Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2550
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
1 พฤษภาคม 2550
 
All Blogs
 
เรื่องเล่าจากร้านยา ตอนที่ 1 : เจ้านาย


.....อย่างที่ทราบกันดีนะคะว่า เจ้าของบล็อกเป็นเภสัชกรประจำร้านยา ก็เลยอยากเปิด Group blog ไว้สำหรับเล่าประสบการณ์ต่างๆ ที่พบเจอมาจากในร้าน รวมทั้งเป็นที่สำหรับเก็บรวมรวมข้อมูลเกี่ยวกับสุขภาพเพื่อทบทวนตัวเองด้วยน่ะค่ะ

.....วันนี้ขอเริ่มต้นบล็อกด้วยเรื่องทั่วๆ ไปของร้านก่อนก็แล้วกันนะคะ

.....เมื่อเราเข้าไปทำงานใหม่ๆ นั้น เราจะต้องไปฝึกงานอยู่ที่ร้านสาขาหนึ่งก่อน เพราะถึงแม้จะเรียนจบเภสัชฯ มาแต่เราก็ทำงานอยู่ที่บ้านซึ่งไม่เกี่ยวกับงานเภสัชเลยอยู่ถึงปีครึ่ง วิชาความรู้ที่ได้มาจึงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด พี่เจ้าของร้าน(ผู้หญิง)เป็นเภสัชกรที่นอกจากจะเก่งแล้วยังประสบการณ์มากจึงต้องติวกันขนานใหญ่ เราทำงานอยู่กับพี่ผู้หญิงอยู่สองเดือนก่อนจะถูกปล่อยให้บินเดี่ยวด้วยการมาอยู่ที่ร้านสองกับพี่ผู้ชาย(ซึ่งต่อไปนี้ขอเรียก “นาย” นะคะ)

.....ร้านสาขาสองที่เราทำงานอยู่นั้นเป็นร้านเล็กๆ ซึ่งแต่เดิมเปิดเป็นร้านเครื่องเสียงอยู่ก่อน และพึ่งจะเปลี่ยนมาเป็นร้านขายยาเมื่อไม่นานมานี้เอง ทำให้การตกแต่งภายในออกจะติดหรูเป็นทุนเดิม เมื่อนายให้รุ่นน้องซึ่งเป็นสถาปนิคมาออกแบบร้านให้ ร้านยานี้จึงออกแนวกึ่งโมเดิร์น ดูคล้ายๆ จะเป็นร้านสะดวกซื้อมากกว่าร้านยาทั่วไป รูปลักษณ์ภายนอกนี่ให้ความรู้สึกแบบร้าน Boots หรืออะไรประมาณนั้นเชียวล่ะค่ะ

.....นอกจากนี้ทำเลที่ตั้งของร้านก็ใช่ย่อยนะคะ เพราะถึงแม้จะไม่อยู่ในโซนที่เรียกว่า “ถนนสายหลัก” ของเขตคูเมืองชั้นในของเชียงใหม่แต่ก็มีผู้คนมากพอสมควรโดยเฉพาะคุณฝรั่งที่พักอยู่ตามเกสต์เฮ้าส์ในละแวกใกล้เคียง (ร้านนี้อยู่ใจกลางย่านเกสต์เฮ้าส์ค่ะ)

.....แน่นอนว่าเมื่อเก้าในสิบของลูกค้าเป็นคุณฝรั่ง เภสัชประจำร้านอย่างเราจึงจำเป็นจะต้องพูดภาษาต่างประเทศได้ อ้ะๆ อย่าพึ่งคิดนะคะว่าเจ้าของบล็อคน่ะเก่งภาษาอังกฤษ อันที่จริงแล้วภาษาอังกฤษน่ะนับเป็นส่วนหนึ่งเท่านั้นเอง ในขณะที่ภาษาที่สากลกว่าภาษาอังกฤษก็คือ ‘ภาษาท่าทาง’ เพราะถึงแม้จะพูดกันคนละภาษาแต่ถ้าแสดงออกด้วยท่าทางได้เข้าใจก็เพียงพอแล้ว

.....ยกตัวอย่างเคสที่เราเคยประสบมา...

คุณฝรั่งสองคนชาย-หญิงเดินเข้ามาในร้าน เราจึงเอ่ยทักทายไปตามธรรมเนียมว่า

“สวัสดีค่ะ” อันนี้พูดเป็นภาษาไทยนะคะ คุณฝรั่งก็ทำหน้าเป็นกังวลนิดๆ ก่อนจะถามเรากลับว่า

“Do you speak English?” แปลเป็นไทยได้ความว่า...คุณพูดภาษาอังกฤษได้ไหม?

ได้ยินประโยคอย่างนี้แล้วอย่าพึ่งคิดว่าหวานหมูนะคะ เพราะร้อยละแปดสิบของคนที่ถามแบบนี้เค้าไม่เก่งภาษาอังกฤษค่ะ มีอยู่หลายครั้งที่พอตอบไปว่า

“Yes. Can I help you?” ...ค่ะ มีอะไรให้ฉันช่วยไหมคะ?

คุณฝรั่งก็จะทำหน้างงๆ ก่อนจะพูดออกมาเร็วปรื๋อด้วยภาษาอื่นที่ชวนให้นึกสงสัย

...ตกลงแล้วจะถามตูทำไมเนี่ยว่าพูดภาษาอังกฤษได้หรือเปล่า...

ถึงตอนนี้แหละค่ะ ภาษาท่าทางแบบต่างๆ จะถูกงัดออกมาใช้ จากที่เคยดูถูกคนที่พูดไปโบกไม่โบกมือไปก็เลยรู้ซึ้งไปโดยปริยายว่า อันนี้แหละเจ๋งสุดๆ แล้ว

.....นอกเรื่องไปซะไกลเชียวกลับมาต่อเรื่องร้านกันดีกว่าค่ะ จะว่าไปแล้วที่ร้านนี้เราเป็นลูกจ้างที่ศักดิ์ศรีเทียบเท่าเจ้าของร้านทีเดียว เริ่มตั้งแต่เข้างานตอนเที่ยงนายก็จะมาเปิดร้านรอไว้ พอเราเข้าไปถึงที่ร้านได้สักพักนายก็จะออกไปข้างนอกค่ะ ขอบอกว่านายเป็นคนที่อยู่ไม่เคยติดร้านจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นร้านแรกที่แฟนนายประจำอยู่หรือร้านสาขาที่เราอยู่ และกว่านายจะกลับมาที่ร้านอีกทีก็ใกล้เวลาปิดร้านนั่นแหละค่ะ ส่วนเรื่องระหว่างนั้นเราจะจัดการยังไงก็แล้วแต่ นายบอก...ตามสบาย

.....และเพราะว่าเป็นร้านเปิดใหม่เลยมีลูกจ้างแค่คนเดียวซึ่งก็คือเรานั่นเอง ทุกอย่างในร้านจึงเป็นหน้าที่เราทั้งหมดเริ่มตั้งแต่กวาด-ถูร้าน เช็คสต็อก จัดของ จดรายการยาที่ต้องสั่ง ทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย หรือบางทีก็ต้องหาข้าวให้นายกินด้วย ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ใช่เพราะนายกะจะใช้เราให้คุ้มกับเงินเดือนแต่อย่างใดนะคะ สัมพันธภาพระหว่างเรากับนายมันออกแนวญาติมิตรกันมากกว่า อันที่จริงต้องถือว่าเราโชคดีมากด้วยที่ได้นายใจดีให้อิสระในการตัดสินใจเต็มที่ เราเชื่อว่าคงมีเจ้าของร้านยาไม่กี่ร้านที่ยอมให้ลูกจ้างเลือกได้ว่าจะเอาสินค้าอะไรมาขายที่ร้านบ้าง หรือจะไม่เอาอะไรมาขาย เวลาทำงานกับนายเลยไม่เคยรู้สึกกดดันเหมือนกับที่เพื่อนร่วมวิชาชีพหลายคนรู้สึก

.....ไหนๆ ก็เกริ่นถึงนายมาได้พักใหญ่แล้ว ขอนินทานายอีกสักนิดดีกว่า...

.....นายเป็นศิลปินโดยสายเลือดและถูกปลูกฝังทางด้านดนตรีมาตั้งแต่เล็กๆ โดยเครื่องดนตรีที่นายเล่นก็คือ ไวโอลินซึ่งฝีมือของนายนับได้ว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ของประเทศไทยทีเดียว (คนไม่รู้จักนายอาจจะนึกสงสัยในฝีมือ แต่ถ้าบอกว่าน้องชายแท้ๆ ของนายเป็นผู้จัดการวงบางกอกซิมโฟนี่ออเคสตร้า และเป็นนักไวโอลินมือหนึ่งของไทยก็น่าจะพอเชื่อกันได้บ้างนะคะ) เพราะฉะนั้นบางทีนายก็จะซ้อมไวโอลิน...ทำเลที่ซ้อมก็ห้องนั่งเล่นหลังร้านนั่นเอง ลูกค้าใครมาซื้อยาก็จะได้ยินเสียงไวโอลินที่นายสีและความไพเราะก็จะขึ้นอยู่กับอารมณ์ของนาย วันไหนอารมณ์ดีๆ เล่นได้นิ่งก็ฟังเพลินกันไป แต่ถ้าวันไหนสมาธิไม่ดีล่ะก็อย่าให้พูดเลยเชียว เสียงไวโอลินมันก็จะบูดตามอารมณ์นายยังไงยังงั้น แต่ถึงจะเพราะหรือไม่เพราะยังไงเราก็เป็นพวกที่ “ฟังได้” อยู่แล้วเลยไม่มีปัญหากับการซ้อมมือขางนายเท่าไหร่ นอกจากบางวันที่จะต้องคอยตอบคำถามลูกค้าว่า “รำคาญบ้างหรือเปล่าน่ะ” เท่านั้นเอง

.....นอกจากนี้นายยังเป็นพวกหาข้าวกินเองไม่เป็นค่ะ ทั้งที่จะว่าไปแล้วนายเป็นคนที่ไม่เรื่องมากเรื่องของกินเลย มีอะไรก็กินได้หมดขออย่างเดียวว่าอย่าให้มันมากนักเพราะนายเป็นโรคตับ กินของมันๆ แล้วจะอืดท้องพาลจะไม่สบายเอา ที่ร้านนายก็ติดไว้ให้ทั้งไมโครเวฟและตู้เย็น สำหรับให้เราไว้จัดการกับของกิน เพราะละแวกนั้นเป็นย่านนักท่องเที่ยวร้านอาหารต่างๆ ก็จะราคาค่อนข้างแพงสำหรับคนไทย เราน่ะเป็นพวกชอบซื้อของกินอยู่แล้วก็เลยสบายไป แถมบางทีนายเองก็ได้อาศัยของกินที่เราตุนไว้นี่แหละแก้หิว

.....บางทีหลังจากออกไปข้างนอกมาทั้งวัน นายก็จะกลับมาด้วยท่าทีระโหยโรยแรง…

“เป็นอะไรคะนาย?” เราถามด้วยความเป็นห่วง

“หิวว่ะ พี่ธารมีอะไรกินมั่ง” ถามเรากลับขณะที่นายน่ะลงไปนั่งเอนๆ กับโซฟาประมาณว่าหมดแรงจริงๆ

“มีไข่พะโล้กินได้ไหมคะ?”

“เออดีๆ เอามา”

เราก็เลยจัดข้าวในจานแล้วราดไข่พะโล้ให้นายกิน เป็นอันว่าผ่านไปอีกหนึ่งมื้อ

.....กับอีกบางทีนายกลับมาจากข้างนอกเห็นเรากำลังโซ้ยบะหมี่สำเร็จรูปอยู่ ก็เส้นหมีน้ำใสธรรมดานี่แหละค่ะ

“พี่ธาร...มีไอ้แบบที่พี่ธารกินอยู่อีกไหม?”

“มีค่ะ นายจะกินไหมคะ? เดี๋ยวหนูทำให้”

“กินสิ หิวจะตายอยู่แล้ว”

เราก็เลยต้องวางช้อนไปต้มบะหมี่ให้นายกินอีกคน

.....บางทีเราก็นึกสงสัยอยู่เหมือนกันว่าทั้งๆ ที่เป็นคนกินง่าย แต่ทำไมนายมักจะหิ้วท้องไปๆ มาๆ อยู่เป็นประจำ จนมารู้จากพี่ผู้หญิงทีหลัง

“...(ชื่อนาย) เขาเป็นของเขาอย่างนั้นแหละ หาข้าวกินเองไม่เป็นถ้าไม่มากินกับพี่ที่ร้านเค้าก็จะไม่ได้กินอะไรหรอก”

เรื่องอาหารของนายเห็นจะยังไม่จบเท่านี้หรอกค่ะ แต่วันนี้คงต้องลาแค่นี้ก่อน เดี๋ยวจะกลายเป็นบล็กมาราธอน

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามและให้ความเห็นนะคะ แล้วพบกันใหม่ค่ะ



Create Date : 01 พฤษภาคม 2550
Last Update : 1 พฤษภาคม 2550 23:08:49 น. 4 comments
Counter : 436 Pageviews.

 
++ เหมือนนายพี่ธารจะใจดีอ่ะ ดีเนอะเวลาทำงานจะได้ไม่ต้องเครียด

++ ว่าแต่ไม่เข้าใจเลยว่าฝรั่งจะถามทำไม ในเมื่อพูดภาษาอื่นอ่ะ พิลึก


โดย: GoOsHa!R IP: 222.123.185.112 วันที่: 2 พฤษภาคม 2550 เวลา:20:53:39 น.  

 
เป็นร้านที่ดูอบอุ่นและน่าทำงานจังค่ะ เจ้านายก็น่ารักและใจดี ชักอยากเห็นการตกแต่งร้านแล้วสิ ว่าจะสวยขนาดไหน ไว้วันหลังเอารูปมาฝากกันบ้างนะคะ

ปล เพลงนี้เพราะจังเลยค่ะ เป็นเพลงของใครเหรอคะ


โดย: สองเราและสายลม วันที่: 2 พฤษภาคม 2550 เวลา:22:15:41 น.  

 
คุณ GoOsHa!R : เจ้านายที่ร้านน่ารักมากๆ ค่ะ นอกจากจะให้โอกาสเราเป็นตัวของตัวเองแล้ว ยังช่วยสอนอะไรต่อมิอะไรอีกเยอะมาก เป็นเจ้านายที่ให้โอกาสลูกน้องสุดๆ น่ะค่ะ ส่วนเรื่องคุณฝรั่งนั้นตอนที่นายบอกครั้งแรกพี่ก็ไม่ค่อยเชื่อสักเท่าไหร่หรอกค่ะ พอมาเจอกับตัวเองถึงได้รู้ว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ

คุณ สองเราและสายลม : เอาไว้วันหลังจะเอามาแปะให้ดูนะคะ ตอนนี้ฟังเรื่องในร้านไปก่อนค่ะ สำหรับเพลงประจำบล็อกชื่อเพลง "เธอเท่านั้น" ค่ะ ร้องโดย ขลุ่ย วชิระ (เป็นเพื่อนสมัยมัธยมน่ะค่ะ เลยถือโอกาสโปรโมทซะ) เพลงนี้เป็นเพลงหนึ่งในอัลบั้ม behind the song โดย เอิ้น พิยะดา ซึ่งเพลงเพราะทุกเพลงนะคะ (โปรโมทอีกแล้ว อิอิ)


โดย: ธาร นาวา วันที่: 3 พฤษภาคม 2550 เวลา:2:20:26 น.  

 
อยู่ร้านยาที่กรุงเทพ...แต่ไม่ใช่เภสัช นะ เจ้านายใจดีเหมือนกันแต่ขี้บ่น


โดย: k IP: 124.122.250.187 วันที่: 19 พฤศจิกายน 2552 เวลา:19:20:39 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ธาร นาวา
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




จากสายธารลำเล็กๆ
หลอมรวมเป็นกระแสธาราอันกว้างใหญ่
หลั่งริน...ไหลระเรื่อย...
นำพาเอาความชุ่มชื้นฉ่ำเย็นมาสู่หัวใจผู้คน

ลายปากกา
Friends' blogs
[Add ธาร นาวา's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.