“การคลั่งไคล้เคป๊อปนั้นไม่ได้ไร้สาระ ... แต่มันเป็นพฤติกรรมที่ซุกซ่อนนัยการเมือง สังคม และวัฒนธรรมได้อย่างสำคัญ"

 
กันยายน 2548
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
252627282930 
 
24 กันยายน 2548
 

Zion 2003 Story

เกริ่นนำ

หน้าร้อนปี 2003 ฉันกับเพื่อนบางส่วนตัดสินใจเข้าร่วมโครงการ Work & Travel ที่อเมริกา ในวันเวลาที่สงครามยังระอุอยู่ และด้วยทัศนะคติที่ถูกความรู้ในภาควิชาความสัมำนธ์ระหว่างประเทศ คณะรัฐศาสตร์ ปลูกฝังมาตลอดว่า "อเมริกานี่มันบ้าอำนาจ"

ฉันแค่อยากมาประเทศนี้ เพื่อให้เห็นกับตาว่าเค้าบ้าอำนาจจริงไหม?

แล้วคุณล่ะ อยากรู้เหมือนฉันบ้างรึเปล่า?





“อะไรนะ! กระเป๋าหายเหรอ!”


ถ้าแผ่นดินที่ฉันเหยียบอยู่มีนามว่า ไทย และใช้ภาษาที่พ่อขุนรามคำแหงคิดขึ้น คนที่สนามบินระหว่างประเทศ ลาสเวกัส คงได้ยินฉันตะโกนลั่นเป็นภาษาข้างบนสัก 11 ครั้ง


แต่นี่คนที่ยืนหน้าตาเจี๋ยมเจี๊ยมข้างหน้า มีผิวสีขาว สูงโปร่ง และผมสีทอง ภาษาที่ฉันเปล่งออกไปได้จึงเป็นแค่สำนวนภาษาอังกฤษตะกุกตะกักพอให้สื่อความเดือดเนื้อร้อนใจได้แค่นั้น


และจริงๆกระเป๋าก็ไม่ได้หายหรอก เพียงแต่ว่ามันจะมาช้าไปหน่อย อาจจะแค่ 5 ชั่วโมงหรือมากกว่านั้น ….ก็เป็น10


อาจไม่นับเป็นเรื่องน่าตกใจก็ได้ ถ้านี่ไม่ใช่เวลา 3 ทุ่มตรง และไม่ได้เป็นการเดินทางไกลครั้งแรกของผู้หญิงสาวโสด 2 คน Alone in USA……ในเมืองแห่งแสงสีที่ใครบางคนเคยเปรยไว้ ว่าเป็นเมืองซาตาน ….ลาสเวกัส




กระเป๋าเดินทางใบเบ้อเริ่มที่โหลดลงใต้ท้องเครื่องบินลำยักษ์ ของสายการบิน American Airline ( สายการบินเดียวกับเครื่องบินลำที่พุ่งชนตึกเวิร์ลเทรด ในวันที่ 11 กันยายน 2001 ) ไม่ได้เดินทางมาพร้อมกับเจ้าของ เนื่องจากการเข้าเซ็กอินเครื่องช้าเมื่อตอนอยู่สนามบินที่ LA.
กับทริปแรกในชีวิต ที่ตัดสินใจลุยสอง กับเพื่อนสาว เนื่องจากอยากได้ประสบการณ์มันส์ๆ ….. เป็นไงล่ะ ก็ไม่อยากมากับหมู่คณะเค้าเองนี่


Work & Travel แต่ฉันจะ Travel & then ค่อยไป Work



เรื่องมันเริ่มจากว่า ก่อนจะพ้นสถานภาพนิสิต/นักศึกษาที่พกพามา 4 ปี เพื่อนของฉันเกิดอาการหวาดวิตกกับชีวิตทำงานที่รออยู่อย่างแรง เนื่องจากเกรงว่าถ้าเริ่มเข้าสู่กระบวนการทำงานแล้ว มันจะไม่ได้ออกไปผจญภัยโลกเช่นที่วาดฝัน เมื่อกระบวนการบอกต่อปากชักชวนกันเริ่มเกิดขึ้น ฉันก็ตัดสินใจจะไปผจญภัยในดินแดนที่ชื่อว่า สหรัฐอเมริกา กับมันด้วย ด้วยจุดมุ่งหมายเดียว อยากรู้ว่าเด็กวัยรุ่นอเมริกาจะงี่เง่าบ้างานพรอมเช่นที่เห็นในหนังรึเปล่า
และแล้ว เราผองเพื่อนก็เข้าร่วมโครงการ Work and Travel โครงการที่ให้เด็กเสียเงิน เพื่อจะได้ไปทำงานในช่วงหน้าร้อนที่ อเมริกา เพื่อเป็นการเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในชีวิตอะไรก็ว่าไป แต่ที่แน่ๆ งานนี้พี่ๆเอเจนซี่ เค้าได้ค่าหัวจากพวกเราไปคนละประมาณ 4 หมื่นบาท! สำหรับค่าช่วยขอวีซ่าและดำเนินการต่างๆทั้งติดต่อนายจ้าง เดินเรื่องเอกสาร แต่ราคานี้มิได้รวมค่าธรรมเนียมวีซ่าและค่าตั๋วเครื่องบินแต่อย่างใด ถ้ารวมเบ็ดเสร็จจริงๆ ก็ราวๆ 8 หมื่น ถึง แสนต้นๆ อันนี้แล้วแต่นิสัยการจับจ่ายของแต่ละคน




ฉันสังเกตว่าโครงการนี้เพิ่งมาฮิตเอามากๆในช่วงนี้ เนื่องจากเห็นมีเด็กสมัครอยากไปกันเยอะเหลือเกิน อาจเนื่องมาจากเป็นหนทางในการได้ไปอยู่อเมริกาในราคาย่อมเยาที่สุด (ที่ไม่ใช่แบบโรบินฮู้ด)สำหรับคนไม่มีญาติที่นั่น



ฉันก็เป็นคนนึงที่ไม่มีญาติสนิทอยู่ที่นั่น และคิดว่าราคาก็ย่อมเยาดี ทำงาน 3-4 เดือนก็ได้เท่าทุนรึมากกว่าแล้ว แถมยังได้ไปเยือนประเทศที่อยากไปเห็นให้มันรู้ซะที ก็เลยไป


แต่ที่ไปก็ใช่ว่าจะไร้สาระแค่นั้นนะ จริงๆฉันอยากรู้มากกว่าว่า ประเทศที่สามารถตัดสินใจบุกไปทิ้งระเบิดที่อัฟกานิสถาน และร่ำๆจะทำสงครามกับอิรักอยู่ (ในตอนนั้น) โดยใช้ข้ออ้างว่าเพื่อสันติภาพระยะยาวของโลกนี่ เค้าคิดกันได้ยังไง และผู้คนที่นั่นไม่รู้สึกอะไรกันบ้างรึไง
ตามวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เรียนมา อาจารย์บอกว่าคนอเมริกามีพาสปอร์ตแค่ 20% แสดงว่าอีก 80% ไม่เคยเดินทางออกนอกประเทศ ถ้าเชื่อตามสุภาษิตอยากได้ลูกเสือต้องเข้าถ้ำเสือ และเชื่อตามสถิติที่อาจารย์บอก อยากรู้จักคนอเมริกันเราก็คงต้องบุกไปอเมริกาล่ะ



ฉันตัดสินใจเลือกไปกับเอเจนซี่เจ้าหนึ่ง ไม่ใช่ว่าดีกว่า 2-3 เจ้าดังที่เหลือ แต่เนื่องจากที่นี่มีคนไทยไปกันแค่ 25 คน นับว่าน้อยแล้วเมื่อเทียบกับบางแห่งที่ไปถึง 300
เนื่องจากอยากไปในที่ที่คนน้อย รายชื่อของฉันจึงตกอยู่ในกลุ่มคนที่จะไปทำงานที่ Zion Lodge, Utah รัฐที่ฉันจินตนาการว่ามีแต่ทะเลทราย อยู่เมืองไทยก็ร้อนพอแล้ว แล้วจะถ่อไปทะเลทรายทำไมกันนี่
เออน่า….ยังไงรัฐนี้ก็มี Utah Jazz ทีม NBA อันโด่งดังอยู่ล่ะวะ….. อันนี้เป็นคำปลอบใจตัวเอง




เนื่องจากไม่เคยไปอเมริกาและ ไม่รู้ว่าที่นั่นเป็นยังไง ฉันจึงซื้อทุกอย่างที่ขวางหน้าไป ทั้งหม้อหุงข้าวเอาไว้ทำอาหาร, adapterไว้แปลงไฟ เพราะที่โน่นใช้ระบบ 110 โวลต์ ขณะที่เราใช้ 220 โวลต์ ,ไฟฉายเผื่ออเมริกาไฟดับ,ร่มและเสื้อกันฝนเผื่อฝนตก(ก็คนมันไม่รู้อะไรนี่) ,มาม่า 200 ห่อ เผื่อไม่อยากเสียตังค์, น้ำพริกเผาเผื่อกินอาหารเค้าไม่เป็น, เสื้อกันหนาวที่หนาสุดๆ จนถึงแฟชั่นสายเดี่ยวเผื่อทุกสภาพอากาศ,อุปกรณ์สวยและจำเป็นสำหรับผู้หญิงเผื่อว่าที่นั่นจะไม่มี หรือมีแบบไม่เหมือนเมืองไทย,และจิปาถะที่ขนไปมากมายชนิดที่อยู่ที่นั่น 4 เดือน ไม่อดตายและไม่ขาดอะไร


ตอนขากลับถึงได้รู้ว่าเอามาหมดทุกอย่าง ยกเว้นอย่างเดียว ลืมเอาของที่ระลึกจากเมืองไทยมา…….





พอถึงกระบวนการไป สาวชอบผจญภัยอย่างเราก็เลยต้องหอบของชนิดกลายเป็นพวกบ้าสมบัติไปเลย
เราตัดสินใจบินไปกันเองสองสาว เพราะมีความเชื่อว่าถ้าไปกับคณะเอเจนซี่ จะโดนขูดรีดให้ซื้อตั๋วแพง และแถมยังไม่ได้เที่ยวอย่างที่ใจอยากอีก เนื่องจากเค้าจะให้บินไปลงลาสเวกัสแล้วต่อรถไปยูท่าห์เลย ด้วยความที่เราหลงรักแอลเอม๊ากมาก ประกอบมีเพื่อนเป็นอเมริกันชนหนึ่งตนเรียนอยู่ที่นั่น ความคิดก็แล่นไปว่า ฮะฮะ ได้เที่ยวแบบเด็กแร็พโย่ขาโจ๋มะกันแน่ตู



สรุปคือ เค้าจะไป Work & Travel กัน (ทำงานเก็บเงินแล้วค่อยเที่ยว) แต่ฉันอยาก Travel & then ค่อยไป Work




แต่แล้วก่อนจะบิน 6 วัน เจ้าเพื่อนตัวแสบก็ส่งเมล์ด่วนมาบอกว่า “ไอมีธุระต้องไปเมืองอื่นพอดี ไม่สามารถพายูเที่ยวได้ ซอรรี่จริงๆนะ ยูเทคแคร์ตัวเองแล้วกัน!”
คิดภาพผู้หญิงสองคนที่ไม่เก่งภาษาอังกฤษ และต้องไปเมืองนอกครั้งแรกในชีวิตโดยที่ไม่มีความรู้เกี่ยวกับเมืองและประเทศนั้นอยู่ในหัวเลยออกไหม นั่นแหละฉันกับเพื่อน


เหมือนจะเป็นลางร้ายตั้งแต่ต้น แต่เอาวะ มองโลกในแง่ดีไว้ นี่คือโอกาสได้ผจญภัยของจริงแล้ว



ฉันกับเพื่อนจึงจัดแจงจองโรงแรมใหม่ เมื่อแรกที่กะว่าจะมีที่ให้พักฟรีและมีคนนำเที่ยวนั้น คราวนี้เลิกคิดแล้วเริ่มโครงการใหม่เลย



เราจองโรงแรมราคาไม่แพงมากแถวๆสนามบิน อันนี้เพื่อความสะดวกเวลาต่อเครื่องไปลาสเวกัส โดยไม่ทันคิดถึงความสะดวกในแง่อื่น เช่นการเดินทางเข้าเมือง เนื่องจากเอามาตรฐานในการเดินทางจาก ดอนเมืองไปถึงสยามเป็นตัววัด ว่าก็คงไม่ลำบากหรอกวะ อุตส่าห์เป็นถึงเมืองใหญ่ระดับโลกนี่




 

Create Date : 24 กันยายน 2548
3 comments
Last Update : 24 กันยายน 2548 14:18:37 น.
Counter : 1627 Pageviews.

 
 
 
 
ตามมาอ่านจ้า
อิๆ ขยันพิมพ์จริงๆ
มันมาก
เดี๋ยวอ่านต่อก่อนนะ
 
 

โดย: quin toki วันที่: 27 กันยายน 2548 เวลา:19:58:22 น.  

 
 
 
แก....



อุตส่าห์ลากเม้าส์ไปจนจบ





ยังไม่มีชื่อช้านเลย



ลืมกันแล้ว.......ว


ฮือ ฮือ....อ
 
 

โดย: tui IP: 71.132.135.140 วันที่: 12 ตุลาคม 2548 เวลา:9:42:57 น.  

 
 
 
ผมกะลังจะไปปีหน้า - -
 
 

โดย: bOok IP: 203.113.50.139 วันที่: 20 พฤศจิกายน 2550 เวลา:19:58:01 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

tiktokthailand
 
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




[Add tiktokthailand's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com