space
space
space
 
กุมภาพันธ์ 2567
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
2526272829 
space
space
6 กุมภาพันธ์ 2567
space
space
space

ศรัทธากับปัญญา นำเข้าเฝ้าพระพุทธเจ่า 235ศรัทธาและปัญญา นำเข้าเฝ้าพระพุทธเจ่า บัดนี้เราม
ศรัทธากับปัญญา นำเข้าเฝ้าพระพุทธเจ่า

 
 
235ศรัทธาและปัญญา นำเข้าเฝ้าพระพุทธเจ่า
 

     บัดนี้เรามาถึงเมืองนี้ซึ่งมีความสำคัญดังได้กล่าวแล้ว และได้มาประชุมกันที่พระคันธกุฎีบนยอดเขาคิชฌกูฏแห่งนี้ที่เป็นศูนย์กลางแห่งหนึ่งของการบำเพ็ญพุทธกิจ และศาสนกิจทั้งหมดในการประดิษฐานพระพุทธศาสนา
 
     ฉะนั้น เมื่อเรามาถึงที่นี่แล้ว จึงควรจะได้มีความปลาบปลื้มใจและอิ่มใจว่า เราได้มาเฝ้าพระพุทธเจ้าถึงที่ประทับของพระองค์
 
     พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสประทานพระโอวาทไว้ว่า   แม้พระรูปกายของพระองค์จะล่วงลับไป  แต่พระธรรมวินัยที่พระองค์ทรงแสดงไว้ก็ยังคงอยู่
 
     คำสอนของพระพุทธเจ้านั้น มีทั้งในขั้นของศรัทธา และปัญญาด้วยศรัทธานั้นในแง่หนึ่งเราก็อยากจะมาเฝ้านมัสการพระพุทธเจ้าด้วยการไปดูไปรู้ไปเห็น ไปเยือนสถานที่สำคัญที่เกี่ยวกับพระองค์เราเรียก สถานที่ที่พระพุทธเจ้าเคยเสด็จประทับว่าเป็นเจดีย์ชนิดหนึ่ง
 
     เจดีย์  คือสิ่งที่เตือนใจให้เราระลึกถึงพระพุทธเจ้า เจดีย์นั้นมีหลาย อย่าง และอย่างหนึ่งก็คือ บริโภคเจดียซึ่งแปลว่า เจดีย์คือ สถานที่พระ พุทธเจ้าเคยทรงใช้สอย
 
     พระคันธกุฎี  เป็นสถานที่ที่พระองค์เคยประทับ  เป็นเสนาสนะที่พระองค์เคยใช้สอย  จึงจัดเป็นปริโภคเจดีย์หรือบริโภคเจดีย์ชนิดหนึ่งด้วย
 
     เรามานมัสการพระองค์ที่นี่  คือมานมัสการบริโภคเจดีย์ แต่ที่ สำคัญก็คือ เป็นที่ที่พระองค์เคยประทับอยู่จริง
 
     เมื่อมาถึงมาดูมาเห็นมากราบไหว้ด้วยตัวเองอย่างนี้แล้ว จิตใจของ เราก็เกิดความรู้สึกปลาบปลื้มดื่มด่ำขึ้นมาว่า เราในฐานะที่เป็นชาวพุทธ แม้จะห่างจากพระพุทธองค์โดยกาลเวลาถึง ๒,๕๐๐ กว่าปีและห่างโดย สถานที่ คือเป็นผู้ที่อยู่ในประเทศไทย ซึ่งห่างไกลจากประเทศอินเดีย หรือชมพูทวีป
 
     แม้จะมีความห่างไกลทั้งสองประการนั้น   แต่บัดนี้   เราได้นำตัวเข้า มาใกล้พระองค์ มาอยู่หน้าที่ประทับแล้ว เมื่อน้อมใจรำลึกถึงพระองค์ เราก็มีความรู้สึกปลาบปลื้มใจ ดังที่ได้กล่าวมา เป็นเครื่องเจริญศรัทธา และศรัทธานี้ก็จะน้อมนำจิตใจของเราให้เจริญงอกงามในธรรม แต่ ศรัทธาจะเกิดผลดังกล่าวได้จะต้องสัมพันธ์กับปัญญา
 
     ศรัทธาในพระพุทธศาสนา  ท่านให้เกื้อกูลต่อปัญญา เริ่มแรกก็ประกอบด้วยปัญญา และจะต้องนำไปสู่ปัญญาเสมอ
 
     ศรัทธาของเรานำไปสู่ปัญญาเบื้องต้น  โดยเป็นเครื่องเตือนใจเราให้ระลึกถึงคำสอนของพระองค์  เมื่อเราระลึกถึงพระพุทธเจ้าด้วยศรัทธา ใจเราก็จะน้อมไปถึงคำสอนของพระองค์ จะไม่ติดอยู่แค่พระรูปกายของพระองค์เท่านั้น เราจะนึกไปถึงว่า อ้อ! พระองค์ทรงสอนเราไว้ ให้เราประพฤติ ปฏิบัติดีงามอย่างนี้ๆ เมื่อเราระลึกถึงพระองค์แล้ว ก็มาระลึกถึงคำสอน ของพระองค์ทำให้มีผลในทางปฏิบัติเป็นประโยชน์แก่ชีวิตของเรา
 
     ยิ่งกว่านั้น  เมื่อเราปฏิบัติ  นอกจากมีผลต่อชีวิตของเราเองแล้วก็ยัง มีผลต่อสังคม ต่อเพื่อนมนุษย์ต่อโลก เมื่อทุกคนประพฤติดีปฏิบัติชอบ ตามคำสั่งสอนของพระองค์ก็จะทำให้โลกนี้มีสันติสุขสืบต่อไป
 
    โดยนัยนี้  ศรัทธาจึงต้องนำไปสู่ปัญญา  เรื่องนี้  พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสเตือนอยู่เสมอ  อย่างเช่นพระสาวกองค์หนังในสมัยพุ ทธกาล  เมื่อบวชแล้วก็มีความหลงใหลในพระรูปกายของพระพุทธเจ้า  คือติดใจในพระรูปโฉมของพระพุทธเจ้ามาก  แม้มาบวชก็บวชด้วยความรู้สึกอย่างนั้น  คืออยาก อยู่ใกล้ชิดกับพระพุทธเจ้า จะได้เข้าเฝ้าคอยติดตามพระองค์ได้เรื่อยไป
 
     ท่านผู้นั้นคือ พระวักกลิ  เมื่อบวชแล้วก็คอยติดตามพระองค์ไปโน่น ไปนี่ตลอดเวลา  พระพุทธองค์ทรงมองเห็นความเป็นไปหรือพฤติกรรมเหล่านี้ของพระวักกลิอยู่เสมอ  ทรงปรารถนาประโยชน์แก่พระวักกลิ โดยทรงเห็นว่า  ถ้าพระวักกลิมามัวแต่ติดใจอยู่กับพระรูปกายของพระองค์ก็จะไม่ก้าวหน้าในธรรม จะอยู่แค่ในขั้นศรัทธา ควรให้ศรัทธานั้นนำสู่ปัญญาสืบต่อไป คือศรัทธานั้น ควรจะเป็นสื่อนำไปสู่การปฏิบัติเพื่อ ชีวิตที่ดีงามของพระวักกลิเอง จนบรรลุถึงความเป็นอิสระด้วยปัญญา พระองค์จึงทรงรอเวลา
 
     เมื่อพระพุทธเจ้าจะตรัสจะสอนอะไร  พระองค์จะทรงตรวจดู ความพร้อมของบุคคล เช่น ทรงตรวจดูความแก่ของอินทรีย์ หรือความสุกงอมของอินทรีย์ก่อน
 
     ในกรณีของพระวักกลินี้ เหตุการณ์ก็ดำเนินมา จนกระทั่งวันหนึ่ง พระพุทธเจ้าก็ได้ตรัสออกไปเป็นการให้สติแก่พระวักกล
 
     แต่วิธีตรัสของพระองค์  บางครั้งก็ทรงใช้ถ้อยคำที่ค่อนข้างรุนแรงบ้าง เพื่อต้องการให้สะดุดหรือกระตุก เพื่อทำให้เกิดความรู้สึกที่สะท้อน ขึ้นมา หรือทำให้เกิดการคิดขึ้นใหม่ ที่จะก้าวต่อไปได้อันจะนำไปสู่ผลที่ ดีงามสืบไปข้างหน้า
 
     วันหนึ่ง  พระพุทธเจ้าได้ตรัสแก่พระวักกลิว่า  
 
        ดูกรวักกลิ  เธอจะตามดูไปทำไมกับร่างที่เป็นอยู่เน่าได้นี้   ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นเรา  ผู้ใดเห็นเรา  ผู้นั้นเห็นธรรม” (เช่น สํ.ข. ๑๗/๒๑๖)  
 
     พระองค์ยังตรัสไว้  ณ  ที่อื่นอีกว่า  ผู้ใด แม้จะจับมุมชายผ้าสังฆาฏิ ของพระองค์ ติดตามพระองค์ไปทุกย่างพระบาท แต่ถ้าเขาถูกกิเลส  ครอบงำใจ  ก็ชื่อว่าอยู่ห่างไกลจากพระองค์เพราะผู้นั้นไม่เห็นธรรม เมื่อ ไม่เห็นธรรม ก็ไม่เห็นพระองค์
 
     แต่ผู้ใด  ถึงจะอยู่ห่างไกลพระองค์ตั้งร้อยโยชน์   แต่จิตใจมั่นคง  ไม่ถูกกิเลสครอบงำ  ก็ชื่อว่าอยู่ใกล้พระองค์  เพราะผู้นั้นเห็นธรรม  เมื่อเห็นธรรม  ก็เห็นพระองค์  (ขุ.อิติ. ๒๕/๒๗๒)
 
     พระดำรัสนี้เป็นพุทธพจน์ที่สำคัญ  เรามักจำกันได้แต่ท่อนที่ว่า  “ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นเรา”  หมายความว่า เพียงแต่มาติดตามพระองค์  มองเห็นพระวรกายของพระองค์นี้  ไม่ใช่เป็นการเห็นพระองค์อย่างแท้จริง  แต่เมื่อใดเห็นธรรม เมื่อนั้นจึงจะชื่อว่าเห็นพระพุทธเจ้า
 
     ขอย้ำพุทธพจน์ที่พระองค์ตรัสเตือนไว้  “ผู้ใดเห็นธรรม  ผู้นั้นเห็นเรา  ผู้ใดเห็นเรา  ผู้นั้นเห็นธรรม”  หมายความว่า การเห็นองค์พระพุทธเจ้า  กับการเห็นธรรมนั้น  มีความหมายเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
 
     ถ้าผู้ใดจะติดตามพระองค์เพื่อดูพระวรกายแล้ว  ผู้นั้นก็จะไม่ได้เห็นอะไร  นอกจากขันธ์ ๕ ที่มีความแตกดับเสื่อมสลายไปได้  ถ้าจะเห็นพระพุทธเจ้าที่แท้จริงก็ต้องเห็นธรรม
 
     อันนี้เป็นคำตรัสเตือนสติที่สำคัญมาก และเป็นการโยงศรัทธาไปสู่ปัญญา  เป็นการใช้ศรัทธาให้เป็นประโยชน์
 
     ศรัทธาที่เกิดจากการมีความเลื่อมใสในองค์พระพุทธเจ้า  อย่างที่เรามานมัสการพระองค์  ณ  สถานที่นี้จะเป็นเครื่องเตือนใจเรา ให้ระลึกต่อไปถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า  คือตัวธรรมะ  และพยายามประพฤติปฏิบัติให้เกิดผลต่อชีวิตอย่างแท้จริง
 



Create Date : 06 กุมภาพันธ์ 2567
Last Update : 6 กุมภาพันธ์ 2567 7:32:49 น. 0 comments
Counter : 43 Pageviews.
(โหวต blog นี้) 

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 
space

สมาชิกหมายเลข 7881572
Location :
ขอนแก่น Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]






space
space
[Add สมาชิกหมายเลข 7881572's blog to your web]
space
space
space
space
space