บล๊อกสวยสมวัย MercuryBooks
Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
27 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
จอมใจเจ้าชีวัน บทที่ ๘ โดย...บัดดี้

ขบวนเสด็จฯ เจ้าเหนือหัวแห่งปาลเคลื่อนไปตามถนนหลวงแห่งเขมรัฐนครอย่างสง่างามสมพระเกียรติ ทหารหลวงเขมรัฐในชุดเครื่องแบบสีขาวติดอาวุธประจำกาย ยืนแถวเรียงซ้อนเป็นสองแนว ป้องกันรักษาความปลอดภัยเต็มที่ตลอดสองข้างทางจากประตูเมืองถึงประตูวังหลวง

ประชาชนชาวบ้านร้านเรือนที่อาศัยในเขตพระนครต่างออกมารอเฝ้ารับเสด็จ ‘ว่าที่เขย’ ผู้สูงศักดิ์แห่งราชวงศ์ปาลกันเนืองแน่น หวังใจขอสักครั้งในชีวิตได้ชื่นชมพระบารมี มหาราชาผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยต่างได้ยินกิตติศัพท์ร่ำลือกันถ้วนทั่วว่า ทรงเป็นนักรบผู้อาจหาญ ทั้งที่ยังทรงพระเยาว์ แต่สามารถรวบรวมดินแดนปาลให้กลับมาเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง หลังจากที่แตกเป็นก๊กเหล่ามากมาย เมื่อคราวสิ้นวชิรหัตถ์ราชา พระราชบิดา

พวกสาวๆ เขมรัฐ ทั้งสาวน้อย สาวแก่ แม่หม้าย ไม่เว้นแม้แต่แม่เรือนที่ผัวยังนั่งหัวโด่อยู่บนบ้าน ต่างพากันแต่งองค์ทรงเครื่องรับเสด็จกันยกใหญ่ เครื่องเงินเครื่องทองเพชรนิลจินดาที่เคยเก็บซ่อนไว้เพราะกลัวโจรขโมย ก็งัดออกมาประโคมประดับกันเสียเต็มคราบ ราวกับว่าได้รับเชิญให้เข้าไปร่วมชื่นชมพระบารมีในพระบรมมหาราชวังก็ไม่ปาน เพราะต่างได้ยินเสียงเล่าลือกันมาว่า พระสิริโฉมราชาแห่งปาลนั้นงดงามราวเทพประทาน สวยเกินสตรี งามเกินบุรุษ บ้างพูดกันไปจนเลยเถิด ถึงขั้นว่าพระองค์มิได้เป็นมนุษย์สามัญ หากแต่เป็นเทวดาจำแลง แปลงกายลงมาสงเคราะห์ชาวปาลให้รอดพ้นจากวิบัติกรรม สาวน้อยใหญ่จึงต่างพากันเบียดเสียดเข้าไปให้ใกล้แถวทหารมากที่สุด ขอให้ได้เห็นเพียงเสี้ยวพระพักตร์ก็ยังดี ไม่เสียชาติเกิดมาในชีวิตนี้

เขมรัฐและปาลนั้นเป็นบ้านพี่เมืองน้องที่ใกล้ชิดกันมานมนาน ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณีต่างๆ ตลอดจนคติความเชื่อ การดำรงชีพ ล้วนแล้วแต่อยู่ในวิถีเดียวกัน ภาษาที่ใช้สื่อสารก็เป็นภาษาเดียวกัน แม้จะมีบ้างบางคำที่ใช้แตกต่าง แต่ก็ไม่ทำให้เกิดปัญหาในการสื่อความ มีชาวปาลจำนวนไม่น้อยที่มีญาติมิตรอยู่ในเขมรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณใกล้ชายแดนของทั้งสองชาติ ประชาชนกลมกลืนกันจนแทบแยกไม่ออกว่าใครเป็นปาล ใครเป็นเขมรัฐ จึงไม่น่าแปลกที่ชาวบ้านชาวเมืองเขมรัฐจะตะโกนแซ่ซ้องรับเสด็จราชาแห่งปาล ราวกับว่าเป็นราชาแห่งตน บางคนปลื้มปีติเสียจนน้ำหูน้ำตาไหล

แต่ใช่ว่า ‘ทุกคน’ ในเขมรัฐจะรู้สึกเช่นเดียวกันหมด

ณ มุขบนยอดหอดูดาวในเขตพระราชวัง สายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องไปยังขบวนเสด็จที่พลิ้วไหวไปตามถนนอย่างสวยงาม กลับส่งกระแสจิตประหลาดแตกต่างจากความรู้สึกของชาวเมืองเขมรัฐทั่วไป หากรัศมีจากดวงเนตรงามคู่นั้นเป็นไฟ ก็คงจะสามารถแผดเผาขบวนเกียรติยศจนไหม้มอดราบเป็นเถ้าธุลี

“มากันแล้ว”

สุรเสียงเปรยกับองค์เอง ไม่อาจชี้ชัดไปได้ว่าเป็นความรู้สึกใดแน่ ระหว่าง ความเศร้า...ที่ในที่สุดวันนี้ก็มาถึงจนได้ ความสิ้นหวัง...ไม่มีหนทางใดที่จะรอดพ้นเคราะห์กรรมครั้งนี้และไม่มีผู้ใดช่วยได้อีกแล้ว ความโกรธเกรี้ยว...กับโชคชะตาที่เล่นตลกให้พบบุรุษที่พึงใจแต่ก็ต้องพลัดพราก ยิ่งทำให้เกิดทรมานในอกมากขึ้นไปอีกหลายเท่าทวี ความรังเกียจ...อีกด้านของความอาจหาญคือความอำมหิตที่ใครๆ พากันละเลยมองข้าม หากบุรุษผู้นี้เป็นเทพจริง ก็คงเป็นเทพแห่งสงครามที่หล่อเลี้ยงชีวิตด้วยโลหิตมนุษย์

สีตลธรถอนปัสสาสะอัสสาสะ พาสีพระพักตร์หมองคล้ำเสด็จลงจากหอดูดาว ไม่อาจทนทอดพระเนตรขบวนเสด็จที่เป็นดังขบวนมัจจุราชจากขุมนรกสำหรับพระองค์ได้อีกต่อไป เจ็บปวดที่ชาวประชาต่างร้องสรรเสริญ ราวกับเชิญชวนให้ ‘พวกนั้น’ เข้ามาคร่าพระนางโดยไว

นางพระพี่เลี้ยงคนสนิทเห็นนายกลับก็รีบตามติดลงไปทันที ในใจสุดแสนสงสารทูลหัวทูลกระหม่อมที่ถวายงานมาตั้งแต่แรกประสูติ แต่ก็รู้ตัวว่าไม่อาจช่วยอะไรได้ ในเมื่อเป็นพระราชประสงค์ขององค์ราชินีแห่งเขมรัฐถึงสองพระองค์ ใครจะกล้าทูลทัดทาน

อดีตราชินี ‘ศศิลักขณา' พระราชมารดาเห็นดีเห็นงามให้ทรงหมั้นหมายกับรัชทายาทแห่งปาลตั้งแต่ทรงมีชันษาได้เพียงสามปี เบื้องหลังการหมั้นหมายไม่มีใครกล้าพูดถึง ครั้นเมื่อพระราชมารดาสวรรคต พระพี่นาง ‘อุษณกร’ เถลิงราชย์เป็นราชินีองค์ใหม่ ความสัมพันธ์พี่น้องที่เคยรักใคร่กันดีกลับเลวร้ายลง เจ้าฟ้าองค์เล็กแห่งเขมรัฐจึงถูก ‘ผลักไส’ เร่งวันคืนให้อภิเษกสมรสกับพระคู่หมั้น ที่บัดนี้เสวยราชย์เป็นองค์เหนือหัวแห่งปาล

สีตลธรเสด็จเข้าห้องพระบรรทมตั้งแต่ฟ้ายังสว่าง ตรัสห้ามพระพี่เลี้ยงไม่ให้ตามเสด็จ เพราะต้องการสงบพระทัยเพียงลำพัง ยิ่งทำให้พระพี่เลี้ยงคนสำคัญเป็นห่วงกังวลยิ่งขึ้นไปอีก หากทรงแสดงพระอารมณ์โกรธเกรี้ยวเช่นแต่ก่อน ก็ยังพอเข้าใจว่าทรงดำริอะไร ทรงประสงค์สิ่งใด แต่ตอนนี้ ที่เห็นก็มีเพียงพระพักตร์เศร้าหมอง ดวงพระเนตรดำคล้ำ แต่ไม่เคยสักครั้งที่จะได้เห็นพระอัสสุชลไหลริน ที่ทรงขังตัวเองไว้เพียงลำพังก็คงเพื่อการนี้ละมัง เห็นเจ้าฟ้าเจ้าชีวิตของตัวเองต้องโศกศัลย์ถึงเพียงนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะแค้นเคืองพระทัยดำขององค์ราชินี แม้จะรู้ตัวว่าไม่สมควรก็ตามที

วรองค์แบบบางในห้องพระบรรทมก็รู้สึกไม่ต่างจากนางพระพี่เลี้ยง แต่พระอารมณ์แค้นเคืองราชินีแห่งเขมรัฐนั้นออกไปทางน้อยพระทัยเสียมากกว่า ตั้งแต่ทรงจำความได้ เจ้าพี่อุษณกรทั้งรักทั้งดูแลเอาใจใส่ เอ็นดูพระน้องยากว่าใคร หากปรารถนาสิ่งใด ไม่เคยมีสักครั้งที่พระพี่นางจะขัด มีแต่จะทรงกระวีกระวาดหามาให้ได้ดังพระประสงค์ แม้แต่ของสุดรักสุดหวงของเจ้าพี่ หากเจ้าฟ้าองค์น้องแค่เพียงเปรยว่าชอบ กรรมสิทธิ์ในข้าวของนั้นก็ทรงมอบให้น้องรักได้ทันที ไม่มีเสียดาย

หากนับตั้งแต่องค์อุษณกรเสด็จขึ้นครองราชย์ เจ้าฟ้าหญิงสีตลธรก็รู้สึกราวกับพระองค์ได้สูญเสียพระพี่นางที่เคยทรงรักใคร่เอ็นดูไปเสียแล้ว บัดนี้ จึงมีเพียง...พระราชินีอุษณกร และองค์เองก็เป็นแต่เพียงข้ารองพระบาทเท่านั้น น้ำพระเนตรไหลรินเมื่อทรงนึกถึงพระดำรัสเมื่อวันวาน

“เจ้าพี่รับสั่งให้หาหม่อมฉันหรือเพคะ” อุษณกรเงยพระพักตร์จากกองเอกสารที่ทรงอ่านอยู่อย่างขะมักเขม้น ตอบกลับพระน้องนางอย่างเฉยเมย

“นั่งก่อนสิ พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” สีตลธรประทับพระเก้าอี้ที่อยู่ตรงข้ามเจ้าของห้อง

“ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง แข็งแรงดีหรือยัง” พระดำรัสราบเรียบ เอนพระขนองพิงพนัก ช่วยให้บรรยากาศผ่อนคลายลงได้นิดหนึ่ง

“แผลแห้งดีแล้วเพคะ อย่างอื่นก็ไม่เห็นมีอะไร” พระหัตถ์บางลูบไปบนรอยแผลเป็นเล็กๆ

“ก็ดีแล้ว รู้หรือเปล่าว่าทำให้พี่เป็นห่วง” สุรเสียงอ่อนโยนที่น้อยนักจะได้ยินจากพระโอษฐ์ราชินีแห่งเขมรัฐ ซาบซึ้งเข้าไปในพระทัยของพระน้องยา

“หม่อมฉันขอพระราชทานอภัย” ทรงรู้พระองค์ว่าหุนหันพลันแล่นเกินไป แต่ก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ ในเมื่อการพูดคุยเจรจาแต่โดยดี ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์อันใด ก็ต้องหนีไปตายเอาดาบหน้า

“ขออภัย แต่ไม่สำนึกผิดใช่ไหม ทำไมถึงดื้อกับพี่นักนะ”

“แล้วทำไม เจ้าพี่ต้องบังคับหม่อมฉันนักล่ะเพคะ”

“สีตลธร เราคุยเรื่องนี้กันมากี่ครั้งแล้ว” อุษณกรส่ายพระพักตร์อย่างระอา ตรัสต่อ “การหมั้นหมายระหว่างเจ้ากับองค์อัคนิรุทรเป็นพระราชประสงค์ของพระมารดา เจ้าจะให้พี่ทำอย่างไร”

“ยกเลิกการหมั้นหมายสิเพคะ บัดนี้เจ้าพี่ทรงเป็นราชินีแห่งเขมรัฐ” เป็นคำขอร้องที่ไม่รู้ว่าเป็นครั้งที่เท่าไหร่ แต่ทุกครั้งก็ได้รับเพียงคำตอบปฏิเสธพร้อมคำอธิบายเดิมๆ

“พูดง่าย! รู้ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้นหากการหมั้นหมายถูกยกเลิก อัคนิรุทรจะอ้างเหตุนี้ยกเลิกสิทธิทางการค้าต่างๆ ที่เราเคยได้ เจ้าก็รู้ว่ายังไงเสีย เราก็ต้องพึ่งพาปาลหากยังต้องการติดต่อกับโลกภายนอก” ในฐานะราชินีแห่งรัฐ อุษณกรต้องถือความอยู่รอด ความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมืองเป็นสิ่งสำคัญเหนืออื่นใด เขมรัฐแม้จะร่ำรวยทรัพยากร แต่หากขัดสนเส้นทางส่งออก ก็เหมือนน้ำที่ขังอยู่ในอ่าง นับวันมีแต่จะเน่าเสียเท่านั้น

“หม่อมฉันก็เลยต้องกลายเป็นเครื่องบรรณาการที่เจ้าพี่ถวายให้องค์เหนือหัวแห่งปาลหรือเพคะ”

“สีตลธร!!” เสียงที่ขึ้นดังจนเจ้าของนามสะดุ้งพระทัย พระวรกายเย็นเยียบด้วยรู้องค์ว่า ทำให้พระพี่นางกริ้วหนักกว่าครั้งใด

อุษณกรทรงลุกออกจากที่ประทับ หันพระพักตร์ออกนอกพระบัญชรเพื่อสงบสติอารมณ์ เมื่อคลายพระทัยลงแล้ว ก็พยายามนำน้ำเย็นเข้าลูบต่อ

“พี่รู้ว่าเจ้าไม่เต็มใจ แต่เราเป็นหน่อเนื้อกษัตริย์ หน้าที่ของขัตติยนารีจำต้องเสียสละความสุขส่วนตัวเพื่อบ้านเมือง พี่ขอให้เจ้าเชื่อได้ไหมว่า พี่ไม่เคยคิดจะทำร้ายเจ้า”

“หม่อมฉันจะต้องถูกขับไสไปอยู่บ้านเมืองคนอื่น แต่งงานกับคนที่ไม่เคยรู้จัก เป็นรานีของราชาใจบาป นี่หรือเพคะ ความกรุณาที่เจ้าพี่มีให้หม่อมฉัน”

“อัคนิรุทรไม่ได้ร้ายกาจถึงเพียงนั้นหรอก เจ้าพูดเองว่าไม่เคยรู้จัก ทำไมไม่ลองทำความรู้จักพระองค์ดูก่อน แล้วค่อยตัดสินล่ะ”

“เจ้าพี่ก็ทราบดี ทุกครั้งที่เสด็จมา เคยมีสักครั้งไหมที่โปรดให้หม่อมฉันเข้าเฝ้า เท่านี้ก็รู้แล้วว่าองค์อัคนิรุทรเอง ก็ไม่ได้ทรงปรารถนาการหมั้นหมายนี้เช่นกัน”

“เอาล่ะ เอาล่ะ พี่ว่าเราพูดวกวนไปมาอยู่แต่เรื่องเดิมที่เคยคุยกันไปแล้วนะ การหมั้นหมายเกิดขึ้นมานานแล้ว และพี่ก็รู้ว่าไม่มีใครถามความสมัครใจของทั้งสองฝ่ายนั่นแหละ มาถึงตอนนี้ ก็สายเกินกว่าจะเปลี่ยนแปลงแก้ไขอะไรได้ ถ้าเจ้าบอกว่าไม่เคยมีโอกาสได้เข้าเฝ้า งั้นก็จงเตรียมตัว อีกสองวันจะเสด็จถึงเขมรัฐ”

“อะไรนะเพคะ!”

“เจ้าเหนือหัวแห่งปาลจะเสด็จเยือนเขมรัฐ ตอนนี้คงกำลังออกเดินทางแล้ว”

“เสด็จมาทำไม”

“ก็คงมาด้วยเรื่องของเจ้านั่นแหละ”

“อาจจะทรงต้องการยกเลิกการหมั้นหมาย” ประกายความหวังอันน้อยนิดของสีตลธรดับสนิทลง เมื่อพระพี่นางกล่าวต่อ

“พี่หมายถึงเรื่องการอภิเษกสมรสต่างหาก”

“เจ้าพี่!!”

“พี่เรียกเจ้ามาบอกเท่านี้แหละ เตรียมตัวไว้ให้พร้อมละกัน” ตรัสแล้วก็ผินพระพักตร์ออกนอกพระบัญชรอีกครั้ง สีตลธรจนด้วยถ้อย ไม่รู้จะรับสั่งอะไรได้อีก นอกจากยอมรับชะตากรรมที่กำลังจะมาถึงในอีกสองวัน


และเมื่อวาระแห่งชะตากรรมมาถึง ก็นำพาความทุกข์ทรมานใจอย่างแสนสาหัสมาด้วย ยิ่งได้เห็นริ้วขบวนทหารในชุดเครื่องแบบสีน้ำเงินเข้ม และรับรู้ว่าหนึ่งในนั้นคือบุรุษที่ทรงเกลียดชังเป็นที่สุด ก็แทบอยากจะหนีไปให้พ้นๆ ไม่มีสิ่งใดเลวร้ายกว่าการต้องเป็นรานีแห่งปาล แม้แต่ความตายก็อาจจะน่าพิสมัยกว่า

สีตลธรเฝ้าปลุกปลอบกำลังใจองค์เองให้เข้มแข็ง แต่ก็ไม่อาจทำใจละความรู้สึกเกลียดชังได้ ราวกับมันได้ฝังรากหยั่งลึกเข้าไปในจิตใต้สำนึก เหตุใดคนไม่เคยพูดคุยกันถึงได้จงเกลียดกันได้มากถึงเพียงนี้ ไม่แน่พระทัยนักว่าความเกลียดเริ่มขึ้นจากอะไรและเมื่อใด คำร่ำลือเรื่องความโหดร้ายของราชาแห่งปาลนั้นก็เป็นเหตุหนึ่ง แต่ก็เห็นว่าน่าจะเป็นปลายเหตุ ต้นเหตุน่าจะเป็นรับสั่งของพระคู่หมั้นในครั้งนั้นเสียมากกว่า แม้ว่าองค์เองจะยังทรงพระเยาว์ แต่ก็เข้าใจความหมายในทุกคำพูดได้เป็นอย่างดี

เพราะนางพระพี่เลี้ยงหลอกล่อให้เสด็จไปเฝ้าองค์รัชทายาทที่เสด็จพร้อมพระราชบิดากษัตริย์แห่งปาล เพื่อเยี่ยมพระอาการประชวรของพระราชมารดา โดยหลอกว่าพระคู่หมั้นจะมาเป็น ‘เพื่อนเล่น’ คนใหม่ สีตลธรจึงวิ่งเร็วรี่ตามประสาเด็กจนนางพี่เลี้ยงวิ่งตามแทบไม่ทัน ด้วยความตื่นเต้นยินดี เมื่อมาถึงพระตำหนักรับรองก็มองเห็นพระพี่นางทรงยืนสนทนาอยู่กับเด็กชายร่างสูง นึกสงสัยท่าทางพระพี่นางคงกำลังวางแผนหาเรื่องเล่นสนุก ก็ลอบส่งสัญญาณบอกนางข้าหลวงที้เฝ้าแหนอยู่ใกล้ๆ ให้เงียบเสียง อย่าได้เอะอะให้เจ้าพี่ตกใจ ทรงพระดำเนินแผ่วเบาไปหลบอยู่ใกล้ ได้ยินเสียงสนทนาเรื่องอะไรวุ่นวาย ราวกับทุ่มเถียงกันอยู่ แต่ที่จำได้ติดพระทัยก็คือ

“อย่าเอ่ยชื่อสีตลธรให้ได้ยินอีก ไม่อยากฟัง เราไม่ได้เต็มใจ เกลียดที่สุด”

พระหทัยดวงน้อยสลดวูบ เข้าพระทัยไปเองด้วยวัยหกชันษาว่า เพื่อนเล่นที่พระพี่เลี้ยงบอกให้มาหานั้น ไม่ได้อยากเล่นด้วยเสียหน่อย แถมยังตรัสเต็มปากเต็มคำว่า ‘เกลียด’ คนเกลียดกันจะเป็นเพื่อนเป็นสหายกันได้อย่างไร แม้จะเป็นเพียงพระดำริขององค์เองเมื่อยังทรงพระเยาว์ แต่ก็ถูกตอกย้ำให้เชื่อมั่นยิ่งขึ้น เมื่อทุกครั้งที่อัคนิรุทรเสด็จเยือนเขมรัฐ ไม่เคยมีครั้งใดที่โปรดให้พระคู่หมั้นเข้าเฝ้า ทรงแสดงออกอย่างชัดแจ้งว่า รังเกียจที่จะพบหน้าสนทนากับเจ้าฟ้าพระคู่หมั้น

ในเมื่อไม่ทรงเป็นที่ต้องการ ก็ไม่มีเหตุผลใดที่สีตลธรจะทรงนำมาปลอบองค์เองให้ยินดีกับการเป็น ‘ว่าที่รานีแห่งปาล’

สิ่งเดียวที่ไม่เคยเข้าพระทัยคือ ในเมื่อเจ้าเหนือหัวแห่งปาล ยิ่งใหญ่อำนาจล้นฟ้า ไม่มีพระประสงค์จะยอมรับการหมั้นหมายที่พระราชบิดาจัดการให้ เหตุใดจึงปล่อยให้เวลาล่วงเลยไม่จัดการอะไรสักอย่าง เมื่อใคร่ครวญพระดำรัสของพระพี่นางองค์อุษณกร ก็พอเข้าพระทัยว่าสาเหตุคงหนีไม่พ้นเรื่องผลประโยชน์อีกเป็นแน่ การผูกสัมพันธ์ระหว่างรัฐโดยผ่านการสมรสไม่ใช่เรื่องแปลก พระปิตุจฉาก็อภิเษกสมรสกับเจ้าเหนือหัวแห่งสิตาองค์ก่อน พระมาตุจฉายิ่งแล้วใหญ่ เสด็จไปเป็น ‘รานีที่สอง’ แห่งปาล เห็นทีปาลก็คงหวังประโยชน์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่งจากการสมรสครั้งนี้ ไม่เช่นนั้นคงไม่ด่วนเสด็จมาเร็วเพียงนี้

ยิ่งทรงใคร่ครวญไปมา ก็ยิ่งทรงปวดร้าวพระทัย เรื่องความรับผิดชอบต่อบ้านเมืองนั้นก็เข้าพระทัยดี เพราะทรงได้รับการอบรมสั่งสอนมาตั้งแต่จำความได้จากทั้งพระราชมารดาและพระราชบิดา เกิดมาในตระกูลสูง ความรับผิดชอบและความเสียสละก็ต้องสูงไปด้วย แต่ก็อดน้อยพระทัยในโชคชะตาตามประสาวัยแรกสาวไม่ได้

คิดถึงอิสระเสรีเมื่อหลุดพ้นออกจากเขตวังหลวง คิดถึงการได้มีชีวิตเป็นของตัวเอง ไม่ต้องมีหน้าที่ความรับผิดชอบ นึกอยากจะทำอะไรก็ทำได้อย่างที่ใจปรารถนา ยิ่งคิดถึงที่สุด คิดถึงบุรุษหนุ่มรูปงามที่ช่วยชีวิตไว้จากโจรป่า ป่านนี้เขาจะเป็นอย่างไรบ้าง คนของเจ้าพี่ฆ่าเขาหรือเปล่า แต่ถึงแม้เขาจะยังมีชีวิตอยู่ ก็คงไม่ต่างอะไรกับการตายจาก ชาตินี้คงไม่มีวันได้พบหน้ากันอีกแล้ว

นึกมาถึงตรงนี้ก็กันแสงออกมาเบาๆ อารมณ์รักวาบหวามอย่างสามัญชนช่างเกิดขึ้นง่ายดาย และจบลงอย่างรวดเร็ว ทุกถ้อยคำ ทุกสัมผัส ยังทรงจดจำได้ตรึงตรา วินาทีที่พันสร้อยพระศอประจำองค์ให้รอบข้อมือเขา จุมพิตฝากรักฝากหัวใจไว้กับพลอยประจำองค์ เขาจะซาบซึ้งบ้างไหม หรือหวังเพียงได้ฝากรอยกอดรอยจุมพิตแค่ชื่นใจ ยิ่งคิดก็ยิ่งละอายพระทัย ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขามีลูกเมียแล้วหรือยัง คนป่าหน้าตาสะสวยขนาดนั้น ไม่มีใครเลยก็คงแปลกประหลาด นึกตำหนิองค์เองที่ปล่อยตัวปล่อยใจไปจนเรียกหากลับมาไม่เจอ สุดท้ายก็ต้องมาทุกข์ทรมานใจอยู่เพียงลำพัง ไม่กล้าเปิดเผยเรื่องราวให้ใครฟังแม้แต่นางพระพี่เลี้ยงคนสนิท อุษณกรถามหาสร้อยพระศอ ก็ปดไปว่าทำหายในระหว่างทาง องค์ราชินีจึงรับสั่งให้ช่างทองหลวงทำเส้นใหม่ขึ้นมาโดยด่วน ให้ทันต้อนรับพระคู่หมั้น

เสียงเคาะบานพระทวารดังขึ้น ก่อนร่างพระพี่เลี้ยงจะเข้ามายอบกายนั่งลงข้างๆ สีตลธรยกพระหัตถ์ปาดพระอัสสุชลที่นองสองปรางเนียนอย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่อาจพ้นสายตานางพี่เลี้ยงคนสนิทที่สังเกตมาตั้งแต่แย้มบานประตู

“โถ...ทูลหัวทูลกระหม่อมของหม่อมฉัน” นางได้แต่กุมพระหัตถ์แผ่วเบาปลอบประโลม

“มีอะไรหรือ”

“องค์ราชินีให้หม่อมฉันมาตามไปรับเสด็จราชาอัคนิรุทรเพคะ” ตอบเสียงแผ่วเบา

“บอกเจ้าพี่ว่าเราไม่สบาย อยากพักผ่อน” สีตลธรผินพระพักตร์หนี

“เพคะ” นางพี่เลี้ยงผู้เข้าใจสถานการณ์ดีเอ่ยอย่างอ่อนโยน “ทำพระทัยให้เข้มแข็งไว้นะเพคะ”

“ขอบใจจ้ะ” สีตลธรรู้สึกขอบใจนางข้าหลวงคนสนิทจริงๆ คงมีเพียงนางเท่านั้นที่เข้าใจความชอกช้ำขมขื่นที่ประสบอยู่ในขณะนี้ ความซาบซึ้งทำให้น้ำพระเนตรไหลลงมาอีก พระพี่เลี้ยงคนสนิทเห็นแล้วก็อดไม่ได้ โอบรอบบั้นพระองค์อย่างสุดรักสุดสงสาร เมื่อเห็นร่างในอ้อมกอดนิ่งแล้วก็เอ่ยต่อ

“เห็นว่า ครั้งนี้จะประทับหลายวัน พรุ่งนี้เช้า พระคู่หมั้นก็คงร่วมโต๊ะเสวยด้วย”

“ก็ดี ถ้าอย่างนั้นเราจะได้หลบอยู่แต่ในห้อง ไม่ออกไปไหน”

“โธ่...ทำไมตรัสเช่นนั้นเพคะ ที่นี่บ้านเมืองเรา”

“ก็ฝึกเอาไว้ ไปอยู่โน่นจะได้ชิน”

“โธ่...ทูลกระหม่อม” นางพี่เลี้ยงได้แต่ร้องโธ่ซ้ำไปมา ด้วยสังเวชใจตัวเอง แต่ไม่รู้จะกล่าวอะไรได้ ที่เคยแอบยุให้ทรงหนี ก็โดนองค์ราชินีคาดโทษไว้ยังไม่ได้เอาความ เลยไม่กล้ายื่นปากไปหาคุกตารางอีก

“ออกไปเถอะ เราจะนอนแล้ว” ตรัสแล้วก็ทรงลุกเข้าส่วนที่กั้นไว้สำหรับพระแท่นบรรทม นางพี่เลี้ยงจึงต้องถอยออกไป เพื่อกราบทูลองค์อุษณกรตามที่พระน้องนางรับสั่ง ยังไม่รู้ว่าจะกริ้วขนาดไหน

แล้วก็ไม่ผิดคาด เมื่อองค์ราชินีตรัสสุรเสียงเข้มจัดบอกพระอารมณ์

“เอาแต่ใจใหญ่แล้วนะ สีตลธร เสียมารยาทจริง กลับไปบอกนายเจ้านะ ตอนเย็นจะมีงานเลี้ยงต้อนรับองค์อัคนิรุทร ถ้าไม่มาอีก เราจะไปตามเอง”

นางพระพี่เลี้ยงจึงต้องแจ้นกลับไปตำหนักเล็กอีกครั้ง เมื่อกราบทูลเรื่องงานเลี้ยง ก็ได้คำตอบเดิม

“ไม่ไป เราไม่ได้อยากต้อนรับพวกเขาเสียหน่อย”

“แต่...” นางพี่เลี้ยงอ้ำอึ้ง

“ก็บอกแล้วว่าไม่ไป บอกเจ้าพี่ว่าเราปวดหัวมาก เจ้าพี่จะให้เราลากสังขารตัวเองไปร่วมงานหรือไร”

“คือว่า...”

“เอ๊ะ! เดี๋ยวนี้คำพูดของเราไม่มีความหมายแล้วใช่ไหม บอกว่าไม่ไปก็ไม่ไป ออกไปได้แล้ว”

“เพคะ เพคะ มีอีกเรื่องที่องค์ราชินีให้กราบทูลเพคะ...”

“อะไรกันนักกันหนานะ”

“องค์ราชินีรับสั่งว่าถ้าไม่ทรงไปร่วมงานเลี้ยงต้อนรับ จะมาตามด้วยองค์เองเพคะ” สีตลธรทรงนิ่งขึงไปทันที แต่สายพระเนตรโกรธเกรี้ยวดูน่ากลัวนัก

“ก็ได้ ถ้าเจ้าพี่มีพระประสงค์ให้เราไล่แขก เราก็จะไป” น้ำเสียงราบเรียบเย็นชาจนน่าขนลุก พระพี่เลี้ยงคนสนิทไม่กล้าเอ่ยปากอะไรอีก รีบถอยตัวหนีออกจากห้องพระบรรทม อกใจหวั่นหวาด ดูพระอาการของทั้งสององค์แล้ว ค่ำนี้พี่น้องเห็นจะทะเลาะกันวังแตกกระมัง แต่พระคู่หมั้นผู้เป็นตัวปัญหาคงนั่งยิ้มลอยนวล เพราะพระทัยดำนั้นเป็นที่ประจักษ์มานานแล้ว


Create Date : 27 สิงหาคม 2553
Last Update : 27 กุมภาพันธ์ 2554 20:25:21 น. 2 comments
Counter : 440 Pageviews.

 
เจอหน้ากันจะเป็นยังงัยหน่า


โดย: sakeena IP: 124.122.154.84 วันที่: 29 สิงหาคม 2553 เวลา:11:20:59 น.  

 
ตัวหนังสือเล็กไปป่าวบัดดี้ ถึงจะอายุน้อย แต่ก็ยังต้องเพ่งจนปวดตานะเนี่ย


โดย: สายธาร (permanent stream ) วันที่: 29 สิงหาคม 2553 เวลา:15:32:48 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

sorwor
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ต้นเหตุแห่งการยินดีที่ได้รู้จักกันนั้น เริ่มที่เว็บฟอร์ไรท์เตอร์ดอทคอมจากการพูดคุย แลกเปลี่ยนความคิดเห็นทางงานเขียนนวนิยาย ทำให้พวกเรา สว. (สาวสวยสมวัย) เกิดความคิดที่จะรวมตัวกันจัดทำบล๊อกขึ้นมาเพื่อเผยแพร่งานที่พวกเราเขียนเอง งานที่พวกเราทำด้วยใจรักและรักเหลือเกิน อยากให้เพื่อนๆ ได้อ่านและอยากได้คำติชมจากเพื่อนๆ เพื่อเป็นกำลังใจและนำพัฒนาทางการเขียนต่อไป


ฝากข้อความถึง"สวยสมวัย"







ซัน
โรแมนติก-อบอุ่น
ราคา 220 บาท



น้ำชารสสตรอเบอร์รี่
รัก-โรแมนติก
ราคา 190 บาท



ปางเสน่หา
โดย น้ำดอกไม้ (บัดดี้)
สนพ.พลอยชมพู




งานเขียนใน “สวยสมวัย”
เป็นลิขสิทธิ์ของผู้เขียน
ได้รับความคุ้มครองตามกฏหมาย
ตาม พ.ร.บ. ลิขสิทธิ์ พ.ศ. ๒๕๓๗
...........................
คิดเอง เขียนเอง
และสร้างความภาคภูมิใจ
ให้กับตัวเองกันเถอะค่ะ


Friends' blogs
[Add sorwor's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.