ขึ้นชื่อตอนแบบนี้ สาบานว่าไม่มีโศกนาฏกรรมใด ๆ ไม่มีใครต้องตกตายแบบสยดสยองเหมือนกับหนังฮอลลีวู้ดชื่อเดียวกันนะครับ รับประกันว่าไม่เกินพารากราฟสุดท้ายของบล็อกนี้ ผมกับน้องโดนัท จะไปถึงจุดหมายปลายทาง(ได้)เสียที ฮี่ ๆ เอิ๊กส์ ... E verest Base Camp .. Kala Pattar
Well CMon, Lets Go
+ Hit the Road Again Trekkers เดินช้า เหนื่อยง่ายอย่างพวกเรา 7 โมง ก็ต้องรีบออกเดินทางแล้ว อาการระทดระทวยเมื่อวานนี้ปลิดทิ้งไปแล้วจนหมดสิ้น ผมเปิดก๊อก 2 ตั้งหน้าตั้งตาเดินสืบไป รู้สึกได้ไม่ยากนักว่าวันนี้หนาวกว่าทุกวันหว่ะ จันทรา ยอดไกด์คนเดิม (จะให้เปลี่ยนไกด์กลางเขา คงไม่สมควรกระทำ) นำทัพ สาวหนุ่มจากไทยแลนด์ พิชิตความเสียว ... อ่า ความสูง เราบ่ายหน้าหันหัวสู่ Duglha อันเป็นเป้าหมายหลักช่วงเช้า เดินแบบสิ้นคิดตามจันทราได้พักใหญ่ พอรู้สึกตัวอีกทีเราก็มาอยู่บนสันเขาแล้ว มองไปเบื้องล่างด้านซ้ายมือเห็นหมู่บ้าน Pheriche หลังคาน้ำเงิน แปร๋นแหลน ไกล ๆ เงยหน้าขึ้นหน่อยก็จะเห็น Kantega Ama Dablam ซี้เก่า Taboche (6542 m) และ Cholatse (6440 m) เพื่อนใหม่น่าคบ เดินดูดดมชมวิวจนเหนื่อยอ่อน เราก็มาถึง Duglha ได้ยิน จันทรา ออกเสียงว่า ทุกลา ทว่าก่อนจะถึง ลาทุก อ่า ทุกลา มันยังอุตส่าห์มีเนินสูงลิบให้ขึ้นเป็นการบั่นทอนกำลังใจก่อนด้วยนะ ++ Alpine Accentor - นกหิมาลัยชนิดเดียวที่ถ่ายได้ใกล้ ๆ ชัด ๆเบื้องหลังช่างภาพ - นกมันขาเจ็บน่ะ ไม่มีอะไร ฮี่ ๆ + Duglha (4620 m) & Memorial ที่ Duhgla มี Lodge อยู่ไม่กี่แห่ง หนังสือดาวโดดเดี่ยวแนะนำว่าให้พักที่นี่ด้วย แต่จันทราบอกว่า เราเพิ่งเดินไปแว้บเดียวเอง ปล่อยให้พวกปลาซิวปลาสร้อย ใจเสาะ เค้าพักไป (มัน Overating เรานี่หว่า) ผมกับน้องโดนัท เลยสั่ง Hot Lemon เครื่องดื่มหลักตลอดการเดินทาง มาจิบบรรเทาความเหนื่อยหนาว ++ อนุสรณ์สถานนักปีน E verest -- ถ้าคืนก่อนเราพักที่ Pheriche ก็สมควรพักที่นี่แหล่ะ เพราะความสูงที่แตกต่างกันประมาณ 700 เมตร ระหว่าง Pheriche กับ Lobuche มากเป็น 2 เท่าของความสูงที่หมอ HRA (Himalayan Rescue Association) เค้าแนะนำเชียวนะ -- ++ Monument ของพี่ Scott Fisher ผู้โด่งดังจาก Into the Thin Air picture by Govo คลายหนาวหายเหนื่อย เราก็เดินทางสู่เป้าหมายหลักช่วงเที่ยงของเรา Lobuche
โยว่ ก่อนจะถึง Lobuche เราต้องฝ่าเนินนรกขึ้นไป ดินแดนแห่งการรำลึก Memorial Area เดินขึ้นอย่างเดียวไม่ต้องเหลียวหลังประมาณ 1 ชม. กว่าจะถึงที่ซึ่งเรียกกันว่า Chukpilhara ที่นี่มี อนุสาวรีย์แห่งความทรงจำมากมายเป็นแถวเป็นแนวของนักปีนเขาที่เสียชีวิต ที่ดัง ๆ หน่อยน่าจะเป็นของ พี่ Scott Fisher นักปีนเขาชื่อดังชาวอเมริกัน ที่เสียชีวิตในมหันตภัยเอเวอร์เรสท์ เมื่อปี 1996 คนนั้น ... Rest in Peace เด้อ ...
+ Let it Snow
เลย Chukpilhara Memorial หนทางก็ไม่ค่อยลำบากเท่าไรแล้ว เดินสบาย ๆ มีขึ้นมีลง ไม่ต้องกลัวหลงทาง เรามากะไกด์นิ เรื่องไรต้องกลัว 555 อ้อ ถ้าหลงจริง ๆ มี Trick นิดนึงนะครับ ท่านว่าให้เดินหาอุจจาระ Yak ให้เจอ ใช้ตาหรือจมูกก็ได้ แล้วแต่ถนัด เดินตามรอยอึ Yak ไป ไม่มีหลง สาบาน 555 อากาศช่วงนี้เริ่มเย็นลงเรื่อย ๆ ขมุกขมัวมาคุไงก็ไม่รู้ ครึ้มฟ้าครึ้มฝนพิกล วงวิวไม่ได้ดูกัน เดินบ่นได้พักใหญ่ เราก็เห็นที่พักกระจุกตัวอยู่หยิบมือนึง จันทราส่งม้าเร็ว น้องราช มาจองที่พักไว้เรียบร้อยเหมือนเดิม น้องราชนั่งยิ้มเยาะ เมื่อเห็นเราเดินสะเงาะสะแงะเข้ามาHotel Sagarmathar NP Lodge and Restaurant ที่พักชื่อยาวเหยียดของเรา ไม่ค่อยได้เรื่องเท่าไร แค่ไม่ต้องนอนห้องรวมก็โอแระ ผู้คนเนืองแน่นเต็มห้องอาหารแคบ ๆ อบอุ่น สั่งอาหารมากินไม่ทันไร โดนัทระล่ำระลัก พี่ พี่ หิ หิ หิมะ ตกด้วยเว้ย
หูย ไม่เคยพบเคยเห็นเลยวุ้ย ผมเลยแว้บออกไปข้างนอก แบมือให้หิมะเย็น ๆ ปลิวตกใส่ฝ่ามือเปลือยเปล่า หนาวเข้าไส้จริงจริ๊ง พอมือเริ่มชา ผมก็กลับมาเข้าห้องน้ำ ลองทดสอบหน่อยสิ ว่าถ้าผมจะฉี่ มันต้องถึงขั้นเอามือเด็ดหรือเอาเทียนลนอ๊ะป่ะ? แหะ ๆ ไม่ต้องแฮะ พอฉี่พุ่งกระทบชักโครก โฮ่ะ ๆ ควันคลุ้งเลย ++ ตื่นเช้ามาหิมะคลุมมิดเลย + The World in White
เช้านี้ หิมะ หยุดตกแล้ว ร่องรอยหิมะเมื่อคืนทำ Lobuche ขาวโพลนไปหมด มองไปทางไหนหาสีอื่นแทบไม่เจอ ได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดของหิมะเวลาที่รองเท้าบดลงบนพื้น แสงแดดแรงจัดสะท้อนหิมะขาว ๆ เราต้องงัดแว่นตากันแดดมาใส่ ไม่งั้นตาอาจจะพล่าหน้ามืดได้ ทางเดินค่อย ๆ สูงที่ละนิด ไม่มีแบบชัน ๆ ให้ถอดใจ เดินเลาะแนวหินเคียงข้างธารน้ำแข็งได้พักใหญ่ ๆ น้อง Pumori ยอดเขาทรงสวยก็เริ่มปรากฏชัด ถนัดตาขึ้นเรื่อย ๆ
++ มองไปทางไหน ก็ขาวโพลนไปหมด - ในภาพสีตอแหลนิดนึง 555 ชื่อ Pumori เชอร์ปาแปลว่า ลูกสาวขึ้นคาน (Unmarried Daugther) บางกระแสก็แปลว่า ลูกสาวเอเวอร์เรสท์ (Everests Daugther) ถ้าหากเป็นบ้านเราพวกนอกกระแส เห็นยอดเขาทรงแบบนี้ ต้องตั้งชื่อว่า เขานมสาว ชัวร์ป้าดเป็นแม่นมั่น ขนาดของทรวงอก 7145 D เง้ย สูง 7145 M ครับ ++ โด่ ๆ อยู่ตรงกลางคือ ยอดเขา Pumari (7145 m) ครับ แล้วที่ต่ำลงมาตงกลาง เห็นเนินสามเหลี่ยมดำ ๆ นั่นล่ะ "Kala Pattar " (5545 m) เด้อ + Gorak Shep A Frozen Lakebed เดินใกล้เข้าไปอีกหน่อยเราก็เห็น Kala Pattar เนินสีดำทรงสามเหลี่ยม ทอดตัวอยู่ต่ำใต้ของ Pumori ด้าน South Face
Kala Pattar เป็นภาษา Hindi นะครับ ไม่ใช่ Nepali แปลว่า Black Rock ตอนนี้ผมกับโดนัท ได้แต่ทอดสายตามองอย่างเดียว พรุ่งนี้เช้าเราถึงจะได้ปีน Black Rock .. Kala Pattar
++ ดูกันชัด ๆ Kala Pattar เนินสามเหลี่ยมที่เราจะบุกยึดตอนเช้ามืด .. Gorak Shep บางครั้งเค้าก็เรียกกันว่า Lake Camp นะครับ เนื่องจากบริเวณนั้นเป็นทะเลสาบเล็ก ๆ ที่แข็งตัวจับเป็นน้ำแข็ง เราเดินลงไปที่ทะเลสาบ ตรงนั้นมี Lodge อีกหยิบมือให้จับจองเป็นที่พำนักแห่งสุดท้ายก่อนจะไปถึงฝั่งฝันครับ ++ ทางเดินไป EBC อย่างที่เห็น บุกหิมะ ฝ่า GlacierNuptse (7879 m) อยู่ด้านขวาโดดเด่นเป็นสง่า หลังอาหารกลางวัน จันทราจัดคิวให้เรา ไป E verest Base Camp ก่อน แล้วพรุ่งนี้เช้าค่อยขึ้น Kala Pattar กัน เราก็ยังเป็นเด็กดีว่าง่าย เชื่อฟังเหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยนแปลง เดินแบบ ชิลล์ ชิลล์ ไปกลับ EBC ก็ประมาณ 6 7 ชม. เท่านั้น บางกลุ่มมาถึงตรงนี้ เค้าก็เลือกไปแค่ Kala Pattar ที่เดียวก็พอ เพราะเดินไป EBC ก็ไม่เห็น E verest แต่อย่างใด โดน Nuptse กับ West Shoulder บังซะมิด
++ ดูน้องหนู Nuptse แบบกว้าง ๆ กลางแดด ผมกับน้องโดนัท มุ่งมั่นมาว่าจะไป EBC ให้ได้ พอท้องอิ่ม ขาก็ออกเดินทันที ตอนแรกผมจะไม่เอา Down Jacket ไป ท่านจันทราบอกด้วยความเป็นห่วงหรือไม่ก็บอกตามหน้าที่ว่า ยูควรจะเอาไปนะ ขากลับอากาศจะเย็นมาก ขอบอก ++ ลูกหาบชาวเชอร์ปา เง้ย ผมเอง นอนระทวยชี้มือชี้ไม้สะเปะสะปะ หลังเมฆหมอกข้างบน เป็นที่สถิตย์ของ The Big E ขอรับ ช่วงแรกเราเดินไปบนทะเลสาบน้ำแข็งก่อนที่จะไต่ตาม Moraine เลียบ Khumbu Glacier ได้ชื่นชม Nuptse ที่เคยเห็นไกลลิบลิบ บัดเดี๋ยวนี้ กลับมาใกล้ชิดต่อหน้าต่อตาพ่อนี่เอง ระหว่างทาง พบเห็น Trekkers มากมาย ทุกคนเดินมุ่งหน้าสู่ EBC ประหนึ่งโดน สะกดจิตหมู่ ก็มิปาน
+ Everest Base Camp - A Blizzard of Khumbu เกือบ 3 ชม. เราก็เห็น หลังคาเต็นท์สีแม่สี เหลือง แดง น้ำเงิน กางกระจัดกระจายอยู่เบื้องหน้า Khumbutse (6,665 m) จันทราบอก นั่นไง เอเวอร์เรสท์เบสแค้มป์ เอ่อ พี่จันทราครับ ไม่ต้องบอก สมองน้อย ๆ ผมก็พอเดาออกได้เองเว้ย (อิอิ ไม่วายทำเก่ง) แต่ก่อนจะถึง EBC พี่ยอดไกด์ชี้ให้ดูซาก เฮลิคอปเตอร์ที่ตกอยู่ใกล้ ๆ ด้วย ... สยองง่ะ ++ Everest Base Camp - เดินมาดูเต้นท์แล้วก็กลับ แค่ 6 ชม.เอง ครี่ ๆ พอเดินไปถึง EBC หิมะที่หายเงียบไปตั้งแต่เช้า ก็โหมกระหน่ำพรั่งพรูลงมาอีก ผมถามจันทราว่า เราจะพอมุดเต็นท์ไหนเข้าไปหลบหิมะได้มั่ง จันทราอึกอักลังเลตอบออกมาว่า No, You Cant
Well Lets Go Back เออ! กลับก็ได้เว้ย
++ ตัวการที่ทำให้เราต้องรีบกลับ - อากาศที่แปรปรวน รวมเวลาได้ 3 ชม. พอดิบพอดี ที่เราเดินก้มหน้าลุยหิมะกลับที่พัก หนาวกว่านี้ ลูกช้างไม่เคยพบเคยเห็นมาก่อน หิมะกลายเป็นคราบน้ำแข็งเกาะตามเสื้อ หมวก ผ้าพันคอ น้องโดนัทเราแทบไม่อยากอ้าปากพูดอะไรออกมา ถ้าไม่จำเป็น หรือว่าขากรรไกรค้างไปแล้วหว่าพอก้าวขาขึ้นบันไดห้องอาหาร เปรียบประดุจผมเพิ่งผ่านพ้นขุมนรกมาเลย อ่า นี่มัน Stairway to Heaven ชัด ๆ 555 เข้ามานั่งผิงไฟ ไออุ่นอึ Yak คลายหนาว ตัวผมก็ยังสั่น ผลั่บ ๆเป็นลูกนกตกน้ำ ซดเครื่องดื่มประจำทริปอุ่น ๆ เข้าไป ค่อยยังชั่ว เห้อ มื้อเย็นวันนี้ ผมกินอะไรไม่ลง อาการแพ้ความสูงรังควาญไม่เลิกลา รู้สึกว่าชีพจรเต้นเร็วกว่าเดิมด้วยดิ สั่งแอ็ปเปิ้ลมากิน 2 ลูก ราคา 150 รูปี นมร้อน อีก 1 แก้ว ค่อยยังชั่ว ใครเคยมั่ง แค่กินข้าวยังเหนื่อยเลยง่ะ ผมมีอาการเป็นหวัด คัดจมูกหลายวันแล้ว จังหวะที่เคี้ยวแอ็ปเปิ้ล มันก็จะหายใจไม่ได้ กว่าจะกินหมด เล่นเอาเหนื่อย แต่ก็ยังดีที่ไม่มีปัญหาเรื่องนอนไม่หลับ อีกอาการพื้นฐานของ AMS See You at 4 OClock จันทราท่านว่าอย่างนั้น แถมยังบอกให้ลงมาถ้ายังไม่ตื่นก็ช่วยปลุกด้วย ถ้าเราขึ้นสาย ๆ อาจโดนเมฆหมอกบดบัง The Big E ได้ พรุ่งนี้เราจะไปพระอาทิตย์ขึ้นกันที่ Kala Pattar โยว่
+ Kala Pattar - Sweet Dream are Made of This ก่อนตี 4 เล็กน้อย ผมก็ตื่นมาจัดระเบียบร่างกาย เดินไปปลุกน้องโดนัท ลงมาที่ห้องอาหารตี 4 ตรงเวลาพอดิบพอดี อูย มืดตึ๊ดตื๊อ ไม่มีวี่แววของสิ่งมีชีวิตเดินได้ที่ไม่หลับเลย ผมเรียกชื่อ จันทรา เบา ๆ มีเสียงกรนคลอเป็น Backgroundเรียกอีก 2 3 ครั้ง ถ้าไม่หือไมอือ กรูจะเอาไฟฉายส่องหน้าทีละคนละนะ เดชะบุญที่สิ้นเสียงเรียกครั้งที่ 3 ก็มีเสียงตอบรับดังขึ้นมาซะก่อน รอดไปพวกมึม 4.20 น. เราก็พร้อมเพรียง เรียงแถวกันเดินขึ้น Kala Pattar อากาศข้างนอก ไม่รู้ว่ากี่องศา คาดว่าติดลบแน่ ๆ ... สู้โว้ยยยยย ++ ป้ายกันหลง - แต่จะมีใครหลงฟระ ภาพนี้ถ่ายขากลับนะครับ ขาขึ้นมืด หาไม่เจอ 555 การเดินช่วงนี้ เดิน 50 ก้าว หยุดพักให้หายหอบแล้วก็เดินต่อ ผมสังเกตว่ามีพวกเรากลุ่มเดียวเท่านั้น ที่ออกเดินเช้าขนาดนี้ นี่เราบ้าหรือเปล่าวะ? เอาน่ะ ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว ถอยหลังไม่เป็นเว้ย Into the Thin Air มันเป็นอย่างนี้นี่เอง ผมบ่นอยู่ในใจ อ้าว 50 ก้าวแล้ว เย้ พักดีกว่า เดินได้สัก 20 นาที ผมก็มองเห็น แสงไฟวูบวาบวับแวม แบบไฟกระสือ ลอยอยู่เชิงเนิน นั่นหมายความว่า เราไม่ได้บ้าอยู่กลุ่มเดียวนิ อุปกรณ์กันหนาวทุกชนิดที่เรามี ถูกเอาออกมาเค้นประสิทธิภาพเต็มที่ ถึงกระนั้น มือน้อย ๆ นุ่มนิ่มภายใต้ถุงมือกันลม + ถุงมือฟรีซ ก็มิอาจต้านทานความหนาวกร่อนกระดูกได้ มือไม้แข็ง เย็นเจี๊ยบ ไร้ซึ่งความรู้สึก ไม่อยากจะหยิบจับอะไร แม้แต่น้อย กล้องถ่ายรูปผม จันทราเอาไปถือให้ ไม่เป็นไร เดี๋ยวถึงยอดแล้วค่อยถ่ายก็ได้ ไม่อยากถอดถุงมือด้วย จากท้องฟ้าที่มืดมิด ค่อย ๆ สว่างอย่างช้า ๆ ทีละนิด ๆ เรายังไปไม่ถึงไหนเลย กลุ่มกระสือมะกี้ก็แซงเราไปแล้ว บทสนทนาช่วงนี้ไม่มีหลุดออกจากปาก ได้ยินแต่เสียงครืดคราด ละม้ายเสียงควายหอบสอดรับกันอยู่ 2 ตัว
++ ถึงแว้ว Kala Pattar น้องโดนัท แอบหอบ Now We are at Kala Pattar
พี่จันทราบอก ไม่ได้บอกเฉย ๆ บอกเสร็จ ทั่นก็นั่งลงทันที ง่า ถึงแล้วเว้ย ฮี่ ๆ ... Give Me My Camera, Please ++ พี่จันทรา โพสท์ท่ายังกะ Bono ถ่ายปก CD ++ ยอด Pumari ยามเช้า ไม่ย้อนแสง เง้ย ... The Big E, Mount Everest, Qomolangma, Sagarmatha (सगरमाथा) หรือ Chomolungma ออกเสียงว่า Jongmalunga โธ่ พระอาทิตย์ทำไมขึ้นไวจังนะ กำลังพ้นเหลี่ยม The Big E พอดีเลย กรรมของ StrayBird จริง ๆ ย้อนแสงแบบนี้ ช่างภาพหน้าไหนจะถ่ายออกมาได้สวย ๆ ล่ะครับ ++ Crucifix Smile ของน้องหนู โดนัท ยอดสามเหลี่ยมแหลมเฟี้ยว ด้านหลังซ้าย Ama Dablam ใกล้ ๆ กัน คู่แฝด Kantega & Thamserku ใครจำได้ป่าว !?! นี่ถ้า จันทรา ไม่ตื่นสาย เราก็คงขึ้นมาก่อนพระอาทิตย์จะขึ้นนี่ถ้า เราเดินเร็วอีกนิด ก็คงไม่ผิดหวังนี่ถ้า เรามาเดือน ต.ค. เราก็ขึ้นรอบบ่ายได้ แบบไร้เมฆหมอกนี่ถ้า เราเปลี่ยนมาขึ้นตอน 8 โมง ก็น่าจะยังพอถ่ายรูปได้นี่ถ้า ลิเวอร์พูลไม่แพ้เอซี มิลาน รอบชิง UCL อ้ะ อันนี้ ไม่เกี่ยวอย่างแรง โทษคนอื่นมาตั้งนานนี่ถ้า ผม เรียกจันทรา ขอกล้อง หันหลังไปถ่ายก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น ไม่จำเป็นต้องรอให้ถึงยอด Kala Pattar ก่อน ก็น่าจะได้ภาพดีกว่านี้ ไม่เป็นไร ไว้ค่อยมาใหม่ เดือน ตุลา ก็ได้นิ
++ ฮือ ๆ E verest at Sunrise ถึงวินาทีนี้ ฝันของน้องโดนัท ก็เป็นจริงไปแล้ว คงตายตาหลับได้สักที ผมเองลืมความเหน็ดเหนื่อยหนาวเหน็บ ยืนกวาดสายตาพานอรามา 360 องศา รอบทิศทาง จดจำภาพอันงดงามทุกซอกมุม ยัดใส่รอยหยักน้อยนิดในสมอง ++ เอารูปชัด ๆ ของชาวบ้านมาให้ดู กันเซ็ง picture by Govo เจ้าเดิม เหอ ๆ ด้านหลังทางทิศอุดรเป็น เขานมสาวขึ้นคาน Pumari (7145 m) ถัดไปเป็น Lingtren (6713 m) กระเถิบออกมาทางอีสานเป็น Khubatse (6639 m) ไกลออกไปเป็น Changtse (7550 m) ถัดออกมาทางบูรพาข้างหน้าผม เป็น E verest (8850 m) ติดกันเป็น Nuptse (7879 m) ไกลออกไปทางอาคเนย์ เห็นสามเหลี่ยมแหลม ๆ คือ Ama Dablam (6856 m) ไกลออกไปอีกเป็นคู่แฝดคู่ขวัญ Kantega (6779 m) กับ Thamserku (6608 m) วนตลบหลังมาทางพายัพเป็น Lobuche East (6119 m) และ West (6135) อาจมีตกลงไปบ้างนะครับ คริ คริ ++ ระหว่างที่เราลง ก็ยังมีคนขึ้น - ยอดข้างหลังเรียกกันว่า "Lobuche " เราใช้เวลาเก็บรายละเอียดของฝันนี้ แค่ครึ่ง ชม. เราก็ต้องรีบลง (ทำไมต้องรีบไปหมดเลยหว่า) กินข้าวเสร็จเราจะเก็บข้าวของไปนอนที่ Pheriche กันดูน้องโดนัท ยังออกอาการเพ้อ ๆ อยู่บ้าง แต่คงไม่เป็นไรหรอก สังเกตดูหน้าตาเนื้อตัวดูพอง ๆ อิ่มสุขไงชอบกล ++ เห็นที่พัก ไกลลิบเลย ... ขึ้นมาได้ไงเนี่ย ขาลงมองไปข้างล่าง สีสันคล้ายช็อดโกแลตโรยไอซิ่งขาว ๆ เลย ... สงสัยจะเริ่มหิวแล้วเรา อาหารเช้าของผมยังคงเป็น ดับเบิ้ลแอ็ปเปิ้ล + นมร้อนเหมือนเดิม จันทราเดินมาบอกข่าว ว่าเพื่อนเรา สามีภรรยา ชาวฮ่องกง ที่มักจะเดินแซงผมกะโดนัทเสมอ ๆ ทน ปวดหัวไม่ไหว กลับลงไปก่อนแล้ว Kala Pattar ก็ไม่ได้ขึ้น ไง เราก็ยังโชคดีกว่าแหล่ะ
ผมเองรู้สึกเหมือนฝันยังเติมไม่เต็ม มันมีอาการเหมือนเกิดสูญญากาศกั๊ก ๆ ขึ้นในใจ ยังไงไม่รู้ คงได้กลับมาอีกแน่ ๆ สักวัน
Artist : Lucia Hwong Title : Everest at Sunrise Album : House of Sleeping Beauties Year : 1985
เคืองๆๆๆ ไม่มีเตือนกันเล้ย จะได้ทำตัวลีบๆ ทำแก้มตอบๆ...
-- อืมม ทุกวันนี้ยังงงๆ อยู่ว่า "ตูขึ้นไปได้ไงฟระ"
แต่ถึงแม้ว่าฝันเป็นจริงแล้ว ก็ยังไม่ยอมตายหรอกเด้อ
=)