|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
.....~~สุริยาวาทกรรม ตอนที่๑~~.....
นิยาย #1 สุริยาวาทกรรม ตอนที่ ๑
ณ รังสิภาณุรัฐ
วสันตาลัยราชนิเวศน์แทรกตัวท่ามกลางแมกไม้เขียวขจีแห่งหุบเขาสูงชัน ละไอหมอกยามดวงตะวันยังมิแย้มพรายที่ปลายฟ้าคลอเคลียยอดพฤกษาสูงชันอันบดบังตัวราชนิเวศน์ไว้เกือบสิ้น หากแต่หอคอยยอดแหลมเสียดฟ้ายังยืนเด่นสง่างามเหนือทิวไม้รกทึบทั้งมวล
ราชนิเวศน์ฤดูฝนถูกประดับตบแต่งด้วยหินอ่อนสีขาวนวลทั้งพระตำหนัก แม้นส่วนอื่นเป็นอาคารสามชั้นภายในประกอบด้วยเฉลียงทางเดินยาวเรียงรายด้วยเสาหินอ่อนสูงและซุ้มโค้งเป็นระยะ ปีกตะวันออกกลับมีเพียงสองชั้น ถึงกระนั้นปลายทางด้านหนึ่งคือบันไดโค้ง ราวบันไดสีทองฉลุลวดลายสลักวิจิตรงดงาม พรมแดงหนาหนักทอดไปสู่ทางขึ้นไปหอคอยรังสิมันตาลัยที่ได้นามมาจากแสงตะวันแรกแห่งวันที่ฉายอาบตัวหอคอยก่อนพระตำหนักส่วนอื่น
ร่างสูงเพรียวยืนเกาะราวระเบียงแห่งรังสิมันตาลัย นัยน์ตาสีเงินส่อแววล้ำลึกเป็นประกายสีกุหลาบชมพูอมส้มเมื่อแสงตะวันเริ่มทอพ้นขอบฟ้า เบื้องหน้าด้านล่างคือป่าสนแวดล้อมด้วยดอกไม้ป่านานาพันธุ์ชูช่อส่งกลิ่นหอมอบอวลรับรุ่งอรุณ เสียงน้ำตกกระเซ็นสายลอยแว่วมาตามสายลม
วสันตาลัยคือที่ประทับของเจ้านายเชื้อพระวงศ์แห่งรังสิภาณุรัฐ แคว้นเอกแคว้นหนึ่งในบรรดาแคว้นน้อยใหญ่ที่ยืนเหนือเทือกเขาซับซ้อนนามว่าอัณนาปุระณา
ร่างแบบบางถอนหายทัยที่ความหนาวเย็นยะเยือกแห่งต้นฤดูหนาวทำให้ม้วนตัวเป็นไอหมอกขาวจางๆ ก่อนหันกลับย่างเท้าปราดเปรียวอย่างเงียบกริบในเฉลียงทางเดินมืดสลัว แสงเทียนริบหรีส่องระริกด้วยแรงวายุในอัจกลับแก้วที่ติดส่องสว่างวับแวววาม ประติมากรรมหินอ่อนและสำริดโลหะข้างทางดูราวมีชีวิตยามต้องแสงเทียนและช่อไฟโคมแก้วระย้าบนเพดานที่เผยให้เห็นลวดลายเทพเทวาประโคมเสียงดนตรี หากแต่สิ่งเหล่านี้มิได้ทำให้สมาธิแน่วแน่ของผู้เป็นเจ้าของนัยน์ตาเงินประกายได้หวั่นไหวเลย ร่างเปรียวยังคงดำเนินตรงไปยังห้องที่ประทับ
วรองค์ขาวสูงเปลี่ยนฉลองพระองค์ผ้าไหมตบแต่งด้วยไข่มุกและลูกไม้ละเอียดอ่อนช้อยยาวคลุมถึงข้อพระหัตถ์และกระโปรงยาวกรอมข้อพระบาทเป็นฉลองพระองค์ทะทัดทะแมง เสื้อคอปกลูกไม้แขนยาว กางเกงรัดพระองค์ยาว ฉลองพระหัตถ์หนังสีดำเข้มและรองเท้าบูธดำยาวเกือบถึงพระชงฆ์ สำหรับพระองค์หญิงพิระตาคือฉลองพระองค์ที่เหมาะสมในการกิจธุระที่พระองค์ได้ใคร่ครวญมาเป็นเวลานาน
‘พระองค์หญิง จะเสด็จไหนแต่เช้าเพคะ’ เสียงพระนมร้องทักดังขึ้น พลางรูดผ้าม่านหนาหนักสีแดงเข้มที่กั้นที่ประทับส่วนพระองค์และห้องสมุดส่วนพระองค์แล้วรวบไว้ด้วยเกลียวไหมสีทองสลับเงิน ‘ไปธุระสิจ๊ะนม อยู่นี่มาตลอดฤดูฝนแล้ว หญิงอยากไปเที่ยวที่อื่นบ้าง’ ‘อะไรกันเพคะ จะเสด็จแต่เช้านี้เลยหรือเพคะ ได้มีพระกระแสรับสั่งตามทหารองครักษ์ส่วนพระองค์แล้วหรือเพคะ ถ้ายัง เดี๋ยวหม่อมฉันจะจัดการบอกให้’ พระนมนำถาดเงินลวดลายละเอียดรองพระกระยาหารเช้าวางตั้งไว้โต๊ะข้างพระที่ ก่อนเดินไปเปิดผ้าม่านเหนือพระที่ของพระองค์หญิง แสงแดดอ่อนฉายเข้ามาในห้องส่วนพระองค์ที่ตบแต่งด้วยสไตล์หลุยส์ฝรั่งเศสอย่างที่ผู้เป็นเจ้าของทรงหลงใหลนัก พรมสีแดงเลือดหมูทอลายยกดอกสีทองอ่อนเป็นรูปตราประจำพระองค์ เพดานแขวนโคมไฟคริสตัลระย้าและประดับไว้ด้วยลายสลักนูนตื้นเป็นดอกกุหลายห้ากลีบ ผนังทุกด้านแต่งไว้ด้วยกรอบไม้ล้อมรอบผ้าไหมสีชมพูหวาน ทอยกลายประจำพระองค์เช่นกัน ‘ไม่ต้องหรอกจ้ะนม คราวนี้ฉันขอเดินทางคนเดียวบ้างนะ’ ‘ไม่ได้เด็ดขาดเพคะพระองค์หญิง ยามนี้ยังทรงพระอิศริยยศเป็นพระองค์หญิงอยู่นะเพคะ จะเสด็จไหนต้องมีผู้อารักขา จนกว่าจะมีพระชนมายุยี่สิบเอ็ดชันษาบริบูรณ์’ พระนมเสียงเข้ม ‘จนกว่าจะบรรลุนิติภาวะน่ะหรือ อะไรกันจ๊ะนม ถ้าฉันอายุยี่สิบเอ็ดเมื่อไหร่ก็ยังต้องมีคนอารักขาอยู่ดีนั่นแหล่ะ อันที่จริงสมควรต้องมีคนคุ้มกันเยอะกว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะทูลหม่อมพ่อตรัสแล้วว่าวันนั้นฉันจะต้องดำรงตำแหน่งเจ้าฟ้าหญิงแห่งรังสิภาณุรัฐเต็มตัว มีภารกิจของแคว้นทั้งแคว้นค้ำคอ’ ‘ดูพูดเข้าเพคะ ไม่ได้ล่ะ ทูลหม่อมพ่อทูลหม่อมแม่ ไหนจะพระองค์ชายอีก ทรงไม่มีวันยอมให้เสด็จไหนพระองค์เดียวหรอกเพคะ’ ‘โธ่ นมพูดเสียยังกับไม่รู้จักพี่ชาย รายนั้นน่ะ โปรดการผจญภัยยิ่งนัก’ ‘อ้อ พระองค์หญิงก็เลยโปรดด้วยใช่ไหมล่ะเพคะ’ ‘สมแล้วที่รู้ใจฉันจริงๆ ยังไงเสีย ตอนนี้พี่พีรภัทรก็ไม่อยู่จ้ะ เสียใจด้วย แต่เอ ฉันว่าตอนนี้ชักกลัวเสียแล้วซี นมช่วยไปปลุกทหารองครักษ์ฉันให้ด้วยแล้วกันนะ ฉันจะรอที่นี่แหล่ะจ้ะ บอกว่าฉันจะไปตำหนักคิมะตาลัยก็แล้วกันนะ’ พระนมไม่ทันสังเกตแววตายิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ของพระองค์หญิง ‘ต้องอย่างนี้สิเพคะ รอแวบเดียวนะเพคะ หม่อมฉันจะรีบจัดการให้’
แค่ทันที่ที่พระนมลับตา พระองค์หญิงพิระตาก็รีบรุดไปยังพระทวารลับทางขวาของพระที่ ทรงหมุนเชิงเทียนสำริดสีทองรมควัน ก่อนหายพระองค์เข้าไปตามทางเดินลับแคบๆ ทางเดินยาวนั้นทอดไปยังทางออกลับข้างน้ำตกธรรมดาขนาดย่อม บริเวณนั้นเป็นบ่อน้ำธรรมชาติแต่ตื้นแค่พระชงฆ์ล้อมไปด้วยโขดหินใหญ่น้อย ยามพระองค์หญิงทรงต้องการเวลาส่วนพระองค์จะโปรดเสด็จมาที่นี่ตามลำพังเพื่อวาดภาพ อ่านหนังสือและแต่งโคลงกลอนเป็นประจำ แต่เวลานี้ทรงบ่ายพระพักตร์ไปยังคอกม้า ทรงจูงอาชาทรงตัวโปรดสีขาวล้วนรูปร่างสง่าออกมาก่อนทรงลูบหัวม้าตัวโปรดอย่างคุ้นเคย ‘วันนี้อาจจะเหนื่อยหน่อยนะเมฆา ต้องเดินทางไกลทีเดียว’ เดินทางไกลของพระองค์หญิงพิระตาคือเวลาสองวันหนึ่งคืนเต็มกลางป่าใหญ่ เป้าหมายของพระองค์คือตำหนักภัสสราลัยที่มีนามคล้องจองกับพระอิศริยยศเต็มของพระองค์เอง คือ พระองค์เจ้าหญิงพิระตาประภัสสราวลี พระธิดาพระองค์เล็กในเจ้าหลวงและเจ้านางหลวงองค์ก่อนผู้ล่วงลับผู้ครองแคว้นรังสิภาณุรัฐ ทรงมีพระเชษฐาคือ เจ้าฟ้าชายพีรภัทรวัฒนปรีชาและพระขนิษฐาพระองค์น้อยต่างพระมารดาคือพระองค์หญิงพิมระดีรัตนกัญญา
พระตำหนักนี้คือที่ประทับลับยามพระองค์หญิงทรงต้องการเวลาส่วนพระองค์เพื่อศึกษาศาสตร์แขนงต่างๆด้วยพระองค์เอง แทนที่จะดำเนินรอยตามเชื้อพระวงศ์พระองค์อื่น คือเชิญครูจากสำนักต่างๆในแคว้นมายังพระตำหนัก นอกจากนี้ พระตำหนักลับนี้ยังมีกิจกรรมที่พระองค์หญิงโปรดปรานยิ่งนักคือขี่ม้า ยิงปืนและยิงธนู ‘หญิงพิระตาน่ะ ออกจะเหมือนลูกชาย วันๆชอบเที่ยวเล่นขี่ม้าล่าสัตว์ ยิงธนูเอย อะไรเอย ไม่ได้มีฝีมือทำอาหาร เย็บปักถักร้อยอย่างที่พวกพี่หญิงน้องหญิงเค้าเป็นกันหรอก ต้องหญิงพิมระดีสิ นุ่มนวลอ่อนหวาน สมเป็นขัตติยนารี’ คือสิ่งที่เจ้านางหลวง พระมารดาเลี้ยงผู้มีศักดิ์เป็นพระขนิษฐากับพระมารดาแท้ของพระองค์หญิงพิระตาออกปากเป็นประจำหากต้องตรัสถึงพระธิดาเลี้ยงพระองค์นี้ ความกดดันจากพระมารดาที่ต้องการให้พระธิดาทรงเพียบพร้อมด้วยพระจริยวัตรอย่างกุลสตรีและการถูกนำองค์ไปเปรียบเทียบกับพระขนิษฐาเป็นนิตย์คือสิ่งที่ทำให้พระองค์หญิงพิระตาทรงอึดอัดพระทัยยิ่ง ‘เกิดเป็นผู้หญิงแล้วทำไม ทำไมจะต้องทำตัวให้เหมือนที่มีคนมาสั่งการด้วย สงสัยต้องให้ทูลหม่อมแม่อ่าน On liberty ของ John Stuart Mill เสียแล้วกระมัง จะได้ทรงตระหนักว่าสำหรับฉัน คำว่าเสรีภาพ เป็นสิ่งที่ฉันยึดมั่นถือมั่นพอๆกับที่ทูลหม่อมแม่ยึดในขนบธรรมเนียมประเพณีอะไรนี่ล่ะ’ ทว่าภายใต้ท่าทีไม่ใส่ใจอะไรนั้น แท้จริงพระองค์หญิงพิระตากลับแฝงไปด้วยความมุ่งมั่นที่จะพัฒนาพระองค์เองเพื่อเตรียมรับราชภารกิจในอนาคต อย่างไรก็ตามสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทูลหม่อมพ่อทรงเล็งเห็น ท่าทีเรียบๆสงบๆเฉยเมยเหมือนภูผาอันแข็งแกร่งมั่นคงของพระธิดาพระองค์นี้นั้น ซ่อนความคมกริบแห่งความคิดอ่านและวิสัยทัศน์กว้างไกลไว้อย่างแยบคายยิ่ง ด้วยเหตุนี้ พระบิดาจึงมีพระบรมราชานุญาตให้พระองค์หญิงพิระตาไปร่ำเรียนวิชาการถึงต่างประเทศตั้งแต่พระชนมายุยังเยาว์นักและทรงสำเร็จการศึกษาด้านรัฐศาสตร์และการปกครองมาด้วยพระชนมายุเพียงยี่สิบปี หากแต่การกลับมาแคว้นเกิดเมืองนอนครานี้ พระมารดาก็ยังมีท่าทีเสมือนอย่างเคย ‘ให้อิสระลูกนัก ไปร่ำเรียนเมืองนอกเมืองนามาคราวนี้จะไม่ยิ่งไม่เห็นหัวพ่อแม่หรือ เจ้าพี่นะเจ้าพี่ ทรงคิดยังไงกัน ทีลูกพิมระดีล่ะ ยังไม่เห็นเคยได้ไปไหนมาไหนบ้างเลย หญิงพิระตาน่ะ อย่างมากก็ได้เป็นราชเลขานุการ ไม่ต้องทำงานอะไรมากมายนักหรอก’
พระชนนีทรงคิดผิดถนัด ระหว่างที่พระบิดาได้แต่สายพระพักตร์กับทัศนะคติของเจ้านางหลวง ตำแหน่งที่ทรงวางไว้ให้แก่พระธิดาพระองค์โตคือเจ้าหญิงเสนาบดีการต่างประเทศ! ‘เธออย่าว่าพิระตามากนักเลย ลูกฉันคนนี้ฉลาดไม่ใช่เล่น เพียงแค่คนอื่นมองไม่ออกเท่านั้นเอง ไม่คิดบ้างหรือว่าลักษณะแบบนี้ก็ทำงานอะไรได้’ ทรงหมายความเป็นนัย งานอะไรในที่นี้ ก็คือนักการทูตนั่นเอง ‘เจ้าพี่ ดูอย่างลูกพิมระดีของหม่อมฉันสิเพคะ อ่อนหวานเรียบร้อย เหมาะกับการรับแขกเมืองเป็นที่สุด น้องยังคิดว่า หากมีการประชุมระหว่างแคว้นคราวหน้า หน้าที่ออกหน้าออกตาแคว้น คงต้องตกเป็นของพิมระดีแน่นอน’ อีกครั้งที่เจ้าหลวงทรงถอดพระอัสสาสะ ปัสสาสะอย่างเหนื่อยพระทัย ‘ก็คงเป็นเพราะพิระตาขาดแม่คอยดูแลสั่งสอนกระมัง ถึงได้มีท่าทีกระโดกกระดากแบบนี้’ คราวนี้เจ้าหลวงทรงถึงกับมีพระกระแสรับสั่งเฉียบขาด ‘ปัทมาวดี เธอจำไว้นะ ฉันให้เธอเป็นเจ้านางหลวงเพราะต้องการให้เธอมาดูแลลูกของฉันกับอภิระดี พี่สาวของเธอ พอๆกับให้เธอดูแลแคว้นแทนอภิระดีด้วย’ เจ้านางหลวงปัทมาวดีถึงกับทรงเงียบ
พระองค์หญิงพิระตาทรงตื่นจากภวังค์ นั่นคือสิ่งที่ทรงแอบได้ยินพระบิดาตรัสกับพระมารดาเลี้ยง จิตใจของพระองค์หญิงกลับมาจดจ่อกับหนังสือเล่มหนาบนโต๊ะทรงงาน หนังสือเล่มนั้นคือ The Art of War หรือที่ชาวแคว้นรู้จักกันในนามของพิชัยสงครามแห่งซุนวูและวลีที่ขึ้นชื่อมากนั่นคือ รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง! นัยน์ตาเงินสุกใสเบือนไปทางเบื้องซ้าย ที่ซี่งแฟ้มปกหนังใหญ่หนาหนักกองอยู่อย่างมีระเบียบ นั่นคือข้อมูลทางรัฐศาสตร์ ภูมิศาสตร์และวิเทโศบายโดยเฉพาะการต่างประเทศและการทหารของแคว้นต่างๆที่รายล้อมรังสิภาณุรัฐ แต่ที่วางโดดเด่นบนสุดของกองเอกสารคือแฟ้มขนาดเขื่องที่มีตัวอักษร อรินทรารัฐ พิมพ์พาดอยู่ ตลอดระยะเวลาที่เจ้าหญิงทรงศึกษาศิลปะวิชาการในประเทศอังกฤษ นอกจากทรงทุ่มเทให้กับการศึกษาวิชาการแล้ว ทรงให้ความสำคัญกับการทำความรู้จักแคว้นเพื่อนบ้านอย่างยิ่ง แรงผลักดันสำคัญก็คือการที่แคว้นเหล่านี้เคยเป็นปรปักษ์กับรังสิภาณุรัฐมาตั้งแต่กาลก่อนนั่นเอง หนึ่งในแคว้นเหล่านั้นก็คือ อรินทรารัฐนั่นเอง ‘จำไว้นะหญิงใหญ่ รังสิภาณุรัฐกำเนิดมาได้เพราะความอ่อนแอของเชื้อพระวงศ์สมัยนั้นของอรินทรารัฐ ในอดีตเราเคยเป็นแผ่นดินเดียวกัน เชื้อสายเดียวกัน แต่มีเหตุทำให้เราต้องแยกตัวออกมา ไม่น่าแปลกใจเลยลูก ที่อรินทรารัฐจ้องจะผนวกเราเข้าเหมือนเดิม ตอนนี้เจ้าชายมกุฎราชกุมารองค์ปัจจุบันกำลังทรงมีผลงานโดดเด่นในเวทีการต่างประเทศอยู่ ได้ขึ้นเป็นเจ้าหลวงเมื่อไหร่ เห็นทีเราต้องใคร่ครวญนโยบายการต่างประเทศเสียใหม่’ ‘พี่ชายพีรภัทรล่ะคะ ทรงเอางานเอาการอยู่ มีลูกช่วยอยู่ด้วย ปัญหาคงไม่เกิดขึ้นง่ายจนเกินไป’ ‘ใช่ แต่พีรภัทรเน้นแต่ความแข็งแกร่งด้านการทหาร การปกครองให้คนในแคว้นเรามีความเป็นหนึ่งเดียวกันต้องใช้ความสามารถด้านการครองคนของเจ้าครองแคว้นด้วย พีรภัทรยังไม่มีจุดนี้มากนัก ต้องฝึกอีกมาก ด้านนี้พ่อยังไม่หนักใจ แต่บุคลิกพีรภัทรไม่เหมาะที่จะเป็นตัวแทนของประเทศไปติดต่อกับประเทศอื่นๆ ให้พีรภัทรออกงานด้านนี้ มีแต่ได้รบกับแคว้นเพื่อนบ้าน’ แล้วพระบิดาก็หันมาจ้องนัยน์ตาสีเงินภายในดวงตายาวรีแฝงแววคมกริบอย่างมีความหมาย ‘การปกครองคนในแคว้นคือการอยู่เหนือหัวใจคน ไม่ใช่อยู่เหนือหัวคนเพคะทูลหม่อมพ่อ งานด้านการต่างประเทศในบางคราวก็ต้องการหลักการนี้เช่นกัน!’ แววตาคมกริบจ้องพระบิดากลับอย่างหมายมาด ‘ถ้าก้าวแรกของหญิงคือการไปเรียนต่างประเทศ หญิงคิดว่าจะทำได้ไหมลูก วิชาการของเราเองยังอ่อนนัก ถ้าได้ไปเรียนที่อื่นเสียจะได้เปิดกรอบความคิดมากยิ่งขึ้น’ ‘การเปิดกรอบความคิดไม่จำเป็นต้องไปที่ไหน ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่ใดสักที่แน่นอน ขึ้นกับว่า สมองพร้อมจะกระโจนออกจากกล่องความคิดที่ปิดกั้นไว้หรือไม่เพคะ’ ‘การเดินทางไปเรียนที่อังกฤษของหญิงคราวนี้ พ่อจะให้หญิงเลือกเองว่าจะเรียนด้านไหน ขึ้นกับว่า ลูกพร้อมจะไปเรียนหรือไม่เท่านั้น’ ‘การไปต่างประเทศครั้งแรกนี้ก็เหมือนกับการที่ลูกรับหน้าที่ทูตออกงานราชการ ณ ต่างประเทศครั้งแรกเพคะ การเดินทางของชีวิตจะเกิดขั้นไม่ได้เลยหากไม่มีก้าวแรก หนทางหมื่นลี้ เริ่มต้นด้วยก้าวแรกเสมอ ขอให้ทูลหม่อมพ่อทรงวางพระทัยได้ว่าลูกจะไม่ทำให้ทูลหม่อมพ่อ พี่ชายและรังสิภาณุรัฐผิดหวัง ลูกตัดสินใจออกรบแล้ว ซุนวูว่าไว้ จะบุกต้องไม่กลัวแพ้ จะถอยต้องไม่กลัวเสียเกียรติ ลูกยึดมั่นกับเกียรติยศศักดิ์ศรียิ่งชีพ เพราะฉะนั้น จะมีแต่การบุกและตั้งรับเพคะ ไม่มีการถอยเด็ดขาด!’ และนั่นคือพระดำรัสที่ตรัสไว้ก่อนพระองค์หญิงพิระตาเสด็จไปศึกษาต่อยังสหราชอาณาจักรด้วยวัยเพียงสิบสี่ชันษา!
************
Create Date : 18 ตุลาคม 2550 |
Last Update : 20 ตุลาคม 2552 3:31:50 น. |
|
3 comments
|
Counter : 764 Pageviews. |
|
|
|
โดย: ต้น IP: 202.28.181.10 วันที่: 23 ตุลาคม 2550 เวลา:0:20:06 น. |
|
|
|
โดย: บี IP: 58.9.175.138 วันที่: 25 ตุลาคม 2550 เวลา:2:07:09 น. |
|
|
|
โดย: ต้น IP: 202.28.181.10 วันที่: 27 ตุลาคม 2550 เวลา:21:56:01 น. |
|
|
|
|
|
|
|
เยี่ยมเลย!!!!