รายละเอียดของศีลข้อที่ 4 ห้ามพูดโกหก
กลับไปอ่านเรื่องของศีลข้อที่ 1 และทัศนคติของผมต่อการกินเนื้อสัตว์ กลับไปอ่านเรื่องของศีลข้อที่ 2 ห้ามลักขโมย กลับไปอ่านรายละเอียดของศีลข้อที่ 3 เรื่องกาเมสุมิจฉาจาร
ศีลข้อที่ 4 คือให้เว้นจากการพูดเท็จ พูดไม่เป็นความจริง โดยธรรมชาติมนุษย์รักความจริง ต้องการความจริง เมื่อมีการพูดมีการเจรจา ไม่มีใครอยากให้คนมาพูดเท็จกับตน ไม่มีใครอยากให้คนทั้งหลายมาพูดโกหกกับตนมาพูดเท็จกับตน
อย่างไรเรียกว่า มุสาวาท การพูดเท็จ ปราศจากความเป็นจริง ซึ่งประกอบด้วยองค์ 5 ประการ คือ 1. เรื่องไม่จริง (และรู้อยู่ว่าไม่จริง) 2. มีจิตคิดจะมุสา 3. ประกอบความเพียรเพื่อมุสา ไม่ว่าจะกล่าวเอง หรือใช้ให้ผู้อื่นกล่าวให้ก็ตาม 4. ผู้ฟังเชื่อตามได้สำเร็จ
เมื่อครบองค์ประกอบ 4 ประการนี้ศีลก็ขาดครับ ส่วนระดับความบาปก็เป็นเรื่องของระดับความเสียหายที่เกิดขึ้น ที่จงใจให้เสียหายมากขนาดนั้น
ในศีลข้อที่ 4 ให้เว้นจากการพูดเท็จ แม้จะหมายถึงวาจาโดยตรง แต่ก็มีสิ่งที่แทนคำพูดได้ เช่น - ทางกาย ที่แสดงกิริยาท่าทางแทนการพูดให้คนดูเข้าใจผิด - การเขียนหนังสือ เขียนจดหมายโกหก รายงานเท็จ - การทำเครื่องหมายให้คนดูหลงเชื่อ เข้าใจผิด - การทำหลักฐานปลอม - การบุ้ยใบ้ให้คนอื่นหลงเชื่อ เข้าใจผิด - การสั่นศีรษะ พยักหน้า การโบกมือแทนการพูด
โดยสรุปๆก็เป็นเรื่องของการสื่อสารครับ สื่ออย่างไรให้เลี้ยวจากความเป็นจริงก็ผิดครับ เรื่องของศีลบางครั้งก็ไปคาบเกี่ยวกันกับข้ออื่น เช่น กล่าวว่าข้างหน้าสะพานไม่ขาดทั้งที่จริงสะพานขาด เพราะหมายจะให้เขาตาย เมื่อเขาขับรถไปตกตายจริงๆศีลข้อ 1 ก็ขาด แต่ทั้งหมดนี้กำหนดที่เจตนา ถ้าเจตนาต้องการโกหก แม้จะไม่เปล่งเสียงออกมาก็ถือว่าผิดศีลทุกกรณี
พูดเท็จ 7 ประการ 1. พูดปด คือโกหกชัดๆ โกหกอย่างหน้าด้านๆ เช่น ไม่รู้ก็ว่ารู้ ไม่เห็นก็ว่าเห็น พูดก็ว่าไม่ได้พูด ทำก็ว่าไม่ได้ทำ เป็นต้น 2. สาบาน คือการยืนยันความบริสุทธิ์ด้วยการพูดเท็จเพื่อให้ผู้อื่นเชื่อถือ ยอมทนสาบานทั้งๆที่ตนเองกระทำทุจริต 3. ทำเล่ห์กระเท่ เช่น ตัวเองไม่ใช่คนยากจน แต่ทำตัวเป็นคนยากจน นุ่งผ้าขาดๆ เป็นคนอนาถา เพื่อให้คนอื่นเข้าใจผิดแล้วให้ทานแก่ตนเอง หรือร่างกายไม่พิการก็ทำตนเป็นคนพิการเพื่อให้คนอื่นเข้าใจผิด เป็นต้น 4. มายา คือการแสดงอาการหลอกลวง เช่น เจ็บเพียงเล็กน้อย แต่ร้องครวญครางเสียมากมายเป็นต้น (อย่างงี้พวกนักบอลก็ผิดศีลมุสากับเพียบเลยหนะสิ) 5. ทำเลศนัย คือหลบเลี่ยงให้คนฟังเข้าใจผิด เช่น มีคนถามว่าที่บ้านน้ำท่วมไหม ก็ตอบว่าที่นี่ไม่มีน้ำสักหยดที่บ้านจะท่วมได้อย่างไร แท้จริงที่บ้านน้ำท่วม หรือถามว่าปีนี้ข้าวที่นาดีไหม ก็ตอบแบบมีเสศนัยว่า ก็ข้าวมีเพลี้ยลงกันทั่วไปอย่างนี้ จะว่าข้าวดีได้อย่างไร แท้จริงข้าวดี ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าข้าวดีจึงพูดแบบมีเสศนัยให้คนฟังเข้าใจผิด 6. เพิ่มความ คือเรื่องมีนิดเดียวแต่เพิ่มเติมเสียจนเป็นเรื่องดูใหญ่โต เช่น เห็นงูตัวเล็กนิดเดียว ร้องตะโกนว่างูตัวใหญ่ๆ หรือไฟไหม้กระจุกหญ้านิดเดียว ร้องตะโกนว่าไฟไหม้ เป็นต้น 7. อำพราง เช่น เรื่องมีมูลมากปกปิดความบกพร่องว่าเรื่องนิดเดียว ปกปิดความไม่ดีว่ามีนิดเดียว
ข้อยกเว้นไม่มุสา คือคำพูดบางอย่าง ไม่ประสงค์จะให้ผู้ฟังเชื่อ ผู้พูดนั้นพูดไม่จริง พูดตามความเข้าใจของตน ไม่มีเจตนาจะพูดมุสา ซึ่งมีลักษณะต่างกัน ดังนี้ 1. สำนวน โวหาร เช่น กินข้าวกินปลากันมาแล้ว แท้จริงอาจกินข้าวกับอย่างอื่น หรือชมว่าผู้หญิงสวยอย่างนางฟ้า ผู้ชายดำอย่างตอตะโก ทั้งที่จริงไม่ขนาดนั้น ก็ไม่ถือว่าพูดปด 2. พูดด้วยความเข้าใจผิด พูดไปตามความเข้าใจของตน ไม่มีเจตนามุสา เช่นใครถามว่า วันนี้วันอะไร ก็ตอบไปว่าวันพุธ แท้จริงเป็นวันอังคาร เป็นต้น 3. พูดด้วยความพลั้งเผลอ หรือด้วยความตกใจ เช่น คนที่ตกใจง่าย จะพูดคำไม่จริงออกมาว่า เจ๊กตกน้ำ คุณพระช่วย หรือตาเถรช่วย เป็นต้น
การกล่าวมุสาวาทแล้วจะได้อะไร 1. อาจจะได้เกิดในนรก ในกำเนิดดิรัจฉาน ในเปรตวิสัย 2. ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์อีก จะเป็นคนพูดไม่ชัด, ฟันไม่เป็นระเบียบ, ปากเหม็นมาก, ไอตัวร้อนจัด, ตาไม่อยู่ในระดับปกติ, กล่าววาจาด้วยปลายลิ้นและปลายปาก, ท่าทางไม่สง่าผ่าเผย, จิตไม่เที่ยงคล้ายคนวิกลจริต
ถ้าไม่ผิดศีลมุสาวาทแล้วจะได้อะไร 1. อาจได้เกิดในกามสุคติภูมิ มีมนุษย์ หรือสวรรค์ 6 ชั้น 2. ถ้าได้เกิดเป็นมนุษย์อีก จะเป็นคนมีอินทรีย์ทั้ง 5 ผ่องใส, มีวาจาไพเราะอ่อนหวาน, มีฟันเสมอ ชิด ขาวสะอาด, ไม่อ้วนไม่ผอมจนเกินไป, ไม่สูงไม่เตี้ยจนเกินไป (สองประการหลังผมเชื่อว่าเกิดจากการไม่พูดขยายความให้มากเกินจริงหรือน้อยเกินจริง), กลิ่นปากหอมเหมือนดอกบัว, ได้สัมผัสแต่ที่เป็นสุข, มีบริวารล้วนแต่ที่ขยันขันแข็ง, มีถ้วยคำที่บุคคลเชื่อถือได้, ลิ้นบาง แดง อ่อน เหมือนกลีบดอกบัว, ใจไม่ฟุ้งซ่าน, ไม่เป็นอ่าง ไม่เป็นใบ้
ถ้าถามว่า โกหกด้วยเจตนาดีได้หรือไม่? ตอบคือ ไม่ได้ เพราะโกหกก็คือโกหกอยู่วันยังค่ำ การโกหกด้วยเจตนาดีอาจจะมีเรื่องราวชวนให้เกิดขึ้นดังในสมัยพุทธกาล มีพระนางท่านหนึ่งเป็นคนทำบุญไว้มาก ใครก็คิดว่าเมื่อตายแล้วจะต้องได้ไปเกิดในสวรรค์แน่นอน แต่ก่อนตายเธอได้นึกถึงกรรมไม่ดีเล็กน้อยของตนเองที่ซ่อนเร้นเอาไว้ ทำให้เธอไปเกิดในนรกเป็นเวลา 7 วัน ผู้เป็นกษัตริย์มีเจตนาจะเข้าทูลถามพระพุทธเจ้าว่า พระนางได้ไปเกิดที่ไหน พระพุทธองค์ย่อมไม่ทรงตรัสมุสาอยู่แล้ว และหากพระพุทธองค์ทรงตอบไปก็ต้องได้ทรงตอบว่าพระนางเกิดในนรกเป็นแน่ และจะทำให้กษัตริย์ท่านนี้มีความเห็นผิด เห็นว่าทำดีไม่ได้ดี เพราะเห็นว่าคนทำบุญมากไปเกิดในนรก พระพุทธองค์จึงทรงแก้ไขด้วยการไม่ให้กษัตริย์ท่านนี้เข้าเฝ้าเป็นเวลา 7 วัน เมื่อล่วง 7 วันไปแล้วพระนางหมดอายุไขในนรกตามกรรมส่วนน้อย และได้จุติใหม่ในสวรรค์ กษัตริย์ท่านนี้ได้เข้าเฝ้าถาม พระพุทธองค์จึงได้ทรงตอบว่าพระนางได้เกิดในสวรรค์แล้วในที่สุด
Create Date : 22 กันยายน 2551 |
|
5 comments |
Last Update : 23 กันยายน 2551 7:47:08 น. |
Counter : 12244 Pageviews. |
|
|
|
แต่เคยทำผิดไปแล้วค่ะ
มันจำเป้น