“การคลั่งไคล้เคป๊อปนั้นไม่ได้ไร้สาระ ... แต่มันเป็นพฤติกรรมที่ซุกซ่อนนัยการเมือง สังคม และวัฒนธรรมได้อย่างสำคัญ"

<<
มกราคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
22 มกราคม 2552
 

Life in 2008 : Four weddings and a funeral (plus two divorces)

การอ่านหนังสือซึ่งรวบรวมเรื่องราวทางวิทยาศาสตร์ต่างๆ ในรูปแบบที่เข้าใจได้ง่ายที่ชื่อ “ประวัติย่อของเกือบทุกสิ่ง จากจักรวาลถึงเซลล์” ทำให้ฉันได้รู้ว่า ในอายุขัยอันยาวนานกว่าหลายล้านปีของโลกใบนี้ เราสามารถแบ่งโลกออกได้เป็นหลายๆ ยุค จากชั้นหินต่างๆ ที่กระจายตัวไปทั่วโลก

ยุคที่นักธรณีวิทยาแบ่งไว้ มีหลากหลาย ทั้งยุคเครตีเชียส ยุคเทอร์เชียรี ฯลฯ เหล่านี้ล้วนบ่งบอกสิ่งที่เคยเกิดขึ้นบนโลกได้เป็นอย่างดี เส้นแถบสีแดงที่คั่นกลางระหว่างชั้นหินสองยุค สามารถบอกคนรุ่นหลังอย่างเราได้ว่านี่คือแถบที่เต็มไปด้วยอณูจากอวกาศ ซึ่งทำให้เรารู้ว่าโลกเคยถูกบุกรุกจากดวงดาวที่พุ่งชน และไดโนเสาร์ก็สูญพันธุ์ในยุคนี้... ดูสิ ชั้นหินบางๆ กลับสามารถบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ ได้มากมายขนาดนี้

และถ้าหากโลกจะมีชั้นหินที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวของแต่ละยุคสมัยได้ ฉันในวัยที่โตกว่านี้ ถ้ามองย้อนกลับมายังวัย 27 ปีของตัวเอง (ในปี 2008 ที่ผ่านมา) ซากฟอสซิลที่บ่งบอกเรื่องราววัยนี้ของฉัน คงบอกว่านี่คือยุคสมัยที่ฉันคลั่งไคล้บอยแบนด์จากเกาหลีใต้อย่างจริงจัง (น้องเค้าชื่อ วงทงบังชินกิ ค่ะ)


ทงบังชินกิ






แต่ไม่ใช่เพียงว่า ฉันใช้วันเวลาไปกับทงบังชินกิเพียงอย่างเดียว (แน่นอนว่า ฉันนใช้เวลาอ่านหนังสือของโอบามา ควบคู่กับอ่านนิตยสารไร้สาระแต่โคตรตลก อย่าง เดอะบอยกิมจิ ด้วย) ทว่าในชั้นฟอสซิลช่วงวัย 27 ปีของผู้หญิงที่ชื่อติ๊กต่อกนั้น เมื่อขุดลึกและทำการวิเคราะห์ลงไป จะพบได้ว่า ชีวิตในปี 2008 ของฉันได้ผจญเรื่องราวบ้าบอหลายอย่าง (ข้าวราคาสูงแล้วลดลง, น้ำมันแพงมากแล้วกลายมาเป็นพอรับได้แล้ว, มีนายกฯ 3 คนในปีเดียวกัน ฯลฯ) แต่เรื่องหลักๆ ประจำปีที่พอมองย้อนกลับไปแล้วพอจะระลึกได้แบบกระจ่างใจก็คือ ชีวิตในช่วงนี้ ฉันได้เข้าร่วมเศร้าโศกกับงานศพ และร่วมยินดีกับงานแต่งอยู่หลายงานทีเดียว

ปีที่ผ่านมา ฉันได้ไปร่วมงานแต่งงานมา 4 งาน และไปร่วมงานเผาศพของคนที่ตัวเองเคยเจอหน้าจังๆ เพียงครั้งเดียวอีก 1 งาน



ของที่ระลึก 3 งาน อีกงานนึงหาไม่เจอ :)




ในฐานะที่บางครั้ง มนุษย์ก็ควรได้รับรู้ความสุขก่อนความทุกข์ ดังนั้นฉันขอเล่าเรื่องงานแต่งงานก่อนแล้วกัน งานแต่งงานงานแรกที่ฉันได้เข้าร่วมในรอบปี 2008 เป็นงานแต่งงานของพี่ช่างภาพคนที่ถือว่าเราได้ร่วมบุกเบิกงานนิตยสารเล่มหนึ่ง (ซึ่งปัจจุบันปิดตัวไปแล้ว) มาด้วยกันตั้งแต่ตอนต้นๆ จริงๆ แล้ว โดยบุคลิกและนิสัยของพี่คนนี้ ไม่มีใครคาดคิดหรอกว่าเขาจะแต่งงานในตอนที่อายุเท่านี้ (30 ปีพอดี) ไม่ได้หมายความว่าอายุของเขาเด็กไป แต่เพราะความที่ยังมีบุคลิกรักสนุกอยู่เต็มเปี่ยม แถมเขายังชอบแสดงออกอีกต่างหาก ว่าหวงชีวิตโสดที่สุด ทุกคนก็เลยคิดว่า คนนี้จะเป็นคนท้ายๆ ที่จะแต่งงาน

แต่ทว่า เขากลับกลายเป็นคนแรกในเพื่อนร่วมงานสายนิตยสารของฉัน...ที่กำลังจะแต่งงาน

ถัดจากงานแต่งงานของพี่ช่างภาพคนนี้ ฉันก็ได้เข้าร่วมงานแต่งงานที่ถือเป็นเกียรติมากที่ได้เข้าร่วม เพราะนี่คืองานแต่งงานของเพื่อนรักทั้งสองคน ถูกแล้วล่ะ เจ้าบ่าวและเจ้าสาวถือเป็นเพื่อนรักของฉัน จริงๆ แล้วทั้งคู่นั้นจบจากธรรมศาสตร์ แต่ฉันได้รู้จักและสนิทสนมกับพวกเขาผ่านการร่วมทุกข์ร่วมสุขที่เราใช้ร่วมกันในหน้าร้อนหนึ่งที่อเมริกา จริงๆ ในความสัมพันธ์ของคนคู่นี้ ทั้งคู่เคยแตกหักลาจากกันไปในช่วงหนึ่ง จำได้ว่า..เหตุการณ์ที่ทั้งสองคนแตกหักกันในตอนนั้น มันทำเอาคนวงนอกอย่างฉันช็อกสุดๆ ไปเลยทีเดียว ... อาจเพราะความที่ฉันมักรู้สึกไปเองว่า หากสองคนนี้เลิกกันได้ เราก็ไม่อาจหวังกับความรักใดๆ ในโลกได้อีกแล้วมั้ง ... แต่นั่นแหละ คำกลอนเชยๆ ของไทยเรายังใช้ได้เสมอ “เมื่อคู่กันแล้ว ย่อมไม่แคล้วกัน” ในเมื่อคนมันคู่กัน ในที่สุดพวกเขาก็ได้เดินทางกลับมาร่วมชีวิตกันอีกครั้งจนได้

งานแต่งที่สามและสี่ เป็นงานในช่วงปลายปี ของเพื่อนที่รู้จักกันสมัยอยู่หอพักในมหาวิทยาลัย ฉันเคยเขียนถึงไปบ้างแล้ว เลยไม่อยากเขียนซ้ำอีก (แต่ถ้าเขียนถึง ทงบังชินกิ นี่เขียนซ้ำเป็นล้านๆ ครั้งก็ได้ ฮ่าฮ่า) แต่อย่างไรก็ดี ฉันรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ไปร่วมงาน ... ไปร่วมเป็นสักขีพยานว่า คู่รักบางคู่ก็ยืนยันให้เราเห็นได้ว่า อุปสรรคต่างๆ สามารถกลายเป็นเรื่องเล็กน้อยได้แค่ไหน ถ้าคนเรามีความรักและความเข้าใจให้แก่กัน




ขณะที่ได้ร่วมรับรู้ความชื่นมื่นของงานแต่งไปแล้ว แต่ปี 2008 ก็ถือเป็นปีที่ช็อคสำหรับฉันมากๆ ที่ได้รับรู้ข่าวการหย่าร้างจากเพื่อนถึง 2 คู่ แถมน่าเศร้าไปกว่านั้น คือ เพื่อนทั้งสองคู่ที่พบเจอกับเรื่องหย่าร้างนั้น ต่างเป็นเพื่อนอเมริกันที่ชั้นได้พบในช่วงหน้าร้อนปี 2003 (ปีเดียวกับที่ฉันเจอคู่บ่าวสาวคู่ที่สอง) ทั้งนั้น



คริส เป็นเพื่อนอเมริกันที่ฉันผูกสมัครรักใคร่เป็นเพื่อนสนิทสมัยดำรงชีวิตอยู่ที่เมืองลุงแซม จำได้ว่า ตอนแรกที่เจอหน้าคริส แล้วรู้สึกว่าไอ้หมอนี่คบได้ ก็เพราะดันไปเห็นว่า ในรถคริสนั้น มีอัลบั้มเทปอัดของบริทนี่ย์สเปียร์วางอยู่
“ลองถ้ารสนิยมฟังเพลงโหลๆ ประมาณนี้ คงคบกันได้ 5555” ฉันคิดในใจ

ภาพของคริสที่ฉันมักจำติดหัวมาเสมอก็คือ ภาพของไอ้หนุ่มร่าเริงสดใส ที่ชอบทำตัวเป็นเด็กพอๆ กับเด็กไทยอย่างพวกเรา เวลาว่างๆ ถ้าไม่หาเรื่องไปปีนเขา ก็จะไปโผล่ตามปาร์ตี้ แล้วดูชาวบ้านคนอื่นสูบสิ่งที่เรียกว่ากัญชา (พวกฉันยืนดูเฉยๆ จริงๆ นะ – เอ่อ .. อย่าไปบอก “ทงบังชินกิ” ล่ะ) รวมทั้งมีภาพที่ฉันนงอนเจ้าคริสมั่ง โทษฐานจะไปผับแล้วไม่มาชวน รวมถึงภาพที่เราสองคนยืนตะโกนทะเลาะกันลั่นโรงอาหารบ้าง (เรื่องอะไรก็จำไม่ได้แล้ว) อะไรประมาณนี้ ... ดังนั้นตอนที่คริสส่งข่าวมาครั้งแรกว่า เขาแต่งงานและมีลูกแล้วเมื่อสองปีก่อน ฉันจึงรู้สึกไม่อยากเชื่อเล็กน้อย แต่ความรู้สึกนี้เทียบไม่ได้เลย กับตอนที่รู้ข่าวว่าคริสหย่าขาดจากแม่ของลูกแล้ว

ฉันรู้ข่าวนี้ในตอนวันเกิดอายุครบ 27 ปีพอดี .. ที่รู้ก็เพราะคริสนั่นแหละเป็นคนส่งอีเมล์มาบอก จริงๆ คริสคงกะจะส่งอีเมล์มา Happy Birthday เพื่อน(บ้าบอ) อย่างฉัน ทว่าความเศร้าคงล้นเอ่ออยู่ในใจ เลยอาจจะอยากบอกเล่าให้ใครสักคนฟัง
ฉันจึงได้รับรู้ว่า ผู้ชายเจ้าของรอยยิ้มร่าเริงสดใส ที่ชอบส่งอีเมล์มาเล่าเรื่องลูกตัวน้อยให้ฟังนั้น ได้เผชิญหน้ากับความรักที่มาถึงทางตันเสียแล้ว


โนอาห์ ลูกชายตัวน้อยของคริส




แน่นอนว่า ในทุกความสัมพันธ์ที่จบสิ้น คนเราย่อมเจ็บปวด คริสก็เจ็บ พร้อมทั้งไม่เข้าใจว่า การพยายามประคับประคองครอบครัวให้ก้าวเดินไปนั้น มันยากเย็นได้เพียงนี้เชียวเหรอ?
คริสอาจเจ็บปวดกับความสัมพันธ์กับผู้หญิงคนนึงที่ตัดสินใจเดินจากเค้าไป แต่สิ่งที่ทำให้คริสเจ็บมากกว่านั้นคือ เขาเจ็บที่ลูกชายของเค้าจะต้องเติบโตมาภายใต้ครอบครัวที่แตกแยก

ถึงตอนนี้ เพื่อนบ้าบออย่างฉัน (ซึ่งเติบโตมาในครอบครัวที่หย่าร้าง - แต่ก็ยังมีความสุขดี) เลยต้องตอบกลับไปว่า ครอบครัวที่แตกแยก ไม่ได้หมายถึงครอบครัวที่แตกสลาย มันคนละความหมายกันและฉันก็เชื่อว่า คริสจะเลี้ยงโนอาห์ (ผู้น่ารัก) ให้เติบโตมาอย่างรู้สึกไม่ขาดความรักได้แน่ๆ

....
ฉันแค่เชื่ออย่างนั้น

...

และในช่วงปลายปี 2008 ในการพูดคุยในเว็บ Social Network อย่าง facebook ฉันคนเดิมคนนี้ก็ได้รับรู้การหย่าร้างของคิมและแพท ซึ่งเป็นเพื่อนที่ฉันเจอตอนไปอเมริกาในช่วงหน้าร้อนเมื่อ 5 ปีก่อน
...และแปลกมากๆ ที่ข่าวนี้เดินทางมาถึงฉัน 1 วันหลังจากที่ฉันได้ไปร่วมงานแต่งงานครั้งที่ 4 (งานสุดท้าย) ในรอบปีมาพอดี

ข่าวการหย่าร้างของคิมและแพทเป็นหนึ่งในเรื่องราวที่แสนเศร้าประจำปีในโลกของคนอย่างฉัน ความที่ทั้งสองคือเพื่อนรัก ความที่ลึกๆ แล้วฉันมองทั้งคู่ว่าเป็นต้นแบบความรักของคู่รักหลายคู่ในหน้าร้อนนั้น ...ในหน้าร้อนปี 2003 คนหลายคู่มีความรู้สึกดีต่อกัน แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะได้จบอย่างแสนหวาน
“คิมและแพทเป็นเช่นนั้น” จำได้ว่าฉันเคยเขียนอะไรไปประมาณนี้ในตอนที่พวกเขาแต่งงานกัน
แถมเพื่อเป็นการเฉลิมฉลองให้กับการแต่งงานของทั้งคู่ ฉันยังเคยทำคลิปวิดีโอ..โดยออกไปขอให้ชาวต่างชาติในสยามสแควร์อวยพรงานแต่งของคิมและแพท ทั้งๆ ที่ชาวต่างชาติเหล่านั้นไม่รู้จักเจ้าบ่าวและเจ้าสาวเลยแม้แต่น้อย (ฉันเคยเขียนเรื่องนี้ไว้ที่นี่ค่ะ - //tiktok.diaryis.com/?20060613)





แต่นั่นแหละ โลกหมุนไปทุกวัน และดาวที่ชื่อว่า “โลก” ใบนี้ก็มีเรื่องราวต่างๆ มากมายเกิดขึ้น
ปีที่แล้ว นอกจากฟอสซิลของฉันจะได้บรรจุเรื่องราวของ “ทงบังชิกิ” ฟอสซิลของคิมและแพทก็คงบรรจุเรื่องราวของการแตกสลายในความสัมพันธ์ที่เรียกว่า “สามีภรรยา” รวมอยู่ด้วย

ทุกวันนี้พวกเขาไม่พูดกัน ...
ในฐานะเพื่อน ฉันได้แต่หวังอยู่ในใจลึกๆ ว่าสักวัน พวกเขาจะกลับมาพูดกันใหม่







...
ขณะที่คนบางคู่ตัดสินใจไม่พูดกัน ...บนโลกบ้าๆ ใบเดียวกันนี้ ...ใครอีกคนก็ได้ปล่อยให้เราไม่มีสิทธิ์หรือโอกาสที่จะได้พูดกับเขาอีกตลอดกาล

งานศพหนึ่งเดียวของปีนี้ที่ฉันได้ไปร่วมพิธีเผา ... งานศพของคนที่ฉันได้เจอหน้าเขาจังๆ ในวันวาเลนไทน์ที่ร้านแซ็กโซโฟน ... งานศพของคนที่ฉันไม่แน่ใจว่าจะเรียกเขาว่าเป็นเพื่อนได้ไหม ... แต่สิ่งที่แน่นอนที่สุดที่ฉันแน่ใจได้ก็คือ คนคนนี้ ไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว

หนิม... เป็นเพื่อนสมัยมัธยมของเพื่อนสนิทฉันอีกที เขาคืออดีตนิสิตวิศวะ ที่เลือกเรียนคณะนี้ให้แม่และพ่อ แต่เขาก็ขอใช้เวลาว่างไปกับดนตรีในวง CU Band ของมหาวิทยาลัยด้วย แล้วเวลาหลายปีที่เขาใช้ไปกับดนตรีก็ได้ลับฝีมือของเขาให้เก่งกล้า จนได้ไปเล่นเป็นมือเบส (หรือมือกีตาร์นี่แหละ) ประจำวงให้กับวง “พีซเมคเกอร์” ในที่สุด

จากรายได้เป็นกอบเป็นกำที่ทำได้ หนุ่มที่รักการเล่นดนตรีเป็นชีวิตที่เพิ่งสร้างบ้านให้พ่อแม่เสร็จหมาดๆ ตัดสินใจลงเรียนระดับปริญญาตรีด้านดนตรีที่ ม.รังสิต ใหม่ ... ท่ามกลางความแปลกใจของทุกคนที่เขาเลือกจะลาออกจากวง “พีซเมคเกอร์” อันโด่งดัง ... ทว่า หนิมยืนยันว่า เขาอยากเรียนพื้นฐานดนตรีให้แน่น เมื่อเรื่องเป็นดังนี้ อดีตนิสิตวิศวะ เลยแปลงร่างกลายเป็นนักศึกษา ป.ตรี สาขาดนตรี ในที่สุด

แต่แล้วในวันหนึ่ง อุบัติเหตุรถยนต์ก็ได้ทำให้หนิมไม่มีโอกาสได้เล่นดนตรีอีก
พร้อมกันกับที่ ... เราก็ไม่มีโอกาสได้พูดกับเขาอีกแล้วเช่นกัน





ในงานศพของหนิม ซึ่งจัดขึ้นที่วัดชลประทาน ฯ เป็นหนึ่งในงานศพที่พระในวัดบอกเล่าให้เราฟังว่า ไม่เคยพบเห็นงานศพของคนวัยยี่สิบคนไหน ที่จะมีคนมาร่วมแสดงความเสียใจได้มากขนาดนี้
ในงานเผา...เราได้พบทั้งดารา นักร้อง วิศวกร อาจารย์สายดนตรี ไปจนถึงศาสตราจารย์สายวิศวะ (และอื่นๆ อีกมาก)
“เขาคงเป็นคนดีมากเลยเนอะ” หลวงพ่อที่วัดกล่าวเช่นนี้

การจากไปของหนิม ทำให้ฉันรู้สึกได้ว่า “ชีวิตนี้แสนสั้นขนาดไหน”
เราไม่มีวันรู้เลยว่า เรายังเหลืองานแต่งงานให้เข้าร่วมแสดงความยินดีอีกกี่งาน, ไม่รู้ว่าจะต้องเศร้าใจที่ได้ยินข่าวคราวคนรอบตัวหย่าร้างอีกกี่ครั้ง,
...รวมถึงไม่แน่ใจว่า เหลืองานศพอีกกี่งาน ที่เราจะต้องไปร่วมเผาและส่งเขาขึ้นสวรรค์





ชีวิตนี้แสนสั้น และเราควรทำทุกอย่างให้เต็มที่เท่าที่ยังมีเวลา
หากจะบ้าบอกับบอยแบนด์เกาหลีก็ทำมันซะให้สุดๆ เสียเดี๋ยวนี้
หากอยากประกวด The Stars ก็คว้าดาวเสียแต่ตอนที่ยังมีโอกาสเปิดรออยู่
ถ้าอยากเต้นรำ ก็เต้นให้สุดชีวิต ณ บัด Now
และหากจะรัก ... ก็ควรรักให้สุดหัวใจด้วย

ชั้นฟอสซิลในช่วงอายุ 27 ปีของฉัน บอกเอาไว้อย่างนั้น






********************************






จริงๆ แล้ว ในปีที่ผ่านมา มีหลายสิ่งที่ฉันแทบไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองได้ทำลงไป (จริงๆ นะ)



ปีที่ผ่านมา เชื่อหรือไม่ว่า ฉันยอมควักตังค์หลายบาททีเดียว ไปดูคอนเสิร์ตของวงบอยแบนด์จากเกาหลีที่มีชื่อว่า Super Junior ด้วยเหตุผลแสนงี่เง่าข้อหนึ่ง ก็คือ เพราะฉัน “รัก” สมาชิกคนหนึ่งในวงนี้ และในวันที่คอนเสิร์ตนี้จัดขึ้นที่กรุงเทพฯ มันดันจัดห่างจากวันเกิดของสมาชิกคนนั้นไปแค่ 2 วันเท่านั้น (ฉันกะว่าจะไปร้อง Happy Birthday ให้กับเขาเท่านั้นเองแหละ)




แถมในรอบปีที่ผ่านมา ฉันยังบ้าจี้ซื้อซีดีถูกลิขสิทธิ์ของบอยแบนด์เกาหลีไปสองวงอีกต่างหากด้วย วงทั้งสองที่ว่า ก็คือ ทงบังชินกิ และ Super Junior นั่นเอง




และเรื่องสุดท้าย ฉันเพิ่งฝากคนอื่นซื้อปฏิทินราคาหลายร้อยบาทของทงบังชินกิจากเกาหลีมาด้วย เหตุผลที่ซื้อมาก็ไม่ได้ยิ่งใหญ่อะไร .. มันจะติดจะงี่เง่าด้วยซ้ำ

ฉันก็แค่..อยากตื่นขึ้นมาแล้วมองเห็น “ภาพ” นี้ทุกวัน



ภาพมิคกี้ ยูชอน หนึ่งในสมาชิกของ "ทงบังชินกิ" และเป็นคนที่ฉัน "รัก" มากที่สุดในวง (555)





...
บอกแล้วไงว่า “คนเรามีชีวิตแสนสั้น”
บ้าบอให้สุดหัวใจไปในตอนที่ยังมีโอกาสดีกว่ามั้งคะ :)





****************





ที่สุดแห่งปี

Guilty Pleasure of the Year – แน่นอนที่สุด “ทงบังชินกิ”

Moment of the Year – ตอนนั่งดูถ่ายทอดสดพิธีเปิดโอลิมปิก – ร่วมกับคนอีกหลายพันล้านคน, ทั่วโลก.

Song of the Year – เอ่อ.. คิดว่าจะตอบเพลงของ “ทงบังชินกิ” ใช่มั้ย? เปล่าหรอก ด้วยเหตุผลบางอย่างของชีวิต ขอเลือกเพลง “The man who can’t be moved” ของ The Script แล้วกันค่ะ :)







 

Create Date : 22 มกราคม 2552
0 comments
Last Update : 23 มกราคม 2552 0:32:15 น.
Counter : 1262 Pageviews.

 

tiktokthailand
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add tiktokthailand's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com