{บ้านพักฝากอากาศ ณ เซี่ยงไฮ้}
 
มีนาคม 2550
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
17 มีนาคม 2550

0004: อาหารที่ดี ต้องกินตอนสุขๆ (ศุกร์ 2007.03.16)

หลังจากได้ร่วมรับประทานอาหารรสเลิศ (เหินห่าวชือ) มาหลายมื้อ สิ่งที่เกิดขึ้นในทุกมื้ออาหาร (ยกเว้นก็แค่เวลาที่เราไปนั่งจกเฟรนช์ฟรายเข้าปากที่ร้านแมคโดนัลด์) คือ ทุกคนรอบโต๊ะจะร่วมมือร่วมใจกันสั่งอาหารในชนิดที่เรียกได้ว่า “ถล่มทลาย” คือถล่มกระเป๋าสตางค์ และทลายกระเพาะอาหาร แต่ละจานก็ไม่ใช่เล็กๆ และที่สำคัญ ไม่เคยมีมื้อไหนเลยที่จะกวาดกันจนเกลี้ยง มักมีอาหารหลายจานเหลือทิ้งไว้ให้ความวาวมันของน้ำมันที่เคลือบหมู เห็ด เป็ด ไก่ และผักในจานสะท้อนแสงไฟบนเพดานเล่น วาบวาบ!

อืม มันสะท้อนมาเข้าตาผมด้วย!

แม้จะรู้ดีว่าผนังพุงขยายจนพองเป็นก้อนกลม แม้สมองจะสั่งว่า “อิ่มแล้วนะโว้ย” แต่ผมก็อดไม่ได้ทุกทีที่จะเอาตะเกียบหนีบหมู เห็ด เป็ด ไก่ และผักในจานใส่ปากด้วยความเสียดาย นั่นทำให้ผมมักจะเป็นคนสุดท้ายที่วางตะเกียบเสมอ

ดูไปก็เหมือนตะกละ บางขณะก็ดูคล้ายหิวโหย แถมในสายตาของคนจีนบางคนก็ยังเสี่ยงต่อการถูกมองว่า “เอ็งไม่เคยกินอาหารดีๆ แบบนี้หรืออย่างไร?” แต่ผมไม่ค่อยสนใจสายตาเพื่อนร่วมโต๊ะ ผมเสียดายชีวิตหมูในหม้อที่สละมาให้พวกเราอร่อยกันมากกว่า ครั้นจะกินไม่คุ้มก็เกรงใจมัน ทั้งยังเกรงใจแม่ของมันที่อุตส่าห์อุ้มท้องตั้งนาน ก่อนที่จะเบ่งมันออกมาด้วยใบหน้าเหยเก

วันนั้นในภัตตาคารร้านใหญ่ “นีโม่” ลูกน้องในทีมคนหนึ่งพูดกับผมขณะที่ผมกำลังร่ายตะเกียบเก็บ+เกี่ยวของที่พวกเขากินเหลือไว้หลายอย่างหลายจาน “ท่าทางคุณจะหิวมาก” ผมหัวเราะ ปฏิเสธไป บอกว่าจริงๆ น่ะอิ่มแล้ว แต่อาหารมันอร่อย เลยอยากกินให้หมด

ชาวต่างชาติชอบบอกว่าคนไทยสุภาพและขี้เกรงใจ นี่ผมก็กำลังพูดจาอ้อมค้อมกว่าปกติ

แต่แล้วก็เห็นว่าน่าจะเป็นโอกาสในการไขข้อสงสัย ผมจึงหันไปถามนีโม่ว่า “ทำไมคนจีนชอบกินเหลือ?” นีโม่หน้านิ่งไม่ไหวติงกับคำถาม ราวกับว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาของโลก เอ็งจะถามทำไม แทนที่จะตอบ เขาถามผมกลับ “ที่เมืองไทยไม่กินเหลือกันเลยใช่ไหม?” ผมพยักหน้า บอกกับเขาว่า “ถ้ากินแบบนี้ที่เมืองไทย มีหวังถูกเพ่นกบาล คนไทยสอนตลอดเลยว่า ให้กินข้าวให้หมดจาน เพราะกว่าชาวนาจะปลูกขึ้นมาได้แต่ละเม็ดไม่ใช่ง่ายๆ” นีโม่ยังงหน้านิ่งเหมือนปลาที่อ้าปากค้างอยู่ในจานอาหารบนโต๊ะ ต่างก็แค่ นีโม่เป็นปลาการ์ตูน

เขาหันมาตอบผมด้วยใบหน้าแน่นิ่ง “ตอนเด็กๆ ก็อาจจะเป็นแบบนั้น พ่อแม่ก็ไม่อยากให้กินเหลือ แต่ตอนนี้หาเงินเองได้แล้วก็ใช้ให้เต็มที่ อยากกินอะไรก็กิน ดูแลตัวเองได้” ผมรับฟัง เขาพูดต่อ “อืม อีกเหตุผล ผมว่ามันอาจเป็นข้อแตกต่างกันระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว กับ ประเทศกำลังพัฒนาก็เป็นได้” ผมสงสัย “คุณหมายถึงประเทศไหนที่พัฒนาแล้ว จีนหรือไทย?” ซึ่งจริงๆ ผมคิดว่ามันไม่ใช่คำตอบทั้งสองประเทศน่ะแหละ แต่นีโม่มีคำตอบให้ผม “จีนสิ พัฒนาแล้ว”

ผมปล่อยบทสนทนาไว้อย่างนั้น นั่งทบทวนตัวเอง อืม ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง อย่างน้อยก็ยังดีที่ความไม่พัฒนาของเราช่วยให้เราไม่ใช้สอยทรัพยากรของโลกอย่างสิ้นเปลืองเกินไปนัก

ผมคิดว่าพฤติกรรมกินเหลือของประชาชนชาวจีนนั้นมีที่มา เพียงแค่ว่าอาจต้องศึกษาค้นคว้ามากกว่านี้ เพราะมองดูแล้วมันออกจะลงรากเป็น “วัฒนธรรม” มากกว่า “พฤติกรรม” เสียด้วยซ้ำ

และผมว่าคำตอบจากปากนีโม่ไม่น่าจะเป็นคำตอบที่ถูกต้องสักเท่าไร

อีกวันหนึ่ง ผมลองเอ่ยปากถามกับเอลวิสดูบ้าง “ทำไมคนจีนชอบสั่งอาหารมาเยอะ แล้วกินเหลือ?” เอลวิสหัวเราะกับคำถาม แล้วนึกคำตอบประมาณครึ่งนาทีก่อนให้เหตุผลเชื่อมโยงกับ “นโยบายลูกคนเดียว” ซึ่งเป็นนโยบายที่จีนคิดขึ้นเพื่อจำกัดจำนวนประชากรไม่ให้ล้นประเทศ เริ่มกันตั้งแต่ปลายทศวรรษที่หนึ่งเก้าร้อยเจ็ดสิบ ชาวจีนจะมีลูกได้ครอบครัวละหนึ่งคนเท่านั้น ซึ่งนโยบายนี้ส่งผลกระทบกับเด็กที่เกิดขึ้นมาและสังคมในมุมต่างๆ มากมาย (ไว้เราจะมานั่งคุยกันเรื่องนี้ต่อ) ที่เห็นชัดที่สุดคือเด็กที่เกิดมาเป็น “ลูกคนเดียว” ในบ้านนั้น ย่อมได้รับการประคบประหงมจากพ่อแม่อย่างดีเลิศ บางคนเรียก “ลูกคนเดียว” ว่า “ฮ่องเต้องค์น้อย” อยากได้อะไรต้องได้ อยากกินอะไรก็ได้กิน อยากทำอะไรก็ได้ทำ อีกทั้งพ่อแม่ในยุคที่จีนเริ่มเปิดประเทศนั้นต้องทำงานกันหนักจนไม่มีเวลาให้ลูกสุดที่รัก จึงแสดงความรักด้วย “สิ่งของ” เพื่อชดเชยความใกล้ชิด ความอบอุ่นที่จะมอบให้ลูก

ให้ลูกรู้สึกดี และตัวเองก็รู้สึกดีไปด้วย รู้สึกว่าอย่างน้อยก็ให้ความสุขกับลูกได้

คำตอบของเพื่อนสัญชาติสิงคโปร์ที่มีถิ่นกำเนิดในบัตรประชาชนว่า “China” ค่อนข้างมีน้ำหนักพอสมควร ด้วยเพราะเพื่อนร่วมโต๊ะอาหารของผมส่วนใหญ่นั้นอยู่ในวัยที่ยังหนุ่มสาว และแต่ละคนเกิดหลังปีหนึ่งพันเก้าร้อยแปดสิบทั้งนั้น

ผมยังไม่เห็นว่าพวกเขาเอาแต่ใจตัวเอง แต่เห็นพฤติกรรมการบำเรอตัวเองด้วยการกิน ซึ่งจะว่าไปก็ไม่ใช่สิ่งที่ผิด ผมออกจะเห็นด้วยด้วยซ้ำว่า มื้ออาหารสามมื้อในแต่ละวันนั้นเป็นช่วงเวลาที่มีเราสามารถทำให้ตัวเองมีความสุขได้

ได้เอาลิ้นสัมผัสรสชาติอาหารอร่อยๆ จิตใจก็อิ่มเอม

แต่ก็นั่นแหละ ทั้งหมดนั้นย่อมอยู่ในวงเล็บว่า (ถ้าไม่กินเหลือกันขนาดนี้!)

อีกหนึ่งคำตอบจากการสังเกตเอาเอง ผมรู้สึกว่าคนจีนให้ความสำคัญกับการกินค่อนข้างมาก เหมือนเวลาที่เราดูหนังจีนแล้วมีฉากที่เจ้าบ้านสักท่านจัดเลี้ยงแขกเหรื่อก็ต้องเตรียมอาหารให้พร้อมสรรพ หรือจะพูดให้ถูกก็ต้องบอกว่า ให้ล้นๆ เข้าไว้ เอากันขนาดที่ว่า แขกเห็นแล้วจะต้องตกใจ อาจเหมือนที่จาบอกกับผมว่า คนจีน “รักหน้า” ของตัวเองมากๆ คือ “เสียหน้า” ไม่ได้เด็ดขาด

เป็นไปได้ไหมว่า นิสัยสั่งอาหารให้เยอะเข้าไว้จะติดตัวมายังลูกหลานเหลนโหลน?

อีกทั้งผมยังสังเกตเห็น “ความสุข” ระหว่างกินของคนจีน ร้านอาหารที่นี่บรรยากาศทางโสตประสาทไม่ต่างไปจากตลาดโชคชัยสี่ เสียงตะเบงโต้ตอบกันโขมงโฉงเฉงไม่แพ้ควันอบอวลที่ลอยออกมาจากอาหารจานร้อน พวกเขาพูดคุยและหัวเราะกันเสียงดังราวกับกำลังอยู่ในงานปาร์ตี้ฉลองปีใหม่ ขนาดนั่งยัดแฮมเบอร์เกอร์เข้าปากในแมคโดนัลด์ก็ยังหัวเราะร่าลั่นร้าน หากโต๊ะไหนเงียบไร้ซึ่งเสียงโช้งเช้ง มีข้อสันนิษฐานเพียงสามประการ หนึ่ง, กำลังทะเลาะกันอยู่ เลยไม่อยากคุยกัน สอง, เป็นหนุ่มสาวที่เพิ่งรักกันใหม่ๆ คุยกันต้องกระซิบข้างๆ หู และสาม, โต๊ะนั้นเป็นใบ้!

“ความสุข” ที่ว่ายังแสดงออกผ่านท่วงท่าในการกินของชาวจีนอีกด้วย ผู้ดีไทยอาจสอนลูกหลานให้ค่อยๆ ตักข้าวเข้าปาก อ้าปากอย่ากว้างนัก เคี้ยวเบาๆ ระวังจิ้งจกบนเพดานจะตื่น อย่าพูดคุยบนโต๊ะอาหาร ยิ่งใครร้องเพลงบนโต๊ะอาหารล่ะก็ ระวังจะได้แฟนแก่! แต่สำหรับคนจีน ถ้าร้องได้ก็ร้องเลย คนจีนกินข้าวด้วยความเมามันอย่างยิ่ง ยกชามข้าวขึ้นมา พุ้ยข้าวเข้าปาก โยกตัวซ้ายขวา เคี้ยวเสียงดังลั่นแสดงให้เห็นถึงความมันในการกินอาหารอร่อย เวลาได้นั่งข้างๆ คนที่เคี้ยวข้าวเสียงดังๆ นี่มันน้ำย่อยหลั่งดีมิหยอก เหมือนเวลาดูหนังตลกในโรงที่คนขำเสียงดังๆ นั่นแหละ

ทุกครั้งที่พวกเรากำลังจะเดินเข้าร้านอาหาร ผมจึงรู้สึกราวกับกำลังก้าวขาเข้า “แดนเนรมิตร” ช่วงเวลาหฤหรรษ์มาถึงอีกแล้ว!

สาเหตุที่มาของพฤติกรรม “กินเหลือ” ยังคงค้างคาอยู่ในผนังพุงของผม ซึ่งผมคาดว่าหลังจากได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของประเทศชาตินี้ ผมอาจเข้าใจอะไรมากขึ้น ระหว่างนี้ก็ต้องจับตะเกียบคีบของเหลือๆ อันโอชานั้นเข้าปาก เคี้ยวดังๆ โยกตัวซ้ายขวา ทำหน้าพริ้มอย่างมีความสุขในทุกมื้อไปพลางๆ ก่อน

หากหนึ่งปีหลังจากนี้ ผมมีอันจำเป็นต้องเปลี่ยนนามปากกาไปเป็น “พุงกลม” ก็เห็นจะไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจแต่อย่างใด

ก็ในเมื่อการกินที่นี่มันมี “ความสุข” ซะขนาดนั้น


Create Date : 17 มีนาคม 2550
Last Update : 17 มีนาคม 2550 11:48:17 น. 29 comments
Counter : 473 Pageviews.  

 
55555555555555

อ่านไปก็คิดไปว่า
เดี๋ยวพี่เอ๋ต้องพูดถึง "พุง" แน่ๆ
ปิดท้ายไม่พลาด พุงกลม จริงๆ

555555555555555

ขอขำอีกครั้งค่า
นึกภาพว่าถ้ามีโอกาสเจอพี่เอ๋ครั้งหน้า
จะแบกพุงมาขนาดไหนกัน


โดย: Vingt-Neuf IP: 58.136.61.121 วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:12:59:59 น.  

 
มื้อกลางวันกินก๊วยเตี๋ยวไก่มะระหมดเกลี้ยงเพราะรู้สึกผิดต่อไก่และมะระด้วยเหมือนกัน ขอให้นิ้วกลมอร่อยกับทุกๆมื้อนะคะ


โดย: เจน IP: 158.108.86.88 วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:13:00:09 น.  

 
พี่ก็เป็นคนหนึ่งที่มีความสุขกับการกินค่ะ
ความสุข จากการกินไม่เพียงแต่เพราะอาหารอร่อย บางครั้งอาจเกิดจากความสุขุจากการมีคนทำให้กิน ความสุขจากการมีเพื่อนร่วมโต๊ะที่ถูกใจกัน...

หากเป็น วัฒนธรรมการกิน ของชาวจีนจริง ๆที่จะต้องกินเหลือ ก็นับว่าน่าเสียดายอาหารอร่อย ๆ เหล่านั้นจริง ๆ
น้องนิ้วทำถูกแล้วค่ะ ( พยายามกินเผื่อพี่ ๆ น้อง ๆ ที่อยู่เมืองไทยอยู่ใช่ไหมล่ะ 555 )

ปีหนึ่งผ่านไปอาจไม่ใช่เพียงแค่พุงกลมก็ได้ค่ะ
อาจมีอีกหลาย ๆ อย่างที่กลม อิอิ
หรือว่ากลมไปหมด อิอิ


โดย: yayaa IP: 203.188.3.57 วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:13:01:24 น.  

 
ก๊วนของพี่ก็มีพฤติกรรมลูกครึ่งไทย+จีน
คือสั่งถล่มทลาย แต่ส่วนใหญ่ไม่เคยเหลือเลย
มีความสุขกับการกินเหมือนคอมเม้นท์ที่สามน่ะ
กินจนพุงกลมแล้วอย่าลืมออกกำลังกายอย่างน้อยสามครั้งต่ออาทิตย์นะ
เพื่อสุขภาพที่ดีจ้า


โดย: jummdcu IP: 203.188.3.57 วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:13:22:48 น.  

 
ปอนด์ก็เป็นคนนึง (เหมือนพี่ ญาเลย!) ที่มีความสุขกับการกิน และที่สำคัญ เป็นคนที่ต้องกินให้หมด ไม่ว่าจะไม่อร่อยขนาดไหนก็ตาม มันติดนิสัยอ่ะ เสียดาย เพราะปรุงอาหารไม่เป็นด้วยมั้ง ...ฮิ ฮิ

เออ แต่แปลกนะ ที่น้องคนจีนคนนั้น เขาว่าจีนเป็นประเทศพัฒนาแล้ว(ไม่รู้ว่าด้านไหน) แต่ว่า ข้อมูลที่ทราบมา เขาจัดให้ จีน ยังเป็นแค่ NICS นะ ชั้นเดียวกับไทยเลย ไม่รู้ว่าจะเชื่อใครกันแน่เนอะ

อยู่เมืองจีน ของกินเพียบ ก็น่าอิจฉาตรงนี้แล้... ฮ่า ฮ่า ฮ่า


โดย: ปอนด์ IP: 203.113.57.70 วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:14:32:42 น.  

 
เท่าที่เคยได้ยินมา เค้าว่าคนจีนมีวัฒธรรมอย่างนึงในการเชิญแขกไปทานข้าวค่ะ เวลาที่คนจีนเชิญใครไปทานข้าวแล้วเนี่ย ก็จะต้องเลี้ยงดูปูเสื่อเค้าให้ดีที่สุด แขกทำท่าว่าจะอิ่มก็ต้องเสนอคีบกับข้าวกับปลาให้แขกอีก จนกว่าแขกจะยืนกรานปฎิเสธว่าอิ่มแล้วจริงๆนั่นแหละค่ะ ถึงจะหยุด คงเพราะแบบนี้มั๊งคะเวลาทานข้าวเลยสั่งกับข้าวกันเต็มที่ (คงไม่ทันได้คิดว่ามันจะเหลือทิ้งน่ะค่ะ) แขกจะได้กินอิ่มพุงกลมไงคะ



โดย: p. IP: 58.9.78.34 วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:15:08:51 น.  

 
คิดในทางที่ดี พุงกลมๆ มีไขมันเยอะๆ เอาไว้สู้กับอากาศหนาว หนาวงัยพี่นิ้ว


โดย: หมี IP: 125.25.6.107 วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:16:16:20 น.  

 


ครับกินอาหารอร่อยต้องกินตอนสุข


โดย: Yoawarat วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:16:35:10 น.  

 
555

รักษาหุ่นด้วยนะจ๊ะ


โดย: ระริน IP: 203.188.15.173 วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:19:05:59 น.  

 
เอ๋ ระวังคลอเรสโตรอลหน่อยก็ดีนะ เป็นหว่างนะ

hero เคยได้ยินข่าวนะว่าที่ฮ่องกง เค้าจะออกกฏมาว่า
ถ้าใครกินอาหารที่สั่งมาไม่หมดจะถูกปรับ
แต่ไม่แน่ใจว่าประกาศใช้หรือยัง เพราะตอนนี้ในฮ่องกง
เกิดปัญหาขยะจากเศษอาหารมากเกินไปกำจัดไม่ทัน
hero ว่าก็เป็นความคิดที่ดีนะ ทำให้คนเราต้องรับผิดชอบ
ต่อสังคมเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม ไม่ใช่ว่ามีแต่เงินแล้วจะทำอะไรก็ได้ กินทิ้งกินขว้าง

ยังงี้ต้องใช้นโยบายประเทศเรา เศรษฐกิจพอเพียง
ทำแบบพอดี สงสารคนที่ไม่มีกินตามประเทศยากจนเนอะ

hero ไม่ได้เข้ามาอ่านทุกวัน หรือโพสต์ทุกวันไม่ว่ากันนะเอ๋
รักษาสุภภาพด้วยนะ พระเจ้าคุ้มครองนะค่ะ


โดย: hero IP: 58.10.146.163 วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:19:12:00 น.  

 
อ่านแล้วนึกถึงบทความที่เพิ่งได้อ่านในบล็อกนี้

https://www.bloggang.com/viewblog.php?id=beer87&date=01-12-2006&group=3&gblog=4

เนื้อหาว่าด้วยทรัพยากรสังคม ที่เยอรมัน กินเหลือโดนปรับด้วย

คนจีนที่ยากจนก็ยังมีอีกเยอะแยะนะ คงจะเป็นแค่คนเหลือกินเหลือใช้มั้ง ที่มีพฤติกรรมการกินแบบนั้น

เราก็ชอบกิน ไม่กินอาหารเหลือทั้งเพราะความอร่อยและเสียดาย (จึงมีพุงสะสมมาจนถึงทุกวันนี้ ไว้มาแข่งกันว่าพุงใครกลมกว่ากัน 55 )


โดย: Qingqing IP: 124.121.80.211 วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:19:13:18 น.  

 
แวะมาเยี่ยมค่ะ :)


โดย: tiktokthailand วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:19:34:05 น.  

 
อืม...
เพิ่งได้แวะไปอ่านบล็อกวันอื่นๆ ก็เลยรู้่ว่าพี่เอ๋มีปัญหาเรื่องการเข้า wordpress ไอ้เราก็คิดแล้วเชียวว่าทำไมพี่เอ๋หายไปนาน

ยินดีต้อนรับกลัีบ (โลกของบล็อก) นะคะ :)


โดย: tiktokthailand วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:19:43:50 น.  

 
ผมเคยเห็นคนจีนที่มาเที่ยวเมืองไทย เขาทานอาหารเลอะเทอะมากเลย เศษอาหารวางบนโต๊ะรอบๆจานข้าวของเขาเกลื่อนไปหมดเลยนะครับ ไม่ทราบว่าที่เซี่ยงไฮ้ เขาเป็นแบบนี้กันหรือเปล่าครับ

แปลกดีเรื่องทานเหลือเยอะๆ เหมือนเคยได้ยินว่ามีความเชื่อที่ว่า จักรพรรดิ์จะต้องทานให้เหลือ จะได้มีเหลือกินเหลือใช้ตลอดไป มันจะเกี่ยวไหมครับ เขาก็เลยเอามาใช้กัน เป็นเคล็ดอะไรแบบนี่น่ะ


โดย: ป้อจาย วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:20:46:26 น.  

 
พี่ ผมอ่านสมองไหวในฮ่องกงแล้ว

จ๊าบมาก เขียนดีขึ้นอีกแล้ว งานพี่มันซื่อตรงและเข้าถึงหัวใจผม ภาพอาจเยอะไปหน่อย อาจมีช่วงที่น่าเบื่อไปหน่อย แต่จบได้สวยงามลงตัวเป็นบ้า!

ชอบงานเขียนพี่ครับ กลับมาเมืองไทยเมื่อไหร่
ผมจะรอขอลายเซ็นที่สนามบิน ฮ่าๆ


โดย: ภูมิ IP: 124.120.5.135 วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:22:49:59 น.  

 
เหอๆๆ หวัดดีพี่พุงกลม (เรียกไว้ล่วงหน้า) คิดสภาพพี่อยู่
เซี่ยงไฮ้แล้วฮาวะ คงเหมือนอาเสี่ย มีพุงกลมๆ หนีบกระเป๋าตังค์ 55555555555++


ปล. มารายงานตัวคับป๋มไม่ได้เข้าเน็ตมาซะนาน มาอีกทีพี่เอ๋ย้ายบ้านซะแล้ว ...สุดท้ายขอให้มีความสุขกับงานที่ทำนะ


โดย: **tiew IP: 203.172.35.199 วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:22:56:18 น.  

 
เหอๆๆ หวัดดีพี่พุงกลม (เรียกไว้ล่วงหน้า) คิดสภาพพี่อยู่
เซี่ยงไฮ้แล้วฮาวะ คงเหมือนอาเสี่ย มีพุงกลมๆ หนีบกระเป๋าตังค์ 55555555555++


ปล. มารายงานตัวคับป๋มไม่ได้เข้าเน็ตมาซะนาน มาอีกทีพี่เอ๋ย้ายบ้านซะแล้ว ...สุดท้ายขอให้มีความสุขกับงานที่ทำนะ


โดย: **tiew IP: 203.172.35.199 วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:22:56:42 น.  

 
แวะ (เท่านั้น) มาบอกข่าว
ว่า
นิตยสาร all (ขายในเซเว่นอีเลฟเว่น)
ลงเปิดตัวหนังสือของพี่นิ้วกลมด้วยนะ
แฮะๆ แต่นิ่มยังเขียนยังไม่เก่งเท่าไหร่ อ่านดูวกไปวนมา
แต่ครั้งแรกเปิดหน้านั้นดีใจ ภาพหนังสือและพี่นิ้วกลมเต็ม
ไปหมดเลย

แวะไปเปิดดูก็ได้ ไม่ซื้อไม่ว่ากัน แต่มันวางแผงแล้ววันนี้ ทั่วประเทศ...


ฝากไว้เท่านี้ก่อน ยังไม่อ่านอันใด ตอนนี้อารมณ์มันเกเรเกตุง แค่อยากจะบอกเรื่องนี้มานานแล้วแต่ไม่มีโอกาสเลยแวะมาน่ะ

อากาศมันไกล ระยะทางมันหนาว
น้ำมันก้นจานมันวาว นิ้วกลมพุงขาวใหญ่จัง
...
..
.
เราต่างต้องดูแลตัวเอง(ด้วยนะคะ)


โดย: น. ณ. ทะเล้น IP: 203.156.28.243 วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:23:38:57 น.  

 
มาเหยียบบ้านหลังใหม่ครับน้อง


โดย: ดาริกามณี วันที่: 17 มีนาคม 2550 เวลา:23:50:24 น.  

 
สมาชิกใหม่ แวะมาเยือนบ้านใหม่คับ


โดย: ตี๋ IP: 203.156.37.62 วันที่: 18 มีนาคม 2550 เวลา:0:25:43 น.  

 
โอ้โห โยนหินถามทาง
ได้ความรู้กลับมาเป็นกระบุงเลย
นี่แหละหนา เสน่ห์ของบล็อก

ขอบคุณทุกคนที่ให้ข้อมูลและความรู้ครับ

ติ๊กต่อก สวัสดี

ภูมิ ดีใจที่ชอบ ดีใจมาก ฮ่าฮ่า

ติ้ว หวัดดี ขยันเรียนอยู่เปล่า?

นิ่ม เขียนใน all เหรอ?

พี่เมกิครับ ชั่วเจ็ดที ดีสิบเจ็ดหนครับพี่ เป็นกำลังใจให้อีกแรง

ตี๋ ยินดีต้อนรับครับ มาบ่อยๆ นะครับ


โดย: นิ้วกลม IP: 218.1.88.34 วันที่: 18 มีนาคม 2550 เวลา:2:22:52 น.  

 
เคยได้ยินมาว่า เรื่องทำแท้งในเมืองจีนถือเป็นเรื่องถูกกฎหมาย ซึ่งเป็นผลมาจากเรื่องนโยบายลูกคนเดียวนี่แหล่ะ


โดย: pattararanee IP: 203.118.73.149 วันที่: 18 มีนาคม 2550 เวลา:2:46:57 น.  

 

อืม แค่อ่านก็อิ่ม


โดย: เอ (กลม) IP: 125.24.240.147 วันที่: 18 มีนาคม 2550 เวลา:4:10:26 น.  

 
พุง
พุง
พุง
****
***
**
*
เอาน่าๆ ดีกว่าทิ้งไปเปล่าๆ เสียดาย ทั้งอร่อย+แพง(งกไปมั้ยเนี่ย)

ขอให้มีความสุขกับการกินต่อไปน้าค้า

หวังว่ากลับมาคงไม่บวมจนจำไม่ได้น้า เอิ๊กๆ

สบายดีเน้อพี่เอ๋?

fighting fighting na ka!!



โดย: Modz(มด) IP: 58.137.48.4 วันที่: 18 มีนาคม 2550 เวลา:11:21:40 น.  

 
เอ่อ..อ่านบทนี้แล้วมีอารมณ์ค่ะ อดรู้สึกแบบนี้ไม่ได้อ่ะ
เวลาอ่านไปถึงตรงนี้"ข้อแตกต่างกันระหว่างประเทศที่พัฒนาแล้ว กับ ประเทศกำลังพัฒนาก็เป็นได้” “จีนสิ พัฒนาแล้ว”

แต่ก็นะคะ ใครๆก็รักประเทศตัวเอง คุณนีโม่เป็นคนจีนก็คงรู้สึกอย่างนั้นแต่แหม..ไม่เห็นจะต้องมาดูถูกประเทศเราว่าเป็นประเทศกำลังพัฒนาเลย (ถึงมันจะจริงก็เหอะ แต่ว่าของอย่างนี้พูดไปแล้วคนฟัง ยิ่งเป็นคนที่มาจากประเทศนั้นเค้าจะคิดยังไง มันก็ไม่ต้องพูดออกมาอย่างที่รู้สึกก็ได้นี่นา) ไม่ทราบพี่เอ๋เป็นรึเปล่า เวลาไปต่างประเทศเนี่ยเหมือนเราจะได้เรียนรู้ประเทศตัวเองมากขึ้นเลยนะคะ ได้รู้ในอีกมุมมองว่าคนต่างชาติเค้าคิดกับประเทศไทยยังไง และความรู้สึก ณ ตอนนั้นสำหรับเอมักนำมาซึ่งความรักและความภูมิใจในประเทศไทยมากขึ้นน่ะค่ะ เพื่อนๆเอแซวว่าเอทำงานให้ททท.อยู่บ่อยๆ ฮ่า ฮ่า

เอยอมรับนะคะว่าในแง่เศรษฐกิจเนี่ยจีนอาจจะพัฒนาล้ำหน้าไทยไปบ้าง แต่ไม่ใช่ด้านสังคม หรือผู้คนเป็นแน่ เวลาไปเมืองจีนมักรู้สึกเสมอๆว่าประเทศจีนเนี่ยพัฒนาไปไกลกว่าคนในประเทศ คือพัฒนาไปแต่ตัววัตถุ แต่คนยังไม่พัฒนาหรือก้าวตามไปน่ะค่ะ ดูได้จากเมืองเซินเจิ้นที่สร้างเลียนแบบฮ่องกงทุกอย่าง แต่ถ้าเทียบเรื่องผู้คนแล้วสองเมืองนี้ต่างกันมากเลยค่ะ ใครว่าคนไทยขับรถไม่มีมารยาท ต้องลองไปจีนดูก่อน หรือว่าคนไทยไม่มีระเบียบเข้าคิวห้องน้ำไม่เป็น (มักไปยืนเข้าคิวหน้าห้องน้ำแต่ละห้อง แทนที่จะต่อแถวเดียวแบบญี่ปุ่นหรือฝรั่ง) แต่ลองไปเจอ รบราแย่งห้องน้ำกับคนจีนดูก่อน แล้วอีกเรื่องก็คือการถ่มน้ำลาย อิอิ

ถ้าพี่เอ๋ไปศึกษาค้นคว้าเรื่องนี้มาแล้วก็อย่าลืมมาเล่าสู่กันฟังบ้างนะคะ อยากรู้ค่ะ แต่เอก็เชื่อว่าเรื่องการรักษาหน้าเนี่ยมีส่วนอยู่มากค่ะ


โดย: เอ IP: 58.136.71.47 วันที่: 23 มีนาคม 2550 เวลา:11:48:59 น.  

 
จากสะดือ ก็เป็นพุง (อิอิ)


โดย: จอม IP: 125.25.159.30 วันที่: 25 มีนาคม 2550 เวลา:2:06:03 น.  

 
พออยู่เซี่ยงไฮ้ไปสักพัก ก็คงต้องเขียนหนังสือ "ทีมเซี่ยงไฮ้" หรือ "ค้างคาวกินเซี่ยงไฮ้" เป็นแน่


โดย: จอม IP: 125.25.204.33 วันที่: 25 มีนาคม 2550 เวลา:3:24:34 น.  

 
ฮ่า ฮ่า คุณจอมเอามาจาก "ทีมปลาดิบ" แล้วก็ "ค้างคาวกินปลาดิบ" ของคุณเรียวตะ ซูซูกิ ใช่มั๊ยคะ เราก็ชอบอ่านเหมือนกันค่ะ สนุกดี


โดย: เอ IP: 58.136.71.79 วันที่: 26 มีนาคม 2550 เวลา:9:22:51 น.  

 
พี่เอ๋ มีพี่ท่านนึงชื่อพุงกลมแล้ว พี่เอ๋ก็ชื่อลงพุงแทน!!


โดย: สิ IP: 58.8.93.13 วันที่: 29 มีนาคม 2550 เวลา:22:57:03 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิกช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

roundfinger2547
Location :
1155 North Shaanxi Road, BLK 1, Room 2103, Shanghai, China

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 10 คน [?]




นิ้วกลม คือ ผู้ชายที่ชอบกินป๊อกกี้คนหนึ่ง
Free Hit Counter
[Add roundfinger2547's blog to your web]