ตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้า โดยให้คุณสามีดูแลลิลลี่ แล้วเราบรรดาสาวๆจะไป shopping กัน พอไปถึงชายแดนปุ๊บ....ดู visa เราปั๊บ where is your US visa? เอิ่ม (ตัวหดเหลือนิดเดียว)...ก็.....ก็.....คิดว่าใช้ visa canada แล้วเข้า US ได้ด้วย.....(รู้สึกตัวเองเป็นกะเหรี่ยงแอบพยายามหนีเข้าเมืองไงไม่รู้) แล้วเจ้าหน้าที่ของอเมริกาหน้าโหดมาก เห็นเราพูดตะกุกตะกัก (ด้วยความกลัว) ก็คิดว่าเราพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ หนำซ้ำยังคิดว่าเราเป็นคนจีน หรือเวียดนาม หรือ อะไรก็แล้วแต่ที่หัวดำๆ (เค้าคงคิดว่าพวกคนเอเชียมันก็เครือเดียวๆกันหมด) พยายามจะหลบหนีเข้าเมืองเค้าหรือป่าว
ผลคือ เราใช้เวลาอยู่ในด่านกักคนเข้าเมืองร่วม 1 ชั่วโมง ต้องสแกนลายนิ้วมือต่างๆนานา ระหว่างที่รอนั้นก็ใจเสีย กลัวว่าจะทำประวัติคุณแม่กับน้องสาวสามีเสียหรือเปล่า เพราะเค้าข้ามมาซื้อของที่อเมริกาบ่อยๆ กลัวว่าเดี๋ยวเค้าโดน black list ไรงี้ ฐานพยายามลักลอบคนเอเชียหัวดำข้ามชาติ (วิตกจริตไปโน่น)
สรุปคือเค้าก็ปล่อยตัวพวกเรากลับแคนาดา โดยเรามีประวัติในฐานข้อมูลเค้าว่าเคยเข้า US มาโดยไม่มี tourist visa ส่วนคุณแม่กับน้องสาวไม่ได้โดนลง record แต่อย่างใด....ฟิ้ว....โล่งไปที แต่จิตวิญญาณนักช้อปของสาวๆก็ไม่ได้ลดน้อยลงแต่อย่างใด พวกเราเลยวกกลับมาช้อปใน Vancouver กัน แต่จริงๆแล้วก็เหมือนเวลาช้อปที่ห้างบ้านเราน่ะแหล่ะ เค้าก็เป็นช่วงลด 70% ประมาณนี้อยู่ แต่ที่น่าขำคือ เสื้อผ้าไซส์ฝรั่งนี่เล็กสุดของเค้า เราก็ยังใส่ไม่ได้อ่ะ แต่เราพบวิธีใหม่ คือ ช้อปใน kid section เราสามารถใส่ไซส์เด็กอายุ 9-12 ของเค้าได้พอดีเป๊ะ ดังนั้นเวลาเราเข้าร้านเสื้อผ้า เช่น Zara, Gap เราจะตรงดิ่งไปยัง kid zone ทันที ซึ่งเป็นเรื่องที่พวกเค้าแซวเราจนถึงทุกวันนี้ค่ะ :-)
แล้วมีน้ำใจห่วง ญาติสามีอีก นี่แหลาะ น้ำใจของคนไทย
นึกถึง คำว่า เกรงใจ ภาษาอังกฤษ เขียนว่าอย่างไร
เป็นกำลัง ให้เขียน เรื่อง ต่อไปนะคะ