บล๊อกสวยสมวัย MercuryBooks
Group Blog
 
<<
เมษายน 2554
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
14 เมษายน 2554
 
All Blogs
 
จอมใจเจ้าชีวัน บทที่ ๑๓ โดย บัดดี้

สุสานหลวงแห่งราชอาณาจักรเขมรัฐก่ออิฐถือปูนเป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมหลังใหญ่ หลังคาลดหลั่นกันเป็นสามชั้น มุงกระเบื้องสีขาวสีประจำชาติแห่งเขมรัฐนคร ยอดหลังคาสองชั้นบนเป็นทรงปราสาท หน้าบันประดับด้วยพลอยหลากสีเป็นรูปตราสัญลักษณ์ประจำราชวงศ์ ชั้นล่างสุดทรงปั้นหยาที่เชิงชายแขวนกระดิ่งทองโดยรอบ ยามลมพัดมาก็พร้อมใจกันส่งเสียงกังวานหวานแว่วน่ารื่นรมย์

ผนังภายนอกแต่ละด้านตกแต่งด้วยภาพวาดจิตรกรรมลายเส้นอ่อนช้อยงดงาม สะท้อนเรื่องราวคติความเชื่อเรื่องสวรรค์และชีวิตหลังมรณกรรม ประดับประดาด้วยกระจกแก้วรายรอบทิศ สะท้อนแสงฉานดูราวทิพยวิมาน เสาอาคารทั้งสี่มุมมีประติมากรรมนูนต่ำรูปนางอัปสรากำลังโปรยปรายดอกไม้แห่งอัญมณีหลากหลายชนิด ดูระยิบระยับพริบพราว

วรองค์อรชรของเจ้าฟ้าหญิงเขมรัฐเสด็จนำหน้าพระคู่หมั้นผ่านประตูทางเข้าที่เล็กแค่พอดีคนเดียวเดิน ภายในบรรจุพระอนุสาวรีย์กว่าสิบองค์ เรียงรายอยู่รอบผนังแต่ละด้าน พระอนุสาวรีย์สีขาวพิสุทธิ์องค์ใหญ่สุด ประดิษฐานโดดเด่นอยู่กลางห้อง สีตลธรตรัสอธิบายว่าเป็นที่บรรจุพระอัฐิองค์พระปฐมบรมกษัตริย์แห่งเขมรัฐ เรียกขานกันโดยทั่วไปว่า ‘พระองค์ใหญ่’

อัคนิรุทรประทับนิ่งมองตรงไปที่พระอนุสาวรีย์กลางห้อง พระพักตร์สงบเรียบแต่สายพระเนตรปรากฏแววประหลาด หากหามีผู้ใดสังเกตเห็น พระคู่หมั้นสาวน้อยเสด็จนำไปยังพระอนุสาวรีย์องค์ที่อยู่มุมขวาด้านใน อันเป็นที่ประดิษฐานพระอัฐิของพระราชมารดาและพระราชบิดา พระอนุสาวรีย์สีขาวปลอดเฉกเช่นเดียวกันกับทุกองค์ ตรงกลางมองเห็นพระโกศเล็กวางอยู่ในกล่องแก้วใส ที่ฐานพระโกศประดับพลอยสีขาวและเขียวเคียงคู่กัน

พวกนางข้าหลวงถือพานเครื่องสักการะติดตามมาไม่ห่าง มาลัยกุหลาบสีแดงสดส่งกลิ่นหอมระรินวางอยู่บนพานหนึ่ง สังข์ทักษิณาวัตรและผอบถมทองใบใหญ่อยู่อีกพาน เครื่องสักการะนั้นถูกเตรียมไว้อยู่แล้วโดยพระบัญชาในองค์ราชินี ด้วยมั่นพระทัยว่า อัคนิรุทรจะต้องเสด็จฯ ขึ้นยอดภูนภดลด้วยเป็นแน่ แม้ในคราแรก จะไม่ได้โดยเสด็จฯ พร้อมขบวนพระปิตุจฉา แต่ในที่สุดก็ติดตามขึ้นมาจนได้

เจ้าเหนือหัวปาลรับมาลาสีแดงสดวางลงบนพานทองหน้าพระอนุสาวรีย์ ก่อนจะหันไปรับสังข์ทักษิณาวัตรจากนางข้าหลวง บรรจงรินน้ำปรุงลงที่ฐานพระโกศ เสร็จพิธีกรรมแล้วก็ประณมหัตถ์หลับพระเนตรนิ่ง

สีตลธรลอบสังเกตพระพักตร์งามยามสงบเช่นนี้ ดูราวกับมิใช่มนุษย์เดินดินเช่นผู้อื่น เหมือนกับมีรัศมีเปล่งประกายรอบองค์ ดูน่าอัศจรรย์ บุรุษตรงหน้าผู้นี้หรือ ที่ต่อไปจะมาเป็นเจ้าชีวิตของพระนาง ทั้งยินดีทั้งหวั่นพระทัยระคนกัน นึกสงสัยว่าทรงอธิษฐานอันใดนานนักหนา

พวกที่รออยู่ด้านนอกเห็นคนข้างในหายเข้าไปนานก็เริ่มกระวนกระวายใจ ด้วยลมหลงทิศหลงฤดูมาแต่ไหนไม่มีใครรู้ พัดหวือจนแทบจะยืนกันไม่ติดพื้น ท้องฟ้าที่สว่างแจ่มแจ๋อยู่เมื่อครู่ จู่ๆ ก็ราวกับพระอรุณบังคับราชรถเทียมม้าอุจไฉศรพนำพระอาทิตย์หลบไปเสียแล้ว เสียงลมพัดบานประตูสุสานหลวงปิดปังเข้าอย่างแรง พวกนางข้าหลวงด้านในไม่รู้อิโหน่อิเหน่ก็ตกใจหวีดร้องกันลั่น ปลุกราชาแห่งปาลให้ออกจากห้วงอธิษฐาน

อัคนิรุธรสบพระพักตร์พระคู่หมั้นที่หน้าตาไม่สู้ดี เมื่อทอดพระเนตรด้านนอกมืดครึ้มราวกลางคืน ก่อนทูลเชิญเสด็จออกจากสุสานหลวง สีตลธรไม่รอช้าก้าวพระบาทถี่เร็วแทบจะวิ่งออกไปด้านนอก

เสด็จออกมาได้ ยังไม่พ้นชายคาสุสาน ก็ต้องซวนเซเพราะแรงลมกระพือด้วยไม่ได้ทันตั้งตัว ดีที่ร่างหนาของพระคู่หมั้นหนุ่มที่ตามออกมารับประคองไว้ได้ทัน ท้องฟ้าเบื้องหน้ามองดูน่าขนลุก เมฆดำกลุ่มใหญ่เคลื่อนคลุมไปทั่วท้องฟ้า นกกาต่างพากันร้องระงมบินฉวัดเฉวียนเหมือนตื่นตระหนกกับอะไรบางอย่าง พวกนางข้าหลวงตามเสด็จเข้ามาทรุดนั่งอยู่ใกล้ แต่ละคนหน้าซีดเผือดด้วยความกลัว พระหทัยองค์เองก็เต้นรัวแรงด้วยไม่เคยประสบพบปรากฏการณ์อันน่าหวาดหวั่นพรั่นพรึงเช่นนี้มาก่อน

อัคนิรุทรมองสภาพอากาศแปรปรวนตรงหน้าก็นึกสงสัย ฤๅจะเป็นด้วยแรงอธิษฐาน ถึงทำให้พระวิญญาณราชสกุลเขมรัฐต้องมาแสดงกฤดาภินิหารให้ชมเช่นนี้ แต่ต่อให้ฟ้าถล่มดินทลายลงตรงหน้า จะให้เลิกล้มในสิ่งที่ตั้งพระทัยไว้นั้น...ไม่มีทาง

สงสารแต่พระคู่หมั้นที่ในอ้อมพระกร คงเสียขวัญน่าดูถึงได้ตัวสั่นเป็นลูกนกเยี่ยงนี้ กระชับกอดให้แน่นเข้าก็ไม่ทรงเกี่ยงงอนผลักไสอีก แย้มพระโอษฐ์อย่างเอ็นดู เพราะนอกจากจะไม่ขับไล่แล้วยังขยับซุกแนบพระอุระราวกับหาที่พึ่ง อดพระทัยไว้ไม่ได้ จุมพิตเบาๆ ลงบนพระเกศาหอมจรุง

เพียงชั่วครู่หนึ่ง ลมพายุก็สงบลงได้เอง เมฆดำเคลื่อนคล้อยออกไป ส่งแสงอาทิตย์ให้ออกมายลโลกอีกครั้ง ชั่วกะพริบตาทุกอย่างก็กลับมาสงบเงียบเป็นปกติ พวกนางข้าหลวงต่างซุบซิบกันด้วยอัศจรรย์ใจในความแปรผันอย่างรวดเร็วของธรรมชาติ

“หม่อมฉันว่า เรารีบลงภูกันเถอะเพคะ ลมอะไรไม่รู้น่ากลัวเหลือเกิน ชักช้าเดี๋ยวลมมาฟ้ามืดอีกจะลำบาก” เสียงสั่นๆ ของพระคู่หมั้นชักชวนให้กลับลงไปเบื้องล่าง อัคนิรุทรอดเสียดายไม่ได้ กำลังกอดเพลินอยู่แท้ๆ จำต้องปล่อยให้วรองค์อิ่มเอิบนั้นเดินจากไป


ม้าทรงในองค์ราชินีผูกไว้เคียงคู่กับ ‘เจ้าขาว’ ที่อัคนิรุทรทรงโดยสารขึ้นภูมาเมื่อเช้า ไม่รู้ว่าตื่นกลัวปรากฏการณ์ธรรมชาติหรือเข็ดขยาดตั้งแต่ขาขึ้น ที่คนขับเคี่ยวเข็ญให้ตะบึงขึ้นภูไม่บันยะบันยัง ไม่ยอมให้พักเหนื่อย เจ้าขาวเอาแต่เดินหนี ไม่ยอมให้ใครโดยสารอีก พอเข้าไปใกล้มาก ก็ยกขาหน้าขู่ทำพยศใส่ ขนาดสีตลธรเจ้านายตัวยังทำเป็นลืม

“สงสัยมันจะตกใจที่ฟ้าดับเมื่อสักครู่นั้นน่ะ พระเจ้าค่ะ” นายทหารตามเสด็จหน้าเสีย กลัวพระราชอาญารีบแก้ตัวเป็นพัลวัน

“แล้วจะลงไปยังไงกันหมด เหลือเจ้าศรีเวียงของเจ้าพี่เพียงตัวเดียว”

“เจ้าศรีเวียงเป็นม้าหนุ่มแข็งแรง น่าจะรับน้ำหนักทั้งสององค์ พาลงภูได้สำเร็จพระเจ้าค่ะ” สีตลธรสบสายพระเนตรแวววาวของพระคู่หมั้น ก็เข้าใจได้ทันทีว่ากำลังดำริอันใดอยู่ พระโอษฐ์อมยิ้มอย่างสมอารมณ์เห็นแล้วน่าหมั่นไส้นัก แต่จะทำเยี่ยงไรได้ เจ้าขาวเอาแต่ดื้อท่าเดียว จะขู่จะปลอบยังไงก็ไม่ฟัง สุดท้ายจึงต้องประทับแนบชิดอัคนิรุทรให้พระทัยหวามไหวอีกจนได้

เจ้าศรีเวียงค่อยๆ เยี้ยงย่างลงภูอย่างระมัดระวัง คนถือบังเหียนก็ช่างน้ำใจประเสริฐ เดี๋ยวหยุดเดี๋ยวพักกลัวม้าจะเหนื่อยเกินกำลัง หารู้ไม่ว่าคนนั่งซ้อนอยู่ข้างหน้านั้นอกใจสั่นรัว แทบจะโบยบินลงไปถึงพระราชวังหลวงเสียให้ได้ ประทับนิ่งจนตัวเกร็งไปหมด เพราะลมหายใจอุ่นๆ นั้นเป่ารดต้นพระศออยู่ตลอดเวลา

“ประทับตามสบายเถอะ จะเอนซบหม่อมฉันบ้างก็ได้” อัคนิรุทรตรัสเสียงรื่นรมย์

“นั่งเบียดกันอย่างนี้จะสบายได้ยังไงกันเพคะ ทรงขับม้าให้ไปเร็วขึ้นกว่านี้ไม่ได้หรือ”

“ทางลงภู เร็วมากจะอันตราย ไม่ทรงห่วงหม่อมฉัน ก็ทรงห่วงองค์เองบ้าง” สีตลธรส่งค้อนให้พระคู่หมั้น ก็เพราะห่วงองค์เองนั้นแหละ จะอดทนเสียงหวานข้างหู ลมหายใจผ่าวร้อน กับสัมผัสใกล้ชิดในอ้อมพระกรเช่นนี้ได้นานแค่ไหนก็ไม่รู้ กลัวจะหลอมละลายไปเสียก่อนถึงตีนภู แต่จะให้สารภาพออกไปได้อย่างไร จำต้องเสตรัสไปเรื่องอื่น

“ทำไมแก้วฟ้าเดินช้านักนะ พวกที่เหลือก็ด้วย ชักช้าเป็นเต่าคลานกันเสียจริงๆ” เอี้ยวมองข้าติดตามทางด้านหลังราวกับเป็นห่วงเสียเต็มประดา แต่ก็หาไม่เห็นใคร ปรางเนียนอยู่ใกล้เสียจนคนข้างๆ อดพระทัยไม่อยู่ อัคนิรุทรปัดจุมพิตผ่านความหอมนุ่มนวลตรงหน้าอย่างรวดเร็ว แต่ทำให้เจ้าของนวลใจสั่นระรัวราวกลองเพล

“ฝ่าบาท!” พระเนตรดำวาวนั้นมีแววต่อว่า แต่คนขโมยจุมพิตกลับแย้มพระโอษฐ์รับอย่างชื่นพระทัย

“ขอประทานอภัย หม่อมฉันไม่ได้ตั้งใจ” สารภาพไปตามสัตย์ เพราะถ้าตั้งใจ จะทำมากกว่าเมื่อครู่แน่ๆ

“อย่าทรงแกล้งเผลอบ่อยนักเลยเพคะ” พระสุรเสียงสั่นตามพระหทัยที่สั่นหวิว

“หม่อมฉันไม่เข้าใจ ทำไมต้องทรงมองหาแก้วฟ้าด้วยนะ ก็แก้วฟ้านั่งอยู่หน้าหม่อมฉันนี่แล้ว” อัคนิรุทรรับสั่งไปอีกเรื่อง ไม่ได้เอาพระทัยใส่คำต่อว่าแม้แต่น้อย แต่เสียงตอบกลับมาแข็งกระด้าง

“หม่อมฉันไม่ใช่นาง ทรงเข้าพระทัยผิดแล้ว”

“จริงรึ”

“ตอนนี้มีแต่สีตลธร กับนางแก้วฟ้าที่เป็นพี่เลี้ยง ถ้าคิดถึงนางมากนัก หม่อมฉันจะบอกแก้วฟ้าให้ถวายตัวดีไหมเพคะ”

“ก็ดี” พระคู่หมั้นตอบสั้นๆ พระสุรเสียงไม่ยี่หระต่อสิ่งที่รับสั่ง

“ฝ่าบาท!!” สีตลธรต้องผินพระพักตร์กลับมามองคนข้างหลัง แล้วก็ได้เห็นรอยแย้มพระสรวล

“ก็ทรงคิดเอง เสนอเอง หม่อมฉันก็สนองให้เท่านั้น” พระคู่หมั้นสาวน้อยสะบัดพระพักตร์พรืด ตั้งใจจะไม่หันทอดพระเนตรคนข้างหลังอีก เกลียดนัก คนเจ้าชู้ เพิ่งจะขโมยจุมพิตเราไปหยกๆ พอเสนอนางกำนัลให้เท่านั้นก็รีบรับทันที บุรุษรูปงามก็เช่นนี้ ถือว่าตัวมีดี แล้วยิ่งเป็นถึงเจ้าชีวิตแห่งชาวปาลทั้งหลาย ปรารถนาสตรีนางใด นางนั้นก็ต้องยอมพลีร่างให้เชยชม ยิ่งคิดยิ่งหนักพระทัย แล้วองค์เองจะทรงอดทนได้ฤๅ หากในอนาคตต้องอภิเษกสมรสเป็นรานีแห่งปาล แต่ต้องแบ่งปันพระสวามีกับหญิงอื่น แล้วก็สะดุ้งพระทัยองค์เอง คิดไกลไปถึงไหนกัน เมื่อสองวันก่อนยังคร่ำครวญไม่อยากไปประทับปาลเลยแท้ๆ

“ทำไมทรงเงียบไปล่ะ”

“ก็ไม่รู้จะพูดอะไร”

“โกรธหม่อมฉันอีกแล้ว” พระสุรเสียงรื่นเริงจนน่าหมั่นไส้

“เปล่าเพคะ”

“นี่ล่ะนา สีตลธรดื้อรั้น ทิฐิ ไม่เห็นว่าง่ายเหมือนแก้วฟ้าเลย”

“คงจะมีแต่แก้วฟ้านางไพรเท่านั้นละมังเพคะที่ถูกพระทัยฝ่าบาท” สีตลธรตรัสประชด คำก็แก้วฟ้า สองคำก็แก้วฟ้า ทรงคิดถึงแต่แก้วฟ้าเท่านั้น ได้ยินเสียงพระคู่หมั้นหัวเราะ ก็ยิ่งหงุดหงิดพระทัยนัก

“มีอะไรให้ตลกนักหนาเพคะ”

“ก็ขันที่ทรงหึงหวงได้แม้แต่องค์เอง” ฟังรับสั่งแล้วก็เห็นจริง นึกบริภาษตัวเอง ประสาทใหญ่แล้ว

“ใครว่าหม่อมฉันหึงหวง เปล่าสักนิด”

“ก็หม่อมฉันว่าอยู่นี่ไง ทรงอิจฉาแก้วฟ้านางไพรใช่ไหมล่ะ หากจะละพระยศ กลับไปเป็นสาวชาวป่าหม่อมฉันก็จะยินดีมาก” พระสุรเสียงเคียงพระกรรณ หากผินหน้าไปอีกนิด คงเข้าแผนตกหลุมที่อีกฝ่ายขุดล่อไว้เป็นแน่

“จะได้เชยชมเล่นแล้วก็ทิ้งขว้างได้สบายใจ ไม่ต้องติดพันธะเหมือนอย่างตอนนี้ใช่ไหมเพคะ”

“ทรงแกล้งหาเรื่องหม่อมฉันได้ตลอดเลยจริงๆ ทำอะไรก็ไม่เห็นสบพระอารมณ์” ยิ่งรู้ทันไม่หันพักตร์มาให้ชม ยิ่งรู้สึกหมั่นเขี้ยวนัก

“ไม่อยากให้หาเรื่อง จะทรงยกเลิกการหมั้นหมายไปเลยก็ได้ ไม่ต้องมาสนพระทัย ยังไงก็ไม่ได้ทรงปรารถนาจะหมั้นหมายอยู่แล้วตั้งแต่แรก” ตรัสฉุนเฉียวไปตามพระอารมณ์เอาแต่พระทัย

เจ้าศรีเวียงหยุดยืนนิ่ง หัตถ์หนาปล่อยสายบังเหียน ช้อนวรองค์แบบบางลอยขึ้นทั้งตัว จนคนโดนยกกรีดร้องด้วยความตกใจ พระกรแข็งแรงวางพระคู่หมั้นปรับท่าประทับให้ใหม่ให้หันข้างเข้าหา จะได้เห็นพระพักตร์ชัดถนัดตาขึ้นหน่อย เสียงทุ้มนุ่มกระซิบแผ่วแว่วหวาน

“ตรัสมาจากพระทัยหรือเปล่า”

“เออ...” สีตลธรพระหทัยเต้นแรงทั้งตกพระทัยที่โดยอุ้มลอยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แล้วยังมาตกประหม่าจากสายพระเนตรคาดคั้น คำพูดใดๆ ก็ราวกับถูกกลืนหายไปด้วยสายพระเนตรหวาน พระหทัยหวิวเมื่อสองหัตถ์หนาประคองพระพักตร์เข้าหา พระเนตรเข้มจ้องมองราวกับจะเผาองค์ให้หลอมละลายไปต่อหน้า

แต่ยังไม่เท่าโอษฐ์อุ่นที่ประทับลงบนกลีบโอษฐ์บาง ดื่มด่ำเย้ายวนจนพระทัยหวามไหวสั่นระรัว เผลอองค์ตอบรับสัมผัสรุกเร้า รู้สึกขนลุกไปทั่วพระวรกาย สั่นสะท้านจนต้องจิกพระนขาแน่นที่ท่อนพระกรแกร่ง แต่ดวงพระหทัยนั้นล่องลอยออกจากร่างไปเสียแล้ว ขึ้นสู่เบื้องบน หยอกล้อเล่นกับเหล่าเมฆขาว โผผินไปราวนกน้อย ลอยคว้างอยู่กลางเวหา ปล่อยให้สายลมเสน่หาของบุรุษตรงหน้าพัดโบกโบยไปไกล

ก่อนจะลอยไกลจนเกินกู่กลับ ปราณีของพระคู่หมั้นก็พาดวงหทัยวกวนกลับเข้าหาองค์เองอีกครั้ง เมื่อทรงปลดปล่อยโอษฐ์งามให้ได้อิสระ สีตลธรแม้จะยังรู้สึกมึนตื้ออยู่ แต่ก็ได้ยินรับสั่งองค์อัคนิรุทรกระซิบแนบพระกรรณ

“หม่อมฉันเริ่มชอบที่จะมีพันธะเสียแล้ว”



จากยอดผาสูง แม่ทัพใหญ่แห่งปาลทอดสายตามองทัศนียภาพเบื้องหน้า ทิวเขาเขียวเข้มสลับอ่อนผุดซ้อนลดไล่กันเป็นชั้นแนว เมฆขาวลอยอ้อยอิ่งเรี่ยอยู่เหนือยอดเขา ปกป้องพิภพล่างจากแสงอาทิตย์กล้า แนวเขาจึงดูอ่อนโยนนุ่มละมุน สงบและสง่างาม

ทิวทัศน์ตรงหน้าคงงดงามน่ารื่นรมย์มากกว่านี้ หากผืนป่าด้านล่างจะไม่ถูกทำให้เตียนโล่งเป็นบริเวณกว้าง เต้นท์สีดำขนาดใหญ่นับสิบหลังปลูกกระจายเป็นดอกเห็ดอยู่ทั่วลานโล่ง ต้นไม้มากมายถูกโค่นและแปรสภาพเป็นท่อนซุงกองเรียงซ้อนกันเป็นตั้งสูง ชายฉกรรจ์หลายสิบคนนุ่งกางเกงสามส่วนไม่สวมเสื้อ เดินไปมาดูวุ่นวาย มีทหารเขมรัฐคอยควบคุม ‘การทำงาน’

หลังจากพยายามเสาะหาแกะรอยชนเผ่ามาเซอทั่วทุกซอกเขาในดินแดนเขมรัฐ ความพยายามไม่ได้ก่อให้เกิดผลอย่างที่ตั้งใจ แต่เตชิตพร้อมทหารจากหน่วยองครักษ์ฝีมือดีอีกสามนายกลับได้พบโครงการก่อสร้างของรัฐบาลเขมรัฐในป่าลึกเข้าโดยบังเอิญ

จากคำบอกเล่าของชาวบ้านในหมู่บ้านใกล้เคียง ชายหนุ่มฉกรรจ์ของหมู่บ้านได้รับค่าจ้างจากรัฐบาลให้เข้าไปทำงานในป่าลึก พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้กลับบ้านหาพ่อแม่ลูกเมีย บางคนหายหน้าไปหลายเดือนยังไม่กลับ ครอบครัวก็ทำได้เพียงเฝ้ารอโดยไม่รู้ชะตากรรม สี่ทหารปาลไม่ได้ใส่ใจเรื่องเล่าของชาวบ้านเท่าไรเพราะจิตใจมุ่งเพียงหาพวกมาเซอให้พบ แต่เมื่อเดินทางเข้าป่าลึกก็ได้พบกองกำลังเขมรัฐประจำการปิดกั้นเขตไม่ให้ใครผ่านเข้าไปได้ ด้วยความสงสัย เหตุใดทหารเขมรัฐมากมายจึงมาประจำการอยู่ในป่าเช่นนี้ แถมยังเกณฑ์ชายฉกรรจ์มากมายมาด้วย เตชิตและพวกจึงแสร้งปลอมตัวเป็นชาวบ้านแทรกซึมเข้าไปสืบความจริง สิ่งที่ได้พบนั้นไม่ได้เหนือความคาดหมายจนเกินไป แต่ก็เป็นเรื่องใหม่ที่ไม่เคยได้ ‘ข่าว’ มาก่อน

“ท่านเตชิต พวกเราพร้อมออกเดินทางแล้ว” นายทหารองครักษ์ที่ร่วมเดินทางมาด้วยกันทำลายความเงียบขึ้น เตชิตพยักหน้าออกเดินนำไปก่อน

“เราจะตามรอยพวกมาเซอต่อไหมขอรับ” นายทหารคนเดิมถามขึ้น

“ไม่ ข้าคิดว่าพวกนั้นไม่ได้อยู่ในดินแดนเขมรัฐ”

“นั่นน่ะสิ สามสี่วันที่เราติดตามเสาะหาร่องรอยของพวกมัน เรียกว่าแทบจะพลิกภูเขาทุกลูกเลยทีเดียว ยังไม่เห็นแม้แต่เงา ถ้าพวกมันยังอยู่ในเขมรัฐ เห็นทีคงจะล่องหนได้ หรือไม่ก็ใช้เวทมนต์กำบังตนละมัง” น้ำเสียงรื่นเริงด้วยความดีใจที่เสร็จสิ้นภารกิจรอนแรมกลางป่าลงเสียที แต่แล้วก็กลับแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดหวั่นในแทบจะทันที

“แต่ว่าเราไม่มีข่าวมาเซอกลับไปรายงาน จะต้องพระราชอาญากันทั่วหน้าหรือเปล่าท่าน”

เตชิตเพียงแต่ยิ้มไม่ตอบ นั่นยิ่งทำให้คนถามรู้สึกเสียวสันหลังขึ้นไปอีก หากเตชิตผู้ได้ชื่อว่ารู้พระทัยองค์เหนือหัวที่สุดแล้ว ยังไม่กล้าให้คำมั่นใด ชีวิตของพวกเขาคงต้องปล่อยให้อยู่ในกำมือของชะตากรรมเสียแล้วกระมัง

“เราจะกลับปาลเลยหรือขอรับ”

“ไม่ ทรงรอฟังข่าวอยู่ที่พระราชวังหลวงเขมรัฐ”

ชายหนุ่มทั้งสี่ดึงตัวเองขึ้นม้าอย่างคล่องแคล่ว บ่ายหน้าลงเขาสู่เป้าหมายใหม่ นอกจากเตชิตแล้ว สีหน้าของอีกสามนายต่างหวั่นวิตกถึงความอยู่รอดของตัวเองอย่างเห็นได้ชัด ไม่รู้ว่าจะมีลมหายใจรอดกลับไปเจอลูกเมียที่ปาล หรือจะกลายเป็นผีเฝ้าเขมรัฐอยู่ที่นี้


Create Date : 14 เมษายน 2554
Last Update : 14 เมษายน 2554 13:12:31 น. 0 comments
Counter : 292 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

sorwor
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ต้นเหตุแห่งการยินดีที่ได้รู้จักกันนั้น เริ่มที่เว็บฟอร์ไรท์เตอร์ดอทคอมจากการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางงานเขียนนวนิยาย ทำให้พวกเรา สว. (สาวสวยสมวัย) เกิดความคิดที่จะรวมตัวกันจัดทำบล๊อกขึ้นมาเพื่อเผยแพร่งานที่พวกเราเขียนเอง งานที่พวกเราทำด้วยใจรักและรักเหลือเกิน อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านและอยากได้คำติชมจากเพื่อนๆ เพื่อเป็นกำลังใจและนำพัฒนาทางการเขียนต่อไป


ฝากข้อความถึง"สวยสมวัย"







ซัน
โรแมนติก-อบอุ่น
ราคา 220 บาท



น้ำชารสสตรอเบอร์รี่
รัก-โรแมนติก
ราคา 190 บาท



ปางเสน่หา
โดย น้ำดอกไม้ (บัดดี้)
สนพ.พลอยชมพู




งานเขียนใน “สวยสมวัย”
เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน
ได้รับความคุ้มครองตามกฏหมาย
ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
...........................
คิดเอง เขียนเอง
และสร้างความภาคภูมิใจ
ให้กับตัวเองกันเถอะค่ะ


Friends' blogs
[Add sorwor's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.