Group Blog
 
<<
พฤศจิกายน 2552
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
2930 
 
9 พฤศจิกายน 2552
 
All Blogs
 
ปาฏิหารย์แห่งการสวดมนต์


โดย สมชาย สมานวงศ์


*ปัจจุบันนี้ ชาวพุทธส่วนใหญ่นิยมสวดมนต์ทั้งที่บ้าน ที่วัด ที่โรงเรียน ที่ทำงาน และในรถ บางคนมีศรัทธาช่วยกันเป็นเจ้าภาพจัดพิมพ์หนังสือสวดมนต์แจกตามที่ต่างๆ เพราะมีประสบการณ์และพบปาฏิหาริย์ทางใจจากการสวดมนต์เป็นประจำ

หากใครได้เคยไปนมัสการสังเวชนียสถาน 4 ตำบล ที่อินเดีย โดยเฉพาะที่พุทธคยา อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ของพระพุทธเจ้า จะเห็นภาพของชาวพุทธทั้งชาวธิเบต อินเดีย ไทย จีน ญี่ปุ่น หรือแม้แต่ชาวตะวันตกพากันสวดมนต์ด้วยภาษาของตน ดังกึกก้องไปทั่วบริเวณ

แม้ว่าจะสวดคนละภาษาก็จริง ถึงอย่างนั้นเสียงก็ดังกังวานไปทั่ว

แต่เชื่อหรือไม่ว่า ไม่มีใครบ่นว่าหนวกหู หรือเกิดความไม่พอใจจากเสียงรบกวนกัน แต่ละคณะเมื่อมาถึงก็สวดด้วยภาษาของตน เป็นเสียงที่เปล่งออกมาจากพลังแห่งความศรัทธา เป็นเสียงที่มีพลังความศักดิ์สิทธิ์ ทำให้เกิดปีติขนลุกโดยไม่รู้ตัว ทำให้เกิดบรรยากาศอันอิ่มบุญและสุขใจอย่างบอกไม่ถูก

หรือแม้ขณะกำลังนั่งรถเดินทางไปทัศนศึกษาสถานที่สำคัญ ชาวพุทธก็นิยมสวดมนต์ในรถไปด้วย เพื่อเป็นพุทธานุสสติในการไปเยือนถิ่นอินเดีย ซึ่งเป็นดินแดนพุทธภูมิ ที่สำคัญคือ เพื่อความปลอดภัยในการเดินทางด้วย

     การ "สวด " เป็นกิริยาการท่องที่เป็นทำนองเป็นจังหวะ ส่วน "มนต์" คือคำสอนของพระพุทธเจ้า การสวดมนต์จึงเป็นการสรรเสริญคุณ และทบทวนคำสอนของพระพุทธเจ้า ซึ่งแน่นอนว่าย่อมได้ความสบายใจเกิดขึ้นด้วย

ในขณะกำลังสวดมนต์เราก็น้อมใจตามบทสวด พิจารณาความหมาย เข้าใจธรรมะในบทสวด ใจย่อมเกิดความปีติปราโมทย์ เมื่อใจเกิดปีติแล้ว กายย่อมสงบ ผู้มีกายสงบย่อมเกิดความสุข เมื่อมีความสุขทางใจ จิตย่อมตั้งมั่นเป็นสมาธิ เป็นหนทางแห่งการหลุดพ้น อาสวะกิเลสที่ยังไม่สิ้นย่อมถึงความสิ้นไป ย่อมได้บรรลุธรรมอันวิเศษที่ยังไม่ได้บรรลุ เป็นหนทางความหลุดพ้น

ดังที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ในวิมุตติสูตรว่า การฟังธรรม, การแสดงธรรม, การสวดสาธยายมนต์, การตรึกตรองใคร่ครวญธรรม และสมาธิภาวนา ธรรมทั้ง 5 ประการนี้ เป็นสาเหตุแห่งความหลุดพ้น

การสวดหรือการสาธยายด้วยวาจา ย่อมเป็นปัจจัยแห่งการสาธยายด้วยใจ คือทำให้จำได้ชำนาญ คล่องปาก การสาธยายด้วยใจย่อมเป็นปัจจัยแห่งการแทงตลอด

การสวดมนต์ภาวนา เป็นการเจริญอานาปานสติควบคู่ไปด้วย เป็นการฝึกลมหายใจให้ยาวและลึก ช่วยให้ได้รับพลัง หรือออกซิเจนเวลาหายใจเข้า ขณะที่สวดเปล่งเสียงออก เป็นการขจัดคาร์บอนไดออกไซด์ หรือมลพิษออกจากตัว ยิ่งสวดได้นานและเป็นจังหวะเท่าไหร่ ก็ยิ่งสามารถขับมลพิษออกไปได้มากเท่านั้น เรียกว่า เป็นการออกกำลังภายใน และช่วยให้จิตใจแน่วแน่มั่นคง มีความสงบสุข

จึงมีคำกล่าวว่า "สวดมนต์เป็นยาทา" คือทาแล้วก็ทะลุถึงใจเลยทีเดียว "ภาวนาเป็นยากิน" หมายถึง การทำสมาธิอย่างต่อเนื่อง ซึ่งทำให้ใจสะอาดบริสุทธิ์ หยุดนิ่ง เป็นอาหารใจที่ดีที่สุด ดีกว่าการสวดมนต์ เพราะเมื่อใจสงบ หยุดนิ่ง ก็เกิดการเห็นและเข้าใจธรรมะได้ลึกซึ้ง เปรียบเสมือน "ยากิน" ซึ่งสามารถแก้ปวดได้ดีกว่ายาทา

อย่างไรก็ตาม ทั้งการสวดมนต์และการเจริญภาวนา ก็ควรทำทั้งสองอย่าง และควรทำเป็นประจำทุกวัน เหมือนการรับประทานอาหาร อย่างน้อยก็ 1 ครั้งก่อนเข้านอน เพราะจะได้หลับไปด้วยใจอันสงบ ตื่นขึ้นมาก็จะรู้สึกสดชื่น สบายใจ มีความคิดปลอดโปร่ง เบิกบานใจ

อนึ่ง การสวดมนต์ย่อมเป็นการฝึกให้เราพูดแต่ความดี เมื่อเราสวดสรรเสริญคุณพระรัตนตรัย ย่อมเป็นการพูดแต่ความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อเราทำเป็นประจำ เราเองก็จะได้รับแต่สิ่งดีๆ มาอยู่ในใจ เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต

     ก่อนสวดมนต์ที่บ้าน ที่วัด ที่โรงเรียน หรือที่ทำงาน หรือว่าในการเจริญพระพุทธมนต์ตามงานต่างๆ นิยมสวดบทชุมนุมเทวดา ที่เริ่มต้นด้วยคำว่า "ผะริตวานะ เมตตัง สะเมตตา ภะทันตา" หรือในสวดมนต์ 12 ตำนาน จะเริ่มด้วยคำว่า "สะมันตา จักกะวาเฬสุ" เป็นต้นไป เป็นบทสวดเพื่ออัญเชิญเทวดาที่สถิตอยู่ในสวรรค์ชั้นต่างๆ ทั้งเทวดาที่สถิตอยู่ที่ยอดภูเขา ในอากาศ ในวิมานก็ดี หรือภุมมเทวดาก็ดี รวมทั้งยักษ์ คนธรรพ์ และนาคที่อยู่ในน้ำและบนบก ให้มาประชุมกัน เพื่อฟังธรรมหรือฟังการสวดมนต์ เพราะเวลาอันพิเศษเช่นนี้ เป็นเวลาที่เทวดาทั้งหลายจะได้มีโอกาสฟังธรรม และสั่งสมบุญบารมีให้กับตัวเองยิ่งๆ ขึ้นไป เพราะเทวดาทั้งหลายก็ต้องการทำบุญ เพื่อจะได้อยู่ในสวรรค์นานๆ ไม่มีใครอยากลงมาเกิดเป็นมนุษย์ พบความทุกข์ยากลำบากอีก

แม้กระทั่งก่อนสวดมนต์ใกล้จะจบ เราก็สวดส่งเทวดา เรียกว่า "เทวะตาอุยโยชะนะคาถา" ซึ่งเริ่มต้นด้วยคำว่า "ทุกขัปปัตตา จะ นิททุกขา" หรือบางครั้งตัดไปสวดเฉพาะท่อนสุดท้ายว่า "สัพเพ พุทธา พะลัปปัตตา" เป็นต้นไป เป็นคาถาสวดเพื่อส่งเทวดากลับวิมาน หลังจากลงมาฟังเสียงสวดมนต์เป็นเวลาพอสมควรแล้ว เป็นธรรมเนียมว่าเมื่อเชิญมาแล้วต้องเชิญกลับไป มีความหมายเพื่อเป็นการแผ่เมตตาจิตไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายให้หายทุกข์โศกโรคภัย

จากนั้น จะเป็นการแนะนำเทวดาให้อนุโมทนาบุญกุศลที่เราได้บำเพ็ญมา ซึ่งก็รวมถึงบุญกุศลอันเกิดจากการสวดมนต์ของเราด้วย เพื่อเทวดาจะได้อานิสงส์ในบุญนั้น

จากนั้น เป็นการแนะนำเทวดาให้มีความศรัทธาในการทำบุญด้วยการให้ทาน รักษาศีล และเจริญภาวนา แล้วอัญเชิญเทวดากลับไปยังวิมานของตน

และบทสุดท้ายเป็นการขออานุภาพของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระอรหันต์ทั้งหลาย จงคุ้มครองรักษาผู้สวดและผู้ฟังทั้งหลายให้มีความสุข ปราศจากความทุกข์ใจ ปราศจากอันตรายทั้งปวง

     การสวดมนต์ หรือการนำพระพุทธพจน์มาสวดสาธยาย จนเกิดอานุภาพในการต้านทาน ป้องกันอันตรายนั้น มีมาแล้วตั้งแต่สมัยพุทธกาล บางพระสูตรพระพุทธองค์ทรงสวดเอง บางพระสูตรทรงแนะนำให้พระสงฆ์สาวกสวด บางพระสูตรเทวดาเป็นผู้นำมาแสดง เช่น

มงคลสูตร ที่เริ่มต้นด้วยบทว่า "อะเสวะนา จะ พาลานัง" เป็นต้นไป เป็นบทสวดเกี่ยวกับมงคลชีวิต 38 ประการ ซึ่งเป็นหมวดธรรมที่สำคัญต่อชีวิตประจำวัน และหลักการปฏิบัติในทางพุทธศาสนา เรื่องมงคลชีวิตเป็นปัญหาโลกแตกมานาน เนื่องจากในสมัยนั้น มนุษย์ได้ตั้งปัญหาเสวนากันว่า "อะไรเป็นมงคล" แต่ก็ไม่มีใครสามารถตอบปัญหานี้ได้ เป็นเวลานานถึง 12 ปี ก่อให้เกิดความเดือดร้อนไปทั่ว เพราะความเห็นไม่ลงรอยกัน

ปัญหานี้มิได้ถกเถียงกันในหมู่มนุษย์เท่านั้น แม้เหล่าเทวดาก็ถกเถียงกัน จนหาข้อยุติไม่ได้ จึงพากันไปทูลถามพระอินทร์ (ท้าวสักกะ) ก็ไม่สามารถตอบได้ แต่ได้แนะนำให้ไปทูลถามพระพุทธเจ้า หมู่เทวดาทั้งหลายจึงลงมติเห็นชอบด้วยเสียงส่วนใหญ่ ส่งเทพบุตรองค์หนึ่งเป็นตัวแทนลงมาถามปัญหานี้กับพระพุทธเจ้า

ดึกสงัด ณ ราตรีหนึ่ง เทวดาได้เข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้า ด้วยแสงสว่างรุ่งเรืองไปทั่ววัด ทูลถามปัญหามงคล พระพุทธเจ้าทรงแสดงว่า "การไม่คบคนพาล คบบัณฑิต บูชาผู้ที่ควรบูชา เป็นมงคลอย่างสูงสุด" เป็นมงคลข้อแรก จนถึง มงคลข้อสุดท้าย คือ "ผู้ที่โลกธรรม (ลาภ-เสื่อมลาภ ยศ-เสื่อมยศ สรรเสริญ-นินทา สุข-ทุกข์) กระทบแล้วไม่หวั่นไหว จิตใจไม่มีความยินดีและยินร้าย ปราศจากความเศร้าหมอง เป็นจิตถึงความสุขอันวิเศษ เป็นมงคลอันสูงสุด"

พระสูตรนี้ เป็นพระสูตรหลักที่จะต้องสวดทุกครั้งในการสวดมนต์ที่บ้าน หรือในการเจริญพระพุทธมนต์ในงานพิธีต่างๆ เป็นบทที่เจ้าภาพผู้เป็นประธานจะต้องจุดเทียนที่บาตรน้ำมนต์

รัตนสูตร ปรากฏอยู่ในพระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ขุททกปาฐะ ซึ่งเริ่มต้นสวดด้วยบทว่า "ยังกิญจิ วิตตัง" เป็นต้นไป เป็นบทสวดว่าด้วยอานุภาพพระรัตนตรัย สาเหตุเกิดจากเมืองเวสาลี เมืองหลวงของแคว้นวัชชี ซึ่งเคยเป็นเมืองที่มั่งคั่งอุดมสมบูรณ์ แต่ประสบภัยพิบัติอย่างร้ายแรง เกิดวิกฤตข้าวยากหมากแพง ฝนแล้งไม่ตกตามฤดูกาล ผู้คนอดอยากล้มตายเป็นจำนวนมาก (ทุพภิกขภัย) เมื่อมีคนตายมาเผาแทบไม่ทัน กลายเป็นศพไร้ญาตินอนกราดเกลื่อนไปทั้งเมือง พวกอมนุษย์หรือภูตผีปีศาจได้กลิ่นซากศพ ก็พากันแห่เข้าสู่เมือง ทำอันตรายรบกวนชาวบ้าน (อมนุสสภัย) และเมื่อมีคนตายเพิ่มมากขึ้นก็ทำให้เกิดโรคระบาดแพร่กระจายไปทั่ว (โรคภัย) เป็นเหตุให้ชาวบ้านได้รับความทุกข์เดือดร้อน แม้จะพากันรวมตัวไปประท้วงร้องทุกข์ต่อพระเจ้าแผ่นดินก็ไม่สามารถแก้ไขได้ จึงคิดว่าน่าจะมีสาเหตุอย่างแน่นอน เพราะภัยทั้ง 3 นี้ ไม่เคยเกิดมา 7 ชั่วอายุคนแล้ว คนเดียวที่จะแก้ไขได้ คือ พระพุทธเจ้าเท่านั้น

ขณะนั้น พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่เมืองราชคฤห์ แคว้นมคธ ชาวบ้านจึงพากันส่งเจ้าลิจฉวี ชื่อว่ามหาลิ และมหาอำมาตย์ไปนิมนต์พระพุทธเจ้า เพื่อขอพึ่งบุญบารมี

พระองค์ทรงเล็งเห็นว่า ชาวบ้านจะได้ดวงตาเห็นธรรมบรรลุมรรคผลเป็นอันมาก และภัยพิบัติทั้งหลายจะสงบลง จึงได้รับอาราธนาเสด็จไป

พระพุทธเจ้าทรงให้พระอานนท์เรียนเอารัตนสูตรน้อมระลึกถึงคุณของพระรัตนตรัย นึกถึงพระพุทธคุณทั้งปวงของพระองค์ ตั้งแต่ปรารถนาพุทธภูมิเป็นต้นมา จนถึงการตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ แล้วสวดพระปริตรตลอดทั้งคืน ภัยพิบัติทั้งหลายก็สงบลงอย่างน่าอัศจรรย์

ต่อมาภายหลัง ได้กลายเป็นแบบอย่างในการทำน้ำพระพุทธมนต์ของพระสงฆ์ในปัจจุบัน เมื่อท่านสวดถึงบทว่า "นิพพันติ ธีรา ยะถายัมปะทีโป" ประธานสงฆ์จะดับเทียนน้ำมนต์ โดยการจุ่มเทียนลงไปในบาตรน้ำมนต์ มีความหมายว่า ขอให้โรคภัยความชั่วร้ายทั้งหลายทั้งปวง จงดับสูญสลายหายไปเหมือนเทียนเล่มนี้

     บทสวดที่พุทธศาสนิกชนนิยมสวด เช่น คาถาพาหุง ว่าด้วยชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า และคาถาชินบัญชร ของ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) เป็นต้น บทสวดทั้งหลายเหล่านี้ เมื่อเราตั้งใจสวดด้วยจิตที่เป็นกุศลและมีสมาธิกับการสวด ย่อมก่อให้เกิดพลานุภาพในการป้องกันภัยอันตรายต่างๆ อย่างปาฏิหารย์ ดัง ศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต ได้กรุณาสรุปประสบการณ์และผลดีไว้ในหนังสือ "พระพุทธมนต์" ฉบับสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ดังนี้

ผลดีประการแรก ก็คือ ทำให้เกื้อกูลแก่สุขภาพร่างกาย ไม่ถึงกับเป็นยาบำรุงกำลัง แต่ผู้ที่สวดมนต์บ่อยๆ เปล่งเสียงดังๆ เต็มที่อย่างถูกต้องตามฐานกรณ์ (คือออกเสียงให้ถูกตามที่เกิดของเสียง หรือ "เอ็กเซ่น" ได้อย่างถูกต้อง) ระบบการหายใจย่อมจะเป็นไปตามธรรมชาติ โลหิตสูบฉีดเป็นปกติในร่างกาย ขับส่วนเสียในร่างกายออก สร้างเสริมส่วนที่บกพร่องให้คงคืนและดีขึ้น ทำให้สุขภาพร่างกายสมบูรณ์ดี

เสียงที่เปล่งออกแต่ละครั้ง ตามฐานกรณ์ของคำที่ถูกต้อง จะสร้างความสั่นสะเทือนในร่างกายเรา ความสั่นสะเทือนนี้ไปกระตุ้นต่อมที่กำลังจะเสีย หรือเสื่อมแล้ว ให้คงคืนสภาพ ทำให้เอื้อต่อสุขภาพร่างกาย ให้มีสุขภาพแข็งแรงขึ้น สวดบ่อยๆ อาจรักษาโรคบางอย่างให้หายได้ด้วย

เรื่องระบบเสียงใดของอักขระใดเกี่ยวข้องกับต่อมใด มีผลงานวิจัยฝรั่งบอกว่า อักขระแต่ละตัวมันเกี่ยวข้องกับต่อมใดบ้าง เมื่อถูกกระตุ้นบ่อยๆ ทำให้โรคที่จะเกิดเพราะต่อมนั้นๆ เสีย ไม่เกิดอย่างไรบ้าง น่าสนใจยิ่ง ทำให้นึกถึงเด็ก เมื่อผู้ใหญ่ร้อง "ฉี่ๆ ๆ" ก็จะปัสสาวะออกทันที ทั้งที่ไม่ปวด ทั้งนี้เพราะเสียง อี เอ ไอ เกี่ยวข้องกับระบบน้ำย่อย ดังนี้เป็นต้น

ถ้าเราสวดบทสวดที่มีเนื้อหาดีงามเป็นนิจศีล ดังพระสงฆ์สวดมนต์ทำวัตรทุกเช้าเย็น สุขภาพกายและสุขภาพจิตเราต้องดีแน่นอน และเสียงสวดมนต์นี้จะเป็น "พลัง" ที่คงอยู่ในตัวเรา ไม่ลบเลือนหายไปไหน

มีเรื่องหนึ่งที่ได้ทราบมาว่า เมื่อครั้งสมเด็จพระสังฆราช (วาสน์ วาสนมหาเถร) วัดราชบพิธฯ ทรงประชวรหนัก หมอต่อสายระโยงระยางไปหมด ชีพจรและการเต้นของหัวใจนั้นผิดปกติมากอย่างน่าเป็นห่วง แต่พอถึงเวลาประมาณ 5-6 โมงเย็น ทุกอย่างกลับเป็นปกติ เป็นอย่างนี้ทุกวัน ไม่มีใครทราบว่าเพราะเหตุใด จนกระทั่งพระเลขานุการส่วนพระองค์ระลึกได้ว่า เวลานี้เป็นเวลาที่สมเด็จพระสังฆราชสวดมนต์ในพระอุโบสถทุกวัน

ผลดีประการที่สอง คือ เป็นการสร้างสมาธิอย่างดี ไม่ต้องฝึกปฏิบัติสมาธิแบบอื่นก็ได้ เพียงสวดมนต์ดังๆ ทุกวันทุกคืนสม่ำเสมอเป็นนิจศีล ท่านจะอัศจรรย์ใจที่ได้พบว่าสมาธิของท่านดีวันดีคืนอย่างน่าประหลาด เมื่อจิตเป็นสมาธิจะทำงานอะไรก็ทำได้ดี และมีประสิทธิภาพ

ผลดีประการสุดท้าย คือ ถ้าเรารู้ความหมายของบทสวดด้วย จะทำให้เราเกิดศรัทธาปสาทะในพระรัตนตรัย และศีลธรรมจริยธรรมเพิ่มขึ้น โปรดรำลึกว่า บทสวดมนต์ไม่มีพูดถึงเรื่องที่เลวร้าย ไม่สอนให้อิจฉาริษยาใคร สาปแช่งใคร ตรงกันข้าม กลับสอนให้แผ่เมตตาจิต ความรักความปรารถนาดีไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลาย การสวดมนต์บ่อยๆ จึงเป็นการ "ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้น สะอาดขึ้น" โดยไม่รู้ตัว

นี่คือผลดีแห่งการสวดมนต์อย่างมีคุณค่าและความหมาย

     ในการสวดมนต์นั้นย่อมส่งผลได้ไกลถึงความหลุดพ้น อันเป็นเป้าหมายสูงสุดของพุทธศาสนา และเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อวิถีชีวิต ช่วยทำให้จิตใจสดชื่นเบิกบาน และมีอานุภาพในการป้องกันรักษาดังกล่าวมาแล้ว ผู้รู้ทั้งหลายในสมัยโบราณจึงได้ทำวัตรสวดมนต์สืบมามิได้ขาด ทำเป็นประจำทุกวัน ทุกเช้า-เย็น จนกลายเป็นความเคยชิน เรียกการกระทำนี้ว่า "การทำวัตร"

ฉะนั้น ชาวพุทธไทยจึงควรทำวัตรสวดมนต์ทุกวัน ให้สวดด้วยใจที่แช่มชื่น เบิกบาน ด้วยความเคารพเลื่อมใสในพระรัตนตรัยเป็นที่ตั้ง การสวดมนต์อย่างนี้ จึงจะเรียกว่า เกิดประโยชน์และมีอานิสงส์อย่างแท้จริง

เมื่อสวดมนต์เสร็จแล้ว ควรทำสมาธิต่อพอสมควรแก่เวลา หรือหากมีเวลามาก ควรเดินจงกรมและนั่งสมาธิ เพื่อเพิ่มบุญกุศลให้แก่ตัวเองยิ่งขึ้นไป ทำให้ต่อเนื่อง ทั้งการสวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ ก่อนนอนทุกวัน

เสร็จแล้วแผ่เมตตาให้แก่ตนเอง และทั่วไป พร้อมกับเพิ่มบทสำคัญที่ท่านเจ้าประคุณสมเด็จพระมหาธีราจารย์ (นิยม ฐานิสฺสโร) เจ้าอาวาสวัดชนะสงคราม ใช้นำพระภิกษุสามเณร อุบาสกอุบาสิกา และประชาชนทั่วไปเป็นประจำทุกวัน ว่าดังนี้

"อนึ่ง, ขอให้ชาติไทย, พระพุทธศาสนา, พระมหากษัตริย์, จงยืนยงดำรงมั่น, เป็นหลักชัยของไทย, ปราศจากภัยพิบัติ, อุปัทวันตรายทั้งสิ้น

"ขอให้ประชาชน บนผืนแผ่นดินไทย, ผู้สุจริตใจประกอบกิจ, จงอยู่เย็นเป็นสุข, ปราศจากความอยู่ร้อนนอนทุกข์, จงมั่งมีศรีสุข, พ้นจากความยากจนเข็ญใจ, ปราศจากภัยพิบัติ, อุปัทวันตรายทั้งปวงเทอญ"

ถ้าทำได้อย่างนี้ นับวันจะมีความเจริญรุ่งเรืองในพระศาสนา จะมีอานุภาพมากมาย เป็นบุญวาสนาของผู้ได้เข้าใกล้ได้พบเห็นอีกด้วย

     เหตุนั้น การทำวัตรสวดมนต์จึงต้องทำอย่างต่อเนื่อง ด้วยความเคารพทุกเช้าค่ำ และต้องทำอยู่ตลอดเวลา ทำให้อยู่ในใจเราเสมอ ทำให้รู้สึกว่าขาดสวดมนต์ไม่ได้ จนกลายเป็นกิจวัตรประจำวัน


ขอขอบคุณ
ที่มา :
มติชนรายวัน วันที่ 02 พฤษภาคม พ.ศ. 2552 หน้า 9
ภาพ : www.cha-amcity.go.th



H O M E



Create Date : 09 พฤศจิกายน 2552
Last Update : 9 พฤศจิกายน 2552 21:07:14 น. 1 comments
Counter : 1135 Pageviews.

 
ขอบคุณมากค่ะ



โดย: บนเส้นทางกลับบ้าน IP: 118.175.86.113 วันที่: 11 พฤศจิกายน 2552 เวลา:13:04:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

jenifaae
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 7 คน [?]




Editor
บทความ ความคิดเห็นที่นำลง"สนามหลวงแก็งค์" ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน
เพียงเราเห็นว่าน่าสนใจและเป็นประโยชน์ในทางข้อมูล ข่าวสาร
หากท่านมีข้อคิดเห็นประการใด โปรดแจ้งให้เราทราบ จักขอบคุณยิ่ง
"สนามหลวงแก็งค์"
kunkorn : Facebook



"Sanamluang's Gang"
"สนามหลวงแก๊งค์"

kunkorn : Facebook

     เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยนให้เกิดการศึกษา การเรียนรู้ เผยแพร่ ส่งเสริม สนับสนุน รวบรวมข้อมูล ข่าวสาร อนุรักษ์ รักษาเอกลักษณ์ทางวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ของชนชาติไทย วิถีชีวิต และปรัชญา คุณค่าจิตวิญญาณที่งดงาม สืบสานต่อยอดกันมานานนับพันๆปี และกำลังถูกทำลายด้วยอิทธิพลจากแนวคิดเชิงวัตถุนิยมแบบตะวันตก

● เพื่อการศึกษาหาความรู้ ส่งเสริม สนับสนุน ให้เกิดการศึกษา เรียนรู้ สิ่งที่พระพุทธเจ้าค้นพบ และนำมาเผยแพร่แก่มวลมนุษยชาติ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง มิใช่เพียงวิทยาศาสตร์เชิงวัตถุเพียงอย่างเดียว เพราะถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงค้นพบความจริงของธรรมชาติ ทั้งหมดทั้งสิ้น ที่มนุษย์ธรรมดาสามัญอย่างเราๆ ท่านๆ ยังเป็นเพียงผู้รู้ แค่หางอึ่งที่ยังอยู่ในกะลาครอบ แต่บังอาจด่วนสรุป ขัดแย้งกับ สิ่งที่องค์ศาสดาทรงค้นพบมากว่าสองพันปี จนทำให้บังเกิดความสับสน ลดความน่าเชื่อในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ

● สนามหลวงแก๊งค์ ต้องขออนุญาตและขอขอบคุณท่านเจ้าของข่าวสาร ข้อมูล ที่เราได้นำลงในสนามหลวงแก๊งค์ ไว้ ณ โอกาสนี้ด้วยจิตคารวะ ทั้งนี้และทั้งนั้น ก็เพื่อให้สนามหลวงแก๊งค์ เป็นแหล่งในการเผยแพร่ ข้อมูล ข่าวสารที่เป็นประโยชน์และเพื่อเป็นวิทยาทานแก่สาธารณชน แต่หากท่านเจ้าของข้อมูล ข่าวสารที่ สนามหลวงแก๊งค์ นำลงไม่มีความประสงค์ให้นำลง ขอได้โปรดแจ้งความประสงค์ เรายินดีที่จะถอดออกต่อไป

ด้วยจิตคารวะ
www.sanamluang.bloggang.com
kunkorn : Facebook


ดาวหาง
     เป็นปรากฎการณ์ทางธรรมชาติ ที่เกิดขึ้นในห้วงมหาจักรวาลอันยิ่งใหญ่ ลี้ลับไร้ขอบเขต ทุกครั้งที่ดาวหางปรากฏ มันจะส่งสัญญาณแห่งความพินาศ มหันตภัย ธรรมชาติ ความตาย ความเจ็บป่วย สงคราม ความขัดแย้ง การกดขี่ การเอารัดเอาเปรียบ การคดโกง การเบียดเบียนของมนุษย์บนพื้นพิภพใบนี้

     มันคือสัญญาณเตือนภัยที่มนุษย์ไม่อาจจะควบคุมได้ ทั้งภัยทางธรรมชาติและภัยที่เกิดขึ้นจากมนุษย์สร้างกันขึ้นมาเองในทุกรอบพันปี

     ไม่ว่ามนุษย์จะคิดว่าตัวเองเก่งกาจสามารถ ฉลาดสักเพียงไหน ก็ไม่อาจหลีกพ้นมหันตภัยเหล่านี้ไปได้
     ดังนั้น จงเชื่อและปฎิบัติตามอย่างไม่ลังเลต่อคำสอนของศาสดาของเราอย่างจริงจังเถิด

     แม้จอมจักรพรรดิ จอมราชันย์ หรือจอมทรราชที่ยิ่งใหญ่ในอดีต ก็ต้องตายร่างกายเน่าเปื่อยเป็นผุยผง และในที่สุดวิญญาณของเขาก็ต้องชดใช้กรรม ด้วยการถูกไฟนรกเผาผลาญโดยไม่มีข้อยกเว้นทั้งทั้งสิ้น

     จงอย่าอหังการ์ว่าตัวเองเก่ง ฉลาด และยิ่งใหญ่กว่าคำสอนของพระศาสดา ไม่มีมนุษย์ตนใดที่จะพ้นจากกฎแห่งธรรมชาติได้ มนุษย์ที่เก่งกว่าเรา เขาได้ตายร่างกายทับถมปฐพีแห่งนี้นับไม่ถ้วนแล้ว


     ● ขออนุญาตนำภาพวาด "วีระชนบนพานรัฐธรรมนูญ" ของ คุณสถาพร ไชยเศรษฐ ศิลปินอิสระ อดีตแนวร่วมศิลปินแห่งประเทศไทย ซึ่งวาดเนื่องในโอกาส 2 ปี 14 ตุลา มาเป็นส่วนหนึ่งของหัว "สนามหลวงบล็อก"                


บริการดูดวง



"สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" มีความภาคภูมิใจในความสำเร็จตามอุดมการณ์ของเรา ที่ได้ตั้งเอาไว้ว่า "เราจะใช้วิชาความรู้ในด้านการพยากรณ์เพื่อให้เป็นประโยชน์สำหรับการให้การปรึกษาของผู้คนที่กำลังประสบปัญหา ความเดือดเนื้อร้อนใจ หรือการเผชิญกับปัญหานั้นๆได้อย่างไรดี

มนุษย์เกิดแต่กรรม มนุษย์มีกรรมเป็นเหตุ เมื่อเราประสบเคราะห์กรรม ปัญหาอยู่ที่ว่าหากเราทราบเสียก่อน ย่อมเป็นสิ่งที่ดีกว่าการไม่ทราบ อย่างน้อยก็ทำให้เราระมัดระวังตัว อย่างน้อยก็ทำให้เราหลีกเลี่ยงเพื่อทำให้เราเผชิญกับกรรมน้อยลงไป อย่างน้อยก้ทำให้เรารู้ว่าสิ่งเหล่านั้นมันมีที่มา มันมีที่ไปของมัน

มีนักวิชาการและนักวิทยาศาสตร์วัตถุจิตนิยม มักโจมตีอยู่เสมอว่า การดูดวง เป็นเรื่องของความงมงาย หมอดูคู่กับหมอเดา หมายถึงว่า เขาไม่เชื่อในเรื่องของวิชาโหราศาสตร์เพราะคิดไปว่ามันเป็นเรื่องเดียรัจฉานวิชาบ้าง เป็นการคาดเดาเอาเองบ้าง คิดว่ามันเป็นวิชาที่ใช้สถิติสุ่มเอาบ้าง ไม่เชื่อว่าวิชาโหราศาสตร์จะสามารถไขปริศนาแห่งรหัสลับของดวงดาว จักรวาล และธรรมชาติรอบตัว

แสดงว่าเขาลืมไปว่า อัลเบิร์ต ไอสไตน์ และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้กล่าวไว้ว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกรอบตัวเรา ตั้งแต่เล็กเท่าอะตอม (จุลจักรวาล)จนถึงมหาจักรวาล ล้วนมีความผูกพัน ล้วนมีความสัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งแยกกันไม่ออก เพียงแต่ว่า กับอะไร เมื่อไร อย่างไร เท่านั้น

กรรมเป็นผลจากการกระทำของเราในอดีตชาติ จะดีหรือจะร้ายก็เพราะเราทำ เป็นสิ่งที่เราจะต้องได้รับผลแห่งการกระทำเหล่านั้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

โหรฯเป็นเพียงผู้แปลรหัสของดวงดาวและธรรมชาติรอบตัว เพื่อเผยแผนที่ชีวิตของเรา และสามารถมองเห็นช่องทางที่จะเลี่ยงหลบสิ่งเลวร้าย ให้ลดน้อยถอยลงหรือพบพานแต่สิ่งที่ดีดี

การสะเดาะเคราะห์ หรือพิธีการตัดกรรมที่กำลังกล่าวขานถึงก็คือการขออโหสิกรรม ลดการอาฆาตจองเวรกับเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังจ้องจองเวรด้วยความอาฆาตพยาบาทที่ถูกเรากระทำในอดีตชาติ ไม่ใช่เป็นการตัดทอนผลกรรมที่เราทำให้หมดไปหรือให้ลดลง เพราะกรรมที่เรากระทำไม่สามารถตัดทอนลงไปได้



สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์พยากรณ์เที่ยงตรง แม่นยำเชื่อถือได้ วิเคราะห์พยากรณ์อย่างเป็นระบบ ไม่เลื่อนลอย ยึดมั่นในอุดมการณ์ของครูที่ท่านได้กำชับให้นำเอาวิชาการพยากรณ์มาช่วยเหลือแนะนำ บรรเทาทุกข์ของผู้คนมากกว่าการพยากรณ์เพื่อการค้า

ต้องยอมรับว่า ไม่ว่าประเทศใด? ชาติใด ภาษาใด? สมัยไหน? ชนชั้นวรรณะใด? ไม่ว่าจะเป็นเจ้าสัว นักธุรกิจ นักการค้า แม่บ้าน นักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ หรือไม่เว้นแต่นายพล นายพัน รัฐมนตรี หรือระดับผู้นำประเทศ ล้วนแต่เคยดูดวงด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ว่า เราจะเชื่ออย่างงมงายหรือจะเชื่อโดยใช้เหตุผลอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ โดยนำเอาคำพยากรณ์มาใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการดำเนินชีวิต หรือทำธุรกิจ การค้า หรือเพื่อการทำสงครามฯ

"สนามหลวงแก็งค์" ไม่สนับสนุนให้เชื่อเรื่อง "ดวง" อย่างงมงาย แต่เราสนับสนุนให้ใช้คำ "พยากรณ์"อย่างมีวิจารณญาณประกอบการตัดสินใจอย่างมีสติ ใช้ "ปัญญา"อย่างมี "เหตุผล"

หลังจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม จนต้องมีการเข้าจองคิวดูดวงเป็นจำนวนมาก ณ ขณะนี้ ไม่ใช่แต่เฉพาะคนไทยในประเทศที่เข้ามาใช้บริการจาก "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"เท่านั้น

แต่ยังมีคนไทยที่อยู่หลายประเทศทั่วโลกเข้ามาดูดวง ตรวจสอบชื่อ นามสกุลมากมาย ทั้งนี้คงเป็นเพราะผู้ที่เข้ามา"ดูดวง" กับ "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์" ได้รับความพอใจในคำพยากรณ์ที่ถูกต้อง แม่นยำ แนะนำแนวทางแก้ไขที่เหมาะสมตามหลักโหราศาสตร์ จึงได้มีการบอกเล่า แนะนำชักชวนกันปากต่อปากเป็นจำนวนมาก

ปัจจุบันนี้ มีผู้เข้ามาเยี่ยมชมwww.sanamluang.bloggang.com มีจำนวนถึง 118 ประเทศ โดยเข้ามาเปิดดูหน้า "สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์"คิดเป็นร้อยละ 80 ของ pageviews ต่างๆใน www.sanamluang.bloggang.comจัดทำบล็อกครั้งแรกเมื่อวันที่ 21 กรกฎาคม 2550 มีผู้เข้าชมจำนวนทั้งสิ้น 579,020 ครั้ง จากจำนวน 262,960 visitors (ข้อมูล ณ เวลา 12.00 น.ของวันพุธที่ 6 ตุลาคม 2553)

ส่วนใหญ่ลูกค้าที่โทรเข้ามาเกือบ 98% เมื่อโทรฯ เข้ามาดูดวงแล้ว จะสามารถนัดวัน เวลาดูดวงได้โดยไม่มีปัญหาแต่อย่างใด อาจจะมีอยู่บ้างเพียงไม่กี่รายที่โทรฯเข้ามาเพื่อสอบถามรายละเอียดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น

อาจจะเนื่องมาจากไม่คุ้นเคยการทำธุรกิจแบบออนไลน์ โดยมีการโอนเงินก่อน ไม่ไว้ใจ หรือไม่กล้า ซึ่งมีจำนวนน้อยมาก ประมาณ 2%

สำหรับที่เมลฯมาถามและเงียบไป ไม่สามารถทราบจำนวนได้ อาจเนื่องจากเป็นรายที่โทรเข้ามานัดอีกทางหนึ่งก็เป็นได้

สนามหลวงพยากรณ์ออนไลน์ ยังมีอาจารย์ผู้สอนวิชาโหราศาสตร์ ผ่านประสบการณ์ในการดูดวงหลายปีคิดเป็นจำนวนหลายพันดวง

แน่นอน แม่นยำกระชับ ชัดเจน หากไม่ทราบเวลาตกฟากท่านก็ยังสามารถดูได้ รายที่กำลังประสบเคราะห์หามยามร้าย ท่านก็จะช่วยแนะนำและแก้ไขเรื่องเลวร้ายให้กลายเป็นดีด้วยศาสตร์แห่งความลี้ลับของโหราศาสตร์ โดยไม่ต้องเสียเงินสะเดาะเคราะห์ สามารถดูได้ถึงขนาดปัญหาเรื่องคู่ครอง เรื่องเคราะห์ เรื่องหน้าที่การงาน โดยใช้ "วิชาโหราศาสตร์ดวงไทย"อันเป็นสุดยอดของวิชาโหราศาตร์โบราณของไทย

นอกจากนั้น เรายังมี ซินแส ที่เชี่ยวชาญเรื่องการดูฮวงจุ้ย ทำเลปลูกบ้าน อาคารสำนักงาน ดูฤกษ์ยาม แต่งงาน คลอดบุตร ขึ้นบ้านใหม่ เปิดกิจการต่างๆโดยใช้วิชาโหราศาสตร์จีนโบราณผสานตำราดวงไทย ซึ่งซินแสท่านมีประสบการณ์การดูดวงมาไม่น้อยกว่า 45 ปี ผ่านการดูให้กับนักธุรกิจชื่อดังของเมืองไทย และนักธุรกิจชั้นนำจากฮ่องกงหลายราย

ติดต่อ 081-4834367 หรือ workingmailhome@hotmail.com
--------------------------------------------
● ปรึกษาปัญหากฏหมาย
ละเมิด,สัญญา,อายัดทรัพย์ ยึดทรัพย์
--------------------------------------------
● ปัญหาติดต่อราชการ
บริการปรีกษาเรื่อง ภาษีป้าย ภาษีโรงเรือน ภาษีที่ดิน ค่าธรรมเนียมต่างๆ และการติดต่อราชการต่างๆ ของสำนักงานเขต
--------------------------------------------
● พิมพ์รายงาน,ค้นหาข้อมูล,

● งานพิมพ์ Lay-Out,Art Work
--------------------------------------------
สำนักพิมพ์ดาวหาง
www.sanamluang.bloggang.com




รับวาดรูปเหมือน และสอนวาดรูป
โดยอาจารย์ ผู้ชำนาญ

ราคาย่อมเยา

















หลังเกิดเหตการณ์ 14 ตุลา 2516 นิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต่างหลั่งไหลดั่งสายน้ำ ล้นขอบ ออกจากเมือง เข้าสู่ ชนบท เหตุเกิดเมื่อ กลางปี พ.ศ.2516 จนถึง พ.ศ.2519 นักศึกษากลุ่มหนึ่ง ได้ พบกันโดยบังเอิญ และ ได้ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับชาวบ้าน ณ หมู่บ้าน แม่ตะมาน ตำบลกื๊ดช้าง อำเภอแม่แตง จังหวัดเชียงใหม่ ภายใต้ ชื่อโครงการว่า "โครงการหมู่บ้านสหกรณ์แม่ตะมาน"
เชิญ พบ และติดตาม กับเรื่องราว และบทสรุป อันควรเป็นจุดเริ่มต้น ต่อไปใน

     เมล็ดพันธุ์ประชาธิปไตย ที่ถูกหว่านทั่วท้องทุ่งแห่งประชาไทย มาบัดเดี๋ยวนี้ เมื่อต้องฝน ต้องลม แห่งกาลเวลาพัดผ่าน จาก 2516 , 2519 2535,จน 2540 ถึง 2550บางเมล็ดพันธุ์ก็ยังขาวพิสุทธิ์สดใส บ้างเมล็ดพันธุ์เปลี่ยนสี บ้างก็ดอกสีเหลือง บ้างก็ดอกสีแดง บ้างก็ดอกสีม่วงก้มี สีเขียว สีน้ำเงิน หรือบ้างก็อาจเฉาโรยรา หรือบ้าง ผสมผสานกลายพันธุ์ ก็มีไม่น้อย
มาบัดเดี๋ยวนี้ มันไม่ใช่ จิต วิญญาณ แห่ง 14 ตุลา เดิมเสียแล้ว ไม่ใช่พันธุ์เดียวกัน อย่าได้ เอ่ยอ้างเลย ว่า วิญญาณ 14 ตุลา ยังคง...มันประชาธิปไตย ที่ไม่ บริสุทธิ์ผุดผ่องเหมือนอย่างเดิมเสียแล้ว.....
..แต่มันเป็น.ประชาธิปไตย...เพื่อใคร..??


“ทุกวันนี้ เราจะรับรู้ ได้เห็น ได้ยินแต่เรื่องเลวร้าย ในสังคม
เราจึงขอบันทึกสิ่งที่ดีๆ ต่างๆ เหล่านี้ ด้วยจิตคารวะ และขอเป็นกำลังใจให้เกิดสิ่งที่ดีงามเหล่านี้ต่อไป”>>>



อ่านงานเขียนเกี่ยวกับภาพยนตร์หลากหลายประเทศทั่วโลก ที่นี่ >>>





*จำนวนผู้ชมทั้งสิ้น* สถาปนาบล็อค 21 ก.ค.2550
Friends' blogs
[Add jenifaae's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.