Group Blog
 
 
มีนาคม 2553
 
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
26 มีนาคม 2553
 
All Blogs
 
ชักเย่อกับอารมณ์

Plus Size Sun DressesSemi Formal Short DressesInfant Girl Easter DressesPillow Case Dresses2009 Prom DressesWhite Sun DressesGirl Special Occasion DressesJunior Easter DressesHoliday DressesPink DressesBeach DressesDiscount Wedding DressesCheap Plus Size DressesToddler Christmas DressesWestern Wedding DressesBlack Wedding DressesMaternity DressesFree Prom DressesPlus Size Cocktail DressesDesigner Evening DressesShort Homecoming DressesDesigner Wedding DressesLauren Conrad DressesPeasant Dresses2010 Prom DressesSexy Prom DressesAffordable Prom DressesWindsor Prom DressesCorset Wedding DressesUrban Prom DressesYellow Prom DressesLittle Black DressesMedieval Princess DressesJunior Summer DressesCeltic Wedding DressesPurple Prom DressesTropical DressesJunior Girls DressesMini DressesJessica Mcclintock Prom DressesGreen Prom DressesTango DressesJunior Bridesmaid DressesModest Formal DressesJones New York DressesCheap Evening DressesLace DressesLittle Girls Party DressesJovani Prom DressesCouture Dresses







ชักเย่อกับอารมณ์
โดย พระอาจารย์อังคาร อคฺคธมฺโม

“... ก็เพราะพวกเรางานยุ่ง เพราะพวกเรามันสมองดีเลิศจึงคิดแต่จะส่งจิตออกนอกจนเลยเขตเลยแดนนั่นแหล่ะ มันจึงทำให้พวกเราต่างคนต่างเครียด ซึ่งหากว่าไม่มีความยับยั้งชั่งใจแล้วล่ะก็ อย่างน้อยๆก็ทำให้ตัวเองหงุดหงิด มากกว่านั้นก็เกิดการกระทบกระทั่งกันระหว่างคนรอบข้างทั้งเพื่อนร่วมงาน เพื่อนบ้าน ผัวเมีย ญาติพี่น้อง หมูหมากาไก่ หรือแม้กระทั่งบางครั้งข้าวของเครื่องใช้ก็ยังพลอยโดนหางเลขเข้าไปด้วย... ที่พระพุทธเจ้าทรงบอกไว้ให้มาดูลมหายใจเข้า-ออกนั้นก็เพื่อจะให้พวกเราได้รู้จักกับตัวตนที่แท้จริงของพวกเรา ตัวที่จะนำสุขนำทุกข์มาสู่พวกเราทั้งชาตินี้และชาติหน้าตราบเท่าที่พวกเรายังมีความสำคัญมั่นหมายอยู่กับสรรพสิ่งนั่นแหล่ะ ... “ จิต” คำเดียวสั้นๆ มันคือ “ผู้รู้” มันเป็นนามธรรม มันเป็นธาตุรู้ มันจะต้องออกรู้จะให้มันอยู่เฉยๆ ลอยๆ ไม่ได้หรอกในเบื้องต้น เนื่องจากการรู้ของมันยังไม่มีวุฒิภาวะพอ เหมือนเด็กเล็กๆที่คอยสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับพ่อแม่นั่นแหล่ะ... เดี๋ยวก็เรื่องนั้นเดี๋ยวก็เรื่องนี้.. จนกว่าเขาจะเล่นจนเหนื่อยแล้วก็หลับไปเองนั่นล่ะ พ่อกับแม่ถึงจะพอได้หายใจ หายคอ โล่งสะดวกขึ้นบ้าง..ฉันใดก็ฉันนั้น..จิตก็เหมือนกันเราจึงต้องหาเครื่องอยู่หรือของเล่นให้มันเล่น อย่างเช่นให้มันรู้อยู่ หรือเล่นอยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก หรือเพิ่มคำบริกรรมเข้าไปด้วยก็ได้เช่น หายใจเข้าก็พุท หายใจออกก็โธ โดยอาศัย “สติ” คือความระลึกได้ “สัมปชัญญะ” ความรู้ตัวเป็นพ่อเป็นแม่ช่วยกันประคับประคองคอยกำกับ ดูแลลมหายใจมันกระทบที่ไหนชัดเจนก็ให้สติคือความระลึกได้กำหนดดูอยู่ที่นั่นมันจะแว้บหนีจากลมหายใจ จากคำบริกรรมไปเที่ยวที่ไหน ก็ให้สัมปชัญญะความรู้ตัว พยายามรู้ให้เท่าทันแล้วดึงมันมาแว้บไปก็ดึงมา...แว้บไปก็ดึงมา...ทำอยู่อย่างนั้นแหล่ะเหมือนเล่น“ชักเย่อ” กันเดี๋ยวก็พุท..โธ ..ๆๆ เดี๋ยวมันก็แว้บไป เรื่องการเรื่องงาน เรื่องบ้านเรื่องช่อง เรื่องรักเรื่องชัง เรื่องดีเรื่องชั่ว เดี๋ยวก็อดีตเดี๋ยวก็อนาคต เราก็พยายามดึงให้มันมาอยู่กับปัจจุบัน คือ หายใจเข้าก็พุท..หายใจออกก็โธ..เอาอยู่อย่างนี้แหล่ะ วันละ 5 นาที 10 นาที ก็ยังดีใครอินทรีย์แก่กล้ามีเวลามากก็ทำให้มาก เจริญให้มาก ทำจนจิตมันสงบเยือกเย็นจนเป็นสมาธิได้ ก็ยิ่งจะเป็นบุญเป็นกุศลอันมหาศาลแก่ตัวเอง แต่ถึงแม้นว่า มันยังไม่สงบลึกจนเป็นสมาธิอะไรก็ตามก็ไม่ต้องน้อยอกน้อยใจอะไร อันจะเป็นการไปเพิ่มความเครียดให้กับตัวเองเปล่าๆ ก็ต้องหัดคิดให้เป็นไปในทางบวกบ้างว่า..ช่างมันเถอะอย่างน้อยๆเราก็ไม่ได้ไปสร้างบาปสร้างเวรอะไรกับใคร อย่างน้อยมันจะต้องสงบอารมณ์บ้างล่ะ (ถือซะว่าได้เซฟสมองไว้ใช้งานในวันต่อไป) อย่างน้อยๆก็จะได้รู้ได้เห็นความเป็นไปของจิตบ้างล่ะ (เดี๋ยวก็โดดไปคว้าเรื่องนั้นจับเรื่องนี้อยู่ตลอดเวลา) หรืออย่างน้อยๆ ก็จะต้องรู้จักการยับยั้งชั่งใจ รู้จักการผิดหวังบ้างล่ะ (คือเคยคิดเคยปล่อยอารมณ์ตามสบายเรื่อยเฉื่อยตลอดมาแต่พอเวลานั่งภาวนากลับต้องถูกเบรคอารมณ์ ถูกเบรคความคิดไงล่ะ)


...โดยปกติคนเรานั้นจะชอบทำอะไรตามใจตัวเองอยู่แล้ว อยากคิดก็คิด อยากทำอะไรก็ทำ แต่ปานนั้นก็ยังบ่นว่าทุกข์ว่าไม่สบาย ว่าไม่ได้ดั่งใจเลย ในเมื่อมันเป็นเช่นนั้น พวกเราก็มาลองทำตามพระพุทธเจ้าดูบ้าง จากน้อยไปหามาก วันละ 5 นาที 10 นาที ก็ไม่น่าจะทำให้อะไรเสียหาย นอกจากกิเลสมันจะเสียความรู้สึกบ้างที่เราไปแข็งข้อกับมัน เพราะในขณะที่เราฝึกปฏิบัติจิตนั้น เราจะต้องฝืนความคิด ความเห็นเดิมๆของเราหมด อยากคิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ก็ไม่ให้ไปคิดไปปรุง ดึงให้มาอยู่กับลมหายใจนี่ซะ หายใจเข้าก็พุท หายใจออกก็โธ พุท..โธ..ๆๆ ..อยากจะลุกจะเดินจะนอนจะไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่อะไรต่างๆเหล่านี้ เราก็ต้องฝืนต้องใช้ขันติ ความอดทนอดกลั้นเอา มันไม่ตายหรอก ทำบ่อยๆทำให้มาก เจริญให้มาก สติสัมปชัญญะก็จะเข้มแข็งขึ้น จนรู้เท่าทันอาการของจิต จนกระทั่งสามารถควบคุมจิตได้ จิตใจก็จะเริ่มมีคุณภาพมากขึ้นเรื่อยๆ ตามกำลังแห่งสติปัญญา เวลามีเรื่องอะไรมากระทบกระทั่งก็จะได้รู้จักหยุดพิจารณา รู้จักยับยั้งชั่งใจ รู้จักคิดบวกลบคูณหาร ถึงผลที่จะตามมาภายหลังก่อน แล้วจึงค่อยตัดสินใจพูดหรือตัดสินใจทำลงไปในทุกๆเรื่อง ถ้าจิตของพวกเราพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ พวกเราก็จะรู้เองนั่นแหล่ะว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเที่ยงแท้แน่นอนหรอก ไม่มีอะไรที่จะสมบูรณ์แบบหรอก ไม่มีอะไรดีไปหมด ไม่มีอะไรชั่วไปหมดมันจะต้องคละเคล้ากันอยู่อย่างนี้ เราไม่สามารถไปกำหนดกฎเกณฑ์ให้ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นไปได้อย่างใจเราหวังหรอก พระพุทธเจ้าท่านจึงบอกให้พวกเรารู้จักทำใจไงล่ะ...ทำใจให้มันนิ่งๆซะบ้างเพื่อที่จะได้รู้ได้เห็นถึงความแปรปรวนต่างๆ ชัดเจนขึ้น จะได้เห็นโทษเห็นคุณของความแปรปรวนเปลี่ยนแปลงกับความนิ่งนั้นว่ามันทุกข์ มันสุขต่างกันอย่างไร ถึงที่สุดก็จะได้รู้จักกับการ..ปล่อยวาง..ตามกำลังแห่งสติปัญญา ศรัทธา ความเพียรของตัวเอง .. ปล่อยวางมากก็สุขมากทุกข์น้อย....ปล่อยวางน้อยก็สุขน้อยทุกข์มาก..ทำเอาเองทั้งนั้นแหล่ะ...เอวัง...”





Create Date : 26 มีนาคม 2553
Last Update : 26 มีนาคม 2553 13:38:37 น. 0 comments
Counter : 220 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

somkitjar
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




Friends' blogs
[Add somkitjar's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.