|
17 มีนาคม 2550
|
|
|
|
0004: อาหารที่ดี ต้องกินตอนสุขๆ (ศุกร์ 2007.03.16)
หลังจากได้ร่วมรับประทานอาหารรสเลิศ (เหินห่าวชือ) มาหลายมื้อ สิ่งที่เกิดขึ้นในทุกมื้ออาหาร (ยกเว้นก็แค่เวลาที่เราไปนั่งจกเฟรนช์ฟรายเข้าปากที่ร้านแมคโดนัลด์) คือ ทุกคนรอบโต๊ะจะร่วมมือร่วมใจกันสั่งอาหารในชนิดที่เรียกได้ว่า ถล่มทลาย คือถล่มกระเป๋าสตางค์ และทลายกระเพาะอาหาร แต่ละจานก็ไม่ใช่เล็กๆ และที่สำคัญ ไม่เคยมีมื้อไหนเลยที่จะกวาดกันจนเกลี้ยง มักมีอาหารหลายจานเหลือทิ้งไว้ให้ความวาวมันของน้ำมันที่เคลือบหมู เห็ด เป็ด ไก่ และผักในจานสะท้อนแสงไฟบนเพดานเล่น วาบวาบ!
อืม มันสะท้อนมาเข้าตาผมด้วย!
แม้จะรู้ดีว่าผนังพุงขยายจนพองเป็นก้อนกลม แม้สมองจะสั่งว่า อิ่มแล้วนะโว้ย แต่ผมก็อดไม่ได้ทุกทีที่จะเอาตะเกียบหนีบหมู เห็ด เป็ด ไก่ และผักในจานใส่ปากด้วยความเสียดาย นั่นทำให้ผมมักจะเป็นคนสุดท้ายที่วางตะเกียบเสมอ
ดูไปก็เหมือนตะกละ บางขณะก็ดูคล้ายหิวโหย แถมในสายตาของคนจีนบางคนก็ยังเสี่ยงต่อการถูกมองว่า เอ็งไม่เคยกินอาหารดีๆ แบบนี้หรืออย่างไร? แต่ผมไม่ค่อยสนใจสายตาเพื่อนร่วมโต๊ะ ผมเสียดายชีวิตหมูในหม้อที่สละมาให้พวกเราอร่อยกันมากกว่า ครั้นจะกินไม่คุ้มก็เกรงใจมัน ทั้งยังเกรงใจแม่ของมันที่อุตส่าห์อุ้มท้องตั้งนาน ก่อนที่จะเบ่งมันออกมาด้วยใบหน้าเหยเก
วันนั้นในภัตตาคารร้านใหญ่ นีโม่ ลูกน้องในทีมคนหนึ่งพูดกับผมขณะที่ผมกำลังร่ายตะเกียบเก็บ+เกี่ยวของที่พวกเขากินเหลือไว้หลายอย่างหลายจาน ท่าทางคุณจะหิวมาก ผมหัวเราะ ปฏิเสธไป บอกว่าจริงๆ น่ะอิ่มแล้ว แต่อาหารมันอร่อย เลยอยากกินให้หมด
ชาวต่างชาติชอบบอกว่าคนไทยสุภาพและขี้เกรงใจ นี่ผมก็กำลังพูดจาอ้อมค้อมกว่าปกติ
แต่แล้วก็เห็นว่าน่าจะเป็นโอกาสในการไขข้อสงสัย ผมจึงหันไปถามนีโม่ว่า ทำไมคนจีนชอบกินเหลือ? นีโม่หน้านิ่งไม่ไหวติงกับคำถาม ราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก เอ็งจะถามทำไม แทนที่จะตอบ เขาถามผมกลับ ที่เมืองไทยไม่กินเหลือกันเลยใช่ไหม? ผมพยักหน้า บอกกับเขาว่า ถ้ากินแบบนี้ที่เมืองไทย มีหวังถูกเพ่นกบาล คนไทยสอนตลอดเลยว่า ให้กินข้าวให้หมดจาน เพราะกว่าชาวนาจะปลูกขึ้นมาได้แต่ละเม็ดไม่ใช่ง่ายๆ นีโม่ยังงหน้านิ่งเหมือนปลาที่อ้าปากค้างอยู่ในจานอาหารบนโต๊ะ ต่างก็แค่ นีโม่เป็นปลาการ์ตูน
เขาหันมาตอบผมด้วยใบหน้าแน่นิ่ง ตอนเด็กๆ ก็อาจจะเป็นแบบนั้น พ่อแม่ก็ไม่อยากให้กินเหลือ แต่ตอนนี้หาเงินเองได้แล้วก็ใช้ให้เต็มที่ อยากกินอะไรก็กิน ดูแลตัวเองได้ ผมรับฟัง เขาพูดต่อ อืม อีกเหตุผล ผมว่ามันอาจเป็นข้อแตกต่างกันระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว กับ ประเทศกำลังพัฒนาก็เป็นได้ ผมสงสัย คุณหมายถึงประเทศไหนที่พัฒนาแล้ว จีนหรือไทย? ซึ่งจริงๆ ผมคิดว่ามันไม่ใช่คำตอบทั้งสองประเทศน่ะแหละ แต่นีโม่มีคำตอบให้ผม จีนสิ พัฒนาแล้ว
ผมปล่อยบทสนทนาไว้อย่างนั้น นั่งทบทวนตัวเอง อืม ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง อย่างน้อยก็ยังดีที่ความไม่พัฒนาของเราช่วยให้เราไม่ใช้สอยทรัพยากรของโลกอย่างสิ้นเปลืองเกินไปนัก
ผมคิดว่าพฤติกรรมกินเหลือของประชาชนชาวจีนนั้นมีที่มา เพียงแค่ว่าอาจต้องศึกษาค้นคว้ามากกว่านี้ เพราะมองดูแล้วมันออกจะลงรากเป็น วัฒนธรรม มากกว่า พฤติกรรม เสียด้วยซ้ำ
และผมว่าคำตอบจากปากนีโม่ไม่น่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องสักเท่าไร
อีกวันหนึ่ง ผมลองเอ่ยปากถามกับเอลวิสดูบ้าง ทำไมคนจีนชอบสั่งอาหารมาเยอะ แล้วกินเหลือ? เอลวิสหัวเราะกับคำถาม แล้วนึกคำตอบประมาณครึ่งนาทีก่อนให้เหตุผลเชื่อมโยงกับ นโยบายลูกคนเดียว ซึ่งเป็นนโยบายที่จีนคิดขึ้นเพื่อจำกัดจำนวนประชากรไม่ให้ล้นประเทศ เริ่มกันตั้งแต่ปลายทศวรรษที่หนึ่งเก้าร้อยเจ็ดสิบ ชาวจีนจะมีลูกได้ครอบครัวละหนึ่งคนเท่านั้น ซึ่งนโยบายนี้ส่งผลกระทบกับเด็กที่เกิดขึ้นมาและสังคมในมุมต่างๆ มากมาย (ไว้เราจะมานั่งคุยกันเรื่องนี้ต่อ) ที่เห็นชัดที่สุดคือเด็กที่เกิดมาเป็น ลูกคนเดียว ในบ้านนั้น ย่อมได้รับการประคบประหงมจากพ่อแม่อย่างดีเลิศ บางคนเรียก ลูกคนเดียว ว่า ฮ่องเต้องค์น้อย อยากได้อะไรต้องได้ อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากทำอะไรก็ได้ทำ อีกทั้งพ่อแม่ในยุคที่จีนเริ่มเปิดประเทศนั้นต้องทำงานกันหนักจนไม่มีเวลาให้ลูกสุดที่รัก จึงแสดงความรักด้วย สิ่งของ เพื่อชดเชยความใกล้ชิด ความอบอุ่นที่จะมอบให้ลูก
ให้ลูกรู้สึกดี และตัวเองก็รู้สึกดีไปด้วย รู้สึกว่าอย่างน้อยก็ให้ความสุขกับลูกได้
คำตอบของเพื่อนสัญชาติสิงคโปร์ที่มีถิ่นกำเนิดในบัตรประชาชนว่า China ค่อนข้างมีน้ำหนักพอสมควร ด้วยเพราะเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารของผมส่วนใหญ่นั้นอยู่ในวัยที่ยังหนุ่มสาว และแต่ละคนเกิดหลังปีหนึ่งพันเก้าร้อยแปดสิบทั้งนั้น
ผมยังไม่เห็นว่าพวกเขาเอาแต่ใจตัวเอง แต่เห็นพฤติกรรมการบำเรอตัวเองด้วยการกิน ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด ผมออกจะเห็นด้วยด้วยซ้ำว่า มื้ออาหารสามมื้อในแต่ละวันนั้นเป็นช่วงเวลาที่มีเราสามารถทำให้ตัวเองมีความสุขได้
ได้เอาลิ้นสัมผัสรสชาติอาหารอร่อยๆ จิตใจก็อิ่มเอม
แต่ก็นั่นแหละ ทั้งหมดนั้นย่อมอยู่ในวงเล็บว่า (ถ้าไม่กินเหลือกันขนาดนี้!)
อีกหนึ่งคำตอบจากการสังเกตเอาเอง ผมรู้สึกว่าคนจีนให้ความสำคัญกับการกินค่อนข้างมาก เหมือนเวลาที่เราดูหนังจีนแล้วมีฉากที่เจ้าบ้านสักท่านจัดเลี้ยงแขกเหรื่อก็ต้องเตรียมอาหารให้พร้อมสรรพ หรือจะพูดให้ถูกก็ต้องบอกว่า ให้ล้นๆ เข้าไว้ เอากันขนาดที่ว่า แขกเห็นแล้วจะต้องตกใจ อาจเหมือนที่จาบอกกับผมว่า คนจีน รักหน้า ของตัวเองมากๆ คือ เสียหน้า ไม่ได้เด็ดขาด
เป็นไปได้ไหมว่า นิสัยสั่งอาหารให้เยอะเข้าไว้จะติดตัวมายังลูกหลานเหลนโหลน?
อีกทั้งผมยังสังเกตเห็น ความสุข ระหว่างกินของคนจีน ร้านอาหารที่นี่บรรยากาศทางโสตประสาทไม่ต่างไปจากตลาดโชคชัยสี่ เสียงตะเบงโต้ตอบกันโขมงโฉงเฉงไม่แพ้ควันอบอวลที่ลอยออกมาจากอาหารจานร้อน พวกเขาพูดคุยและหัวเราะกันเสียงดังราวกับกำลังอยู่ในงานปาร์ตี้ฉลองปีใหม่ ขนาดนั่งยัดแฮมเบอร์เกอร์เข้าปากในแมคโดนัลด์ก็ยังหัวเราะร่าลั่นร้าน หากโต๊ะไหนเงียบไร้ซึ่งเสียงโช้งเช้ง มีข้อสันนิษฐานเพียงสามประการ หนึ่ง, กำลังทะเลาะกันอยู่ เลยไม่อยากคุยกัน สอง, เป็นหนุ่มสาวที่เพิ่งรักกันใหม่ๆ คุยกันต้องกระซิบข้างๆ หู และสาม, โต๊ะนั้นเป็นใบ้!
ความสุข ที่ว่ายังแสดงออกผ่านท่วงท่าในการกินของชาวจีนอีกด้วย ผู้ดีไทยอาจสอนลูกหลานให้ค่อยๆ ตักข้าวเข้าปาก อ้าปากอย่ากว้างนัก เคี้ยวเบาๆ ระวังจิ้งจกบนเพดานจะตื่น อย่าพูดคุยบนโต๊ะอาหาร ยิ่งใครร้องเพลงบนโต๊ะอาหารล่ะก็ ระวังจะได้แฟนแก่! แต่สำหรับคนจีน ถ้าร้องได้ก็ร้องเลย คนจีนกินข้าวด้วยความเมามันอย่างยิ่ง ยกชามข้าวขึ้นมา พุ้ยข้าวเข้าปาก โยกตัวซ้ายขวา เคี้ยวเสียงดังลั่นแสดงให้เห็นถึงความมันในการกินอาหารอร่อย เวลาได้นั่งข้างๆ คนที่เคี้ยวข้าวเสียงดังๆ นี่มันน้ำย่อยหลั่งดีมิหยอก เหมือนเวลาดูหนังตลกในโรงที่คนขำเสียงดังๆ นั่นแหละ
ทุกครั้งที่พวกเรากำลังจะเดินเข้าร้านอาหาร ผมจึงรู้สึกราวกับกำลังก้าวขาเข้า แดนเนรมิตร ช่วงเวลาหฤหรรษ์มาถึงอีกแล้ว!
สาเหตุที่มาของพฤติกรรม กินเหลือ ยังคงค้างคาอยู่ในผนังพุงของผม ซึ่งผมคาดว่าหลังจากได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของประเทศชาตินี้ ผมอาจเข้าใจอะไรมากขึ้น ระหว่างนี้ก็ต้องจับตะเกียบคีบของเหลือๆ อันโอชานั้นเข้าปาก เคี้ยวดังๆ โยกตัวซ้ายขวา ทำหน้าพริ้มอย่างมีความสุขในทุกมื้อไปพลางๆ ก่อน
หากหนึ่งปีหลังจากนี้ ผมมีอันจำเป็นต้องเปลี่ยนนามปากกาไปเป็น พุงกลม ก็เห็นจะไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด
ก็ในเมื่อการกินที่นี่มันมี ความสุข ซะขนาดนั้น
Create Date : 17 มีนาคม 2550 |
|
29 comments |
Last Update : 17 มีนาคม 2550 11:48:17 น. |
Counter : 478 Pageviews. |
|
|
|
| |
โดย: Vingt-Neuf IP: 58.136.61.121 17 มีนาคม 2550 12:59:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: เจน IP: 158.108.86.88 17 มีนาคม 2550 13:00:09 น. |
|
|
|
| |
โดย: yayaa IP: 203.188.3.57 17 มีนาคม 2550 13:01:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: jummdcu IP: 203.188.3.57 17 มีนาคม 2550 13:22:48 น. |
|
|
|
| |
โดย: ปอนด์ IP: 203.113.57.70 17 มีนาคม 2550 14:32:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: p. IP: 58.9.78.34 17 มีนาคม 2550 15:08:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: หมี IP: 125.25.6.107 17 มีนาคม 2550 16:16:20 น. |
|
|
|
| |
โดย: Yoawarat 17 มีนาคม 2550 16:35:10 น. |
|
|
|
| |
โดย: ระริน IP: 203.188.15.173 17 มีนาคม 2550 19:05:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: hero IP: 58.10.146.163 17 มีนาคม 2550 19:12:00 น. |
|
|
|
| |
โดย: Qingqing IP: 124.121.80.211 17 มีนาคม 2550 19:13:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: ป้อจาย 17 มีนาคม 2550 20:46:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: ภูมิ IP: 124.120.5.135 17 มีนาคม 2550 22:49:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: **tiew IP: 203.172.35.199 17 มีนาคม 2550 22:56:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: **tiew IP: 203.172.35.199 17 มีนาคม 2550 22:56:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: น. ณ. ทะเล้น IP: 203.156.28.243 17 มีนาคม 2550 23:38:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: ตี๋ IP: 203.156.37.62 18 มีนาคม 2550 0:25:43 น. |
|
|
|
| |
โดย: นิ้วกลม IP: 218.1.88.34 18 มีนาคม 2550 2:22:52 น. |
|
|
|
| |
โดย: pattararanee IP: 203.118.73.149 18 มีนาคม 2550 2:46:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: เอ (กลม) IP: 125.24.240.147 18 มีนาคม 2550 4:10:26 น. |
|
|
|
| |
โดย: Modz(มด) IP: 58.137.48.4 18 มีนาคม 2550 11:21:40 น. |
|
|
|
| |
โดย: เอ IP: 58.136.71.47 23 มีนาคม 2550 11:48:59 น. |
|
|
|
| |
โดย: จอม IP: 125.25.159.30 25 มีนาคม 2550 2:06:03 น. |
|
|
|
| |
โดย: จอม IP: 125.25.204.33 25 มีนาคม 2550 3:24:34 น. |
|
|
|
| |
โดย: เอ IP: 58.136.71.79 26 มีนาคม 2550 9:22:51 น. |
|
|
|
| |
โดย: สิ IP: 58.8.93.13 29 มีนาคม 2550 22:57:03 น. |
|
|
|
| |
|
|
roundfinger2547 |
|
|
|
|
อ่านไปก็คิดไปว่า
เดี๋ยวพี่เอ๋ต้องพูดถึง "พุง" แน่ๆ
ปิดท้ายไม่พลาด พุงกลม จริงๆ
555555555555555
ขอขำอีกครั้งค่า
นึกภาพว่าถ้ามีโอกาสเจอพี่เอ๋ครั้งหน้า
จะแบกพุงมาขนาดไหนกัน