|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
31 | |
|
|
|
|
|
|
|
จุดเริ่มต้น
ปี 2540 ตอนนั้นเจ้าลูกชายของผมกำลังเรียนอยู่ชั้น ป.1 วัยกำลังน่าฟัดสุดๆ ปากเปราะขี้อ้อน อยากได้อะไรตามใจทุกอย่าง โดยเฉพาะของที่เพื่อนบ้านเค้ามีนี่ เราต้องมีบ้างอย่าให้น้อยหน้า
วันนั้นผมซื้อเกมส์ชนิดหนึ่งให้ลูกได้เล่น เด็กๆเรียกมันว่าเกมส์เพลย์ ชื่อเต็มมันคือ Play Staytion ออกวางตลาดใหม่ๆเลยตอนนั้น ก็ด้วยความที่เห่อของเล่นเหมือนกับพ่อแม่คนอื่นนั่นแหละ ไม่อยากให้ลูกเราน้อยหน้าเพื่อน ลูกบอกคำเดียวรีบพาไปซื้อให้เลย ราคาห้างตอนออกมาใหม่ๆจำได้ว่าควักกระเป๋าจ่ายไปไม่น้อย ลูกชายยิ้มหน้าบาน ส่วนพ่อมันปลื้มสุดๆที่เห็นลูกดีใจได้ของ
หลังจากนั้นเป็นต้นมา เจ้าลูกชายก็ตั้งหน้าตั้งตาเล่นเกมส์อยู่ลำพังในห้อง ผมจะให้เค้าได้เล่นหลังจากทำการบ้านเสร็จทุกครั้งหลังเลิกเรียน ลูกชายผมเป็นคนหัวดี สมองไว บวกลบคุณหารเลขเก่ง เราเองเห็นลูกเก่งหัวไวแบบนั้นก็อยากให้เค้าได้พัฒนาสมองและไหวพริบ ได้ยินเค้าว่ากันว่า การที่ให้เด็กได้เล่นเกมส์บ่อยๆนั้น ถือเป็นการช่วยพัฒนาบุคลิกภาพและไหวพริบของเด็ก เราเองก็เห็นดีเห็นงามไปกับเค้าด้วย เห็นว่าลูกมีความสุข ยิ้มได้ หัวเราะได้ก็เป็นปลื้ม ลูกบอกว่าชนะเกมส์นี้แล้ว ผมก็ยิ่งปลื้มหนักเข้าไปใหญ่ ทำไมลูกชายพ่อมันเก่งยังงี้น้อ
ผมรีบบึ่งรถไปที่ห้างไกลบ้านเพื่อถามพนักงานขายว่า ตอนนี้มีแผ่นเกมส์อะไรใหม่ๆที่เข้ามาบ้าง ถ้ามี ผมจะรีบซื้อให้ลูกได้เล่นทันที ก็ด้วยความหวังที่ว่าลูกคงจะมีสมองและไหวพริบที่พัฒนาขึ้นไปอีกขั้น โดยไม่คำนึงถึงรูปแบบของเกมส์ที่เล่นเลยว่าโหดร้ายเพียงไร
ลูกชายมีความสุขอยู่กับการพิชิตเกมส์ เกมส์แล้วเกมส์เล่า เค้าต้องเป็นที่ 1 เพราะเค้าคือ "ฮีโร่" ผู้พิชิต
และจากนั้นมา ผมก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานหาเงินด้วยความสุข สุขเพราะเห็นลูกหัวเราะและสนุกสนานเฮฮา ... จนเวลาล่วงไป
ลูกชายของผมเข้าเรียนในชั้น ป.5 จากเกมส์เพลย์ที่เคยเล่นก็คงเริ่มน่าเบื่อ ลูกชายบอกกับผมว่าให้ผมติดตั้งระบบอินเตอร์เน็ตในบ้าน เพราะตอนนี้เค้าเริ่มมีอินเตอร์เน็ตใช้เล่นเกมส์ออนไลน์ในบ้านกันแล้ว
ผมสงสัยว่าอะไรคือเกมส์ออนไลน์ ลูกบอกว่ามันเป็นเกมส์ที่เล่นในคอมพ์พิวเตอร์ สามารถเล่นกับเพื่อนได้ทีละหลายๆคนพร้อมกัน ลูกบอกให้ผมเอาคอมพ์ตัวที่ใช้งานในร้านไปเพิ่มแรมให้สูงขึ้น ตอนนั้นผมก็ตื่นเต้นไปกับเค้าด้วย "อินเตอร์เน็ต" มันทำให้ผมหูผึ่ง
ผมรีบจัดการทุกอย่างตามที่ลูกบอกทันที วันนั้นผมรีบปรึกษาพรรคพวกที่มีความรู้เรื่องอินเตอร์เน็ต และไม่กี่วัน ลูกชายของผมก็ได้เล่นเกมส์ออนไลน์สมใจ
แต่ ... วันนี้แหละที่ผมกำลังจะมาบอกว่า ... ผมคิดผิดจริงๆที่ทำอย่างนั้น เพราะระยะหลังๆลูกเริ่มเล่นเกมส์ถี่ขึ้น สนใจการเรียนน้อยลง กลุ่มเพื่อนที่คบหากันส่วนมากก็เป็นเพื่อนที่เล่นเกมส์ด้วยกัน หนังสือหนังหาตอนนี้ไม่ต้องพูดถึง แทบไม่ได้แตะก็ว่าได้ เสาร์-อาทิตย์แบมือขอตังค์ไปบ้านเพื่อนจับกลุ่มเล่นเน็ต เล่นเกมส์ ผมก็ยังตามใจลูกเช่นเคย ก็ด้วยความสงสารนั่นแหละไม่อยากเห็นลูกจับเจ่าอยู่ที่บ้านลำพัง เห็นว่าแค่ประเดี๋ยวประด๋าวเดี๋ยวก็กลับ ไม่ได้ไปตั้งแก๊งค์ตีหัวหมาด่าแม่ใครที่ใหน
"ปล่อยๆมันเถอะลุ๊ง ดีกว่ามันไปซิ่งมอเตอร์ไซค์กวนชาวบ้านเค้า" เพื่อนบ้านบางคนชอบบอกมาอย่างนี้อยู่บ่อยๆ
มันก็จริง แต่วันนี้ไม่เจอกับตัวก็ไม่รู้ ถ้าเลือกปฎิบัติได้ ขอเลือกที่จะให้ลูกเป็นแบบอื่นจะดีกว่า
ตอนนั้นผมเลือกที่จะให้ลูกได้เล่นเกมส์ด้วยเหตุผลเดียวคือ ดีกว่าปล่อยให้เค้าไปเที่ยวเตร่เฮฮา จับกลุ่มตั้งแก๊งค์เถื่อนกับเพื่อนๆ กวนใครต่อใคร และแล้วกฎก็เริ่มมีขึ้นบ้างเล็กน้อยเพื่อให้ลูกได้รู้จักเวลาเล่นที่เหมาะสม
หลังจากเลิกเรียนต้องหยิบหนังสือมาอ่านทบทวนอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ให้ออนไลน์ 2 ชั่วโมง จะเล่นอะไรก็ได้ จากนั้นอาบน้ำ กินข้าว เข้านอน ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์อนุญาตให้ไปบ้านเพื่อนได้ ...
มีอยู่วันหนึ่งหลังเลิกเรียน ลูกชายพาเพื่อนสนิทที่เรียนอยู่ห้องเดียวกันมาบ้านด้วย 1 คน ขออนุญาตผมว่าเพื่อนขอค้างที่บ้านพราะมันไม่กล้าเข้าบ้าน "กลัวพ่อมันกระทืบเอา"
ผมถามว่าเป็นอะไรทำไมพ่อต้องกระทืบด้วย ลูกบอกว่าวันนี้เพื่อนมันหนีเรียนไปเล่นเกมส์ทั้งวัน ครูเลยโทรไปบอกพ่อมัน หลังจากเลิกเรียนตอนมันเข้าบ้านพ่อมันไล่กระทืบ เลยต้องหนีมานี่ ผมถามลูกว่า แล้วเราหนีเรียนไปกับเพื่อนด้วยหรือเปล่า ? ลูกตอบว่า "เปล่า ไม่หนี ไม่กล้า ถ้าผมหนีครูก็ต้องโทรมาหาพ่อแล้วสิ"
เย็นวันนั้นผมให้ลูกเข้าครัวไปเจียวไข่ทำกับข้าวให้เพื่อนกิน หลังจากพากันอาบน้ำเสร็จสรรพก็ให้เข้านอนกันเลยทั้งสองคน และไม่อนุญาตให้เล่นเกมส์
เช้ามาผมยื่นตังค์ให้คนละ 50 บาทเพื่อเป็นค่ารถไปโรงเรียน และได้กำชับบอกเพื่อนลูกว่าให้เข้าบ้านไปก่อนเดี๋ยวพ่อแม่เป็นห่วง
ตอนสายวันเดียวกันครูที่ปรึกษาของลูกโทรเข้ามือถือของผม ครูถามว่าเมื่อคืนเห็นเด็กมาทีบ้านหรือเปล่า พ่อแม่เค้าเป็นห่วงมาก พากันออกตามหาลูกกันทั้งคืนไม่ได้นอนกันเลย ผมบอกครูไปตามตรง เล่าเรื่องให้ฟังโดยละเอียด ครูที่ปรึกษายื่นโทรศัพท์ให้ผมได้คุยกับคุณแม่ของเพื่อนลูก
เธอบอกว่าได้เข้ามาตามหาลูกชายที่หายไปเมื่อคืนที่โรงเรียน จนป่านนี้ยังไม่เจอหน้าลูกชายเลย เธอพูดไปร้องไห้ไปน่าเห็นใจยิ่งนัก ส่วนเจ้าลูกชายของผมมาเรียนตามปกติ บอกว่าเมื่อเช้าหลังจากลงจากรถก็แยกกันเลย เพื่อนบอกว่าจะเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อนแล้วค่อยไปโรงเรียน ลูกบอกว่าก็ยัง งงๆ อยู่เหมือนกันว่า มันไปทางใหนของมันอีก?
"สงสัยมันคงกลัวพ่อมันกระทืบเอามั๊ง พ่อมันดุมาก" เป็นประโยคสุดท้ายที่ลูกบอกผมทางโทรศัพท์ ก่อนที่จะยื่นมือถือคืนครูที่ปรึกษาไป ...
สรุปหลังจากเหตุการณ์วันนั้นเพื่อนเจ้าลูกชาย ไม่ได้กลับเข้าบ้านเป็นเวลา 3 วัน เหตุผลเดียวคือกลัวพ่อกระทืบ
เรื่องเด็กติดเกมส์ยากนักที่จะแก้ไขนิสัยเดิมได้ ยิ่งปล่อยให้เล่นมากเท่าไรก็ยิ่งเล่นมากเกินเท่านั้น ลองห้ามสิ ผมว่าคงต้องตายกันไปข้าง เหมือนที่เป็นข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์ที่เห็นกันอยู่บ่อยๆ
ตอนนั้นผมให้ลูกเล่นเป็นเวลาครั้งละไม่เกิน 2 ชั่วโมงที่บ้าน ลูกไม่เคยบ่นให้ได้ยินว่าให้เล่นน้อยไปหรือมากไป เสาร์อาทิตย์ขอไปบ้านเพื่อนพอบ่ายก็กลับเช่นเคย ไม่เคยสร้างปัญหาอะไรให้ปวดหัว
แต่ ... ม.1 เทอม 2 ก่อนจะสอบปลายภาคไม่กี่สัปดาห์ ผมต้องใจหายเมื่อได้รับโทรศัพท์จากครูที่ปรึกษาของลูก ครูบอกว่า ลูกชายของผม"หนีเรียน"
ผมรีบบึ่งรถไปพบครูที่ปรึกษาที่โรงเรียนทันที หลังจากที่ได้คุยกับครูในตอนนั้น ครูได้ให้รายละเอียดว่า จริงๆแล้วลูกชายของผมโดดเรียนมาแล้ว 2 หนด้วยกัน หายไปเป็นวันๆ ไม่มีใบลา ไม่บอกไม่กล่าว หายไปกันทั้งกลุ่ม รวม 4-5 คน มีเพื่อนเจ้าปัญหาคนนั้นด้วย "วันนี้ก็พากันโดดอีก" ตอนนี้ทางโรงเรียนกำลังให้สารวัตรนักเรียนออกไปตามป่านนี้ยังไม่เจอตัว ...
ผมขับรถตามหาลูกชายทั่วทุกซอกมุม ที่มีร้านเน็ตร้านเกมส์หลังจากที่คุยกับครูที่ปรึกษาเสร็จ แต่ก็ไร้วี่แวว ตอนนั้นผมโกรธมาก หงุดหงิดสุดๆ นึกน้อยใจตัวเองที่เลี้ยงดูลูกดีทุกอย่างไม่เคยห่างตา ตามใจอย่างดีไม่มีบกพร่อง แต่ลูกกลับตอบแทนด้วยการโดดเรียน ไม่เชื่อฟังคำสอน อยากจะด่าอยากจะว่าให้สาสมจริงๆ เฮ้อ !!!
ตอนเลิกเรียนของวันนั้น ผมเห็นเจ้าลูกชายเดินมาแต่ไกลพร้อมกับพี่สาวซึ่งนั่งรถเมล์มาด้วยกัน ลูกชายแต่งตัวเรียบร้อยเป็นปกติ ส่วนผมพยายามสงบสติอารมณ์ เพื่อไม่ให้ลูกรู้ว่า ผมรู้เรื่องที่ลูกกับเพื่อนพากันโดดเรียนแล้ว และวันนี้ผมไปพบครูที่ปรึกษาที่โรงเรียนมา ส่วนเจ้าพี่สาว หลังจากยกมือไหว้ผมเสร็จก็เดินแหกปากร้องเพลงเข้าบ้านไป เจ้าลูกชายยกมือไหว้ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ผมค่อยๆคุยกับลูก ถามถึงที่ไปที่มา และเรื่องการเรียนในวันนี้ ลูกโกหกว่า วันนี้อยู่ที่โรงเรียนทั้งวัน เรียนหนัก ...
ลูกพยายามจะโกหกต่อไปเรื่อยๆจนผมเกือบหมดความอดทน ในที่สุดตอนท้ายจึงต้องบอกให้ลูกรู้ว่าพ่อรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว วันนี้พ่อไปโรงเรียนพบครูที่ปรึกษามา เจ้าลูกชายตกใจหน้าถอดสีจนทำอะไรไม่ถูก พูดจาตะกุกตะกักจับต้นชนปลายไม่ได้ บอกเพียงเหตุผลที่ต้องโดดเรียนไปเล่นเกมส์กับเพื่อนว่า
"ที่บ้านมันเล่นไม่สนุก ไม่มีเพื่อน" ???
เย็นวันนั้นผมกับลูกชายทะเลาะกันแรงมาก ต่างฝ่ายต่างตะแบงใส่กันจนเกือบจะลงมือลงไม้ ผมขู่ว่าจะลบเกมส์ทุกอย่างออกจากเครื่องให้หมดและจะไม่ให้เล่นอีกต่อไป เจ้าลูกสาวรีบออกมาห้ามทัพดึงตัวพ่อไว้
แล้วบอกให้น้องชายรีบเข้าห้องไปไม่ต้องออกมาอีก ...
(แสดงความเห็น ฝากความเห็นไว้หน้าถัดไป มีต่อครับ)
Create Date : 24 พฤษภาคม 2552 |
|
0 comments |
Last Update : 28 พฤษภาคม 2552 21:01:44 น. |
Counter : 901 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|