เขียนเรื่องราวของหนังไปเรื่อยเปื่อยของคนบ้าหนังเข้าเส้น
 
มีนาคม 2555
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
30 มีนาคม 2555

[สกู๊ปพิเศษ] เจมส์ แคเมรอน ชายผู้มองไปยังโลกอนาคตแล้วถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์ม ตอนที่ 2


หลังจากบ้าพลังเขียนเรื่องราวการเดินทางที่เริ่มต้นอย่างยากลำบากจนประสบความสำเร็จของยอดผู้กำกับระดับโลก เจมส์ แคเมรอน แล้วได้กำลังใจมามากจากผู้อ่าน และได้บอกไปก่อนหน้านี้ในบทความแล้วว่าไม่นาน ตอนที่ 2 จะตามมา ไม่เสียเวลาเริ่มกันเลยดีกว่าน่ะจ๊ะ

เช่นเดิม ผมหาข้อมูลจาก wiki google IMDB บทความดีๆจากพี่ หมื่นทิพ แล้วมาเรียบเรียงผสมให้ออกมาเป็นงานเขียนในแบบฉบับของตัวเองครับ หากมีข้อมูลที่ผิดพลาดไป ก็ขออภัยมา ณ ที่นี่ด้วยครับ

ผู้อ่านทุกท่านสามารถไปเยี่ยมชมเว็บไซต์ผมได้ที่ www.nangnadoo.com  น่ะครับ มีวิจารณ์หนัง ข่าวหนัง เต็มไปหมดเลย

 

สำหรับใครยังไม่ได้ไปอ่านตอนที่ 1 ตามไปได้ที่โดยพลัน

[สกู๊ปพิเศษ] เจมส์ แคเมรอน ชายผู้มองไปยังโลกอนาคตแล้วถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์ม ตอนที่ 1

ไปลุยเวียดนามกับ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ใน Rambo: First Blood Part II


ในช่วงที่กำลังถ่ายทำ The Terminator ซึ่งระหว่างที่กำลังรอคิวการไปถ่ายทำภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งของ อาร์โนลด์ นั้น เจมส์ แคเมรอน ใช้เวลาระหว่างรอไม่ได้ให้เสียเปล่า เขาเขียนบทหนังอีก 2 เรื่อง 1 ในนั้นคือ ภาคต่อของ First Blood ที่ ซิลเวสเตอร์ สตอลโลน ซึ่งตอนนั้นดังเป็นพลุแตกจากบทนักมวยผู้สู้ชีวิตใน Rocky แล้วมาบู๊เต็มกำลังกับหนังแอคชั่นทุนต่ำแบบกัดประเทศตัวเองแบบแสบๆใน บทบาทของ จอห์น แรมโบ้ ซึ่งในภาคต่อของหนังเรื่องนี้ใช้ชื่อว่า Rambo: First Blood Part II ซึ่ง เจมส์ ได้เขียนบทร่างแรกของตัวหนังเอาไว้ก่อนที่จะนำไปให้ สตอลโลน นำไปใช้กับหนังของตัวเองต่อไป หลังจากนั้น เจมส์ ได้เปิดเผยว่า “ผมเขียนบทร่างแรกออกมาแล้วส่งให้ สไลด์ ไปแต่รู้ไหมหลังจากที่ได้เห็นตัวหนังที่ออกมาแล้วมันแตกต่างจากที่ผมเขียนอย่างมากมาย อย่างสิ้นเชิงเลย ผมไม่ได้เขียนให้หนังมันออกมาแบบนั้นซักนิด สไลด์ เอาไปเปลี่ยนเกือบหลายอย่าง เอาง่ายๆ ผมเขียนอะไรที่มันดูเป็นหนังแอคชั่นฮีโร่เต็มที่ ก่อนที่ สไลด์ จะนำเอาไปเขียนเพิ่มเติมดัดแปลงในส่วนของ การเมือง ลงไปทีหลังนั้นเอง มันก็เลยดูแตกต่างจากที่ผมเขียนไปตอนแรก” อย่างที่ทราบกันดีว่า Rambo ภาคที่ 2 ประสบความสำเร็จอย่างมากทำรายได้ทั่วโลกไปมากกว่า 300 ล้านดอลล่าร์ จากทุนสร้าง 44 ล้านดอลล่าร์ ในปี 1985  ยิ่งทำให้ชื่อเสียงของ แคเมรอน เป็นที่รู้จักไปอีก เอ๊ะ! เดี๋ยวก่อน ผมบอกไปก่อนหน้านี้น่ะว่า เจมส์ เขาเขียนบทหนังไว้ 2 เรื่องใช่ไหม แล้วอีกเรื่องนึงมันเรื่องอะไรล่ะ…

Aliens เปิดตำนานตอนต่อของมฤตยูสะพรึงจักรวาล ให้ยอดเยี่ยมแถบจะเรียกได้ว่าเกือบมากกว่าภาคแรกด้วยซ้ำ

ราวๆ 5 ปี ก่อนหน้าที่จะมีการสร้าง The Terminator ซึ่งก็คือปี 1979 ผู้กำกับชื่อเสียงเรียงนาม ริดรี่ย์ สก๊อต ได้ทำให้ผู้ชมภาพยนตร์ในยุคนั้นตะลึงพรึงพรืดกับหนังไซไฟ ที่ดูแล้วไม่น่าจะมีอะไรพิเศษ แต่ทว่ามันเป็นหนังไซไฟสยองขวัญจากอสูรกายนอกโลกที่ตัวหนังชื่อว่า Alien ตัวหนังประสบความสำเร็จได้รับทั้งเงิน 185 ล้านทั่วโลก รางวัลออสการ์สาขาสเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์ยอดเยี่ยมประจำปี 1980 อีกทั้งยังเป็นที่กล่าวขานของหนังไปอย่างกว้างขวางในตอนนั้น แล้วยังส่งให้ชื่อของ ซิกกอร์นี่ วีเวอร์ ในบท ริปรี่ย์ เป็นที่รู้จัก พ่วงด้วยอสูรกาย เอเลี่ยน น้ำลายเยิ้ม แหยะๆ

เรื่องราวของ Alien กล่าวถึงโลกในอนาคตที่มีการขนส่งเดินทางผ่านอวกาศได้แล้วของมนุษย์โลก ยานอวกาศนาม นอสโตรโม พร้อมลูกเรือเตรียมเดินทางกลับโลกหลังจากเสร็จสิ้นภารกิจ ระหว่างนั้นมีสัญญาณลึกลับบนดาวดวงหนึ่งส่งมาหา พวกเขาจึงเอายานลงจอดเพื่อทำภารกิจกู้ภัยแต่แล้ว ลูกเรือคนหนึ่งถูกตัวประหลาดเกาะหน้าอย่างแน่นหนา เมื่อลูกเรือที่เหลือช่วยพาเขาขึ้นยานได้แล้ว และทำการยื้ชีวิตต่างๆนาๆ ดูเหมือนเขาจะไม่รอด ทว่าเขากลับฟื้นขึ้นมาอย่างปาฏิหารย์ โดยที่หารู้ไม่ว่าในร่างของลูกเรือที่ฟื้นขึ้นมานั้นมีสิ่งมีชีวิตแสนหฤโหดรอวันออกมาทักทาย

อีก 1 เรื่องที่ เจมส์ เขียนบทหนังขึ้นมาก็คือภาคต่อของ Alien ครับ โดยเขาให้ชื่อมันว่า Aliens ถามว่าการจะสร้างหนังที่ภาคแรกทำไว้ดีให้ยอดเยี่ยมหรือเทียบเท่ากว่ามันยากไหม ยากครับ ตัว แคเมรอน เองเพิ่งจะมีผลงานที่แจ้งเกิดแต่ก็ยังไม่เป็นที่ยอมรับแบบจริงๆจังๆอย่าง The Terminator เรื่องเดียวเท่านั้น เขาไปติดต่อกับ ฟ๊อกซ์ ผู้ถือสิทธิ์หนังมฤตยูอวกาศนั้นเอาไว้ เพื่อขอกำกับภาคต่อ แต่ก็อย่างที่ทราบเขาถูกปฏิเสธไป เพราะไม่เชื่อมือและคงจะเทียบกับที่ ริดรี่ย์ สก๊อต ทำเอาไว้ไม่ได้แน่ แม้แต่นักแสดงนำหญิงอย่าง ซิกกอร์นี่ วีเวอร์ ที่ได้รู้แล้วว่าจะมีการทำภาคต่อของ Alien ถึงกับประกาศว่าไม่กลับมารับบท ริปรี่ย์ เพราะเกรงว่าบทของภาคต่อจะทำได้ไม่ดีเท่าภาคแรก อุปสรรคเยอะจริงเชียว แม้จะขอให้ทางค่ายลองดูหนังเรื่อง The Terminator ของเขาไหม ก็ถูกปฏิเสธอีก เอ้า เอาเข้าไป แต่การเจรจาก็บรรลุผลโดยบริษัทเฮมเดล ที่มีภรรยาของเขา เกล แอน เฮิร์ธ เข้าเจรจาให้ และสุดท้ายก็ได้ทำหน้าที่กำกับจนได้ครับ (โอยสู้สุดใจจริงๆ) ส่วน วีเวอร์ ที่บอกจะไม่เล่นนั้น หลังจากได้อ่านบทหนังของ เจมส์ แล้ว ก็เปลี่ยนใจทันทีพร้อมทั้งบอกว่า “ฉันประทับใจในบทที่มีคุณภาพของหนังเรื่องนี้เหลือเกิน” เพราะตัวบทหนังนั้นจะทำให้ ริปรี่ย์ ไม่ได้กลายเป็นหญิงสาวผู้อ่อนแอแล้ว แต่จะแข็งแกร่ง มีมิติ ทุกมุมทุกด้านนั้นเองครับ

การแคสติ้งก็ได้นักแสดงเดิมๆที่เคยร่วมงานกับ แคเมรอน มาก่อนหน้านี้แล้วอย่าง The Terminator ไม่ว่าจะเป็น ไมเคิล บีน,แลนซ์ เฮนริคเซน,บิล แพ็กตันซ์ ตามมาร่วมงานครับ ด้วยทุนสร้างที่ค่อนข้างมหาศาลพอสมควรในสมัยนั้น 18 ล้าน ดอลล่าร์ และเมื่อทุกอย่างพร้อมแล้วก็เปิดกล้องกันเลย การถ่ายทำไม่ได้มีปัญหาใดๆครับ มีเพียงการเปลี่ยนตัวนักแสดงบ้าง ตามเรื่องตามราวจนกระทั่งตัวหนังทำเสร็จแล้วออกฉายในปี 1986

เรื่องราวภาคนี้กล่าวถึง 57 ปี หลังจากการหลับไหลของ เอลเลน ริปรี่ย์ หลังจากดิ้นรนสู้ชีวิตแล้วเอาตัวรอดออกมาได้จากอสูรกายเอเลี่ยนตัวนั้นในภาคแรก และเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าเธอได้รับการกู้ภัยจากทีมอวกาศของโลกไว้แล้ว เธอได้เล่าเรื่องราวที่พบเจอมาให้คนเหล่านั้นฟังกับสิ่งที่เธอได้เจอมาแต่ดูเหมือนไม่มีใครเชื่อซักเท่าไร (แหงล่ะซิ) พร้อมกันนั้นเองทีมสำรวจของโลกยังได้โชว์ผลงานให้เธอได้ตกใจเล่นๆอีก เมื่อดาวดวงที่เธอไปเจอต้นเหตุของมฤตยูตัวนั้น เหล่าทีมนักสำรวจได้ไปตั้งรกรากฐานเอาไว้แล้ว (ภาษาบ้านผมเรียกว่า สะเอือกดี) พร้อมได้รับการการันตีด้วยน่ะว่าไม่มีปัญหาไม่เจออะไรเลย แต่แล้วสิ่งที่น่ากลัวก็เกิดขึ้นเมื่อทางโลกได้ขาดการติดต่อจากสถาณีที่อยู่บดาวดวงนั้น มันเกิดอะไรขึ้น???

ทีมงานจึงได้จัดกำลังทหารพิเศษและริปรี่ย์ (โทษฐานมีประสบการณ์) ไปยังดาวดวงนั้นเพื่อไปดูซิว่าเกิดอะไรขึ้น และเมื่อไปถึงก็งานเข้าเลยครับ คราวนี้เหล่าเอเลี่ยนไม่ได้มีตัวเดียวแบบภาคแรกแล้ว แต่มาเป็นฝูงเป็นโขลงเลย แถมยังพ่วงด้วยนางพญาเอเลี่ยนอีก เอ้า!!! แล้วจะรอดกันไปได้ไหมเนี่ย ตัวหนังประสบความสำเร็จเหมือนเคย ปารายได้ทั่วโลกไป 131 ล้านดอลล่าร์ ทั่วโลก แม้ไม่ได้เทียบเท่ากับรายได้ที่ภาคแรกทำเอาไว้ แต่ภาคนี้กลายเป็นภาคที่คนดูหนังส่วนใหญ่ชอบมากๆครับ (ผมคนหนึ่ง) เพราะมันเป็นหนังเอเลี่ยนที่มันส์มากๆ จัดกันเต็มที่ และได้สร้างฉากต่อสู้อันแสนมันส์ของ ริปรี่ย์ และ นางพญาเอเลี่ยน ในตอนจบสุดยอดไปเลย สเปเชียลเอ็ฟเฟ็กต์กระจาย ได้รับความนิยมอย่างมาก นั้นยังทำให้ตัวหนังได้ออสการ์ไปอีก 2 รางวัลนั้นคือ เสียงยอดเยี่ยม และ วิชัวเอฟเฟ็กต์ ยอดเยี่ยม เข้าชิงอีก 5 รางวัล แต่ชวดไปหมด 1 ในนั้นคือ บทบาทนักแสดงนำหญิงยอดเยี่ยมของ ซิกกอร์นี่ วีเวอร์ ที่ได้เข้าชิงจากหนังเรื่องนี้ อีกทั้งนิตยสาร TIME ยังได้นำเอาตัวเธอไปขึ้นปกในฐานะหญิงแกร่งแห่งโลกภาพยนตร์ ที่ทุกวันนี้เมื่อมีการจัดอันดับ เธอจะอยู่อันดับ 1 หรือไม่ก็ต้นๆเสมอ (ดีน่ะที่ไม่ปฏิเสธแบบจริงจัง ยังกลับมารับบท)

ตัวหนังสร้างชื่อให้กับ แคเมรอน เช่นเดิม เพราะเขาได้สร้างเรื่องราวของ เอเลี่ยน ให้สามารถไปไกลกว่าที่เป็นอยู่ ใครจะนึกว่า เอเลี่ยน มันจะมีวัฒจักรวงศ์ญาติเยอะแยะมากมายขนาดนั้น ไม่ว่าจะกลายเป็นการ์ตูน คอมมิค เกมส์ จนกระทั่งภาคที่ 3 ของ หนังเอเลี่ยน ก็มีการสร้างอีกส่วนผู้กำกับที่รับหน้าที่ไปเป็นผู้กำกับโนเนมที่เพิ่งจะได้กำกับหนังใหญ่ครั้งแรก นั้นคือ เดวิด ฟินเชอร์ ครับ (ใครๆก็แจ้งเกิดจากเอเลี่ยนแหะ หนังเรื่องนี้มันยังไงนิ)


ดำดิ่งสู้ก้นบึ้งมหาสมุทรกับ The Abyss…

หลังจากกำกับ Aliens เสร็จสิ้น ภารกิจการสร้างภาพยนตร์ให้แปลกใหม่หลังจากนั้นก็ยังคงต้องดำเนินต่อไป แคเมรอน ไม่ใช่ผู้กำกับโนเนมอีกต่อไปแล้ว หากจะสรรสร้างงานอีกครั้ง ก็จำต้องให้มันยิ่งใหญ่และทรงพลังขึ้นไปอีก เขามานึกถึงเรื่องราวอะไรดีทีจะนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์ต่อได้ ด้วยการท่องเวลาหาอดีตในวัยเด็กเขาจำได้ว่า ตัวเขาเคยมีความคิดเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตประหลาดที่ไม่ได้เป็นคนแต่เป็นมนุษย์ต่างดาวใต้มหาสมุทรลึกนี่นา ซึ่งเจ้าไอเดียนี้เขาคิดขึ้นได้ตอนที่กำลังเรียนคาบวิชาชีวะสมัยไฮสคูลอยู่ (ล้ำเนาะ) ด้วยไอเดียตรงนี้เขาจึงเริ่มเขียนบทภาพยนตร์เรื่องใหม่ขึ้นมาแล้วตั้งชื่อให้มันว่า The Abyss

อีกอย่าง เจมส์ เองก็เป็นคนที่หลงไหลในการดำน้ำและน่านน้ำลึกอย่างที่สุด เพราะเขามองว่าสิ่งมีชีวิตที่ไม่เคยได้เห็นนั้นจะอยู่ใต้น้ำสมุทรที่ลึกลงไป ได้เจอสายพันธุ์ใหม่ๆ ทำให้เกิดไอเดียมาทำหนัง ทำสารคดี หลายต่อหลายเรื่องจวบจนปัจจุบัน เอาเป็นว่า The Abyss จะเป็นการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยีอุตสาหกรรมภาพยนตร์อีก 1 ก้าวแน่ๆ เขามั่นใจว่ามันต้องเป็นเช่นนั้น

โครงการได้รับการอนุมัติทันที (เริ่มดังแล้วนิ) และโครงการหนังเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องแรกของ สตูดิโอ ไลท์สตรอม เอนเตอร์เทนเม้นต์ ที่ แคเมรอน และ แรลี่ย์ คาซานอฟ ก่อตั้งร่วมกัน โดยยังมี แปซิฟิก เวสเทิร์น (ของ เกล แอน เฮิร์ด) และ ฟ๊อกซ์ ร่วมทุนกันสร้าง ด้วยงบประมาณที่สูงมากๆในขณะนั้นคือ 70 ล้านดอลล่าร์ ในปี 1989 เยอะมากทีเดียวน่ะครับ แต่งบประมาณจริงๆไม่ได้มากขนาดนั้นมีเพียง 40 ล้านดอลล่าร์เท่านั้นตอนแรกเริ่ม เพียงแต่มันมีการใช้งบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนมา 70 ล้านนี่แหละ นักแสดงก็ได้ เอ็ด แฮริส,แมรี่ย์ แอลิซาเบธ และ ไมเคิล บีน (เจมส์ไปไหนผมไปด้วย) แล้วการถ่ายทำก็เริ่มต้นครับ

การถ่ายทำถือได้ว่าเป็นการถ่ายทำที่ลงทุนและล้ำสมัยมากเกินไป เรียกได้ว่าเทคโนโลยีสมัยนั้นแทบไม่ถึงขั้น การถ่ายฉากใต้น้ำลึกซึ่งอันที่จริงแล้วจะทำก็ไม่ได้เพราะว่า กล้องถ่ายใต้น้ำลึกขนาด 12 เมตร หรือ 40 ฟุต นั้นยังไม่มี (บอกแล้วแกล้ำเกินไป) ด้วยเหตุนี้จึงต้องมีการสร้างฉากใต้น้ำจำลองขึ้นมาเป็น แทงค์น้ำขนาดใหญ่ทั้ง 2 อัน อันแรกจุน้ำได้ 28 ล้านลิตร และอีกอัน 9 ล้าน 5 แสน ลิตร ตกแต่งภายในให้ออกมาเหมือนฉากใต้น้ำที่สุด (สงสารนักแสดงแหะ)

สเปเชียลเอฟเฟ็กต์ของตัวหนังนั้นก็ล้ำไม่แพ้กัน ด้วยเทคนิคด้านภาพแบบใหม่ และเทคโนโลยีที่เรียกได้ว่าแปลกใหม่แบบสุดๆนั้นคือ การปั้นน้ำเป็นตัวแล้วเคลื่อนที่ไปมาได้ ฉากนั้นหากคุณจำได้จะรู้ว่ามันเป็นแบบไหน อึ้งกันหมด

เรื่องราวกล่าวถึง เหล่าทีมนักดำน้ำที่ได้รับภารกิจให้ลงไปกู้ซากเรือดำน้ำนิวเคลียร์ใต้ท้องมหาสมุทรลึกสุดใจ แต่พวกเขากลับได้พบกับการติดต่อจากสิ่งมีชีวิตต่างโลกที่อาศัยอยู่ใต้น้ำแทน ตัวหนังไม่ได้ประสบความสำเร็จมากมายครับ ทำรายได้ทั่วโลกไปเพียง 90 ล้านดอลล่าร์เท่านั้น แล้วได้รางวัลออสการ์สาขาวิชัลเอฟเฟ็กต์ แม้จะไม่ได้ประสบความสำเร็จแบบผลงานก่อนหน้านั้น แต่ แคเมรอน ก็ได้มองไปข้างหน้ากับโครงการหนังเรื่องใหม่ที่เกิดขึ้นในใจหลังจากที่เสร็จสิ้นจากงาน The Abyss แล้วต่างหาก จำคำว่า การปั้นน้ำเป็นตัวไว้ให้ดี น่ะครับ แล้วการเป็นสุดยอดผู้กำกับกำลังจะเริ่มต้นต่อจากนี้แล้ว กับการเปิดระบบ สกายเน็ต อีกครั้งนั้นเอง

ก็ขอจบตอนที่ 2 ไปก่อน ส่วนตอนที่ 3 ไม่ช้าไม่เร็ว จะจัดมาให้ไวน่ะครับ ที่ผมยกไปตอน 3 เพราะ จะเป็นเรื่องที่ยาวแน่นอน แล้วผมก็ไม่อยากให้เรื่องราวอันใหญ่โตในคราวนั้นมาเริ่มเอาช่วงท้ายๆนี้ จึงขอยกไปโผล่ตอนที่ 3 น่ะจ๊ะ





 

Create Date : 30 มีนาคม 2555
1 comments
Last Update : 30 มีนาคม 2555 20:38:30 น.
Counter : 1730 Pageviews.

 

สุดยอดค่ะ

ทั้งป๋าเจมส์แล้วก็เจ้าของบล๊อค

เฮียแกลงทุนเยอะ เจ็บมาเยอะ ได้อะไรมาก็เยอะ
คนแบบนี้สิ เริ่ด !

 

โดย: DaRaDoRa 3 พฤษภาคม 2555 2:54:39 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


ทับแก้วสาม
Location :
แพร่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ผมชอบดูหนัง ผมตามอ่านเรื่องราวของหนังพอสมควร เรื่องที่รู้ๆบ้างก็อยากจะมาเขียนให้คนรักหนังอ่านกันครับ
[Add ทับแก้วสาม's blog to your web]