space
space
space
 
กุมภาพันธ์ 2567
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
2526272829 
space
space
7 กุมภาพันธ์ 2567
space
space
space

มาฆบูชา กับ หัวใจพระพุทธศาสนา มาฆบูชา กับ หัวใจพระพุทธศาสนา 235 จากราชคฤห์นั้น เวฬุวันแผ่ความร่มเ
มาฆบูชา กับ หัวใจพระพุทธศาสนา


มาฆบูชา กับ หัวใจพระพุทธศาสนา

235 จากราชคฤห์นั้น เวฬุวันแผ่ความร่มเย็นแห่งมาฆบูชา

     ย้อนกลับไปนิดหนึ่ง ได้เล่าข้ามไป คือเมื่อพระเจ้าพิมพิสารเลื่อมใสแล้ว ก็ได้ถวายวัดแห่งแรก คือ วัดเวฬุวัน นี้

     “เวฬุวัน” แปลว่า  ป่าไผ่ เรามาในที่นี้  ด้านนอกๆ ก็ยังเห็นต้นไผ่ที่เราเดินผ่าน ไม่ทราบว่าไผ่นี้จะสืบมาจากพุทธกาล หรือเป็นไผ่ปลูกใหม่ แต่จะอย่างไรก็ตาม  ก็เป็นบรรยากาศที่ทำให้ หวนระลึกไปถึงวัดเวฬุวันซึ่งมีความหมายว่าเป็นป่าไผ่ ในสมัยพุทธกาลคงจะมีต้นไผ่มากกว่านี้มากมาย

     พระพุทธเจ้าได้เสด็จประทับที่นี่ในพรรษาที่ ๒ (พรรษาแรกจําที่ป่าอิสิปตนมฤคทายวัน) ถือว่า เป็น วัดแรกในพระพุทธศาสนา

     เหตุการณ์สําคัญต่อมา ก็คือ ทรงได้อัครสาวกซ้ายขวา คือพระสารีบุตร และพระมหาโมคคัลลานะ

     ตามประวัติเล่าว่า พระมหาโมคคัลลานะ บวชได้ ๗ วัน ก็ได้บรรลุอรหัตตผล ส่วนพระสารีบุตรนั้นมีปัญญามาก ได้บรรลุอรหัตตผลทีหลัง น่าสังเกตว่า มีปัญญามาก กลับบรรลุทีหลัง

     พระอรรถกถาจารย์อธิบายว่า เหมือนกับพระเจ้าแผ่นดิน หรือแม่ทัพใหญ่ๆ เวลาจะเคลื่อนทัพไปก็ช้า อืดอาด ไม่เหมือนกับชาวบ้านทั่วไป จะไปไหนก็ไปได้ปุํบปั๊บทันที

     แสดงว่า พระสารีบุตร เพราะปัญญาของท่านมาก ท่านก็เลยคิดเยอะ ไตร่ตรองพิจารณา ทวนหลัง ทวนหน้า สืบหาเหตุปัจจัยต่างๆ เหมือนพระราชาที่ว่า จะยกทัพ จะเคลื่อนย้ายพลกายไปที่ต่างๆ ก็ล่าช้าหน่อย แต่เมื่อพระสารีบุตรเป็นพระอรหันต์แล้ว ก็คือลาภอันยิ่งใหญ่ของพระพุทธศาสนา เพราะเป็นกําลังสําคัญที่สุดของพระพุทธเจ้า

     พระพุทธเจ้าตรัสสรรเสริญพระสารีบุตร นอกจากในฐานะที่เป็นเอตทัคคะในทางมีปัญญามากแล้ว ยังตรัสอีกว่า พระสารีบุตรสามารถแสดงพระธรรมจักรได้แม้นเหมือนพระองค์ทีเดียว (เช่น ม.ม.๑๓/๖๐๙; ม.อุ. ๑๔/๑๖๕; องฺ.เอก.๒๐/๑๔๕)

     พระธรรมจักร นี้ เรารู้กันว่าเป็นพระสูตรสําคัญที่แสดงหลักการของพระพุทธศาสนา พระสารีบุตรสามารถแสดงพระธรรมจักรได้แม้นเหมือนพระองค์ เพราะฉะนั้นจึงเป็นกําลังยิ่งใหญ่ของพระพุทธเจ้า เรียกอย่างสมัยนี้ว่าเป็นมือขวา ตรงกับที่เรียกว่าเป็นอัครสาวกเบื้องขวา

     พระสารีบุตรบรรลุอรหัตตผล ๑๕ วัน หลังจากที่ได้บวช และได้บรรลุธรรมนั้น ณ ถ้ำสุกรขาตา ที่เราผ่านไปตอนขึ้นเขาคิชฌกูฏเมื่อวาน ก่อนจะถึงพระคันธกุฎี

     ถ้ำสุกรขาตานั้น เป็นจุดที่พระสารีบุตรได้ฟังพระพุทธเจ้าแสดงธรรมแก่ทีฆนขปริพาชก ขณะนั้นพระสารีบุตรนั่งอยู่เบื้องหลัง เรียกว่า ถวายงานพัดอยู่ ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ของพระพุทธเจ้า เบื้องพระปฤษฎางค์ก็คือข้างหลังนั่นเอง

     ตอนนั้น พระสารีบุตรเป็นสัทธิวิหาริก เป็นลูกศิษย์ ก็จึงดูแล ปฏิบัติพระอุปัชฌาย์ พัดถวายพระพุทธเจ้า เมื่อพระพุทธเจ้าทรงแสดงธรรมแก่ปริพาชก พระสารีบุตรก็เลยได้ฟังด้วย เมื่อฟังจบพระสารีบุตร ก็ได้บรรลุอรหัตตผล

     เหตุการณ์มาประจวบตอนนี้ก็พอดีถึงวันเพ็ญเดือนสาม นับจากที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้มา ท่านว่าได้ ๙ เดือนพอดี

     กล่าวคือ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ในวันเพ็ญเดือน ๖ แล้วก็เสด็จมาที่อิสิปตนมฤคทายวัน

     เมื่อแสดงธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ที่อิสิปตนมฤคทายวัน เมืองพาราณสีจําพรรษาแรกที่นั่น หลังออกพรรษาแล้ว เสด็จต่อมายังแคว้นมคธ มาถึงเมืองราชคฤห์นี้และทรงได้อัครสาวก พระองค์ทรงแสดงธรรมโปรดทีฆนขปริพาชก และพระสารีบุตรได้บรรลุอรหัตตผลที่นี่

     รวมเวลาผ่านมา ๙ เดือน พอดี  ถึงวันมาฆปูรณมีคือวันเพ็ญเดือน ๓ เป็นเวลาที่ถือว่ามีความสําคัญ เนื่องจากสมัยก่อนนี้ถือปฏิทินทางจันทรคติวันเพ็ญจึงมีความสําคัญอยู่โดยสามัญ

     นอกจากนั้น อาจเป็นไปได้ว่าวันเพ็ญเดือน ๓ นั้น เป็นวันสําคัญในศาสนาพราหมณ์ด้วย ปราชญ์บางท่านว่าเป็นวันศิวราตรี (แต่เท่าที่พบหลักฐาน ศิวราตรีของพราหมณ์คือวันเดือนดับ = แรม ๑๔ ค่ำเดือนมาฆะ) จะอย่างไรก็ตาม ก็รวมความว่า เป็นวันที่มีความสําคัญในศาสนาเดิมตามประเพณีของชาวชมพูทวีป

     ตอนเย็นวันนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จลงจากเขาคิชฌกูฏมายังพระเวฬุวันนี้ และปรากฏว่ามีพระอรหันต์มาประชุมกันที่พระเวฬุวันนี้ ๑,๒๕๐ องค์  จึงเกิดเป็นการประชุมใหญ่ของพระสาวกขึ้น

     ตอนนั้นยังอยู่ในระยะต้นพุทธกาล แค่ ๙ เดือนเท่านั้นเองหลังจากตรัสรู้ มีพระสาวกมาประชุมกันตั้ง ๑,๒๕๐ องค์ ก็ต้องถือว่าเป็นการประชมใหญ่  เรียกได้ว่าเป็นมหาสันนิบาต

     การประชุมใหญ่ครั้งนี้ มีลักษณะพิเศษ ที่ท่านเล่าไว้ว่า มีองค์ ประกอบ ๔ ประการ คือ

        ๑. วันนั้นเป็นวันเพ็ญมาฆปูรณมี  พระจันทร์เต็มดวง

        ๒. พระภิกษุ  ๑,๒๕๐ รูป มาประชุมกันโดยมิได้นัดหมาย

        ๓. พระภิกษุเหล่านั้น  ล้วนเป็นพระอรหันต์ทั้งสิ้น และท่านเหล่านั้น  เป็นผู้ได้อภิญญา ๖

        ๔. พระภิกษุเหล่านั้นล้วนเป็นเอหิภิกขุ ได้บวชโดยตรงจากพระพุทธเจ้า คือ พระพุทธเจ้าทรงบวชให้เอง

     เนื่องจากมีองค์ประกอบ ๔ ประการ จึงเรียกการประชุมนี้ว่า จาตุรงคสันนิบาต แปลว่า การประชุมที่พร้อมด้วยองค์ ๔ ประการ

     พระพุทธเจ้า ทรงเห็นว่า ความพรักพร้อมอย่างนี้เป็นโอกาสพิเศษ ที่ดีเหมาะแก่การที่จะทรงแสดงธรรมเป็นพิเศษ ก็จึงได้ทรงแสดงโอวาท  ตรัสหลักคําสอนที่เป็นหลักการสําคัญของพระพุทธศาสนา ที่เรียกว่า โอวาทปาติโมกข์

     โอวาท ก็คือ คํากล่าวสอน ปาติโมกข์  แปลว่า ที่เป็นหลัก หรือ เป็นประธาน โอวาทปาติโมกข์ จึงแปลว่า คํากล่าวสอนที่เป็นหลักเป็นประธาน คือคําสอนสําคัญของพระพุทธศาสนา

     คำสอนนี้  มีรวมทั้งหมด ๓ คาถาครึ่ง  พูดง่ายๆว่ามี ๓ ตอน


235 เหตุการณ์ตรงนี้ ที่สาวกยุคปัจจุบันอนุมานว่า พระพุทธเจ้ากับภิกษุพันกว่ารูปเชื่อมจิตคุยกัน  (พูดกันไม่ได้ยิน ถ้าไม่เชื่อมจิต) เขาก็เลยทำพิธีเชื่อมจิตกันบ้างด้วยประการฉะนี้แล.



Create Date : 07 กุมภาพันธ์ 2567
Last Update : 7 กุมภาพันธ์ 2567 7:30:19 น. 0 comments
Counter : 23 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 7881572
Location :
ขอนแก่น Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 7881572's blog to your web]
space
space
space
space
space