หากใครมาบอกว่าตนบรรลุธรรม ก็อย่าเพิ่งปรามาสเขา และอย่าเพิ่งยินดีด้วย
. . . . ปกติจะมีศีลห้ามภิกษุบอกคุณวิเศษที่มีจริงแก่ฆราวาสอยู่แล้ว และภิกษุผู้ได้บรรลุธรรมจริง โดยเฉพาะถึงขั้นอรหันต์ ย่อมจะมีวิจารณญาณเองอยู่แล้วว่าการบอกนั้นได้ประโยชน์อะไร แม้จะเป็นภิกษุด้วยกันเองก็จะไม่ได้บอกกันง่ายๆ โดยพิจารณาไว้ซึ่งประโยชน์ในการบอก หากเราได้ยินข่าวจากทางไกลว่าพระรูปนั้นรูปนี้ได้ลุอรหันต์ ฆราวาสผู้รู้ธรรมวินัยอาจจะเสื่อมศรัทธาพระรูปนั้นไปบ้าง ที่มาบอกคุณวิเศษที่มีจริงอย่างงี้ แต่เรื่องทั้งหมดอาจจะเพราะภิกษุท่านนั้นไม่ได้บอกแก่ฆราวาสโดยตรง แต่บอกกับภิกษุด้วยกัน แล้วภิกษุท่านนี้นำไปบอกต่อฆราวาส หรือไม่ก็ภิกษุท่านนี้บวชตามประเพณี เมื่อสึกแล้วจึงนำความไปบอกชาวบ้านก็เป็นได้ ดังนั้น ขอให้ฆราวาสทั้งหลายเปลี่ยนจากความเสื่อมศรัทธาในภิกษุรูปนั้น มาเป็นการเสื่อมศรัทธาในข่าวลือแทนดีกว่า
. . . . ในที่นี้ยังรวมถึงอุบาสก-อุบาสิกาบางท่านที่อาจจะเป็นนักปฏิบัติหรือนักฟังธรรมที่อยู่ใกล้บวรพุทธศาสนา หากมีการมาประกาศตนว่าได้บรรลุธรรมอย่างงั้นอย่างงี้ มี โสดาบัน, สกทาคามี, อนาคามี(อยู่ในเพศฆราวาสได้ยาก), และอรหันต์(อยู่ในเพศฆราวาสไม่ได้ จะต้องบวช) เหล่านี้อย่างใดอย่างหนึ่ง หละก็
. . . . อย่าเพิ่งปรามาส เพราะหากเขาได้บรรลุจริงๆ การปรามาสเขาเราจะเป็นบาป การปรามาสก็อย่างเช่นว่า ท่านปฏิบัติแค่ไม่กี่วัน จะได้บรรลุธรรมได้อย่างไรกัน เราปฏิบัติมาเป็นปีๆยังไม่บรรลุเลย เป็นต้น โดยเฉพาะปรามาสว่า บ้า นี่ดูจะรุนแรงที่สุด กรรมจะส่งผลต่อผู้พูดอย่างไรคงจะพอเดาๆกันได้ ภาษิตว่าแข่งเรือแข่งพายนั้นแข่งได้ แต่แข่งบุญแข่งวาสนานั้นแข่งไม่ได้ เห็นจะใช้ได้ในกรณีนี้ด้วย เพราะในสมัยพุทธกาล บางท่านใช้เวลาฟังธรรมคืนเดียวก็บรรลุอรหันต์ เช่นพระยสะ แต่บางท่านแทบจะตลอดชีวิตการบวชกว่าจะได้บรรลุอรหันต์ เช่นพระอานนท์ เราต้องพิจารณาเป็นอย่างน้อยว่า ปรามาสแล้วเราได้อะไร เขาก็ไม่ใช่เรา ถ้าเขาได้จริงก็ดีแก่เขา ถ้าเขาไม่ได้จริงก็หลงผิดของเขาเอง ดังเรื่องที่พระพุทธองค์นำมาเทศน์ถึงวิบากกรรมของพระพุทธองค์เองหลายประการ ประการหนึ่งว่าในชาติหนึ่งพระองค์เคยปรามาสพระปัจเจกพุทธเจ้าไว้ทำนองว่า ท่านได้บรรลุพุทธธรรมได้อย่างไร ในเมื่อบรรลุได้ยากยิ่งนัก จากวจีกรรมอันนี้เป็นเหตุให้พระพุทธองค์ต้องมาเสวยวิบากกรรม ด้วยการหลงบำเพ็ญทุกข์กิริยาเป็นเวลาถึง 6 ปี กล่าวคือ ได้ทำในสิ่งที่ยากยิ่งเพื่อหวังบรรลุพุทธธรรม สมดังคำปรามาสนั้นเอง . . . . ดังนั้น เราก็ไม่ควรประมาทในอะไรๆเหล่านี้ เพราะกรรมเป็นของเรา เราจะทำหรือจะนิ่งเสียก็เป็นสิทธิของเราทั้งนั้น
แต่ในขณะเดียวกัน . . . . อย่าเพิ่งยินดีด้วย คือ อย่าเพิ่งสาธุด้วย เพราะเป็นเหตุแห่งความโง่เขลา เชื่อคนง่าย ไม่มีหลักกาลามสูตรเป็นที่ยึดเหนี่ยว เพราะบางทีเขาอาจจะไม่ได้บรรลุจริงๆก็ได้ ก็ในครั้งพุทธกาลนั้นเหมือนกัน ที่บางครั้งมีภิกษุมาบอกกันว่า ตนถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว ซึ่งหมายถึงบรรลุอรหันต์นั่นเอง พระพุทธได้ทรงประทานคำถาม เป็นเหมือนพระสูตรทดสอบความเป็นอรหันต์ให้แก่ภิกษุทั้งหลาย ให้ลองนำไปทดสอบภิกษุรูปนั้นดู ใครมีพระสูตรนั้นช่วยทำลิงค์ให้ด้วยน่ะครับ ซึ่งหากทดสอบด้วยคำถามเหล่านั้นแล้วพบว่าเขาได้บรรลุอรหันต์จริง ก็ทรงให้สาธุแก่ภิกษุนั้นเสีย เราจะเห็นว่าพระองค์ไม่ได้ทรงสอนให้สาธุหรือร่วมยินดีด้วยในทันที เพราะไม่ทรงสอนให้เชื่อคนง่ายนั่นเอง
. . . . เราซึ่งเป็นบัณฑิต เรามีสิทธิที่จะนิ่งเฉย ไม่ปรามาสไม่ยินดีด้วย ในสิ่งที่เรายังไม่แน่ใจ ผมว่าเรามีสิทธิ์พูดคำว่า "อ๋อ เหรอ" โดยไม่ผิดอะไรไม่เป็นวจีกรรมแต่อย่างใดครับ เพราะถือว่าเป็นการรับรู้แค่คำพูดของเขาเท่านั้น สนองตอบว่ามีเสียงจับความได้มากระทบหู แต่จะจริงหรือไม่ก็อีกเรื่องนึง และจะเสียเวลาพิสูจน์หรือไม่ก็อีกเรื่องนึง
ผมเชื่อว่า ศาสนานี้สอนให้เรา เพ่งดูตัวเอง มากกว่าเพ่งดูคนอื่น ครับ
Create Date : 17 พฤศจิกายน 2550 |
|
5 comments |
Last Update : 17 พฤศจิกายน 2550 19:20:53 น. |
Counter : 957 Pageviews. |
|
|
|