บล๊อกสวยสมวัย MercuryBooks
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
20 ตุลาคม 2553
 
All Blogs
 

จอมใจเจ้าชีวัน บทที่ ๑๑ โดย บัดดี้

พระนางโสภิศนภา รานีในอดีตพระราชาแห่งสิตา พระราชมารดาในเจ้าสิงคาลกษัตริย์สิตาองค์ปัจจุบัน แม้จะล่วงเลยเข้าสู่ปัจฉิมวัยแล้ว แต่ก็ยังทรงสู้อุตส่าห์เสด็จพระราชดำเนินทางไกลมาเพื่อเยี่ยมคารวะพระอัฐิองค์ชิษณุพงศ์ พระอนุชาที่จากไปก่อนวัยอันควร ทอดพระเนตรมองยอดปราสาทพระราชวังหลวงแห่งเขมรัฐอย่างเศร้าสร้อย

ผืนดินถิ่นกำเนิดแห่งนี้ อุดมสมบูรณ์ไปด้วยแร่ธาตุทรัพยากรทั้งเหล็ก ทอง อัญมณี เรียกว่าขุดไปที่ใดก็สามารถพบสมบัติได้ที่นั้น แต่ก็ราวกับเป็นแผ่นดินต้องคำสาปเช่นกัน ด้วยเจ้าผู้ครองนครส่วนใหญ่มักจะมีพระอายุสั้น เสด็จสวรรคตก่อนเวลาอันควร นับเนื่องจากอดีตจนถึงปัจจุบัน นับจำนวนราชาราชินีที่ครองราชย์ได้นานเกินยี่สิบปีได้ไม่ครบนิ้วมือ องค์ที่เพิ่งสิ้นไป ศศิลักขณา พระขนิษฐภคินีก็อยู่ในบัลลังก์ได้เพียงสิบสองปีเท่านั้น พระเจ้าหลานเธอองค์โต อุษณกร ราชินีแห่งเขมรัฐองค์ปัจจุบัน ยังมิรู้ชะตาจะเป็นเช่นไร

ยิ่งทำให้ทรงระลึกถึงคำโบราณ ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าสืบต่อกันเป็นตำนาน เรื่องเล่าเหนือจริงไม่มีที่มาแน่ชัด กล่าวขานกันว่าดินแดนแห่งเขมรัฐนั้น เกิดจากการต่อสู้แย่งชิงของยักษ์สองตน ยักษีนาม ‘สุภัค’ ครอบครองดินแดนนี้อยู่ก่อน กินอาณาเขตยาวเรื่อยไปจนจดริมฝั่งทะเลใต้ วันหนึ่ง ‘อินทัช’ ยักษ์พเนจรเดินทางเข้ามาในดินแดน สุภัคผู้มีใจกรุณามองเห็นเพื่อนยักษ์เดือดร้อนอดอยากก็ชวนให้อาศัยหากินในดินแดนอันอุดมสมบูรณ์นี้ด้วยกัน อินทัชยินดีปรีดายิ่งจะได้ไม่ต้องร่อนเร่พเนจรต่อไปอีก

อยู่ไปนานวัน อินทัชผู้มาใหม่เกิดโลภมาก ปรารถนาจะครอบครองแดนดินทั้งหมดไว้เพียงตนเดียว จึงออกอุบายลวงสุภัคไปออกทะเล จับหาสัตว์น้ำเป็นอาหาร ระหว่างที่กำลังเพลิดเพลินกันในท้องมหาสมุทร อินทัชก็ลอบทำร้ายเพื่อนด้วยดาบอาคมแทงเข้าตรงหัวใจ ก่อนจะหนีกลับขึ้นฝั่ง สุภัคกำลังจะสิ้นชีพ โกรธแค้นเพื่อนอัปรีย์ทุรยศสุดประมาณ ตะเกียกตะกายด้วยลมหายใจเฮือกสุดท้าย หอบเอาน้ำทะเลตามขึ้นมาท่วม หวังทำลายผืนดินที่อุดมสมบูรณ์ให้แหลกลาญ อินทัชรู้ทันก็ยกภูเขาทั้งหลายมาวางกั้นรอบทิศ น้ำทะเลไม่อาจกล้ำกรายเข้ามาทำลายพื้นดินที่ต่อมาเรียกขานกันว่า เขมรัฐ นครแห่งหุบเขา

ก่อนตาย สุภัคตั้งจิตอธิษฐานด้วยแรงแค้นเหลือแสน ขอให้ทายาทแห่งยักษ์อินทัชผู้ครอบครองดินแดนที่ฉกฉวยฉ้อโกงคนอื่นมาด้วยโลภะ จงมีอันเป็นไปในทางร้าย หากมีลูกสืบหลาน ก็ขออย่าให้ได้มีบุตรชายเข้มแข็งห้าวหาญ ให้มีแต่บุตรีอ่อนแอไร้ประโยชน์ จนกว่าจะถึงการอวสานแห่งกรรมที่อินทัชได้ทำไว้แก่ตน

ตำนานปรัมปรานี้จะมีที่มาแต่หนใดไม่มีใครรู้ แต่ทุกผู้ตัวคนเห็นจริงแล้ว ทายาทแห่งราชวงศ์เขมรัฐนับตัวคนได้ที่เป็นชาย เขมรัฐจึงมีราชินีเป็นใหญ่เสมอมาเกือบทุกรัชกาล

ขบวนรถม้าจอดเทียบหน้าท้องพระโรงกลาง อุษณกรและสีตลธร พร้อมพักตร์รอรับเสด็จอยู่แล้ว ดวงเนตรทุกข์ระทมเพราะใส่พระอารมณ์ไปกับเรื่องราวนิทานไร้สาระ จึงแปรเปลี่ยนเป็นยินดีปรีดา โผเข้ากอดพระเจ้าหลานเธอสุดรักทั้งสองแนบองค์ พรมจูบลงสองปรางเนียนของทั้งสองพระองค์อย่างคิดถึง

ร่างสูงสง่าสมชายชาตรีแห่งกษัตริย์สิตาประทับเคียงข้างพระราชมารดา ทอดพระเนตรกิริยารับขวัญของเหล่าสตรีอย่างสนพระทัย โดยเฉพาะคนที่เยาว์ชันษาสุดนั้น งดงามจนจำเกือบแทบไม่ได้ อุษณกรตรัสทักทายขึ้นก่อน

“ครั้งนี้เจ้าพี่สิงคาลเสด็จพร้อมด้วย เป็นเกียรติของเขมรัฐจริงๆ เพคะ” สิงคาลจำต้องเบนสายพระเนตรกลับมาที่ราชินีแห่งเขมรัฐ

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ อุษณกร สบายดีใช่ไหม”

“หม่อมฉันสบายดี ขอบพระทัยเพคะ แล้วเจ้าพี่ล่ะเพคะ”

“ก็ตามประสา” ตอบพลางมองพระราชมารดาตนลูบหลังไหล่อีกสาวอย่างรักใคร่ พระนางโสภิศนภาหันกลับมาหาพระโอรส

“มัวแต่คุยกัน นี่ฝ่าบาท จำสีตลธรได้ไหม พบกันครั้งสุดท้ายยังตัวเล็กนิดเดียว เผลอแผลบเดียวเป็นสาวเต็มตัวแล้ว”

“เกือบจำไม่ได้เหมือนกัน”

อุษณกรทอดพระเนตรเห็นเจ้าสิงคาลทรงสนพระทัยสีตลธรนัก หูตาแพรวพราว ไล่สายพระเนตรไปทั่วตัวพระน้องนางก็ให้หงุดหงิดพระทัย ด้วยรู้จักกิตติศัพท์ความเจ้าชู้ของราชาแห่งสิตาดี ดูราวคนถูกมองจะไม่ได้สนใจ เพราะมัวแต่ร่าเริงยินดีที่ได้พบหน้าสนทนาออดอ้อนกับพระปิตุจฉาของตัว ราชินีเขมรัฐจึงตรัสแทรกขึ้น

“เข้าไปข้างในก่อนดีกว่าเพคะ จะได้ซักถามพูดคุยกันได้สนุก คิดถึงท่านป้าเหลือเกิน”

เจ้าสิงคาลเสด็จตามพระราชมารดาและพระน้องนางทั้งสองเข้าข้างใน สายพระเนตรยังไม่ยอมละจาก วรองค์อรชรที่เคียงข้างพระราชมารดา นึกแปลกพระทัย เด็กอะไร ดูสวยงามยวนตายวนใจเสียเหลือเกิน ความจริงแล้วที่เสด็จตามมาด้วยนั้นก็ด้วยแรงยุของสร้อยรัศมีเท่านั้น ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย เพราะเคยเห็นมาแล้วแต่เล็กแต่น้อย เมื่อตอนเสด็จขึ้นครองราชย์ สีตลธรก็ยังถวายงานฟ้อนรำเทิดพระเกียรติสรรเสริญพระบารมี จากวันนั้นถึงวันนี้ เพียงสี่ปีเท่านั้น ไม่นึกว่าเด็กน้อยจะเจริญวัยเป็นสาวรุ่นได้งดงามเพียงนี้ คิดแล้วก็ให้รู้สึกอิจฉาอัคนิรุทร พระคู่หมั้น ยิ่งได้ยินว่าราชาแห่งปาลประทับอยู่ที่นี่ด้วยก็ยิ่งหงุดหงิดพระทัยขึ้นไปอีก

เจ้าเหนือหัวแห่งปาลที่ใครๆ พากันชื่นชม ไม่เว้นแม้แต่สร้อยรัศมีที่ได้ชื่อว่าเป็น ‘เมีย’ ตามพฤตินัยของพระองค์ เจ้าสิงคาลรู้สึกขัดพระทัยเสมอยามใดที่สร้อยรัศมีเอ่ยนามบุรุษผู้นี้ด้วยน้ำเสียงชื่นชม บางครั้งก็รู้ว่าพระนางเพียงแต่จะยั่วเย้าพระอารมณ์เท่านั้น แต่ก็อดใจไม่หงุดหงิดไม่ได้ทุกที ลงท้ายก็เลยต้องลงโทษพระนางรุนแรง แต่ก็ไม่เห็นเข็ดหลาบกลับชื่นชอบเสียอีกด้วย คิดถึงพระนางสร้อยรัศมีแล้วก็นึกได้ สีตลธรมีอะไรคล้ายพระนางเช่นกัน เรือนร่างที่งดงามสมบูรณ์เกินสาวแรกรุ่นนั่นก็เหมือนสร้อยรัศมีเมื่อคราได้พบกันครั้งแรก เยื้อนพระโอษฐ์เอื้อนเอ่ยวาจาแต่ละคำ ดูเย้ายวนเหมือนพระนางไม่มีผิดเพี้ยน งามพิลาศกลบรัศมีอุษณกรผู้พี่จนไม่มีเหลือ

ได้ยินทั้งสามสตรีสนทนาวางแผนเดินทางไปกราบเคารพพระอัฐิองค์ชิษณุพงศ์ พระมาตุลา ก็ดีพระทัยจะได้มีโอกาสใกล้ชิดสีตลธรให้ชื่นพระทัย แต่หากอยู่ต่อหน้าพระพักตร์พระราชมารดา คงต้องเก็บกิริยาให้มิดชิดเสียหน่อย แต่ก่อนนั้นเมื่อเคยแสดงกับอุษณกรก็เคยโดนตำหนิมาแล้ว หากให้ทอดพระเนตรเห็นอีก ประเดี๋ยวจะทรงทำให้สีตลธรตกพระทัย ตื่นหนีไปก่อน รวบรัดได้แล้วพระราชมารดาจะว่าอะไรได้อีก นอกจากปล่อยเลยตามเลย เจ้าสิงคาลคิดวางแผนในใจ ลืมไปเสียสนิทว่าพระคู่หมั้นไม่ได้อยู่ไกลถึงปาลเลย



อัคนิรุทรทอดพระเนตรสร้อยพระศอประดับพลอยชมพูในมือ คิดถึงใบหน้าผุดผาดของเจ้าของจนบรรทมไม่สนิทตลอดทั้งสองคืน คืนแรกนั้นก็ด้วยฤทธิ์โกรธแค้นพระทัย ผิดหวังในตัวสาวน้อยสมมุตินามตัวว่าแก้วฟ้า อุตส่าห์แบกหน้าพาทหารมาบุกตะลุยหาหมู่บ้าน
มาเซอถึงในเขตแดนเขมรัฐ หวังจะช่วยเหลือสาวน้อยไร้เดียงสาให้รอดพ้นอันตราย กลับกลายเป็นว่าสาวน้อยไม่ได้เดียงสาอย่างที่คิด เก่งกาจกระทั่งหาทางกลับวังได้เอง ก็เป็นถึงเจ้าฟ้าหญิงแห่งเขมรัฐ ใครจะกล้าทำอันตราย ที่เจ็บใจที่สุดก็คือเจ้าฟ้าพระคู่หมั้นท่าทางสบายใจที่ได้เห็นความโง่เง่าของพระองค์ที่หลงเชื่อคำเชื่อมารยาสตรีรูปงาม เพียงแค่ได้กอดได้จุมพิตก็หลงใหลพร่ำเพ้อราวเด็กหนุ่มแรกรัก ทรงพระดำริแค้นเคืองไปเรื่อยเปื่อยจนจับเรื่องราวปนกันวุ่นวายไปหมด

และแม้จะพยายามทำพระทัยให้เกลียดแต่ก็เหมือนยิ่งตอกย้ำให้นวลพักตร์ที่ทรงเกลียดแวะเวียนเข้ามาในห้วงคำนึงตลอดเวลา เข้าพระแท่นแล้วก็บรรทมไม่หลับกระสับกระส่าย พาลแค้นเคืองเตชิตไปด้วยที่ไม่กลับมาเสียที ให้ไปสืบเรื่องมาเซอ ก็หายเงียบไปเลย รีบกลับมาจะได้รีบกลับบ้าน พระทัยร้อนไปเองทั้งๆ ที่เพิ่งผ่านไปเพียงวันเดียว

แต่ในค่ำคืนนี้พระอารมณ์กลับแปรเปลี่ยนไป คงด้วยเหตุจากพระดำรัสองค์อุษณกรที่เสด็จมาทูลเชิญร่วมเสวยพระกระยาหารเย็นพร้อมท่านป้าพระนางโสภิศนภาและเจ้าเหนือหัวแห่งสิตา อัคนิรุทรกำลังทอดพระเนตรสร้อยพระศอที่เจ้าของไม่ยอมรับคืน ทั้งเจ็บปวด ทั้งผิดหวัง ไม่มีพระประสงค์จะพบหน้าใครทั้งนั้นจึงตอบปฏิเสธ โดยอ้างว่า คณาญาติจะได้อยู่ด้วยกันเจรจาประสา ‘คนใน’

ก่อนราชินีเขมรัฐจะเสด็จกลับ ทอดพระเนตรสร้อยพลอยชมพูในพระหัตถ์ราชาปาล

“สีตลธรมอบให้ฝ่าบาทหรือเพคะ”

“ทรงทราบได้อย่างไร” อุษณกรสรวลเบาๆ

“นั่นสร้อยประจำตัวน้องสาวหม่อมฉัน ทำไมจะจำไม่ได้ล่ะเพคะ” ทอดพระเนตรอัคนิรุทร เห็นยังทรงนิ่งเฉย ก็ตรัสต่อ “ทรงทราบไหมเพคะว่า สร้อยนั้นหมายถึงอะไร”

“ก็คง...ไม่ได้มีความหมายอะไรทั้งนั้นหรอก” ทรงตอบไปด้วยน้อยพระทัยเท่านั้น

“อย่าตรัสเช่นนั้นต่อหน้าพระคู่หมั้นนะเพคะ”

“หม่อมฉันถวายคืน แต่ไม่ทรงรับ”

“ตายแล้ว! มิน่าเล่าน้องสาวหม่อมฉันถึงร้องไห้คร่ำครวญ เพราะฝ่าบาทแท้ๆ เชียว พระทัยร้ายเหลือเกิน”

“อะไรกัน หม่อมฉันไปเกี่ยวอะไรด้วย” อัคนิรุทรรับสั่งตอบ แม้จะตกพระทัยที่ได้ทราบว่าสาวน้อยร้องไห้ แต่ทิฐิก็ค้านขึ้นฉับพลัน สีตลธรน่ะหรือร้องไห้คร่ำครวญ ผิดไปล่ะ คงหัวเราะจนน้ำตาไหลมากกว่าละมัง อุษณกรทอดพระเนตรสร้อยพระศอประจำองค์พระน้องนางก่อนตรัสตอบ

“ตามธรรมเนียมเขมรัฐ หากหญิงสาวคิดจะปลงใจกับใครแล้วก็จะมอบสร้อยคอที่เป็นสร้อยประจำตัวให้กับบุรุษผู้นั้น มันไม่ได้มีความหมายแค่เพียงสร้อยคอเท่านั้น แต่หมายถึงหัวใจรัก ความหวังและวิญญาณของนางได้มอบให้เขาแล้ว สร้อยที่ทรงตรัสว่าไม่ได้มีความหมายอันใดนั้น สำหรับสีตลธรหรือสำหรับหญิงสาวเขมรัฐทุกคนมันหมายถึงทั้งชีวิตของนาง”

“หากมันหมายถึงทั้งชีวิตของพระน้องนาง หม่อมฉันยิ่งไม่สามารถรับได้”

“ก็เลยจะทรงส่งสร้อยคืนอย่างนั้นหรือเพคะ” อุษณกรทอดพระเนตรบุรุษตรงหน้าอย่างระอาพระทัย พระสติปัญญานั้นเลิศล้ำ แต่พระอารมณ์ทิฐิดื้อรั้นก็มากมายไม่ต่างกัน

“อาจจะมีคนอื่นที่เหมาะสมกว่า”

“ไม่มีคำว่าเหมาะสมกว่าแล้วเพคะ ปกติพิธีกรรมผูกสร้อยจะจัดขึ้นในวันแต่งงาน เพื่อยืนยันว่าผู้หญิงคนนั้นพร้อมเป็นภรรยาและจะซื่อสัตย์ต่อสามีของนางเท่านั้น ความจริงแล้วสีตลธรไม่ควรมอบให้ฝ่าบาทในตอนนี้ แต่นี่แหละเพคะ สีตลธร ไม่ค่อยจะยึดถือประเพณีเก่าคร่ำครึนัก ทรงอภัยให้นางนะเพคะ”

“ไม่มีอะไรต้องอภัย หม่อมฉันต่างหากที่ต้องเป็นฝ่ายขอโทษ” สายพระเนตรทอดต่ำลงมองสายสร้อยในพระหัตถ์ ตรัสไปด้วยสุจริต

“หากไม่ทรงเสด็จร่วมโต๊ะเสวยในคืนนี้ พรุ่งนี้พวกเราจะเดินทางขึ้นภูนภดล หากฝ่าบาทจะร่วมเสด็จด้วย สีตลธรคงดีใจ”

อุษณกรเสด็จออกจากพระตำหนักรับรองไปแล้ว แต่อัคนิรุทรยังคงประทับนิ่งราวโลกทั้งโลกได้หยุดหมุนลงเสียแล้ว และก็เป็นเหตุให้คืนที่สองในเขมรัฐนครของพระองค์ไม่ได้สงบสุขเลย เพราะคิดถึงแต่พิธีกรรมที่ดูน่าขำสำหรับพระองค์ในกลางป่ากลางสายน้ำ พระพักตร์งดงามของพระคู่หมั้น พระอิริยาบทขณะพันสร้อยพระศอให้ที่ข้อพระหัตถ์ ใจหนึ่งยังไม่หายเคืองท่าทางเย่อหยิ่งเยาะหยันของพระนางเมื่อคืน แต่อีกใจก็ร่ำร้องเรียกหา ตัดสินพระทัยไม่ได้ว่าจะจัดการเรื่องนี้อย่างไรดี

ไม่ได้ทรงคาดคิดว่าทิฐิขององค์เอง อาจจะทำให้ต้องเสียพระทัยภายหลัง


ขบวนเสด็จออกเดินทางขึ้นภูนภดล ยอดภูแห่งสตคีรี เทือกเขาทางตอนเหนือแห่งเขมรัฐนคร อันเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และเป็นที่ประดิษฐานสุสานหลวงแห่งราชวงศ์เขมรัฐ พระนางโสภิศนภาทรงพระชราภาพเกินกว่าจะทรงม้าเอง จึงประทับราชรถเทียมม้าขึ้นไปแทน สีตลธรเป็นห่วงเป็นใยไม่ยอมอยู่ห่างพระปิตุจฉา อาสาตามเสด็จไปกับราชรถเทียมม้าด้วย จึงมีเพียงเจ้าสิงคาลและอุษณกรที่ทรงม้าขึ้นไปด้วยองค์เอง

ความห่วงใยในพระพลานามัยท่านป้านั้นก็เรื่องหนึ่ง แต่ความลำบากพระทัยก็อีกส่วน เพราะลอบสังเกตเห็นสายพระเนตรเจ้าสิงคาลจ้องมองพระองค์แปลกๆ ตลอดเวลา ทั้งตอนที่ร่วมโต๊ะเสวยพระกระยาหารเย็น ก็ทรงลอบมองแย้มพระสรวลแปลกๆ พยายามไม่คิดมากเพราะอย่างไรเสียก็นับถือเป็นพระญาติสืบสายโลหิตเดียวกัน คงจะทรงมองด้วยความเอ็นดู แต่ก็ไม่เห็นว่าทรงมองเจ้าพี่อุษณกรด้วยสายพระเนตรแบบที่มองตน พลอยทำให้วางพระองค์ไม่ถูก ขอเลี่ยงให้อยู่ห่างที่สุดเท่าที่จะทำได้คงดีที่สุด

หลังพิธีสักการะพระอัฐิองค์ชิษณุพงศ์แล้ว ต่างก็เสด็จพระตำหนักยอดภูแก้ว ไม่ห่างจากสุสานหลวงเท่าไรนัก พระตำหนักสร้างจากไม้สักทั้งหลัง เอาไว้สำหรับเป็นที่แปรพระราชฐาน ด้านหน้าเป็นอุทยานดอกไม้ที่ดูแปลกตาไปกว่าในพระราชวังหลวง เพราะพันธุ์ไม้นานาชนิดที่นี่นั้น เป็นพันธุ์ที่จะเจริญเติบโตในพื้นที่สูงหนาวเช่นบนยอดเขาเท่านั้น เจ้าสิงคาลได้โอกาสออกพระโอษฐ์ขอให้สีตลธรนำชมอุทยาน เพราะไม่เคยขึ้นมาถึงยอดภูนภดล พระราชมารดาไม่ได้รู้เรื่องราว นึกว่าพระโอรสสนพระทัยต้นไม้ใบหญ้าจริงจัง ก็คะยั้นคะยอให้พระเจ้าหลานเธอองค์เล็กพาชมสวน สีตลธรไม่มีทางเลี่ยงจึงต้องยอมตาม

เมื่อออกไปกันแล้ว อุษณกรก็ทรงสนทนาสนุกเพลิดเพลินต่อไปกับพระปิตุจฉา แม้จะคุยกันมาทั้งคืนแล้วเมื่อคืน แต่ก็ราวกับมีเรื่องราวมากมายมหาศาลที่ต้องเล่าสู่กันฟัง อีกเรื่องเล่าความหลังมากมายจะต้องมารำลึก ไม่ได้ทรงมีจิตระแวงว่าพระน้องนางกำลังลำบากอย่างไร

สีตลธรเสด็จนำเจ้าสิงคาลออกไปยังอุทยาน พยายามทำพระทัยให้สงบเย็น อธิบายพันธุ์ไม้ต่างๆ ไปโดยดี

“ตรงนี้จะเป็นกุหลาบนภดล พันธุ์นี้จะทรงเห็นว่าสีสรรแปลกตากว่าทุกพันธุ์เพราะประกอบจากสามเฉด แดง ส้ม ชมพู อยู่ในดอกเดียวกัน ส่วนตรงกลางดอกจะเป็นสีแดง กลีบดอกชั้นในสีส้มอ่อน กลีบดอกชั้นนอกสุดเป็นสีชมพู”

“สวยแปลกตาจริงๆ” สายพระเนตรคมที่จ้องมองพักตร์งามเจ้าฟ้าผู้น้อง ทำเอาคนถูกมองเขินอาย ปรางนวลแดงระเรื่อขึ้นทันที ต้องพยายามสะกดพระอาการกระดากอาย พูดอธิบายต่อ

“ไม่มีขึ้นที่ไหน นอกจากที่ยอดภูนภดลเท่านั้นเพคะ ถึงได้ชื่อตามถิ่นกำเนิด”

“เจ้าชอบกุหลาบไหม” เจ้าสิงคาลเห็นพระน้องนางขยับองค์หนีก็รู้ว่าทรงประหม่า แสร้งเสหันไปสนพระทัยดอกไม้ใบหญ้าบ้าง

“หม่อมฉันชอบดอกไม้ทุกชนิดนั่นแหละเพคะ”

“หญิงงามก็ควรแล้วจะคู่กับดอกไม้งาม” อดหยอดคำหวานไม่ได้ แต่สีตลธรกลับเห็นขันสรวลออกมาเบาๆ ปลุกจิตใจพระองค์ให้รุ่มร้อนด้วยกิริยาไร้เดียงสาได้อย่างน่าประหลาด

“พี่เคยได้ยินว่า บนยอดภูมีกล้วยไม้ที่ชื่อเหมือนเจ้าด้วย ใช่ไหม”

“เพคะ บังเอิญเจ้าหน้าที่ที่ดูแลพระตำหนักยอดภูแก้วเข้าป่าไปพบ เห็นสวยแปลกตาดีเลยนำไปถวายองค์ราชินี กลีบดอกสีชมพูอ่อน มีจุดม่วงตรงกลางกลีบเหมือนมีใครมาแต้มสีเอาไว้ หนึ่งดอกจะมีแค่สามกลีบเท่านั้น เกสรสีเขียวตองอ่อน หม่อมฉันเห็นแล้วก็ชอบ เพราะสีชมพูเป็นสีประจำวันเกิดของหม่อมฉัน เจ้าพนักงานหลวงที่นำมาถวายก็เลยขอชื่อหม่อมฉันไปตั้งเป็นชื่อดอกไม้”

“พี่อยากจะมีดอกไม้เป็นของตัวเองบ้างแล้วสิ”

“อยากได้ดอกอะไรล่ะเพคะ” สีตลธรเริ่มเห็นพระกิริยาเจ้าสิงคาลน่าขันขึ้นไปอีก ชายอะไรอยากตั้งชื่อดอกไม้ตามตัว

“เจ้าเลือกให้พี่สักดอกดีไหม”

“หม่อมฉันเลือกไม่ถูกหรอกเพคะ เดี๋ยวจะไม่ถูกพระทัย”

“งั้นพาพี่ไปชมกล้วยไม้สีตลธรบ้างได้ไหม เผื่อพี่จะปลงใจเลือกดอกกล้วยไม้เช่นเจ้า”

“ได้สิ เพคะ เชิญเสด็จทางนี้” เจ้าฟ้าหญิงคนงามเสด็จนำไปก่อน มองไม่เห็นสายพระเนตรของเจ้าสิงคาลที่แวววาวราวราชสีห์รอเวลาขย้ำเหยื่อ


หนทางสู่ยอดภูนภดลนั้นไม่ได้ยากลำบากสำหรับชาวเขมรัฐผู้คุ้นเคยถิ่น แต่สำหรับกษัตริย์แห่งปาลแม้จะทรงม้าได้อย่างคล่องแคล่ว แต่ก็ขัดพระทัยที่ไม่อาจเสด็จได้เร็วเท่าที่พระทัยปรารถนา ด้วยเส้นทางนั้นเป็นหินกรวดที่ค่อนข้างลื่น ทั้งม้าทรงก็ไม่ใช่ม้าที่ทรงคุ้นเคย แต่เป็น ‘เจ้าขาว’ ม้าทรงแสนรักในเจ้าฟ้าหญิงพระคู่หมั้นที่เสด็จขึ้นมาก่อนแล้วพร้อมราชรถ

สองข้างทางเต็มไปด้วยต้นไม้ใหญ่น้อยให้ร่มเงาไปตลอด บางต้นสูงชะลูดเสียดฟ้าหายอดไม่เห็น บางต้นก็หน้าตาแปลกประหลาดหาดูไม่ได้จากพื้นที่ด้านล่างเพราะขึ้นอยู่แต่เฉพาะบนเขาสูงเท่านั้น แต่อัคนิรุทรหาได้เอาพระทัยใส่ความร่มรื่นหรือไม้พันธุ์แปลกตาทั้งหลายไม่ ราชองครักษ์ตามเสด็จกราบบังคมทูลให้ทรงพักระหว่างทางก็แสร้งทำเป็นไขหูเสีย สงสารที่สุดคงเป็นม้าทรงที่โดนกระแทกสีข้าง กระตุกบังเหียนเร่งกระตุ้นให้ย่างเท้าเร็วขึ้นตลอดเวลา

ครั้งแรก อัคนิรุทรตัดสินพระทัยแล้วว่าจะไม่ตามเสด็จขบวนขององค์ราชินีขึ้นภูศักดิ์สิทธิ์ จะรอพบพักตร์พระคู่หมั้นเมื่อกลับลงมา แต่ก็ด้วยสังหรณ์ประหลาดพาให้พระทัยว้าวุ่น อยู่นิ่งไม่ได้ จนต้องขอร้องให้ราชองครักษ์ที่อุษณกรทรงส่งมาดูแลพาขึ้น กว่าจะเสด็จฯ ขึ้นมาถึงยอดภู และติดตามไปจนถึงพระตำหนักยอดภูแก้ว ตะวันก็เกือบตรงหัวพอดี

“ถวายบังคม พระเจ้าค่ะ” อัคนิรุทรตรัสพร้อมถวายความเคารพผู้อาวุโสสุดในที่นั้นก่อน

“ถวายบังคม เพคะ ฝ่าบาท” พระนางโสภิศนภาถวายความเคารพตอบในฐานะที่ทรงเป็นเจ้าแผ่นดิน

“นึกว่าจะไม่เสด็จเสียแล้ว” อุษณกรตรัสบ้าง

“คราแรกก็คิดว่าไม่ แต่นึกไปมาก็เห็นว่าน่าเสียดายโอกาส อุตส่าห์มาถึงเขมรัฐแล้ว ควรได้ขึ้นมาเยือนยอดสตคีรีสักครั้ง” อัคนิรุทรทรงแก้ตัววุ่นวาย สังเกตไม่พบพระคู่หมั้นก็ถามหาทันที

“พระน้องนางไปไหนเสีย”

“เชิญเสด็จเจ้าสิงคาลชมอุทยานเพคะ” อุษณกรตรัสตอบ นึกขำในพระกิริยาที่เก็บไม่อยู่ แก้ตัวไปเรื่อย แต่แท้ที่จริงก็มาตามคู่หมั้นนั่นแหละ

อัคนิรุทรจำต้องประทับร่วมวงสนทนากับอุษณกรและพระนางโสภิศนภา แต่พระหทัยปั่นป่วนกระวนกระวายไปถึงคนในอุทยานเสียแล้ว




 

Create Date : 20 ตุลาคม 2553
2 comments
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2554 20:25:59 น.
Counter : 551 Pageviews.

 

มาอัพเดท นวนิยายของคุณบัดดี้ ทีเดียว สองบทเลยค่ะ

 

โดย: sorwor 20 ตุลาคม 2553 21:10:34 น.  

 

ตามไปเร็วๆๆๆๆๆ

 

โดย: sakeena IP: 124.120.91.56 29 ตุลาคม 2553 13:50:01 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


sorwor
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ต้นเหตุแห่งการยินดีที่ได้รู้จักกันนั้น เริ่มที่เว็บฟอร์ไรท์เตอร์ดอทคอมจากการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางงานเขียนนวนิยาย ทำให้พวกเรา สว. (สาวสวยสมวัย) เกิดความคิดที่จะรวมตัวกันจัดทำบล๊อกขึ้นมาเพื่อเผยแพร่งานที่พวกเราเขียนเอง งานที่พวกเราทำด้วยใจรักและรักเหลือเกิน อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านและอยากได้คำติชมจากเพื่อนๆ เพื่อเป็นกำลังใจและนำพัฒนาทางการเขียนต่อไป


ฝากข้อความถึง"สวยสมวัย"







ซัน
โรแมนติก-อบอุ่น
ราคา 220 บาท



น้ำชารสสตรอเบอร์รี่
รัก-โรแมนติก
ราคา 190 บาท



ปางเสน่หา
โดย น้ำดอกไม้ (บัดดี้)
สนพ.พลอยชมพู




งานเขียนใน “สวยสมวัย”
เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน
ได้รับความคุ้มครองตามกฏหมาย
ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
...........................
คิดเอง เขียนเอง
และสร้างความภาคภูมิใจ
ให้กับตัวเองกันเถอะค่ะ


Friends' blogs
[Add sorwor's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.