สุภารัตถะ บล็อก
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2548
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
3 ตุลาคม 2548
 
All Blogs
 

ในอนาคตอาจมีศาสนาเดียว


ท่านพุทธทาสได้รับความเคารพนับถือ
จากศาสนิกชนต่างศาสนาไม่น้อย ไม่ว่าจากชาว คริสต์ มุสลิม หรือแม้แต่ชาวซิกห์ ท่านพุทธทาสมักให้ความเป็นกันเอง นั่งสนทนาด้วยอย่างคุ้นเคย


....เอ้า, ทีนี้ก็ดูต่อไปในอนาคต ในอนาคตนี่ โลกมันอยู่ใต้อำนาจวิสัยของวิชาความรู้ทางวิทยาศาสตร์, ที่เรียกว่าวิทยาศาสตร์ ที่กำลังก้าวหน้า ก้าวหน้า ก้าวหน้าอยู่ในโลก แล้วโลกก็ยอมรับวิทยาศาสตร์ ยอมรับนับถือวิทยาศาสตร์ยิ่ง ๆ ขึ้นไป; โลกมันเปลี่ยนพื้นฐาน เปลี่ยนอุปนิสัย เปลี่ยนอะไรไปในทางที่จะยึดวิทยาศาสตร์เป็นหลัก. ดังนั้นในอนาคต มันจะเหลืออยู่แต่ศาสนาเดียว คือศาสนาวิทยาศาสตร์ ไม่ต้องเรียกว่าพุทธ คริสต์ อิสลาม พราหมณ์ ฮินดู ซิกส์ อะไรแล้ว ไม่ต้องเรียกแล้ว, มันจะเรียกว่าศาสนาวิทยาศาสตร์ คือ ศาสนาที่กล่าวถึง ความจริงอันเด็ดขาดของธรรมชาติ เรียกว่าศาสนาของความจริง. ความจริงของอะไร? ของธรรมชาติ ของธรรมชาติที่ศึกษาได้ เกี่ยวข้องได้ด้วยวิทยาศาสตร์ ด้วยวิถีทางวิทยาศาสตร์.

ในอนาคต เมื่อมนุษย์เข้าถึงระดับสูงสุดของวิทยาศาสตร์ ศาสนามันก็จะเหลืออยู่แต่ศาสนาวิทยาศาสตร์ ที่เข้ากันได้กับวิทยาศาสตร์. ที่ไอน์สไตน์เคยพูดไว้ว่าจะเหลืออยู่ศาสนาเดียว ที่สามารถจะ cope, can cope natural need. ศาสนาที่จะสามารถตอบคำถาม หรือสู้หน้าได้กับความต้องการของวิทยาศาสตร์ตามธรรมชาติ ศาสนานี้จะเหลืออยู่ จะเรียกว่าศาสนาอะไรก็ตามใจ เพราะมนุษย์เป็นลูกน้องของวิทยาศาสตร์ไปหมดแล้ว. เมื่อมนุษย์เป็นลูกน้องของวิทยาศาสตร์ไปหมดแล้ว มันก็เป็นศาสนาวิทยาศาสตร์; แต่อย่าลืมว่า หัวใจของทุก ๆ ศาสนาแต่ละศาสนานั้น เข้าไปอยู่ที่นั่นคือมันดับทุกข์ได้; มันจะดับทุกข์ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์ก็ตามใจเถอะ มันก็ต้องตรงกับหลักของศาสนาใดศาสนาหนึ่ง ที่เป็นมาแล้วแต่ในอดีต, จะด้วยเชื่อพระเจ้าหรือว่าจะด้วยเชื่อการกระทำของตัวเอง ก็แล้วแต่.

เดี๋ยวนี้เขาแบ่งเป็นเหลือ ๒ ศาสนาแล้วในโลกนี้ ๒ ศาสนาแล้ว, เหลือเพียง ๒ ศาสนาแล้วในโลกนี้ คือพวก creationist เชื่อพระเจ้า พระเจ้าสร้าง, เชื่อพระเจ้า นี้เป็น creationist มีกี่ศาสนาก็ไปนับดูเอาเอง. นี้ศาสนาอีกพวกหนึ่งเป็น evolutionist เชื่อวิวัฒนาการตามธรรมชาติ มีอยู่กี่ศาสนาก็ลองไปนับดูเอาเอง, เท่าที่มันเห็นชัด ๆ อยู่ พุทธศาสนาอยู่ในพวก evolutionist คือถือความเป็นไปตามกฎของธรรมชาติตามเหตุตามปัจจัยของธรรมชาติ.

พุทธศาสนาที่แท้จริงไม่ได้สอนว่า สุขหรือทุกข์นี้เป็นไปตามกรรม, ความสุขความทุกข์ของมนุษย์ไม่ได้เป็นไปตามกรรม; แต่พุทธบริษัทส่วนมากยังโง่อยู่ ว่าสุขทุกข์เป็นไปตามกรรม. แต่พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า สุขทุกข์ไม่ใช่เป็นผลของกรรมเก่า แต่เป็นผลของอิทัปปัจจยตา นี่มันทำผิดหรือมันทำถูกที่นี่เดี๋ยวนี้, นี่คือวิทยาศาสตร์ละ เป็น evolutionist ไม่ต้องมีพระเจ้าเข้ามาเกี่ยวข้อง; แล้วก็ว่าสุขทุกข์นี้ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าพระเจ้าบันดาล, ที่พุทธศาสนาเป็นอย่างนี้. ความสุขความทุกข์ของมนุษย์ไม่ใช่พระเจ้าหรือสิ่งสูงสุดบันดาล และไม่ใช่ผลของกรรมเก่า แต่เป็นผลของอิทัปปัจจยตา ที่ทำลงไปผิดหรือทำลงไปถูก; เพราะว่าถ้ามันจะเกิดความทุกข์ร้อนเจียนตายขึ้นมา, แต่ถ้าปฏิบัติถูกตามกฎอิทัปปัจจยตาแล้ว มันไม่เป็นทุกข์เลย. ขอให้เข้าใจส่วนนี้ แม้จะเจ็บไข้ได้ป่วยเจียนตาย เป็นทุกข์เจียนตายอยู่แล้ว ถ้าดำรงจิตให้ถูกต้องตามกฎของอิทัปปัจจยตาแล้ว มันก็ไม่เป็นทุกข์เลย; ฉะนั้นจึงยกเลิกกรรมเก่าหรือยกเลิกอำนาจของพระเจ้า ของเทพเจ้า ของภูติผีปีศาจ ของอะไรออกไปหมดสิ้น. นี่พุทธศาสนามีลักษณะเป็น evolutionist อย่างนี้ ไม่มีลักษณะเป็น creationist.

เดี๋ยวนี้ ศาสนาในโลกเหลืออยู่เพียง ๒ ศาสนาแล้ว ศาสนาหนึ่งเป็น creationist มีพระเจ้าผู้สร้าง ก็ทำไปตามแบบนั้น, ศาสนาหนึ่งเป็น evolutionist เป็นไปตามกฎของวิวัฒนาการ เหตุปัจจัย ก็ทำไปตามแบบนั้น.

แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่ควรจะเอามาเปรียบเทียบว่า ศาสนาไหนดีกว่ากัน. อย่าให้มันโง่ไปอีก, มันจะเป็นคำถามที่โง่เง่าที่สุด ที่จะถามว่าศาสนาไหนดีกว่ากัน; เพราะว่าสำหรับคนบางพวก มันก็ต้องใช้แบบของตน แบบอื่นใช้ไม่ได้. พวกที่มีพื้นแพ นิสัย สันดาน วัฒนธรรม จิตใจ มาตามแบบที่เหมาะสมกับศาสนา creationist ก็ต้องถือศาสนานั้น, ส่วนพวกที่ไม่เป็นอย่างนั้น เป็นไปตามแบบของธรรมชาติ ก็ต้องถือศาสนา evolutionist เป็นธรรมดา. แต่ว่าทั้ง ๒ ศาสนาจะเอามาเปรียบเทียบกันอย่างไร มันก็ยังเสมอกัน หรือได้ผลด้วยกัน คือว่าดับทุกข์ได้ตามแบบของตน ๆ.

ถ้ามันเหลือ ๒ ศาสนา มันก็ยังไม่มีทางที่จะมาพูดว่าอันไหนดีกว่าอันไหน อันไหนดีที่สุด อยู่นั่นเอง; เพราะประชาชนหรือสัตว์ทั่วไปนี้ มีปัญหาตามแบบของตน ๆ ตามลักษณะนิสัยจิตใจของตน, แล้วยังเป็นไปตามการศึกษา หรือวัฒนธรรมหรือประเพณีอะไรอีกมาก ซึ่งฝังแน่นอยู่ในสันดาน. เขาก็ต้องได้ศาสนาที่เหมาะสม เขาจึงจะดับทุกข์ของเขาได้ ก็ยังดีไปตามแบบนั้น; ถ้าไม่เป็นอย่างนั้น มันก็ต้องมาแบบอิทัปปัจจยตา คือว่าไปตามเหตุปัจจัย กฎของธรรมชาติอย่างไร ปฏิบัติให้ถูกต้องแล้วก็ดับทุกข์ได้. เพราะฉะนั้นพวกที่กินขนมปังก็กินไปซิ, พวกกินข้าวก็กินไปซิ, มันจะมามีปัญหาอะไร ที่จะถามว่า อันไหนจะดีกว่ากัน หรืออันไหนจะดีที่สุด.

แต่ทีนี้ถ้ามันมาถึงชั้นวิทยาศาสตร์ ขออภัยที่จะพูดว่า ในอนาคตข้างหน้าอันนานไกลนั้น ถ้าคนในโลกมันเป็นสมาชิกของวิทยาศาสตร์ไปหมดแล้ว น่ากลัวว่าจะเหลืออยู่แต่ศาสนาเดียว คือศาสนาวิทยาศาสตร์. ทุกศาสนาเอามาใส่ครก หลอมตำ ๆ ตำเคล้าเป็นอันเดียวกัน เหลือเป็นศาสนาวิทยาศาสตร์, นั่นแหละจะอยู่เป็นศาสนาเดียว แล้วไม่ต้องเปรียบเทียบกันแล้วทีนี้ มันมีเป็นศาสนาเดียวแล้ว จะเปรียบเทียบกับใครได้อย่างไร, มันก็ไม่ต้องเปรียบเทียบ การเปรียบเทียบทางศาสนามีไม่ได้อีกต่อไปแล้วเพราะมันเหลือศาสนาเดียวเสียแล้ว.

นี่ศาสนาเปรียบเทียบแห่งสากลโลก สากลจักรวาล มันมีเค้าเงื่อนอย่างนี้มีเค้าโครงอย่างนี้ มีปัญหาอย่างนี้. เรามาพูดกันเหมือนกับพูดถึงอนาคต อนาคตนี้ไม่แค่ไหน ไม่เท่าไรก็กลายเป็นอดีตแหละ อีกไม่กี่พันปี, อีกไม่กี่หมื่นปี อนาคตนั้นก็กลายเป็นอดีต แล้วมันก็เป็นเรื่องธรรมดาไปอีก เพราะว่าอนาคตมันก็กำลังกลายเป็นอดีตอยู่เรื่อยไป. พรุ่งนี้มันก็จะมากลายเป็นวานนี้ของวันนี้อยู่ได้เรื่อยไป ๆ ๆ; เพราะฉะนั้นอนาคตมันจึงอยู่ใกล้ ๆ ใกล้นี้เอง, สักวันหนึ่งมันก็จะถึงยุคหนึ่ง ซึ่งอะไร ๆ มันก็ต้องเหมาะสมสำหรับยุคนั้น. นี่อาตมาจึงคิดว่า และเชื่อว่าด้วย มันจะมีเหลืออยู่ศาสนาเดียวในยุคหนึ่ง คือศาสนาวิทยาศาสตร์ ที่มนุษย์ทุกคนในโลก เป็นสมาชิกของวิทยาศาสตร์ไปหมด. แต่ถ้ามันจะมีอะไรเกิดขึ้นมาอีก นอกจากวิทยาศาสตร์นั้นก็ค่อยพูดกัน; แต่เค้าเงื่อนที่มันเห็นอยู่ในปัจจุบันนี้ มันมองเห็นอยู่ว่า วิทยาศาสตร์ ความรู้ เหตุผล เหตุปัจจัย ตามกฎวิวัฒนาการนี้ มันจะครองโลก. เราเปรียบเทียบกันไว้ล่วงหน้า เปรียบเทียบกันว่า เพื่อจะให้ร่วมมือกันได้.

ถ้าเราจะถือเป็นศาสนา ศาสนานั่น ศาสนานี่ ก็ให้รู้ไว้เถิดว่า เราจะมีปัญหาอย่างเดียวกัน ปัญหาร่วมกัน คือจะต้องต่อสู้กับศาสนาวิทยาศาสตร์ อันจะมีมาในอนาคต. ศาสนาไหนก็ตามที่มีอยู่ในโลกเวลานี้ จะต้องเผชิญปัญหาในอนาคตคือต่อสู้กันกับศาสนาวิทยาศาสตร์; ถ้าศาสนาไหนเป็นวิทยาศาสตร์อยู่แล้วก็ดีไป, แต่ศาสนาที่มีลักษณะเป็นวิทยาศาสตร์นั้นจะเป็นอยู่ได้ง่าย เป็นไปได้ง่าย, หรือเคลื่อนไหวได้ง่าย.

ทีนี้เปรียบเทียบอย่างนี้แล้วก็ จะทำให้เกิดความรู้สึกขึ้นมาอย่างหนึ่งว่า ต่อไปนี้ก็เตรียมตัว สำหรับจะมีความรู้เรื่องของธรรมชาติ, รู้เรื่องกฎของธรรมชาติ, รู้เรื่องหน้าที่ตามกฎของธรรมชาติ, รู้หน้าที่ผลของธรรมชาติ. แล้วผู้ที่เคยเรียกว่าพระเจ้า ก็จะต้องเปลี่ยนพระเจ้าเป็นธรรมชาติ ที่เคยเรียกว่าธรรมชาติ ก็จะต้องเปลี่ยนธรรมชาติเป็นพระเจ้า คือเป็นสิ่งสูงสุด แล้วแต่จะใช้ชื่อไหน แล้วแต่จะชอบชื่อไหน. คำว่าพระเจ้าหมายถึงสิ่งสูงสุดก็แล้วกัน, สิ่งสูงสุดนั้นคืออะไร ก็ไปว่ากันข้างหน้า, แล้วการถือศาสนานี้มันแล้วแต่คนในโลก. ถ้าคนในโลกถือศาสนาอะไร ศาสนานั้นมันก็อยู่ ถ้าคนในโลกไม่ถือศาสนาอะไร ศาสนานั้นมันก็ดับไป มันก็มีเท่านี้

พุทธทาสภิกขุ




 

Create Date : 03 ตุลาคม 2548
10 comments
Last Update : 3 ตุลาคม 2548 6:11:34 น.
Counter : 2191 Pageviews.

 

ชอบที่ท่านพุทธทาสสอนทุกเรื่อง มันส์ดี แกะตัวโง่ออกได้เรื่อยๆ
ไม่เหมือนบางคน ... ยกพุทธพจน์มามาก แต่อธิบายซะคลุมเครือ เป็นงง...

 

โดย: suparatta 3 ตุลาคม 2548 6:19:31 น.  

 

ในอนาคตต่อไป.. เรื่องสัจธรรมจะเป็นเรื่องที่คนฟังไม่เข้าใจ จิตใจฟุ้งซ่านขาดกำลัง ฟังเรื่องถูกเป็นผิด ฟังเรื่องผิดเป็นถูก ตามกระแสโลกที่เต็มไปด้วยมายาแสงสี
แม้แต่คนสนใจศาสนา คำสอนลึกซึ้งก็จะฟังไม่รู้เรื่อง ได้แค่คำสอนง่ายๆ ฟังพระอรหันต์พูดไม่เข้าใจเท่าอริยะระดับต้นพูด มีปัญญาไม่แยบคาย ความเข้าใจคลาดเคลื่อน จนแม้แต่อริยะก็หมดไป
เข้าสู่อารยธรรมเจริญวัตถุ แต่จิตใจบ้าคลั่ง ควบคุมสติได้ยาก จนไม่ฆ่าตัวเอง ก็ฆ่าคนอื่น เพราะขาดความสงบทางใจ จิตแส่ไปเรื่องนอกตัวจนสติแตก ต่างเห็นกันเหมือนผักปลา ฆ่ากันโดยไม่มีสำนึกว่าผิดศีลธรรม เข้าสู่ยุคเสื่อมของความประเสริฐทางใจ

 

โดย: suparatta 3 ตุลาคม 2548 6:30:07 น.  

 

นึกถึงศาสนาเงิน

 

โดย: rebel 3 ตุลาคม 2548 9:40:09 น.  

 

อ่านงานของท่านพุทธทาสทุกครั้ง
รู้สึกได้ถึงความเป็น พุทธศาสนาวิทยาศาสตร์ ค่ะ

ว่าแต่ว่า...อ่านทุกครั้งก็รู้สึกเหมือนตัวเองยังโง่อยู่
ทุกทีเลย รู้สึกว่าอ่านแล้วเข้าใจยากยังไงก็ไม่รู้ค่ะ

 

โดย: Hello IP: 168.120.27.11 3 ตุลาคม 2548 10:18:44 น.  

 

อยากอ่านด้วยสติและก็ปฏิบัติด้วยสติเหมือนกัน
ค่ะ เพราะมันจะได้ประโยชน์เต็มๆ เลย ตอนนี้
มีศาสนาหลายศาสนาเถียงกันจังเลยชั้นดีกว่า
เบื่อเน๊อะ บ้านเมืองเราก็เลยไม่สุขสงบก็แบบ
นี้แล

 

โดย: JewNid 3 ตุลาคม 2548 12:18:40 น.  

 

วันนี้กินเจวันแรกแล้ว...

 

โดย: wbj 3 ตุลาคม 2548 13:00:52 น.  

 



สวัสดีค่ะ คุณสุภาฯ

เข้ามาอ่านคำสอนของท่านพุทธทาสค่ะ

ท่านสอนไว้ดีมากนะคะ

กฎอิทัปปัจจยตา

จุดนี้ที่รักดี พยายามศึกษาและนำมาปฎิบัติตาม

ตา หู จมูก ลิ้น กายใจ



แต่เวลาปฎิบัติจริงๆรักดี ทำข้อ ตา หู จมูก พอได้

ส่วนกาย ใจ ยังทำไม่ค่อยได้ ยิ่งใจนี่ยิ่งยากมากๆ

ท่านบอกว่า ต้องนั่งสมาธิให้จิตสงบจริงๆจึงจะปฎิบัติได้ดี ค่ะ

 

โดย: รักดี 3 ตุลาคม 2548 16:14:04 น.  

 

ศาสนาเดียวกัน แท้ๆ ยัง ทะเลาะกัน เถียงกันเรื่อง
วัดนี้ดีวัดนั้นไม่ดี ไปอ่านห้องศาสนา อ่านแล้วเศร้า

 

โดย: อยู่ไกลบ้าน IP: 210.18.17.122 3 ตุลาคม 2548 19:10:14 น.  

 

สาธุค่ะ มาฟังคำสอนดีๆ
ไม่ได้เอาหนังสือธรรมะมาเยอะนัก เลยอาศัยฟังเอาค่ะ และก็อ่านตามกระทู้ กะบล๊อก

ได้อ่านสิ่งที่เลือกสรรแล้ว

 

โดย: กิ่งไม้ไทย 4 ตุลาคม 2548 7:10:37 น.  

 

ขอบคุณที่ไปบล๊อกผมนะครับ

 

โดย: Bluejade 4 ตุลาคม 2548 8:36:53 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


suparatta
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




..วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร..
..ท่านนาคารชุนะ..
วิภาษวิธี..เกริ่นนำ..ตอนจบ..

๐ สมุดเยี่ยมและบ่นได้..
**ทางลัด**
๐ สารบัญทักทาย(ทั้งหมด)
๐ ชวนคุย&ฟังเพลงปี48(ทั้งหมด)
๐ นอนดูจันทร์..(ส่วนตัว)

**log in หน่อยน่า..



Google.co.th
Friends' blogs
[Add suparatta's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.