Group Blog
 
<<
สิงหาคม 2553
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
28 สิงหาคม 2553
 
All Blogs
 
ทำงานอย่างปล่อยวาง โดย พระไพศาล วิสาโล

7 สิงหาคม 2552

*งานนั้นเป็นมากกว่าอาชีพ หรือบันไดไต่เต้าสู่สถานภาพที่สูงขึ้น หากยังสามารถเป็นเครื่องมือพัฒนาตนและบำรุงใจให้เจริญงอกงามได้ด้วย

ท่านอาจารย์พุทธทาสจึงได้ย้ำว่า “การทำงานคือการปฏิบัติธรรม”

บทที่แล้วได้พูดถึงคุณประโยชน์ของงานว่าสามารถส่งเสริมมโนธรรมของเราให้เข้มแข็งขึ้น

ช่วยลดละความเห็นแก่ตัว ด้วยการคำนึงถึงประโยชน์ของผู้อื่น ทำให้ปล่อยวางจากความยึดติดถือมั่นในตัวตนได้ง่ายขึ้น

การยึดติดถือมั่นในตัวตนเป็นที่มาแห่งความทุกข์ทั้งปวงของมนุษย์ก็ว่าได้ อะไร ไม่ทำให้เราทุกข์มากเท่ากับการสูญเสียพลัดพรากจากสิ่งที่เป็น “ตัวกู ของกู”เลย ใช่แต่เท่านั้นแม้จะได้อะไรมาสักอย่าง (เช่น เงินทอง ตำแหน่ง ชื่อเสียง) แต่หากรู้สึกว่า “ของกู” น้อยกว่า “ของแก” เท่านี้ก็เป็นทุกข์แล้ว ด้วยเหตุนี้เศรษฐีร้อยล้านพันล้านจึงไม่เคยมีความสุขหรือหยุดหาเงินเลย เพราะรู้สึกเสมอว่า “กู”ยังมีไม่พอ

อัตตา หรือตัวตนนั้นพร้อมจะยึดทุกอย่างมาเป็น “ตัวกู ของกู”อยู่เสมอ รวมทั้ง “งานของกู” ด้วย ความยึดติดดังกล่าวแม้จะมีข้อดีตรงที่ทำให้เรารู้สึกเป็นเจ้าของงาน ดังนั้นจึงมีแนวโน้มจะทุ่มเทให้กับงานอย่างแข็งขัน แต่ในอีกด้านหนึ่งมันก็กดดันให้เราทำงานอย่างมีความทุกข์ เวลามีใครมาวิจารณ์งานที่เราทำ ความรู้สึกที่เกิดขึ้นก็คือ ไม่เพียง “งานของกู”เท่านั้นที่ถูกวิจารณ์ แต่ยังรู้สึกเลยไปถึงว่า “ตัวกู”ก็ถูกวิจารณ์ด้วย ปฏิกิริยาที่ตามมาคือตอบโต้กลับด้วยถ้อยคำที่แข็งกร้าวหรือรุนแรง ซึ่งทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ร้าวฉาน

งานจึงเป็นที่มาแห่งการกระทบกระทั่งกันได้ง่าย แต่ในเวลาเดียวกันสำหรับผู้มีปัญญา นี้เป็นโอกาสดีที่จะได้ฝึกใจให้รู้จักละวางอัตตา เช่น แทนที่จะจดจ่อกับความรู้สึกว่า “ฉันถูกวิจารณ์” ก็หันมาใส่ใจกับคำวิจารณ์ดังกล่าวว่า “ที่เขาพูดนั้นถูกไหม ? “ การวางใจอย่างหลังนี้นอกจากจะไม่ทำให้เราทุกข์แล้ว ยังทำให้เราได้ประโยชน์จากคำวิจารณ์นั้นด้วย ท่าทีอย่างนี้เรียกว่าท่าทีแห่งปัญญา ซึ่งต้องอาศัยสติเข้ามาเป็นตัวนำทาง ส่วนใหญ่ที่ทุกข์กับคำวิจารณ์ก็เพราะ สติทำงานไม่ทัน จึงเกิด “ตัวกู”ออกมารับคำวิจารณ์เต็ม ๆ ผลก็คือเกิดความฉุนเฉียวทุรนทุรายตามมา อย่างไรก็ตามถึงแม้ความฉุนเฉียวเกิดขึ้นแล้ว ก็ยังไม่สายที่สติจะเข้ามาตามรู้ หากสติตามทัน จิตก็จะหลุดหรือปล่อยวางจากความฉุนเฉียวได้ ทำให้ปัญญาเกิดขึ้นตามมา และหันมาใคร่ครวญคำวิจารณ์นั้นว่ามีประโยชน์มากน้อยเพียงใด

นักทำหนังโฆษณามือทองคนหนึ่งของไทยเล่าว่า บ่อยครั้งที่ผลงานของเขาถูกวิจารณ์โดยคณะกรรมการเซ็นเซอร์ของรัฐ และไม่ยอมให้ออกฉายทางโทรทัศน์ ความรู้สึกอย่างแรกที่เกิดขึ้นกับเขาคือ โกรธ แต่หลังจากนั้นเขาก็จะนำความเห็นของคณะกรรมการดังกล่าวมาพิจารณา และมักจะมีความคิดดี ๆ เกิดขึ้นตามมา เมื่อนำผลงานดังกล่าวไปปรับแก้ก็จะได้ผลงานที่ดีขึ้น ผลงานที่สร้างชื่อให้แก่เขาหลายชิ้นเกิดจากการปรับแก้ดังกล่าว เขาจึงพูดว่า “กรรมการมีหน้าที่วิจารณ์ ส่วนเรามีหน้าที่โกรธ” แต่เขาก็ทิ้งท้ายว่า อย่าโกรธนาน ต้องนำคำวิจารณ์นั้นมาพิจารณาด้วย

ถ้าจะให้ดี เมื่อทำงานใดก็ตามควรปล่อยวางจากความยึดมั่นว่างานนั้นเป็น “ของเรา” เพราะในความเป็นจริงงานนั้นก็มิใช่ของเรา มันมิได้อยู่ในอำนาจที่เราจะบังคับบัญชาได้ เคยไหมที่งานไม่เป็นไปดังใจเรา นั่นก็เพราะงานนั้นไม่ใช่ของเรา ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเราคนเดียว แต่ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยมากมาย รวมทั้งเพื่อนร่วมงาน และผู้คนแวดล้อม ตลอดจนดินฟ้าอากาศและสถานการณ์บ้านเมือง ท่าทีเช่นนี้นอกจากจะช่วยให้เราเปิดกว้างรับความช่วยเหลือจากคนอื่น ไม่คิดหวงแหนไว้กับเราคนเดียวแล้ว ยังเอื้อให้เราทำงานร่วมมือกับคนอื่นได้อย่างเป็นสุข ไม่หมายมั่นจะแข่งขันกับใคร

ทุกวันนี้มีการแข่งขันถึงขั้นชิงดีชิงเด่นกันมาก แม้อยู่ในหน่วยงานเดียวกัน แต่หากต่างกรมกองหรือแผนก ก็ยากจะร่วมมือกัน ทั้งนี้ก็เพราะความยึดมันถือมั่นว่า “งานของกู” รวมถึงความยึดมั่นว่า “กรม-กอง-แผนกของกู” ผู้คนจึงทนไม่ได้ที่จะเห็นกรมกองหรือแผนกอื่นทำงานรุดหน้าหรือประสบความ สำเร็จ ทั้ง ๆ ที่ความสำเร็จของกรมกองหรือแผนกเหล่านั้นหมายถึงประโยชน์สุขของประเทศชาติ และความผาสุกของประชาชน ซึ่งก็คือความปรารถนาของเรามิใช่หรือ

นอกจากการปล่อยวางจากความยึดมั่นว่า “งานของเรา”แล้ว เราควรฝึกใจให้ปล่อยวางจากความยึดมั่นในผลของงานด้วย เริ่มตั้งแต่ขณะที่ทำงาน แทนที่จะจดจ่อกับความสำเร็จที่ยังมาไม่ถึง เราควรจะใส่ใจอยู่กับงานที่ทำอยู่เบื้องหน้า การวางใจแบบนี้จะช่วยให้เราทำงานได้อย่างมีความสุข เพราะไม่ต้องกังวลว่าเมื่อไรจะเสร็จ..... เสร็จแล้วจะมีคนชมหรือไม่..ถ้ามีคนตำหนิเราจะรู้สึกอย่างไร ฯลฯ

นอกจากนั้นการใส่ใจกับงานที่ทำเฉพาะหน้า ยังทำให้เรามีสมาธิได้ง่าย เวลาจะผ่านไปอย่างรวดเร็ว ในทางตรงกันข้าม ยิ่งอยากให้งานเสร็จไว ๆ เรากลับจะยิ่งรู้สึกว่างานเสร็จช้ามาก

พึงระลึกว่าผลสำเร็จนั้นไม่ อยู่ในอำนาจของเรา แต่ขึ้นอยู่กับเหตุปัจจัยต่าง ๆ มากมาย สิ่งเดียวที่เราพอจะคุมได้ก็คือการกระทำของเราเอง ถ้าเราอยากให้งานสำเร็จ เราต้องทำให้ดีที่สุด แต่แม้จะทำดีที่สุด ก็ใช่ว่าจะสำเร็จได้ดังใจ จึงมีภาษิตจีนกล่าวว่า “การกระทำเป็นของมนุษย์ ความสำเร็จเป็นของฟ้า” พูดอย่างพุทธก็คือ เรามีหน้าที่ประกอบเหตุ ส่วนผลนั้นเป็นเรื่องของกฎธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้เวลาเราทำงาน จึงควรทำให้ดีที่สุด ปล่อยให้ผลสำเร็จเป็นเรื่องของธรรมชาติไป

ท่านอาจารย์พุทธทาสจึงแนะว่าให้เรา “ยกผลงานให้เป็นของความว่าง” ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร ก็อย่าไปยึดว่ามันเป็นของเรา ถ้าเป็นความสำเร็จ ก็มิใช่ความสำเร็จของเรา หากเรายึดมั่นว่าเป็นความสำเร็จของเรา อัตตาก็จะพองโต เกิดความหลงใหลได้ปลื้ม หรือหลงตัวลืมตนได้ง่าย จนเกิดความสำคัญมั่นหมายว่า “กูแน่” ใครที่เคยอยู่ใกล้กับคนที่มีความคิดเช่นนี้ ย่อมรู้ได้เองว่าคนอย่างนี้น่ารักและน่าคบหรือไม่

ในทำนองเดียวกัน หากผลออกมาเป็นความล้มเหลว ก็ไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นความล้มเหลวของเรา มันเป็นแค่ความล้มเหลวของงานเท่านั้น แต่เราไม่ได้ล้มเหลวด้วย จึงไม่ได้ทุกข์ท้อหรือหดหู่ ขณะเดียวกัน เมื่อไม่ยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นความล้มเหลวของเรา ใครจะวิจารณ์ผลงานเหล่านั้น เราก็ไม่ทุกข์ แต่พร้อมจะรับฟังเพื่อนำไปปรับปรุงแก้ไขในครั้งต่อไป

ความสำเร็จนั้น มักตามมาด้วยรางวัล เช่น คำสรรเสริญ ชื่อเสียง ตำแหน่ง หรือ ยศ ทรัพย์ ส่วนความล้มเหลวนั้นมักตามมาด้วยสิ่งที่ตรงกันข้าม ผู้ที่ติดยึดกับความสำเร็จ ย่อมหลงใหลในรางวัลดังกล่าวได้ง่าย แต่หากปล่อยใจให้หลงใหลกับมันแล้ว แน่ใจได้อย่างไรว่าจะพึงพอใจกับสิ่งที่ได้มาเกือบทั้งหมดย่อมอยากได้อีก หากไม่ได้ก็เป็นทุกข์

ใช่แต่เท่านั้น ของเดิมที่ได้มา แน่ใจได้อย่างไรว่าจะอยู่กับเราไปตลอด เมื่อใดที่มันเสื่อมสลายไป หรือถูกพรากไปจากเรา เราก็เป็นทุกข์สถานเดียว ทั้งนี้ยังไม่ต้องพูดถึงความรู้สึกของเราเมื่อรู้ว่าคนอื่นได้มากกว่าเรา (เช่นมีชื่อเสียงเด่นดังกว่าเรา ได้เลื่อนขั้นมากกว่าเรา) หรือเมื่อพบว่ามีบางคนที่จะมาช่วงชิงสิ่งนั้นไปจากเรา คนที่รู้สึกว่าตัวเองเก่ง เพียงแค่ได้เจอคนอื่นที่เก่งกว่า หรือรู้ว่ามีคนที่กำลังจะเก่งเท่าเรา เท่านี้จิตใจก็หวั่นไหวแล้ว

ด้วยเหตุนี้ถ้าไม่อยากทุกข์ก็ควรรู้จักปล่อยวางสิ่งเหล่านี้ (ซึ่งพุทธศาสนาเรียกว่า “โลกธรรม”) หมายความว่าเมื่อจะทำงานก็ไม่ได้เอาสิ่งเหล่านี้เป็นจุดมุ่งหมาย และขณะที่ทำก็ไม่ได้ใส่ใจหรือกังวลกับสิ่งเหล่านี้ และเมื่อทำเสร็จ แม้จะได้สิ่งเหล่านี้มา ก็ไม่หลงใหลได้ปลื้ม เพราะรู้ดีว่าสิ่งเหล่านี้ไม่เที่ยง เจือไปด้วยทุกข์ และไม่ใช่ของเราจริง ๆ มันเป็นแค่สิ่งที่คนอื่นหยิบยื่นให้ อะไรก็ตามที่ถูกหยิบยื่นให้แก่เรา ย่อมถูกดึงกลับไปได้ทุกเมื่อ

เมื่อไม่หวังหรือยึดมั่นกับชื่อเสียง เกียรติยศหรือรางวัลใด ๆ เราย่อมไม่กลัวความล้มเหลว ความคิดว่า “ถ้าทำแล้วไม่สำเร็จจะทำไปทำไม?” จะไม่มีอยู่ในหัวเลย แต่จะทำงานชิ้นใดก็เพราะเห็นว่ามันมีประโยชน์หรือเป็นสิ่งถูกต้อง แม้โอกาสสำเร็จจะมีน้อยก็ยังทำ และหากทำเต็มที่แล้วประสบความล้มเหลว ก็ไม่มัวคร่ำครวญเสียใจหรือโทษคนอื่น แต่จะใคร่ครวญว่าเกิดความผิดพลาดที่ตรงไหน หากเกิดจากตนเอง ก็พร้อมปรับปรุงแก้ไข

เมื่อไม่กลัวความล้มเหลวหรือชื่อเสียง เกียรติยศและคำสรรเสริญ ก็ไม่กลัวคำวิจารณ์ แต่จะน้อมรับคำวิจารณ์ และหาประโยชน์จากคำวิจารณ์นั้น ทั้งที่เป็นประโยชน์ต่องาน และที่เป็นประโยชน์ในแง่การลดละตัวตน ในทำนองเดียวกันอุปสรรคก็มิใช่สิ่งน่ากลัว ตรงกันข้ามมันกลับเป็นแบบฝึกหัดให้ฉลาดและเข้มแข็ง รวมทั้งกระตุ้นให้เกิดทางออกหรือนวัตกรรมใหม่ ๆ ได้ด้วย

ถึงขั้นนี้แล้วความเห็นต่างหรือความขัดแย้งทางความคิดก็มิใช่ปัญหาอีกต่อไป ใช่หรือไม่ว่าเราไม่ชอบฟังความเห็นต่าง (อาจรวมไปถึงไม่ชอบคนที่เห็นต่างจากเรา) ก็เพราะความยึดมั่นถือมั่นในความคิดของเราว่า “ถูกต้องที่สุด” หรือ “ดีที่สุด” รวมไปถึงความยึดมั่นในตัวเราว่าเหนือกว่าหรือเก่งกว่าคนอื่น รวมทั้งยึดมั่นใน “หน้าตา”ด้วย (ความยึดมั่นอย่างแรกคือ “ทิฏฐิ” อย่างหลังคือ “มานะ”) ทั้งหมดนี้เป็นเพราะมีอัตตาชักใยอยู่เบื้องหลัง อัตตานั้นทนไม่ได้ที่จะเห็นใครเก่งกว่า ดีกว่า รวยกว่า หรือเหนือกว่า แต่หากเรารู้เท่าทันธรรมชาติของอัตตา และฝึกฝนจิตใจให้ปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นใน “ตัวกู ของกู” อยู่เสมอ ทิฏฐิมานะก็จะเบาบาง เปิดช่องให้ปัญญาเข้ามาแทนที่ ดังนั้นจึงพร้อมที่จะรับฟังความเห็นต่าง อย่างน้อยก็ตระหนักดีว่า ความคิดของเราอาจมีข้อจำกัด ในเมื่อมุ่งประโยชน์ของงานหรือประโยชน์สุขของส่วนรวมเป็นสำคัญ ก็พร้อมจะปรับปรุงแก้ไข เพื่อให้งานนั้นก่อประโยชน์แก่ส่วนรวมได้มากที่สุด

การทำงานอย่างนี้แหละที่ท่านอาจารย์พุทธทาสเรียกว่า “ทำงานด้วยจิตว่าง” คือว่างจากกิเลสหรือว่างจาก “ตัวกู ของกู” ว่างอย่างนี้ไม่ทำให้วางเฉยหรืองอมืองอเท้า แต่ทำให้ทำงานได้อย่างเต็มที่ ไม่เฉื่อยเนือยเพราะขี้เกียจ หรือเฉไฉไปตามอารมณ์ ทำให้งานเป็นไปตามวัตถุประสงค์ที่ดีงามหรือมุ่งตรงเพื่อความถูกต้อง ไม่แปรเปลี่ยนเป็นเครื่องมือสนองกิเลสหรืออัตตา ขณะเดียวกันก็ทำให้งานนั้นกลายเป็นเครื่องพัฒนาจิตและลดละอัตตาไปด้วยในตัว

Credit : ฟอร์เวิร์ดเมล

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์

H O M E



Create Date : 28 สิงหาคม 2553
Last Update : 28 สิงหาคม 2553 13:02:17 น. 1 comments
Counter : 867 Pageviews.

 
ขอบคุณคะ ต่อไปนี้จะทำงานด้วยจิตว่าง


โดย: momoiloveu วันที่: 28 สิงหาคม 2553 เวลา:18:21:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.