ผมตื่นขึ้นมาตอนเช้าด้วยสภาพไม่เต็มร้อยนัก รู้สึกปวดกบาลนิด ๆ ลองกลืนน้ำลายตามไปอีกอึก อุ้ย! เจ่ะคอชิหัยเลย เมื่อคืนก็ไม่ได้หนีไปคาราโอเกะที่ไหนนี่นา คออักเสบแล้วสิตู ฤทธิ์ฝุ่น Namche Bazaar ที่ผมดูดดมเมื่อครั้งขาขึ้นมาจาก Phakding ดันมาประกาศศักดา ไม่ถูกกาละเทศะจริง ๆแต่แค่นี้ไม่มีถอยอยู่แล้ว
แพนเค้ก เพื่อนผมเธออึดอดทนกว่าผม ไม่ยักกะมีอาการอะไรเลย ไม่เจ็บ ไม่เมื่อย ไม่เป็นไข้ จะเป็นก็แค่คอหันซ้ายหันขวาไม่ค่อยสะดวก ได้แค่หันรีหันขวางอย่างเดียว อาการเหมือนตกหมอน ไม่น่าใช่ AMS ผมทิ้งเสื้อผ้าที่ใช้แล้วและสัมภาระที่เกินความจำเป็นบางส่วนไว้ที่โรงแรมพี่ดิล ขากลับค่อยมาเก็บ สวาปามคลับแซนด์วิชชิ้นโตเสร็จ กัปตันจันทรา ก็สั่งลูกทริปออกเดินหน้าทันที น้องราช ลูกหาบพูดน้อย ดุ่ย ๆ นำหน้าไปก่อนแล้ว เราใช้เส้นทางไต่ขอบกระทะหลังโรงแรมเส้นเดิม เลาะเลียบเหลี่ยมเขามุ่งหน้าสู่ Tengboche เมืองที่มี Monastery ใหญ่โตที่สุดแห่งแดนดินถิ่น เนปาล + Back to Trial เงยหน้า เงยตาเดินดูวิวไปเพลิน ๆ สายตาซุกซนดันมองไปเห็นนกสีเหลือบ ๆ เขียว ๆ น้ำเงิน ๆ บินอยู่ไกล ๆ ช่างรบกวนใจผมนัก นกอะไรนะ หรือว่าจะเป็น นกประจำชาติเนปาล Himalayan Monal ไก่ฟ้าแสนสวยมากสีตัวนั้น อุ้ย! นึกถึงตรงนี้ก็ขนลุกแล้ว ... บินไปไหนแล้วหว่า
เงยหน้าเดินต่อไปได้ไม่กี่ก้าว นกตัวสวยบินเข้ามาใกล้กว่าเดิมอีก ปีกสีเหลือบฟ้าเขียว หางสีส้ม ๆ ขาว ๆ มันต้องใช่ มันต้องใช่แน่ ๆ ช่วยลงจอดให้ดูชัด ๆ หน่อยนะ บินเข้าใกล้อีกหน่อยสิ ได้โปรด นึกไม่ทันจบ นกใจดีลงจอดปุ๊ ตรงสันเขาข้างล่างพอดี ผมงัดกล้องส่องทางไกลขึ้นมาส่องทันที ไม่มีรีรอ
+ Nepal National Bird Himalayan Monal จริง ๆ ล่วย สวยมั่ก ๆ หัวหางช่างดูดีไปซะหมด สมกับเป็น นกชั้นเทพ จริง ๆ เพลินตา อิ่มใจจัง (บรรยายไม่ถูก กรุณาดูรูปประกอบครับ) ถ้าเมื่อวาน ผมเห็น E verest ชัด ๆ ถึงตรงนี้ผมก็กลับบ้านได้แล้วอย่างสบายใจ เป้าที่เล็งไว้ก็จะยิงกระจุยเรียบร้อย ผมส่งกล้อง Leica Ultravid 8*42 BN ให้แพนเค้กส่องบ้าง ชีพยักหน้าหงึก ๆ เห็นด้วยกับความสวยของ Himalayan Monal ++ นกเทพ Himalayan Monal picture : //www.wideview.it
เสียดายเกาะไกลไปหน่อย 200 กว่าเมตรเอง แห่ะ ๆ Trek มาหลายวัน ชักเริ่มคุ้นหน้า คุ้นตา นักเดินทางต่างชาติหลายคนแล้ว ไปที่ไหนก็เจอกัน หนีกันไม่ออก น้อง Japanese คิขุน่ารัก หนีแม่แบ็คแพ็คมาคนเดียว พ่อกับลูกชายชาวสวีดิช สองสาวเพื่อนซี้ชาวอาทิตย์อุทัย สามีภรรยามนุษย์สัมพันธ์เยี่ยมจากฮ่องกง อื่น ๆ อีกมากมาย ... ที่เราจะร่วมชะตากรรมเส้นทางเดียวกัน
มีคนเรียกแพนเค้ก ว่า "มิซซิสไทยแลนด์" ด้วย ทำเอาแพนเค้กเคืองมิใช่น้อย + Big E at Worlds End เดินได้พักใหญ่ เราก็มาถึงสถูป (Gompa) เล็ก ๆ ถูกสร้างขวางทางไว้ มีนักท่องเที่ยวออยืนดูวิวกันอยู่ เราก็เลยหยุดดูมั่ง ง่า เห็น E verest ด้วย ถึงจะย้อนแสง แดดจะแรงจัด ดูพอแก้ขัดก็โอนะ (กลับได้แล้วสิเรา) ++ Mt. Everest อยู่ไกลโพ้น โน่นเลย ทางเริ่มเปลี่ยนมาเป็นทางลงเขา เราเห็นหน้าตา นักท่องเที่ยวเดินระโหยสวนทางขึ้นมา ก็ได้แต่คิดว่า ขากลับ เราคงไม่แตกต่างกันนัก ดอกกุหลาบพันปี บานรอรับเรามากมาย ทำไมผมถึงไม่ยอมถ่ายรูปนะ กรรม ผ่าน Sanasa ตรงจุดนี้มี Tibetan Market เปิดขายของเย้ายวนนักท่องเที่ยว ผมถามจันทราว่าราคาถูกกว่าที่ Kathmandu มั้ย จันทราก็ทำเป็นไม่หือไม่อือ แต่ก็มาเฉลยภายหลังว่า สินค้าที่เห็น Made in Kathmandu นะเฮีย ที่ Kathmandu ก็ถูกกว่า อย่าเพิ่งซื้อ แต่ที่ถามแล้วเฉย เพราะไม่อยากให้เจ้าของร้านได้ยิน เป็นซะอย่างนั้น ( ... เป็นจริยธรรมของไกด์ ... ใช่มั้ย?) ++ คหบดีเลือดทิเบต นั่งแกร่วแถว Sanasa ส่วนใครที่คิดจะไปดูวิวภูเขาสูงผสมทะเลสาบที่ Gokyo สามารถเปลี่ยนเส้นทางเข้าแยกซ้ายย้ายทิศไปหมู่บ้าน Photse ได้ที่จุดนี้เช่นกัน ว่ากันว่า วิวสวยกว่าที่ EBC อีก ... คราวหน้านะ
+ Dejavu เดินลงมาได้อีกหน่อย ก็ถึง Phunki Thanga ได้ยินเสียง Dudh Kosi สาดซัดถนัดหู เห็นคำเตือนข้างทางเขียนขู่ไว้ว่า จากจุดนี้ความสูง 3,250 เมตร เดินขึ้นอย่างเดียวไม่เหลียวหลัง 2 ชม. แบบไม่มีพัก กว่าจะถึง Tengboche ที่อยู่สูง 3,870 เมตร นะฮ้า อุ้ย! งั้นแวะกินน้ำกินท่าเพิ่มพลังก่อนดีกว่ามั้ง อยากแปลงกายเป็นจามรีน้อยน่ารักจังงิ
คำขู่ที่เขียนไว้มันเป็นความจริงครับ ขึ้นอย่างเดียว ไม่มีลง ความรู้สึกเหมือนวันที่เรามา Namche Bazaar เปี๊ยบ ข้ามแม่น้ำ Dudh Kosi แล้วก็ขึ้น ๆ ๆ อย่างเดียว หรือว่ามันเป็น เดจาวู วะ 555 ผ่านไปเกือบ 2 ชม. อาการลุ้นทุกโค้งเริ่มหนักขึ้นเรื่อย ๆ จะพ้นโค้งทีผมก็ภาวนาที ให้เห็นบ้านเรือน หรือป้ายสื่อความหมายอะไรก็ได้ ว่าเราใกล้ Tengboche แล้ว ก็ไม่มีให้เห็นซะที อากาศก็เริ่มครึ้มฟ้าครึ้มฝน ผมเดินครึ้มอกครึ้มใจได้อีกแป๊บ ก็ต้องชะแว้บลงข้างทาง ... ม้า ครับ ม้า ห้อฟูลสปีดลงมาจากเขาฝุ่นตลบ ถ้าหลบไม่ทันอาจโดนม้ารุกฆาตตกเขาได้ แพนเค้กแคล่วคล่องว่องไว ไม่แพ้กัน ถลันหลบ พร้อมกับร้อง เฮ้ย ออกมา ด้วยอารามโตะจาย ไม่รู้ว่าม้าตื่นอะไรมา คงไม่ใช่ความสวยความหล่อของเราหรอกนะ
+ Tengboche, Here We Are พอพ้นโค้ง อาชาพิโรธ ผมก็หมดลุ้นพอดี ใช่แล้วครับ เรามาถึง Tengboche แล้ว จนได้ ... ทำไมไกลอย่างนี้ฟระ หิวแล้วด้วย Tengboche มีที่พักอยู่น้อยนิด น้องราช จอง Tashi Dilek Guest House ให้เรา ห้องพักที่นี่ทำด้วยไม้อัดบาง ๆ คับแคบ หาห้องแบบมีห้องน้ำในตัวไม่ได้แล้ว ต้องแชร์กัน แพนเค้กไปเดินดมดูแล้ว ให้ทรรศนะว่า สะอาดดี ใช้ได้ ++ Tashi Dilek Guest House ที่พักเรา ท่ามกลางเมฆหมอก หมกเมือง Tengboche เกือบมิด ผมสั่งซุปกระเทียม มาลองซดดู จันทราบอกมันจะช่วยให้หายจากอาการปวดหัวเพราะ AMS ได้ แต่ผมเป็นหวัดนี่นา แล้วมันจะช่วยได้รึ แพนเค้กสั่ง Onion Omlette ข้าวเปล่ามาลอง ลิ้มรสไข่แล้วก็เลียปากแผล่บ ๆ บอกว่า เหมือนมารดาที่บ้านทำเลย ... กรูรอดตายแล้ว
พอท้องอิ่ม เท้าก็ทำงานต่อ เดินดูอะไรต่อมิอะไรไปเรื่อยเปื่อย อากาศก็ยังมืดมัว ฝนพรำเบา ๆ หนาวกว่าทุกที่ที่ผ่านมา ที่นี่มีบริการ internet ผ่านดาวเทียมด้วยนะ แต่เรายังไม่ใช้ ยังไม่ถึงคราวจำเป็น
+ Tengboche Monastery ที่ Tengboche มีวัดทิเบต (Monastery) ใหญ่โต เป็นที่สุด ก่อตั้งเมื่อปี ค.ศ. 1919 โดยท่าน ลามะ Gulu เนิ่นนานนมมาแล้ว โดนเคราะห์ซ้ำกรรมซัดมาแล้วหลายครั้ง ปี ค.ศ. 1934 ก็เจอแผ่นดินไหวถล่มทลาย ท่านลามะ Gulu มรณภาพไปในเหตุการณ์นั้น ++ Tengboche Monastery - เช้าวันถัดมา ฟ้าใสสด ตัววัดปัจจุบันสร้างขึ้นมาใหม่เมื่อปี ค.ศ. 1993 แทนหลังเก่าที่โดนไฟไหม้เรียบวุธไปตอนปี ค.ศ.1989 ด้วยทุนทรัพย์ชาวเชอร์ปาและองค์กรข้ามชาติใจบุญมากมาย คนแถวนี้นับถือศาสนาพุทธ นิกาย Tantric (Vajrayāna) ซึ่งแตกต่างจาก Hīnayāna บ้านเรา บ่าย 3 โมงตรง เหล่าลามะก็เข้าโบสถ์ (ไม่รู้เรียกโบสถ์หรือป่าว) สวดมนต์ ที่จริงมี 2 รอบนะ รอบเช้า 6 นาฬิกา อีกหนึ่งรอบ ทางวัดอนุญาตให้นักท่องเที่ยวเข้าไปนั่งฟังได้ แต่ก็ต้องปฏิบัติตามกติกาของวัด ถอดรองเท้าเดินเข้าไปนั่งอย่างสงบทางด้านขวา งดถ่ายหนัง/วิดีโอ ภาพเคลื่อนไหวทุกชนิด เว้นแต่จะได้รับการอนุญาตก่อน แฟลชห้ามใช้ ... ก็เลยไม่มีรูปมาฝากกัน ++ ภาพภายในโบสถ์ Tengboche Monastery - photo by Govo ภายในมีพระพุทธรูปของ พระศรีศากยมุนี (Sakyamuni พระพุทธเจ้าของเรานี่แหล่ะ ตามศาสนาพุทธนิกาย วัชรยาน เชื่อว่าเป็น Historical Budha) สูงประมาณ 4 เมตร ด้านซ้ายเป็น Manjushri (The God of Wisdom) ด้านขวาเป็น พระศรีอาริยเมตไตย (Maitreya Future Budha ที่จะจุติหลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้ว 4,000 ปี) เสียงสวด พี่น้องคงได้ยินแล้วจากช่วงต้นของเพลงประกอบบล็อกครับ ขลัง ได้ฟีล ผมกับแพนเค้กก็เข้าไปนั่งขลุกขัดสมาธิฟังบทสวดด้วยความสงบ รู้สึกเย็นมากไม่รู้ว่าเป็นเพราะบรรยากาศเยือกเย็นหรือเย็นอากาศกันแน่ ลามะสวดอยู่หลายจบ ระหว่างจบมีเบรค น้ำชาร้อน ๆ ด้วย + Rainy Night ออกมาจากวัด ฝนก็ยังตกไม่ขาดเม็ด เราเลยเปลี่ยนไปขลุกที่ห้องอาหารแทน ใคร ๆ ก็มาสุมอยู่ที่นี่กันหมด เป็นห้องที่อุ่นที่สุดแล้ว ด้วยอานุภาพเตาผิงเชื้อเพลิง อึจามรี ให้ความร้อนได้ดี ไม่มีเหม็น ก่อนนอนแพนเค้กสั่งน้ำร้อนใส่กระติกเอาไว้นอนกอดแทนกระเป๋าน้ำร้อนด้วย น่าจะอุ่นดี หล่อนบอกว่าไม่ค่อยชอบนอนในถุงนอน แต่ผมชอบแฮะยิ่งเป็นแบบมัมมี่ยิ่งชอบ กระดุกกระดิกไม่ได้ ให้ความรู้สึกเหมือนมีคนมานอนกอดตลอดคืน อิ อิ
ก่อนนอนผมกดพารา 2 เม็ด แก้แพ้อากาศ 1 เม็ด ตามด้วยยาแก้ไออีก 1 ++ เช้าหลังฝน Tashi Dilek Guest House ดูดีขึ้นเยอะเลย ตื่นขึ้นมาแบบมึน ๆ ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ฟ้าสว่างพอดี เช้านี้ฟ้าใสไร้ฝน วิวที่ Tengboche อลังการมาก เห็น Khumbila ชัดแจ๋วแหววอยู่หลังวัด Kantega กับคู่แฝด Thamserku Ama Dablam Kwangde
++ Mt Thamserku แบบเผาขน ที่จริงฟ้าใสขนาดนี้ เราสามารถมองเห็น E verest Nuptse Lhotse ได้ด้วยนะ ทว่าจันทราไม่ได้บอก หรือว่าเราไม่ได้ถามหว่า ... โทษตัวเองดีกว่าทำการบ้านไม่ดีเอง
+ Heading to Dingboche เราร่ำลา Tengboche แบบไม่ค่อยอาลัยอาวรณ์นัก ที่พักไม่ค่อยประทับใจ อาหารไม่อร่อย นอนก็ไม่ค่อยสบาย แต่ผมเตรียมใจไว้แล้วว่า ต่อไปน่าจะเลวร้ายกว่านี้อีก ช่วงแรกทางเดินลง ฝ่ากลางเข้าไปในป่ากุหลาบพันปี เดินคลอเคล้าไปกับ Ama Dablam ถ้ากุหลาบพันปีออกดอกพร้อม ๆ กันหมด น่าจะงดงามดุจดังสวรรค์ ผ่าน Devuche หมู่บ้านเล็ก ๆ มีที่พักน่ารัก ๆ คอยดักนักท่องเที่ยวที่พลาดหวังเรื่องที่พักจาก Tengboche ++ เหลียวหลังกลับไปมอง Tengboche ... นกเล็ก ๆ จำพวก Flycather, Bush Robin, Tit เยอะเลย ผมย่องสะกดรอยตามถ่ายรูป แต่ก็ไม่สมหวังแต่อย่างไร กลุ้มใจจัง นี่ถ้าเป็นทริปดูนก คงได้ซุ่มซ่อนดูนกในดงกุหลาบครึ่งค่อนวัน ++ ป้าเชอร์ปากำลังถอนหญ้าเล่นอยู่ เห็นผมยกกล้อง เผลอยิ้มอวดฟันเหลือง ๆ ... หนังสือดาวโดดเดี่ยว แนะนำให้พักที่ Pheriche เนื่องจากอยู่ต่ำกว่าและมีศูนย์แพทย์ด้วย เผื่อเป็นอะไรไปได้ใกล้หมอ แต่ยอดไกด์เราไป Dingboche ที่อยู่สูงกว่า 100 กว่าเมตร โดยอ้างว่าทิวทัศน์งดงามกว่า Pheriche หลายเท่า เล่นเอาน้องวิวมาล่อแบบนี้ ผมเลยเถียงไม่ลง
+ Everest View at Pangboche เรามีแผนจะไปปรับระดับความสูงภาคบังคับกันที่ Dingboche 2 วันครับ ชม. กว่า ๆ ผ่านไป เราก็มาถึง Pangboche (3,860 m) ++ แพนเค้ก หันหลังนั่งเสวยสุขที่ Pangboche ยอดบนกบาลแพนเค้กชื่อ Kantega (6679 m) ถัดมาทางขวาเป็นยอดคู่แฝด Thamserku (6608 m) แวะถอนความเหนื่อยล้าด้วย Hot Lemon แล้วก็ตะบี้ตะบันเดินชดใช้กรรมเก่ากันต่อไป ทว่า กรรมดีที่ทำไว้คงพอมี เลยดลบันดาลให้เราได้เห็นวิวสวย ๆ ของ Nuptse Lhostse E verest ได้บ้างระหว่างเดิน ++ นี่ไง Everest (8850 m) อยู่ทางซ้าย ขวาเป็น Lhotse (8501 m) เดินเลียบแม่น้ำ Imja Khola ที่แยกมาจาก Dudh Kosi ไปเรื่อยๆ อีกสักชั่งโมงเราก็ถึงหมู่บ้าน Orsho พักเดียวก็เห็นเป็นเนินเขาขวางอยู่ มีทางแยกให้เลือกสองทาง ซ้ายไป Pheriche ขวาไป Dingboche ซึ่งเราเลือกทางขวา (อยู่แล้ว) เดินเบลอ ๆ อีก(หลาย)พักใหญ่ ดู Ama Dablam ไปด้วย ถึงตรงนี้รูปร่าง Ama Dablam เปลี่ยนไปแปลกตา พอรู้ตัวอีกที ผมกับแพนเค้กก็มาถึง สถูปเล็ก ๆ มองไปไกล ๆ เห็นมีหมู่บ้านอยู่ จันทราบอกว่า Dingboches over there
Yes!!! ++ เด็กน้อยขี้มูกเขรอะข้างทาง ... จงใจผสมสีเน่า ๆ ปิดบังคราบขี้มูก 555 + Welcome to Dingboche เด้อ พอความสำราญจากอาหารกลางวันผ่านไป ลูกหาบฉวยโอกาสที่แดดดีซักผ้าผ่อนกัน จู่ ๆ แพนเค้กเกิดอาการคันกบาลอยากสระผมขึ้นมากระทันหัน ผมเห็นดีเห็นงามด้วย เลยไปเอาแชมพูที่ห้องมาสระมั่ง เย็นหัวดีเหลือหลาย ... ลืมไปเลยว่าตัวเองเป็นหวัดอยู่
ห้องพักที่นี่ดีกว่าที่ Tengboche มีหน้าต่างกว้างใหญ่ นอนมองออกไปนอกหน้าต่างเห็นวิวกว้างไกล เห็นนก Snow Pigeon จับกลุ่มบินแปรขบวนกันสวยงาม อดใจไว้ไม่อยู่ ฉวย Binocs คว้า Down Jacket ออกมาเดินดมบรรยากาศรอบ ๆ ที่พักดีกว่า จับเจ่านอนขดในห้องเป็นไหน ๆ มีนกพวก Finch น่าจะเป็น White-browed Rosefinch กับ Red-billed Chough พอได้แก้เบื่อ แต่อากาศหนาวจนหายใจเจ็บปอดแบบนี้ เดินได้ ชม.เดียวก็กลับห้องไปนอนขดดังเดิม + 5,000 Meters over Sea Level นับนิ้วดู วันนี้ก็เป็นวันที่ 6 แล้ว เรากระดึ๊บมาได้ไม่ถึงครึ่งทางเลย หวัดก็กิน คอก็เจ็บ ยาแก้ไอก็เริ่มหมด เสมหะสีลอดช่องใบเตยวันก่อน วันนี้มีสีแดงของเลือดปนมาด้วย แพนเค้กก้านคอก็ยังไม่หาย ... แต่ใจเรายังเหลือ ๆ นะครับ
เช้านี้จันทราจะพาเราเดินไต่หลังเขา ... อ่า เขาหลังที่พักนี่แหล่ะ พาไปเดินปรับความอึดสักครึ่งวัน ใจผมน่ะอยากจะไป Chhukung เพื่อไปดู Island Peak, South-face Lhotse, Baruntse, Malaku กับวิวสุดลูกหูลูกตา โดยเฉพาะยอด Makalu นี่สูงถึง 8,463 เมตร อันดับ 5 ของโลกเชียวหนา ++ ซ้าย Island Peak หรือ Imja Tse (6,189 m) ทางขวาแหลม ๆ Malaku (8,463 m) แต่จันทราบอกว่า ดูหลังเขาที่นี่ก็เหมือนกัน ไม่ต้องเดินไปกลับให้เมื่อยล้า 5 6 ชม. ตกลงเราต้องตามใจเค้า หรือมันต้องตามใจผมฟระ ... อี่โธ่ เก็บแรงไว่ไต่ Kala Pattar ก็ได้
ลมแรง แดดร้อน แต่อากาศก็ยังหนาวกว่าชีวิตปกติเรามากมาย เราเดินงุด ๆ ตามจันทราไปเรื่อย ๆ เหนื่อยก็หยุด เห็น Ama Dablam ในมุมด้าน Eastern Face ที่สุดแสนไม่คุ้นเคย จนผมจำไม่ได้ กลับมาเช็ครูปดูที่เมืองไทย ถึงได้รู้ว่าเป็น Ama Dablam เข้าใจผิดว่าเป็น Island Peak เกือบเดือน 555++ + Ama Dablam The Picturesque Peak เอ่ยนามมาตั้งนานแล้ว ยังไม่ได้สาวไส้ Mt. Ama Dablam สักที อันนามของยอดเขา Ama Dablam นี้ มีความหมายว่า "Mother and Pearl Necklace" ลองจินตนาการดูเอานะครับว่า ยอดเขาสวยกระชากลมหายใจยอดนี้เหมือน หม่ามี้ใส่สายสร้อยไข่มุก แค่ไหน หลายคนยกให้เป็นยอดเขาที่สวยสุดในอาณาจักรแห่งขุนเขาหิมาลัยเลยนะ โดยเฉพาะน่านฟ้าด้านทิศตะวันออกโดน หม่ามี้ ขโมยซีนหมดจดงดงาม ... ไม่เชื่อต้องไปดูด้วยตาตัวเองนะครับ
++ Ama Dablam ในแบบที่คุ้นเคย รูปลักษณ์แบบนี้ เดินมาได้ค่อนทาง เงยหน้าดู โห อีกตั้งไกล แพนเค้กถอดใจไม่ไปต่อ ผมสองจิตสองใจ สุดท้ายก็บอกให้จันทรากลับไปกับแพนเค้ก ส่วนผมก็น้องราช ภาระกิจของเรายังไม่จบ น้องราช เสนอตัวแบกเป้หลังให้ผม มีรึที่ผมจะเกรงใจ รีบปลดเป้ส่งให้อย่างไว เกรงว่าน้องราชมันจะเปลี่ยนใจ ผมพักเหนื่อยเป็นระยะ แต่ดูน้องราช มันไม่เห็นออกอาการแต่ประการใด ปล่อยผมหายใจเป็นควายหอบได้อยู่คนเดียว + StrayBird Broken Wings ++ Ama Dablam ในมุมที่เหมือนไม่รู้จักกัน อิ อิ ในที่สุด ผมก็มาถึงจนได้ กดนาฬิกาเช็คความสูง โอ หม่ามี้ ... บัดนี้ ผมมายืนอยู่ที่ระดับความสูง 5,000 เมตรพอดิบพอดี ถ้า Casio Protrek ไม่ตอแหล ถ่ายรูปรอบทิศทาง 360 องศา นั่งดื่มด่ำฉ่ำชื่นกับความงามกระชากลมหายใจต่อ พอได้เวลาอันสมควร ผมก็ชวนน้องราชกลับวัง Hotel Family ดีกั่ว กว่าจะกลับถึง Hotel Family ผมเริ่มมีอาการ แขนขาป้อแป้แทบจะหมดเรี่ยวสิ้นแรง สงสัยจะโดน AMS จู่โจมกระทันหัน ดันขึ้นไวไปหน่อย ที่ถูกที่ควรในการปรับระดับ เราจะต้องค่อย ๆ ขึ้น ยิ่งช้า ยิ่งดี ผมดันเผลอใจใส่เกียร์ต่ำ ขึ้นไวไปนิด หวิดดับอนาจซะแหล่ว ผมอาศัยโอกาสนี้ นอนปรับระดับตลอดบ่ายเลย 555
++ ตอนนี้ยังเก่งอยู่ ชูหัวแม่มือได้ ผมกับแพนเค้ก เรามีปฏิญญากันไว้ว่า "ถ้ามีคนหนึ่งคนใด ไปต่อไม่ไหว ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม คนที่ไปไม่ไหวต้องไม่ไปต่อ ปล่อยให้อีกฝ่ายเดินตามฝันแต่ฝ่ายเดียว" อธิบายง่าย ๆ ว่า "ใครไปไม่ไหว ทิ้งนะโว้ย" ถ้าอาการผมแย่ลง ไม่กระเตื้องขึ้น ก็คงต้องปล่อยแพนเค้กไปตามทาง คนเดียว
Artist : Ravi Shanka Title : Om Mani Padme Hum