โชคดี...ที่ไม่มีแผลไหนลึกมาก และเหมือนเขารู้ความคิดหล่อน แผ่นฟ้าเอ่ยขึ้นมาลอยๆ
“เธอแค่โกรธและอยากสั่งสอน เตือนไม่ให้เรามายุ่งกับที่ของเธอน่ะ ไม่ได้คิดทำร้ายผมจริงๆ หรอก”
“นี่น่ะหรือไม่ทำร้าย”
เสียงของทิชายังกรุ่นด้วยโทสะ แต่เมื่อหน้าคมคายนั้นเงยขึ้น สบตาหล่อน หญิงสาวก็ได้แต่ร้องฮึ สะบัดหน้าไปอีกทาง
“คุณน่ะใจดีเกินไป”
“ส่วนคุณก็ใจร้อนเกินไป”
ชายหนุ่มสวนคำกลับแบบที่ทำให้หล่อนเลือดขึ้นหน้าว่าห่วงเสียเปล่าแท้ๆ ทว่าเขาก็คล้ายจะรู้ว่าคำพูดของตนได้สร้างปฏิกิริยาแบบไหนให้เกิดขึ้น เพราะเจ้าตัวรีบคว้าแขนคู่สนทนาเมื่อหล่อนทำท่าจะเดินไปหยิบบุหรี่ขึ้นจุดสูบดับความโมโหอีกรอบ
“เดี๋ยว ทิชา”
หญิงสาวชะงักเท้า หันกลับมามองอย่างเสียไม่ได้
“คืนนี้อย่าสูบบุหรี่อีกเลย ไม่เห็นหรือว่าเมื่อกี้มันเฉียดกับการที่เราจะเผาโรงแรมเขาแค่ไหน?”
และขณะที่หญิงสาวยังอ้าปากค้าง พูดไม่ออก ตอกหน้าไม่ถูกอยู่นั้น แผ่นฟ้าก็ยกมือขึ้นโบก สีหน้าของเจ้าตัวบอกว่ายังไม่คลายความเจ็บแผล ทว่าก็ยังไม่วายทำปากเก่งใส่ “หวังว่าเจ้าของโรงแรมคงไม่หักค่าเสียหายเรื่องกระจกกับรอยไหม้บุหรี่บนโต๊ะนั่นหรอกนะ”
**************
รถยนต์สีเงินคู่ใจหล่อนซึ่งแผ่นฟ้าตั้งชื่อแผลงๆ ให้ว่า ‘วอร์เท็กซ์’ แล่นหวือไปตามทางมอเตอร์เวย์ มุ่งจากภาคตะวันออกกลับสู่กรุงเทพมหานคร ทิชาเคยบ่นใส่หน้าเขาว่าชื่อพิลึกนั่นทำให้หล่อนนึกถึงระบบน้ำวนไซฟอนวอร์เท็กซ์ในโถส้วม แต่ชายหนุ่มทำหูทวนลม...อย่างที่เขาถนัด และเรียกมันแบบนั้นต่อไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้
แม้หล่อนจะสงสัยว่าแผ่นฟ้านึกสนุกกับการเรียกชื่อรถหล่อนเสียๆ หายๆ แต่วอร์เท็กซ์ยังเป็นศัพท์ที่รู้กันในหมู่นักล่าผีชาวตะวันตก ว่าหมายถึงลำแสงรูปกรวยเหมือนพายุหมุนที่ปรากฏใน ‘ภาพถ่ายวิญญาณ’ และเชื่อกันว่าเป็นสื่อที่วิญญาณใช้เดินทางจากโลกหนึ่งไปอีกโลกหนึ่ง ชายหนุ่มหัวเราะใส่ภาพถ่ายเหล่านั้นร้อยละเก้าสิบเก้าที่ ‘มือสมัครเล่น’ มักเอามาอวดในอินเทอร์เนต บอกว่าเขาดูอย่างไรมันก็เหมือนสายกล้องที่ตกไปอยู่หน้าเลนส์ แต่เขาไม่ออกความเห็นกับอีกร้อยละหนึ่ง และพูดว่ามันอาจเป็นอะไรก็ได้
ทิชาไม่รู้ว่าเขาเคยเห็นอะไรคล้ายกันนั้นมาก่อนหรือเปล่า เพราะปกติแล้ว ‘การรับรู้’ ของเขาคมกว่าหล่อน แผ่นฟ้าไม่เคยเลือก ‘ปิดตา’ แบบที่หล่อนทำ แม้เขาจะไม่เคยบอกเหตุผลว่าทำไม แต่หล่อนคิดว่าหล่อนรู้...แผ่นฟ้าคิดถึงตัวเองน้อยกว่าคนอื่นเสมอ
...คนอื่นที่ว่าเหมือนจะไม่รวมหล่อนในตอนนี้...
“ว้า ฟังไม่มันเลยทิชา”
เส้นโลหิตของหญิงสาวกระตุกเมื่อชายหนุ่มยื่นมือมาที่แผงหน้าปัดเครื่องเสียงติดรถ เร่งเสียงเพลงสากลแนวฮิปฮอปซึ่งกำลังท็อปฮิตติดชาร์ตอยู่ให้ดังขึ้นอีก มันกระหึ่มก้องขึ้นราวกับเจ้ากล่องเหล็กวิ่งได้ที่หล่อนขับอยู่นี่เป็นผับที่กำลังระเบิดความแรงสุดเหวี่ยง และเป็นผับที่ดีเจมีรสนิยมการเลือกเพลงห่วยแตกเสียด้วยในความคิดหล่อน
จะฟังเท่าไร...พยายามกี่ครั้งและกี่หน เจ้าเพลงพวกนี้ก็แสนจะระคายหูสิ้นดีและชวนให้ไมเกรนขึ้น โชคร้ายของหล่อนที่คนเป็นผู้โดยสารอยากฟัง
“คุณน่ะมันบ้า”
ทิชาสบถงึมงำในคอเมื่อหล่อนประคองพวงมาลัย เหลือบมองคนที่กำลัง ‘บ่น’ ตามเพลงจากเครื่องเสียงอย่างร่าเริง แผ่นฟ้าดูสบายใจเหมือนเพิ่งกลับมาจากการพักตากอากาศไม่มีผิด สีหน้านั้นให้อยู่หรอก แต่สภาพต่างหาก...ที่ไม่ให้
แขนของชายหนุ่มพันไว้ด้วยผ้าพันแผลสีขาวทั้งสองข้าง รวมทั้งมีพลาสเตอร์ปะหน้าอยู่สองแห่ง...ตรงที่เศษกระจกแฉลบมาโดน หล่อนรู้ว่าใต้เสื้อเชิ้ตผ้าฝ้ายสีขาวเรียบที่เจ้าตัวปล่อยชายออกนอกกางเกงยีนนั้นก็มีผ้าพันแผลเหมือนกัน แต่เหมือนทุกครั้งที่เจ็บตัว ‘ในหน้าที่’ แผ่นฟ้าไม่เคยปริปากโอดโอย
หล่อนไม่รู้ว่าเขาโกหกหมอว่าอย่างไรเรื่อง ‘อุบัติเหตุ’ และไม่แน่ใจว่าอยากรู้ เนื่องจากครั้งสุดท้ายที่เขาเจ็บตัว...หัวแตกเพราะปรากฏการณ์วิญญาณโพลเตอร์ไกส์* ชายหนุ่มบอกหมอหน้าตาเฉยว่าเขาทะเลาะกับแฟน...คือหล่อน และหล่อนเอาแจกันขว้างหัวเขา
ดีที่การทำงานพาหล่อนและเขาไปทั่วประเทศ ถ้าเขาเข้าพบหมอคนเดียวกันทุกครั้งละก็...ไม่ใครก็ใครคงกาหัวว่าหล่อนเป็นพวกซาดิสม์และเขาเป็นมาโซคิสม์
“อยู่ๆ คุณมาว่าผมบ้าทำไมน่ะ”
คนหูดี...แม้น่าจะหูดับไปแล้วเพราะความดังของเพลงหันมาสบตาหล่อนและเลิกคิ้วขึ้น ท่าที ‘ซื่อใสไร้เดียงสา’ ที่ทำให้หญิงสาวเหยียดริมฝีปากออก เอ่ยเสียงขุ่นในคอ
“ทำไมคุณไม่หลบ ตอนกระจกนั่นแตก”
แผ่นฟ้ากะพริบตา คล้ายเขาไม่คิดว่าจะได้ยินคำถามนั้น ชายหนุ่มเงียบไปชั่วครู่...เกือบจะดูมิพิรุธ ก่อนจะตอบออกมาง่ายๆ
“ผมไม่ทันคิด”
...ไม่ทันคิด... ทิชาทวนคำนั้นในใจด้วยอารมณ์ที่ยังไม่เป็นปกตินัก เขาอาจจะพูดความจริงก็ได้ที่ว่าไม่ทันคิด ถ้าไม่ทันคิดแปลได้ว่าความคิดนั้นไม่อยู่ในสมอง
ใช่ว่าเขาทื่อจนไม่รู้ว่าควรหลบ หล่อนสงสัย...ว่าถ้าเขาอยู่คนเดียวในห้องนั้น สัญชาตญาณแรกของแผ่นฟ้าคงเป็นการหลบอย่างไม่ลังเล แต่ไม่ใช่นิสัยของแผ่นฟ้าที่จะหลบ เมื่อมีหล่อนอยู่ข้างหลัง
...บางทีหมอนี่ก็เป็นคนดีจนน่าหงุดหงิด ดีเกินไป...
หล่อนไม่ได้ต้องการให้ใครมาปกป้องสักนิด!
“ไม่ทันคิดบ่อยๆ สักวันค่าจ้างคุณจะไม่คุ้มค่าหมอ”
หล่อนพึมพำ บังคับตนเองให้มองถนนไว้ และสั่งตัวเองไม่ให้โกรธคนมองโลกในแง่ดีจนเหลือเชื่อที่นั่งอยู่ข้างๆ นึกถึงค่าจ้างที่ได้รับจากการ ‘ไล่ผี’ ให้เจ้าของโรงแรมในคราวนี้พลางดีดลูกคิดคำนวณบัญชีในใจอย่างรวดเร็ว
“ก็เคยบอกแล้วว่าผมมีประกัน”
ชายหนุ่มยังอุตส่าห์ตอบมาจนได้ แม้ว่าคำถามของหล่อนจะไม่ต้องการคำตอบ และทิชาก็ได้แต่กลอกตา ส่งเสียงถามกลับ
“ใครหน้าไหนนะบ้ายอมให้คุณทำประกัน โกหกประวัติการรักษาพยาบาลหลอกไปยังไงล่ะ”
“เฮ้ ผมไม่ใช่คนขี้โกหกสักหน่อย”
“น้อยไปสิไม่ว่า”
คราวนี้แผ่นฟ้าเป็นฝ่ายกลอกตาเสียเองเมื่อเขาถอนใจเฮือก...แบบที่ทิชาอยากกาหัวว่าเจ้าตัวจงใจให้หล่อนได้ยินชัดๆ ก่อนจะอ้าปาก ทำท่าจะเอ่ยอะไรต่อไปอีก ถ้าเสียงโทรศัพท์มือถือของเขาจะไม่ดังขึ้นก่อน...เป็นท่อนหนึ่งจากเพลงโฟร์ซีซันของวิวัลดี ที่หล่อนเคยทักว่าไม่เหมือนรสนิยมการฟังเพลงตามปกติของเขาเลยสักนิด แต่ชายหนุ่มกลับบอกหน้าตาเฉยว่า ‘ไว้สร้างอิมเมจต่อหน้าลูกค้า’
“ฮัลโหล”
เจ้าตัวเอื้อมมือไปปิดเครื่องเสียงทันควัน ก่อนจะดึงโทรศัพท์ดีไซน์เก๋ไก๋รุ่นล่าสุด...มากด้วยฟังก์ชันการใช้งานที่ทิชาคร้านจะทำความเข้าใจขึ้นมากรอกเสียงตอบ เขานิ่งไปชั่วครู่แล้วจึงรับคำ
“ครับ แผ่นฟ้าพูดอยู่ครับ”
เขาหันมาหาหล่อนราวกับรู้ว่าถูกชำเลืองมองอยู่ ทำปากขมุบขมิบว่า ‘งาน’ แล้วจึงนิ่งฟังเสียงจากอีกปลายสายต่อไป ถ้อยทุ้มที่ออกจากปากชายหนุ่มฟังสุขุม สงบ ผิดจากเมื่อครู่ลิบเมื่อเขาเอ่ยถามกลับ
“ไปตรังหรือครับ”
ทิชาปล่อยให้เขาเป็นฝ่ายพูดคุยกับลูกค้าไปเรื่อยๆ ขณะที่หล่อนขับรถ หูฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่ก็ยังได้ยินถ้อยสุดท้ายที่แผ่นฟ้าเอ่ยในที่สุดก่อนจะวางสาย
“ให้ผมเช็กตารางแล้วคุยกับหุ้นส่วนก่อนนะครับ แล้วจะติดต่อกลับไปว่าตกลงรับงานไหม”
หลังจากจบประโยคนั้น หญิงสาวจึงชำเลืองมองหน้า ‘หุ้นส่วน’ ของตนแวบหนึ่ง ส่งเสียงถามขึ้นลอยๆ
“เขาจะให้ลงใต้?”
“อืม สนใจไหม เป็นรีสอร์ตบนเกาะ ได้ไปเที่ยวทะเลฟรีนะรายการนี้”
“แน่ใจเหรอว่าจะได้เที่ยว” หญิงสาวปรายตามอง และแผ่นฟ้าก็หัวเราะ ไม่ปฏิเสธถ้อยกึ่งกล่าวหานั้น เพราะถึงจะดูไม่เป็นรูปธรรม งานของเขากับทิชาก็ไม่ใช่งานสบาย ซ้ำยังต้องเบิกตาตื่นอยู่ทั้งคืน...หรืออาจจะหลายคืน โดยไม่สามารถบีบคอให้วิญญาณปรากฏตัวออกมาได้
“ว่าแต่ไปตรัง เกาะอะไรล่ะ เกาะมุก? เกาะลิบง?”
“ไม่ใช่พวกนั้นหรอก เป็นเกาะเล็กๆ ที่นักท่องเที่ยวยังไม่ค่อยรู้จักน่ะทิชา” ชายหนุ่มเว้นวรรคไปขณะกดบันทึกหมายเลขโทรศัพท์ที่โทรเข้าเมื่อครู่ แล้วจึงหันมามองหน้าหล่อนอีกครั้งและตอบคำถาม
“เขาบอกว่าชื่อเกาะนางรอ”
***********
*Poltergeist เป็นปรากฏการณ์ที่ข้าวของปลิวหรือเคลื่อนที่โดยไม่มีคนทำ โดยเชื่อกันว่าเป็นฝีมือวิญญาณซุกซน (poltergeist มาจากภาษาเยอรมัน แปลว่าวิญญาณที่ส่งเสียงอึกทึก) แต่ช่วงหลังมีทฤษฎีว่าเป็นเพราะพลังงานความวุ่นวายใจ (nervous energy) ของวัยรุ่นซึ่งอยู่ในสถานที่ที่เกิดปรากฏการณ์นั้นๆ
Create Date : 15 กุมภาพันธ์ 2551 |
|
3 comments |
Last Update : 24 กรกฎาคม 2551 19:21:47 น. |
Counter : 537 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: nu_reader IP: 222.123.68.206 8 สิงหาคม 2551 7:44:53 น. |
|
|
|
| |
โดย: white_cat IP: 124.121.67.14 19 ธันวาคม 2551 12:49:08 น. |
|
|
|
| |
โดย: cat__a IP: 124.120.252.214 17 พฤษภาคม 2556 16:04:00 น. |
|
|
|
|
|
|
|