Group Blog
 
 
ธันวาคม 2555
 
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
5 ธันวาคม 2555
 
All Blogs
 

รอยทรายบนลายรัก ๑


คุยกันก่อน

สวัสดีค้าบบ... สวัสดีวันพุธ และสวัสดีวันพ่อ
สวัสดีท่านผู้อ่านทุกๆ ท่าน (ไหนๆๆ 55) ที่แวะเวียนมาอ่าน
ได้ฤกษ์งามยามดี ชิงตัดหน้าพี่พลอย
เอานิยายเรื่องใหม่มาลงแล้วค้าบบบ

ขออนุญาตเกริ่นนำสักเล็กน้อยเกี่ยวกับ
นิยายเรื่องใหม่ "รอยทรายบนลายรัก"
ว่าผู้เขียนไม่คุ้นกับสถานที่ ชื่อตัวละคร
และดินแดนทะเลทรายเอาเสียเล้ยยยย
ให้ตายเถอะจอร์ช... แต่ก็ยังถูลู่ถูกังจะเขียน
เพราะอยากลองเปลี่ยนแนวดูบ้าง
เพื่ออวดว่า เขียนได้เหมือนกันนะเฟ้ยยย 555

สำหรับใครที่เป็นคอนิยายแนวทะเลทรายอยู่แล้ว
หากแวะเวียนมาอ่านพบตรงไหนบกพร่อง
ก็บอกกันได้นะครับ ^__^ (จะเป็นความกรุณาอย่างยิ่ง ฮา...)
แต่ถ้าใครไม่ชอบอ่านแนวทะเลทรายเป็นหลัก
ก็อยากให้ลองอ่านอยู่ดี ถือว่าอ่านเอาเล่น อ่านเอาสนุกนะครับ

แล้วพบกันใหม่วันพุธหน้าค้าบบบ

ปล. อัพนิยาย รอยทรายฯ ทุกวันพุธนะค้าบบบ ^_^
ปล.๒ พี่พลอยขี้เกียจ ไม่ยอมเอานิยายมาอัพซะที (กระซิบนินทา 55)



..............................................................by กิรนัจ

รอยทรายบนลายรัก
บทที่ ๑


แสงแดดยามบ่ายร้อนจัด สาดกระทบกับผนังร้านรวงต่างๆ ในชุมชนแออัดจนส่องประกายระยับ เสียงเอะอะโหวกเหวกดุจดนตรีกระชากเกรี้ยวกราดดังกระจายทุกหนแห่ง ผู้คนแน่นขนัดยัดเยียดบนตรอกที่รกเรื้อด้วยซากปฏิกูลและน้ำขัง เศษกระดาษเศษพลาสติกเกลื่อนกระจายไร้ระเบียบบนพื้นถนน และเนื่องจากประชากรส่วนมากในแถบนี้ประกอบอาชีพชำแหละเนื้อ ตั้งแต่ไก่ ปลา เลยรวมไปถึงแกะ แพะ แม้กระทั่งอูฐ กลิ่นเนื้อและเลือดจึงอบอวลทั่ว

คนในชุดชาดอร์สีดำสนิทคลุมหมดจดตั้งศีรษะจรดปลายเท้า เว้นช่องไว้เพียงลูกตากลมโตกับแผ่นมือหนาเดินฝ่ากลิ่นเหม็นคาวเหล่านั้นไปตามทางแคบๆ ซึ่งฝังตัวอยู่ในซอกหลืบของหมู่อาคารโดยมีบุรุษร่างสูงใหญ่ ไหล่กว้างคุ้มกันหลัง เขาสวมเชิ้ตแขนยาวปลดกระดุมบนเผยแผ่นอกกว้างให้พอได้เห็นรำไร เข้าคู่กับกางเกงสีกากี กรามนูนปกคลุมด้วยหนวดเคราเขียวครึ้ม ผมหยักศกสวมทับด้วยหมวกแก๊ปสีเข้ม เอ่ยงึมงำเบาๆ เมื่อมาหยุดตรงปากประตูทางเข้าตึก

“ไม่ผิดแน่ครับ”

คนในผ้าคลุมมิดชิดพยักศีรษะเล็กน้อย แล้วย่างไปต่อด้านหน้า ใกล้กันนั้นมีลังไม้เก่าๆ กับลูกแมวที่นอนหมอบนิ่งส่งสายตาไม่ไว้วางใจ ทั้งคู่ผ่านประตูเขลอะสนิทเข้าตึกเก่าแก่รกร้าง บรรยากาศภายในมืดสลัว อับชื้น จะมีก็เพียงแสงสว่างจัดจ้าที่ลอดเป็นลำยาวผ่านรูระบายอากาศช่องเล็กๆ ขั้นบันไดสุดปลายทางไม่มีราวเกาะ พื้นบันไดพอกฝุ่นหนา ทั้งฝุ่น ทั้งเม็ดทราย

ปีนป่ายขึ้นไปราวๆ สามชั้นจึงพบบุรุษอีกสองคนที่ยืนถือปืนยาวคุมเชิงสองข้างขนาบประตูไม้ ใบหน้าเหี้ยมเกรียมขึงขัง นัยน์ตาโปนโต และหนวดเครายาวรกรุงรังทำให้ทั้งคู่แลดูน่ากลัว แต่ผู้มาเยือนทั้งสองกลับนิ่งสงบราวกับแผ่นกระจก ไม่แสดงออกซึ่งอารมณ์ใดๆ มีเพียงคำพูดบางเบาที่พ้นริมฝีปากของบุรุษผู้มาใหม่ “โซเฟีย สไนเปอร์” แล้วผู้คุ้มกันคนหนึ่งก็ผลักประตูเปิดออก คนในชุดชาดอร์ก้าวเข้าไปในนั้นก่อน ผู้ติดตามจึงสมทบ

ภายในเป็นเพียงห้องโล่ง มีตู้เหล็กสองใบเรียงชิดติดผนัง ด้านในสุดเป็นหน้าต่างซึ่งบัดนี้ตอกตะปูปิดตาย ตรงกลางห้องมีโต๊ะไม้ตั้งอยู่ สุดปลายด้านหนึ่ง ผู้หญิงในชุดทหารลายพรางเข้ารูปสีน้ำตาลอ่อนกำลังนั่งยิ้ม ผมสีทองกับดวงตาสีเขียวเจิดจ้าด้วยเล่ห์กลเหมาะเจาะกับทรวดทรงโค้งเว้าได้สัดส่วน มือขาวสะอาดมีรอยแผลบากตรงกลางหลังมือซ้ายผายเชื้อเชิญอาคันตุกะ สุ้มเสียงสดใสเป็นภาษาอังกฤษชัดเจน

“ฝ่าบาทคงไม่ทรงรังเกียจที่จะประทับนั่ง”

คนมาใหม่เอื้อมเปิดผืนผ้าที่ปกคลุมศีรษะออก เผยให้เห็นเจ้าของร่าง ว่าแท้จริงแล้วเป็นบุรุษวัยประมาณสามสิบ ใบหน้าคมสันได้รูป แนวคิ้วหนาขมวดเล็กน้อย ดวงตามีประกายคล้ายแสงดาว ลึกล้ำ ยากเกินกว่าจะบอกอารมณ์ ริมฝีปากบางเหยียดตรง ผมเผ้ายุ่งเหยิงปรกหน้าผาก ผิวพรรณคร้ามเข้ม ทว่าละเอียดและดุจจะส่องแสงสว่างออกมาได้

ฝ่าบาท ทำตามคำเชิญของหญิงอเมริกันตรงหน้า โดยมีคายัตยืนกำกับอยู่ด้านหลัง โซเฟียยกยิ้มเล็กน้อย พร้อมกล่าว “หม่อมฉันไม่คาดคิดว่าจะได้เห็นเจ้าชายยูซุฟ อัมบาสทรงชุดชาดอร์ของอิสตรี”

นัยยะนั้นค่อนข้างหยามหมิ่นตามน้ำเสียง เจ้าชายยูซุฟสังเกตเห็นองครักษ์ประจำตัวมีทีท่าฮึดฮัดราวกับจะเปิดศึกทางวาจา จึงขยับข้อพระกรเบาๆ เชิงกำชับมิให้ผู้ติดตามเอ่ยอะไรทั้งสิ้น การมีปัญหากับชาวต่างชาติผู้เป็นหน่วยข่าวเพียงแหล่งเดียวที่มีดูจะไม่ส่งผลดีนัก

“เจ้าพบของที่ข้าตามหาหรือยัง”

“ยังไม่พบ” โซเฟียตอบตรงๆ “แต่หม่อมฉันหาตัวคนที่สามารถระบุว่าของชิ้นนั้นอยู่ที่ไหนได้แล้ว”

“ผู้ใดในดินแดนนี้ที่เสด็จลุงทรงไว้วางพระทัยถึงเพียงนั้น”

“ไม่ใช่ชาวเมืองนี้หรอกเจ้าชาย”

เจ้าชายยูซุฟทอดพระเนตรแน่วนิ่งไปยังคนตรงหน้าด้วยความสงสัย โปรตูเซียเป็นเพียงประเทศปิดเล็กๆ ในทวีปตะวันออกกลาง ติดทะเลแคสเปี้ยน ภายในประเทศมีทรัพยากรน้ำมันดิบค่อนข้างมาก จึงเป็นที่สนใจของประเทศต่างๆ ในละแวก พวกนั้นตาลุกวาวทุกครั้งเมื่อโปรตูเซียประสบปัญหาทางการเมือง และพร้อมจะแทรกมือเข้ามาหยิบชิ้นปลามันออกไปทุกเมื่อ ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้โปรตูเซียแทบไม่มีมิตรประเทศที่สามารถไว้วางใจได้ แล้วมีหรือที่เสด็จลุงจะไม่รู้ และปล่อยให้ของสำคัญอย่างเครื่องยืนยันฐานันดรแห่งกษัตริย์ไปตกในมือคนพวกนั้น

ความคลางแคลงในพระทัยขององค์ชายคงสื่อถึงจิตใจโซเฟีย เธอไม่ต้องรอให้พระองค์เอ่ยโอษฐ์ถาม และรีบเฉลย “ไม่ใช่คนแถวนี้หรอกเจ้าชาย เธอเป็นชาวไทย”

“ผู้หญิงไทยหรือ” น้ำเสียงแสดงอาการประหลาดใจชัดเจนดังมาจากปากของคายัต อย่าว่าแต่เพียงองครักษ์ประจำตัวเลยที่คิดแบบนี้ แม้แต่พระองค์ผู้เป็นเจ้าชายก็ยังไม่เข้าพระทัยในการ เลือก ของเสด็จลุงนัก

คนต่างเผ่าพันธุ์ ต่างประเพณี ความเชื่อ วัฒนธรรม และที่สำคัญเธอเป็นผู้หญิง สมควรแล้วหรือที่จะถือของศักดิ์สิทธิ์ซึ่งสืบทอดมาจากต้นตระกูลอันสูงส่งแห่งเปอร์เชีย

“จงพาตัวเธอมาที่นี่” น้ำเสียงประกาศิตเข้มข้นหลุดจากริมฝีพระโอษฐ์

“เกรงจะทำไม่ได้” โซเฟียยกยิ้มที่มุมปาก ยียวนราวกับต้องการลากเอาความกระด้างในจิตใจเจ้าชายยูซุฟออกมาแผ่ “เท่าที่หม่อมฉันสืบมา ตอนนี้ผู้หญิงคนนั้นได้บวชในศาสนาพุทธ ถ้าลักพาตัวเธอมา อาจก่อปัญหากระทบกระทั่งกันระหว่างศาสนา อีกประการหนึ่ง ลูกชายของผู้หญิงคนนั้น กำลังดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมืองในไทย หากจับตัวมา โปรตูเซียคงมีปัญหาระหว่างประเทศแน่ ฝ่าบาทคงไม่อยากเห็นภาพนั้น แม้บัดนี้จะได้ชื่อว่าเป็นกบฎแผ่นดินแล้วก็ตาม”

คนโมโหกลับเป็นคายัตที่เขยิบก้าวมาด้านหน้าเล็กน้อย เจ้าชายยูซุฟผลักหัตถ์ดันเขากลับไปด้านหลัง พระองค์ต้องนิ่งเงียบ และยอมรับในเหตุผลของโซเฟีย ใช่... สิ่งเดียวที่พระองค์ปรารถนาคือความสงบสุขที่จะกลับคืนสู่ดินแดนโปรตูเซีย หาใช่การนองเลือด ไม่ว่าจะจากการรุกรานหรือการสู้รบกันเองในแผ่นดิน และเพราะสิ่งนี้ พระบรมราชโองการสุดท้ายของเสด็จลุงจึงเป็น “ให้ยูซุฟขึ้นครองราชย์” ไม่ใช่ “ให้ฟาอีสขึ้นครองราชย์”

แม้จะเป็นภาติยะขององค์ราชันย์เหมือนกัน เป็นพี่น้องในสายโลหิตแห่งอัมบาสทั้งคู่ แต่พระองค์กับฟาอีสไม่มีวันเหมือนกันสักกระผีก!

“เจ้าจะจัดการอย่างไร” เจ้าชายยูซุฟตรัสถามความคิดเห็น รอยยิ้มยังคงระบายบนวงหน้าสะสวยของโซเฟีย

“หม่อมฉันคิดเรื่องนี้ไว้แล้ว ไม่ต้องห่วง” สตรีต่างชาติเหลือบแลไปทางคายัต นัยน์ตาละม้ายมีเลศนัย “สิ่งที่ฝ่าบาทควรกังวล คือกองกำลังของพระองค์มากกว่า”

เจ้าชายยูซุฟทรงสังเกตเห็นคนถูกหมิ่นด้วยปลายเสียงกำหมัดแน่น ด้วยความที่ไม่อยากให้มีเรื่องราววุ่นวายจึงต้องรีบตัดบท

“เช่นนั้นเจ้าจัดการให้เรียบร้อย” ประทับยืน ดึงผ้าขึ้นคลุมเกสาและปิดบังพักตร์มิดชิด “ข้าหวังว่าจะได้พบกริชราชันย์เล่มนั้นเสียที” แล้วตวัดพระวรกายกลับ ย่างพระบาทออกประตูไปอย่างเงียบเชียบและสุขุมเช่นเดียวกับตอนที่ก้าวเข้ามา





“พี่คิดดูสิ มันน่าประหลาดแค่ไหนที่ในสายพันธุกรรมของคนเราประกอบด้วยเบสสี่ชนิด, หัวใจของคนมีทั้งหมดสี่ห้อง, ธาตุหลักบนโลกใบนี้มีดิน น้ำ ลม ไฟ รวมกันเท่ากับสี่, ทุกๆ สี่ปีเดือนกุมภาพันธ์จะมียี่สิบเก้าวัน, โลกของเราเป็นดวงดาวลำดับที่สี่หากเรียงจากดวงอาทิตย์ ดาวพุธ และดาวศุกร์ ตามลำดับ, เครื่องหมายบวกและคูณซึ่งเป็นเครื่องหมายของการเพิ่มจำนวนนั้นตัดแบ่งพื้นที่ออกเป็นสี่ส่วน, พระพรหมมีสี่หน้า, และแคว้นชีระก็เป็นแหล่งกำเนิดสัญลักษณ์ราชาสี่ชิ้นอันได้แก่ ตราแผ่นดิน, ศิลาขัตติยะ, มงกุฏยอดบัลลังก์ และกริชราชันย์”

“ช่าย... น่าประหลาดมาก ที่เราไม่รวมเมียของพระอภัยมณีเข้าไปด้วย”

“โหย พี่โยเก่งจัง รู้ด้วยว่าพระอภัยมณีมีสี่เมีย” ช้องนางในชุดจั๊มสูทขาสั้นแขนยาวประสานมือเรียวไว้ตรงหน้าอก ทำดวงตาประกายวิ้งเหมือนตัวการ์ตูนสาวช่างฝันผู้แสนอ่อนหวาน “แต่นอกจากนางผีเสื้อสมุทร นางเงือก นางสุวรรณมาลี กับนางละเวงวัณฬาแล้ว นางวาลีถึงเป็นแค่พระสนมก็นับว่าเป็นเมียได้เหมือนกันนะ งั้นสรุปว่าห้าเหอะ”

“พี่ประชดโว้ย” โยธาทุ่มตัวลงบนโซฟาในห้องนั่งเล่นขนาดเล็กหน้าโทรทัศน์จอกว้าง เขาเพิ่งกลับมาจากทำเนียบรัฐบาลหลังประชุมใหญ่เสร็จเมื่อตอนหนึ่งทุ่มกว่า สูทสีเข้มที่สวมไว้ยังไม่ได้ถอด ข้าวยังไม่ได้กิน น้ำยังไม่ได้ดื่ม และตอนนี้คงกำลังตาลายเต็มแก่ “บอกแล้วใช่ไหมว่าให้เลิกอ่านนิยาย เพ้อเจ้อขึ้นทุกวัน นี่อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ พี่ยังหาสาระในตัวเราไม่เจอเลยเฮ้ย แล้วพี่จะกล้าปล่อยให้เราไปขุดดินขุดทรายเล่นที่ต่างประเทศได้ไง”

“เขาเรียกว่าการหาร่องรอยทางประวัติศาสตร์ค่ะ” คนถูกต่อว่าย่นจมูกเล็กบนดวงหน้ารูปไข่เบาๆ เดินทิ้งไหล่ซังกะตายไปนั่งกองเผละข้างๆ พี่ชาย ผมสีน้ำตาลคาราเมลยาวเลยกึ่งกลางหลังที่เพิ่งไปย้อมมาหมาดๆ สยายยุ่ง ช้องนางไม่เข้าใจสักนิด ทำไมพี่ชายเธอถึงดื้อด้านดึงดันไม่ยอมอนุญาตให้เธอไปประเทศโปรตูเซีย ทั้งที่เธอมีเหตุผลมากมายในการเดินทางครั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ทางโน้นอยากได้ตัวเธอไปช่วยบูรณะโบราณสถานเก่าแก่จะแย่ ขนาดลงทุนส่งจดหมายเชิญผ่านทางลุงศักดิ์ชาติเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ของพ่อที่ปัจจุบันเป็นถึงนายกรัฐมนตรีว่า ได้โปรดให้สาวน้อยน่ารักอย่างคุณหนูช้องนางมาช่วยงานพวกเราด้วยเถอะ จะเป็นความกรุณาอย่างยิ่ง งี้! หรือถ้าเธอเป็นผู้ค้นพบเศษเสี้ยวประวัติศาสตร์บางส่วน เธออาจจะได้รับรางวัลโนเบลเอามาฟาดกบาลยัยมิลล่าดาราค้างสต๊อกคู่กัดเธอสักป้าบสองป้าบก็ได้ แต่นี่อะไร เธออ้างเหตุผลร้อยแปดจนปากจะฉีกถึงง่ามขาอยู่แล้ว พี่โยกลับไม่แยแสสักนิด ชีวิตมันบัดซบจริงๆ

โยธาเหล่มองเธอแวบหนึ่ง เป็นหนึ่งแวบที่ช้องนางพยายามส่งกระแสจิตวิงวอน อ้อนวอน และเว้าวอน สื่อเรื่องราวทั้งหมดในความคิดผ่านทางสายตา แต่พี่ชายเธอกลับเมินหนีไปเสียฉิบ

“พี่โยอ่ะ คุยกันดีๆ แบบผู้ใหญ่เขาคุยกันหน่อยสิ พี่ก็บอกเองว่าขิมโตแล้ว เพราะงั้นขิมดูแลตัวเองได้น่า”

วงหน้ารูปหัวใจของคนเป็นพี่หันกลับมาอีกครั้ง ดวงตาอ่อนโยนลง แล้วพาดแขนอ้อมไหล่เธอ พูดเสียงทุ้ม “เพราะเราบอกว่าจะดูแลตัวเองนั่นแหละ พี่ถึงไม่มั่นใจ”

“แรง” คนถูกแซวร้องเสียงแหลม แล้วผลักแขนโยธาออกไป ลุกขึ้น ปัดผมเผ้าเรียบร้อย หน้าตาขึงขัง ชูกำปั้นแน่น ประกาศกร้าว “แต่ขิมจะไป พี่โยไม่มีวันห้ามขิมได้แน่!”

หมอนรองนุ่มๆ บินหวือมาปะทะกับหน้าของเธอจนแทบหงายหลัง ช้องนางโซเซประหนึ่งเพิ่งฟื้นตัวจากการร่ำสุราอันหนักหน่วง พอตั้งหลักได้ก็ส่งสายตาเขียวปั้ดไปยังตัวการที่กำลังหัวเราะร่วน โยธายักคิ้วให้เธอเสียทีหนึ่งอย่างยียวน ยิ้มเย้ยเยาะหยันถากถางทำร้ายจิตใจเธอพร้อมกันในเวลาเดียว

“เราคิดว่าจะได้ไปแบบสบายๆ หรือไงฮึ ไม่รู้เหรอว่าช่วงนี้โจรก่อการร้ายกำลังตีกับรัฐบาลที่โน่นวันเว้นวัน นอนตบพุงฝันกลางวันไปเหอะว่าพี่จะให้ไปน่ะ ไม่มีทาง อ่านปากอีกครั้งนะ ไม่-มี-ทาง”

“ไม่ต้องพูดเลย ที่บ้านเขาเมืองเขาเกิดสงครามก็เพราะพี่โยน่ะแหละ”

“เกี่ยวอะไรวะ”

“ก็ถ้าพี่ยอมให้ขิมไปตามหากริชทับทิมเพื่อมอบคืนเจ้าของที่แท้จริง การสืบต่อบัลลังก์ก็เป็นเรื่องง่ายและชัดเจนถูกไหม เจ้าชายยูซุฟกับเจ้าชายฟาอีสจะได้ไม่ต้องมาแก่งแย่งกันอย่างนี้” หญิงสาวเริ่มรื้อฟื้นเรื่องการตามหากริชทับทิมที่แม่เคยฝากฝังเธอไว้เมื่อนานมากแล้วมาโจมตีพี่ชาย ตั้งท่าเหมือนทนายความยัดเยียดข้อหาจำเลย “คิดดูสิ เพราะความใจแคบของพี่คนเดียวทำให้เพื่อนร่วมโลกต้องสูญเสียตั้งเท่าไหร่ ครอบครัวเคยอบอุ่นต้องแตกแยกพลัดพราก พ่อแม่จากลูก สามีจากภรรยา ค่ำคืนเหน็บหนาวใครเล่าต้องนั่งดูดาวโดดเดี่ยวเดียวดายกลางสายลมทะเลทรายเย็นยะเยียบ มีเพียงกองไฟกองเล็กๆ กับกระติกน้ำเป็นเพื่อน คนดีๆ โดนยิง โดนทำร้ายจนบาดเจ็บ พิการ ตาย เลือดแดงฉานทั่วแผ่นดิน ชาวบ้านขวัญหนีดีฝ่อ หวาดกลัวตลอดเวลา คนเฒ่าชแลแก่ชราต้องทนทุกข์ทรมานเพราะลูกหลานถูกเกณฑ์ให้จับอาวุธฟาดฟันกันเอง ลูกเล็กเด็กแดงเพิ่งเกิดถูกปลูกฝังภาพความรุนแรงจนกลายเป็นบาดแผลในใจจนยากเกินเยียวยา เฮ้อ แค่คิดน้ำตาก็จะไหลแล้ว น่าสงสาร ขิมล่ะละอายใจจริงๆ ที่พี่ชายคนเดียวของขิมไม่มีมนุษยธรรมเอาเสียเลย” หญิงสาวแสร้งเอานิ้วซับที่หางตา

“น้อยๆ หน่อยไอ้น้องปีศาจ ทำเป็นอ้างโน่นอ้างนี่ ที่เราอยากไปโน่นไม่ใช่เพราะอยากจับเจ้าชายมาทำผัวหรอกเรอะ”

“หยาบคาย!!” หญิงสาวกรีดร้องเสียงแหลมปรี๊ด แม้จะเป็นเรื่องจริงว่าอีกสองปีเธอจะอายุครบสามสิบและบัดนี้ยังไร้วี่แววคนรัก เธอจึงคาดหวังกับการเดินทางไปโปรตูเซียครั้งนี้ไม่น้อยว่าบางทีอาจมีพรหมลิขิตที่ทำให้เธอได้พบเจอกับเจ้าชายแขกขาวหนุ่มหล่อหุ่นล่ำ ก้อนก้นแน่นตึงสุดเซ็กซี่ ลีลาเร้าใจ จะได้ไต่กะไดลงคาน ไม่ต้องค้างเติ่งห้อยโตงเตงจนเหนียงยานเหมือนที่ผ่านมา แต่นั่นเป็นแค่เหตุผลรองหรอก เหตุผลหลักๆ ก็เหมือนที่เธอเพิ่งบอกพี่โยไปว่าเธอทำเพื่อประเทศชาติ เพื่อแม่ เพื่อตัวเองมีแค่นิดเดียว นี๊ดดดเดียวจริงๆ... สองมือรีบยกอุดหู พึมพำกับตัวเองว่า ไม่ฟังๆ ไม่ฟังๆ สิ่งที่พี่ชายพูด แต่เสียงบ่นเจ้ากรรมยังอุตส่าห์ลอดแทรกตามติด หนึบหนับยิ่งกว่าหมากฝรั่งเคี้ยวแล้วแปะติดกระเป๋าเสื้อเสียอีก

“วันๆ จมอยู่แต่ในโลก... อะไรนะ เจ้าหญิง เจ้าชาย ชีค ฟาร์โรห์ ไร้สาระ”

“ตีขิมกระทบแม่นะนั่น”

“พอกันเลย ทั้งเราทั้งแม่น่ะแหละ รายนั้นยิ่งแล้วใหญ่ จำได้ไหม ตอนพี่เรียนป.หนึ่ง แล้วเราเพิ่งเข้าอนุบาล แม่หนีพระพ่อไปตามหาเจ้าชายในฝันถึงตะวันออกกลางเลยนะ พระพ่อก็ดันบ้าจี้หนีไปบวชมั่ง พอแม่กลับมาตามง้อก็ไม่ยอมสึก ตอนนี้แม่เลยบวชเป็นแม่ใหญ่ไปอีกคน พระพ่ออยู่ภาคเหนือ แม่อยู่ภาคใต้ สนุกล่ะบ้านเรา”

“นินทาทั้งพ่อแม่พระชีในเวลาเดียวกัน บาป” หญิงสาวชี้หน้าขู่

ชายหนุ่มโบกมือปัดราวกับว่าคำพูดของเธอเป็นสิ่งของที่จับต้องได้ “พูดเรื่องจริงเว้ย แถมก่อนไปยังกุเรื่องมีดทื่อๆ กับกระจกเขียวอื๋อไว้อีก แสบได้โล่เลยแม่เรา... อ้อ ทิ้งเชื้อคลั่งนิยายไว้ตรงนี้ด้วยตัวนึง”

“พี่โยก็พูดเกินไป แม่เป็นนักโบราณคดีเหมือนขิมไง ก็ต้องไปทำงาน ส่วนพ่อก็มีดวงตาเห็นธรรมเลยออกบวช แล้วประเทศที่แม่ไปก็โปรตูเซียนี่แหละ เลยได้รู้ประวัติของกริชราชันย์กับกระจกมรกต บอกตั้งไม่รู้กี่รอบไม่จำบ้างเลยนะพี่โย ซึมซับแนวความคิดจากป้านิ่มมาเยอะล่ะสิ” แขวะเสร็จก็แอบขอขมาป้าบังเกิดเกล้าในใจ หลังจากพ่อกับแม่โคจรห่างหาย ป้านิ่ม พี่สาวแม่ซึ่งยังครองพรหมจรรย์ข้ามสี่ทศวรรษก็เข้ามารับช่วงต่อดูแลเธอกับพี่โยธา และเหมือนว่าป้ากับพี่ชายเธอจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ย ไร้จินตนาการพอกันทั้งคู่ ป้านิ่มไม่ชอบเสพนิยาย ละคร เรื่องเล่า ตลอดจนถึงมหรสพต่างๆ เว้นก็แต่ดนตรีลูกกรุง สุดแสนกำซาบอาบอิ่ม เท่านั้นที่ป้ายอมรับว่าเป็นความบันเทิงแท้จริง ป้านิ่มเสียชีวิตเมื่อสามปีก่อน อาบน้ำ ไหว้พระ เข้านอน แล้วหลับยาว เธอเชื่อว่าป้านิ่มลืมตื่น เพราะในเช้าวันที่ป้านิ่มจากไปสู่สรวงสวรรค์ เธอไม่ได้ยินเสียงนาฬิกาปลุกตอนตีห้าครึ่งเหมือนเช่นทุกที แต่พี่ชายผู้ขาดแคลนความคิดสร้างสรรค์ และความบรรเจิดในหัวใจ อ้างหมอว่าป้านิ่มเป็นโรคไหลตาย

โยธาดึงช้องนางกลับเข้าประเด็นเดิม “แม่บอกอะไรก็เชื่อ” พูดพลางคลายปมเนกไทออกเหมือนเพิ่งรู้ตัวว่าชักจะเนี้ยบนานเกินโควต้า “รู้ไว้ซะ ว่าที่จริงแม่น่ะไปเที่ยวอิหร่าน แล้วกลัวโดนพวกเราจับได้ไง เลยหาเรื่องมาหลอกเด็ก ไอ้เราก็ดีแต่มั่วตามแม่เรื่อย”

“แต่ขิมเทียบกับข้อมูลแล้ว กริชที่หายสาบสูญเป็นกริชราชันย์ของแท้แน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์”

“หายสาบสูญแล้วรู้ได้ไงว่าของแท้”

“ข้อมูลในเน็ตสิคะ...” อ้ำอึ้งไปนิด “ในหนังสือก็มีบอก... รูปเต็มเลย”

“แหล่งข้อมูลน่าเชื่อถือมากกก”

“พี่โยอ่ะ มันมีเหตุผลจริงๆ นะ เพราะกริชเล่มนี้เป็นของโบราณ สืบทอดจากกษัตริย์สู่กษัตริย์เท่านั้น เป็นพิธีดั้งเดิมตั้งแต่สมัยเปอร์เซียรุ่งเรือง ถือเป็นของศักดิ์สิทธิ์ จึงต้องมีที่เก็บมิดชิด และมีเพียงผู้ครอบครองกับผู้นำสารเท่านั้นที่รู้ว่าอยู่ไหน ขิมเรียนมาเหมือนแม่ ขิมรู้หรอกน่า”

“แล้วกระจกล่ะ มีความสำคัญยังไง”

“ไม่รู้” ช้องนางตอบเสียงอ่อย “แต่มรกตของแท้นะ”

“มั่วตลอดศก” โยธาตำหนิลอยๆ “เอา อยากเชื่ออะไรก็เชื่อไป พี่หิวแล้ว จะกินข้าว” พลันลุกขึ้น ช้องนางเห็นพี่ชายตั้งท่าจะเดินหนีแต่อีกฝ่ายกลับชะงักกึก แล้วหันมาสั่ง “เก็บหมอนวางที่เดิมด้วย”

“จ้า เจ้าระเบียบเหมือนป้านิ่มเลย” หญิงสาวก้มเก็บหมอนที่เพิ่งตบหน้าเธอเมื่อครู่โยนกลับไว้ที่เดิม แล้วสาวเท้าตาม ร้องตะแหง่วๆ อีกฝ่ายตะโกนไล่เสียงดังเหมือนรู้ทัน

“ไปไหนก็ไป ตามอยู่ได้”

“พี่โยก็อนุญาตมาก่อนสิ ว่าจะให้ขิมไป ถ้าไม่ยอมนะ ขิมจะตามอย่างนี้แหละ กินข้าว เข้านอน จะอึ จะฉี่ จะไปหาแฟน จะเข้าประชุม ทำงานอะไรที่ไหน ขิมจะตามตลอดเวลาไม่ให้พี่อยู่ดีมีสุขเลย”

“ตกลงจะเอาให้ได้ใช่ไหม” โยธาหันขวับ หรี่ตามอง ถามเซ็งๆ

“ใช่ค่ะ”

คนรับคำตอบแหงนหน้า เหลือกตาราวกับโลกกำลังถล่มทลายลงมา เสียงคำรามแฮ่ในลำคอดังอย่างขัดอกขัดใจ ชายหนุ่มทำท่าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะยอมพูด “ตกลง”

“น่ะ พูดแล้วห้ามคืนคำ ห้ามผิดสัญญา” ช้องนางยิ้มแฉ่ง ชี้นิ้วไปทางพี่ชาย แต่โดนอีกฝ่ายปัดมือออก

“แต่มีข้อแม้...”

“ว่า”

“พี่จะให้เราเจอคนๆ นึง” กระแสเสียงค่อนข้างขรึม จริงจัง “ถ้าคนๆ นี้ยอมเอ่ยปากรับประกันว่าจะให้เราไปกับเขาด้วย พี่ก็อนุญาต”

กลิ่นแห่งความไม่น่าไว้วางใจเริ่มคุกรุ่นออกมาจากร่างหนาของคนตรงหน้า ช้องนางแคลงใจไม่น้อยว่า เขา ของโยธาคือใคร และมีความสำคัญอย่างไรที่เธอจะต้องไปขอร้องให้ช่วยรับประกัน

“ใคร” ช้องนางถามหวั่นๆ

“ร้อยเอกตาคลี”

หัวใจหล่นวูบ รู้สึกเหมือนกำลังเล่นน้ำทะเลอย่างเพลิดเพลินแล้วเดินตกหลุมทรายใต้น้ำจนจม พูดไม่ได้ ร้องไม่ออก ได้แต่ตะกายๆ เพื่อหวังจะให้พ้นขึ้นมาจากห้วงลึกที่ท่วมปากท่วมคอ

“ว่าไง ตกลงไหม” โยธาทวงคำตอบ

หญิงสาวแกล้งทำเก่งแม้ใจจะฝ่อฟีบไปแล้ว เธอยักไหล่ ตอบตกลงเสียงอ่อย ทำไงได้เล่า ถ้าเซย์โน พี่โยคงไม่ปล่อยให้เธอไปโปรตูเซียง่ายๆ แน่ มองโลกในแง่ดีไว้ยัยขิมเอ๊ย เรื่องมันก็ผ่านมานานแล้ว อาจไม่มีอะไรก็ได้ คิดไปตอนนี้ก็ปวดกะโหลกเปล่าๆ เอาไว้ถึงหน้างานค่อยคิดอีกทีว่าจะเอาตัวรอดจากผู้ชายคนนั้นยังไง

คิดถึงปลายโค้งรุ้งอันงดงามเข้าไว้เป็นที่ยึดเหนี่ยวหัวใจ เธอจะต้องไปเหยียบพื้นดินที่แม่เคยฝากรอยเท้า ไปช่วยฟื้นฟูโบราณสถานล้ำค่าของโลก ไปหากริชทับทิม และที่สำคัญ ไปหาเจ้าชายน่าเซี๊ยะสักคนเอามาเป็นคู่ชีวิต หึ หึ หึ... แล้วเจอกันดินแดนในฝัน โปรตูเซีย!





จำไม่ได้ว่าวันเกิดเหตุเป็นช่วงไหนของชีวิตนักเรียนมัธยมปลายของเธอ นึกออกแค่วันนั้นเป็นตอนเช้าของฤดูหนาวที่มีสายลมกรีดพัดมาจากฟากฟ้า หอบเอาเศษกระดาษและขยะที่เกลื่อนถนนไปกองติดขอบบาทวิถีและร้านรวง ดรุณีแรกแย้มสวยซื่อสดใสไร้เดียงสานามกรช้องนาง เดินเบียดเสียดผู้คนมากมายที่กำลังข้ามถนนตรงสี่แยกไฟแดง ตอนนั้นเองที่เหมือนบรรยากาศในหนังรักโรแมนติกสวมทับตัวเธอ เมื่อจู่ๆ ก็มีชายหนุ่มตัดผมเกรียนสั้น หุ่นผอมๆ ท่าทางเก้งก้าง เสื้อผ้าเปรอะคราบน้ำมันเครื่องเดินเฉียดเธอไป ลงความเห็นจากสายตาแล้วเขาน่าจะติดยา ไม่ยาบ้าก็โคเคน

ฉับพลัน เธอรู้สึกว่ากระเป๋าสะพายถูกมือดีกรีดขาด ข้าวของหล่นกระจาย กระเป๋าสตางค์บรรจุเงินประจำสัปดาห์หายวับ ความเป็นกุลสตรีศรีสยามที่ป้านิ่มสั่งสอนและสะสมมาให้ก็อันตธานไปด้วยเช่นกันเมื่อเธออุทานถ้อยผรุสวาทที่อาจต้องเซ็นเซอร์ชุดใหญ่ ดูจากภาพรวมแล้ว ผู้ต้องสงสัยไม่ใช่ใครอื่น นอกจากผู้ชายคนที่เดินสวนเธอเมื่อครู่! ช้องนางร้องแรกแหกกระเชิง เดี๋ยวเดียว ผู้ชายคนนั้นก็ถูกรวบตัว เธอลากเขาขึ้นโรงพัก ขู่เข็ญให้ชายหนุ่มส่งกระเป๋าเงินคืนมาโดยดีแต่ไร้ผล เลยฝากขังไว้หนึ่งวัน กว่าจะรู้ความจริงว่าเข้าใจผิด เมื่อตำรวจจับคนร้ายตัวจริงได้

เรื่องคล้ายจะยุติลงด้วยดีเมื่อพี่ชายเธอกับลุงศักดิ์ชาติออกหน้าขอโทษ แต่ความซวยของชายคนนั้นหายุติลงเพียงนี้ไม่ เขาเล่าว่า เมื่อวันที่ถูกจับขังนั้นเขากำลังไปหาคนรักซึ่งจะเดินทางกลับอเมริกาเพื่อขอคบเธออย่างเป็นทางการ แต่ดันเกิดเรื่องขึ้นเสียก่อน ผู้หญิงคนนั้นจึงเข้าใจว่าเขาผิดสัญญา ความรักของเขาล่มสลายเพราะช้องนางเป็นต้นเหตุ

ช้องนางคิดตามหลักตรรกะศาสตร์ ถ้าผู้หญิงไม่เชื่อใจผู้ชายอย่างงี่เง่า ก็สมควรเลิกซะ เพราะต่อให้ไม่เลิกกันตอนนี้ อีกหน่อยก็ต้องเลิก เพราะความไม่เข้าใจกัน ไม่เกี่ยวกับเธอเลยสักนิด... เอ่ยปลอบเขาตามที่คิด นึกว่าสถานการณ์จะดีขึ้น แต่เขากลับโกรธเธอเสียนี่ ถึงขั้นขู่อาฆาตตลอดชาติ แช่งไว้ว่า ตราบใดที่เขายังไม่ได้แต่งงาน ขอให้เธอขึ้นคานไปจนวันตาย... ช้องนางยังคงงุนงงมาตราบทุกวันนี้ว่าเธอผิดตรงไหน กะแค่พูดความจริง ผู้ชายพวกนี้เข้าใจยากเกิน

คิดขึ้นมาแล้วก็หนักอกหนักใจ สงสัยก่อนไปเจอเขาวันพรุ่งนี้คงต้องชะแวบทำสังฆทานกรวดน้ำอุทิศให้เสียก่อนล่ะมั้ง เผื่อสถานการณ์จะดีขึ้น!




หลังอุทิศตนให้แก่การนอนแปดชั่วโมงครบถ้วนไม่ขาดไม่เกินเพื่อป้องกันขอบตาคล้ำ ตีนกาถามหา และร่องแก้มลึก ก็ได้เวลาตื่นมาจัดการธุระส่วนตัว จากนั้นก็ห่อผ้าคลุมอาบน้ำไปนั่งหยิบนิตยสารแฟชั่นมาเปิดดูแนวทางว่าวันนี้ควรจะใส่ชุดไหนสำหรับการไป คุยธุระ ถ้าแต่งตัวแบบเป็นทางการก็คงจืดชืด น่าเบื่อ ฉะนั้นต้องแต่งสไตล์สาวมั่น เย้ายวนนิดๆ เพื่อใช้ความสวยสยบกลบไฟอาฆาตที่อาจปะทุ ด้วยเสื้อแขนยาวแบบเปิดไหล่สีดำ กางเกงขาสั้น เข้าคู่พอดิบพอดีกับบูทยาวถึงใต้เข่าส้นสูงสีน้ำตาลเก๋ไก๋เหมาะกับทรงผมเกล้าลวกๆ เหมือนไม่เอาใจใส่เท่าใดนัก แต่ดูดีล้ำเลิศ พร้อมแอสเซสเซอร์รี่ อย่างสร้อยเงินยาวเหยียดเกือบถึงกึ่งกลางสะดือ กำไล และกระเป๋าหิ้วทำจากหนังแท้ใบใหญ่สีเข้ม นี่แหละ ทำให้เธอดูเป็นผู้หญิงที่มีเสน่ห์ ลึกลับ น่าค้นหา... อ้อ ต้องไม่ลืมแว่นตามูลค่าหมื่นกว่าที่เพิ่งถอยมาอวดร่ำอวดรวยเมื่อสองวันก่อนด้วย! แต่งตัว แต่งหน้า พรมน้ำหอม จากนั้นก็คว้าหนังสือนิยายทะเลทรายที่เธอยกให้เป็นคัมภีร์การดำเนินชีวิตติดตัวเผื่อได้ใช้ในยามจำเป็นลงกระเป๋า แล้วค่อยออกจากห้องนอน

ในเมื่อยังไม่ได้ตั๋วไปโปรตูเซีย วิธีเดียวที่เธอจะทำให้พี่ชายหัวปั่นได้คือยึดปอร์เช่น้ำเงินเข้มราคาทะลุเลขแปดหลักซึ่งพี่ชายทะนุถนอมราวกับลูกในไส้มาเป็นตัวประกันซะ พร้อมสัญญิงสัญญาว่าจะไม่ทำให้เกิดรอยขีดข่วนใดๆ แก่เจ้าเกวียนยนต์คันนี้เด็ดขาด ระหว่างนั้นก็ไม่ลืมทำนิ้วไขว้แอบไว้ด้านหลัง เพราะจากสถิติรวมหลังได้รับใบขับขี่ของเธอ ทั้งการชนประตูบ้านตัวเองสามสิบห้าครั้ง จูบท้ายรถคนอื่นสามสิบ เฉี่ยวมอเตอร์ไซค์ยี่สิบแปด ไต่ฟุตบาทสิบ และสอยร้านค้าริมทางอีกประมาณห้าแผง เบ็ดเสร็จแล้วความน่าไว้วางใจในตัวเธอเท่ากับศูนย์

ช้องนางกระทืบคันเร่งตะบึงรถออกจากบ้านไปถึงจุดหมายปลายทางที่มีนบุรีโดยปราศจากอุบัติเหตุระทึกใจและไม่ทำอะไรผิดกฎจราจร บ้านเหยื่อที่เธอต้องไปตะล่อมแกมบีบบังคับให้มาช่วยเหลือในครั้งนี้เป็นบ้านสองชั้น แลคล้ายบ้านจัดสรรทั่วไป หลังคาสีเขียวเข้ม กะขนาดพื้นที่ในบ้านคงราวๆ สามห้องนอน สองห้องน้ำ หนึ่งห้องครัว ไม่น่าจะมากกว่านี้ มีที่จอดรถสำเร็จรูปในตัวสำหรับจอดรถสองคัน (ตอนนี้มีโฟร์วีลขาวสะอาดสดใสเปล่งประกายจากแสงอาทิตย์สะท้อนจับจองหนึ่งคัน) ตัวบ้านถูกตกแต่งด้วยกระจกเป็นส่วนใหญ่ทั้งประตูหน้าต่าง มีอ่างบัวสีที่ดอกกำลังบานสล้างตั้งตรงบันไดทางขึ้น หน้าบ้านมีพื้นที่กว้างเล็กน้อย เพียงพอที่จะทำซุ้มให้ไม้เลื้อยปกคลุมเป็นร่มเงาและวางเก้าอี้ชิงช้าใต้นั้น และส่วนที่เหลือจากถนนที่ทอดเข้าสู่ตัวบ้านก็เป็นสนามหญ้าสีเขียวขจีทั้งหมด

ภาวนาในใจว่า ขออย่าให้เกิดเรื่องใดๆ ขึ้นระหว่างนี้ และขอให้ตาคลีลืมเรื่องร้ายๆ ในอดีตระหว่างเธอกับเขาจนหมดสิ้น แล้วเอื้อมคว้าเอาชาร์โต ลาตูร์ ไวน์แดงที่มีประวัติยาวนานจากเมืองฝรั่งเศสมากอด ตำนานเล่าว่าเนื่องจากทายาทคนหนึ่งในตระกูลเซกูร์ ซึ่งเป็นตระกูลที่ผลิตไวน์ชนิดนี้ได้แต่งงานกับเจ้าหญิงเชื้อพระวงศ์บัวบองในพระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ นับแต่นั้นเป็นต้นมา ไวน์ชนิดนี้ก็ได้รับฉายาว่า ไวน์เขยกษัตริย์ จวบกระทั่งมีการประกวดประชันขันแข่งความคลาสสิกของไวน์ ชาร์โต ลาตูร์ก็ขึ้นทำเนียบหนึ่งในห้าอรหันต์ไวน์ชั้นยอดแห่งฝรั่งเศสด้วยรสชาตินุ่มลิ้น ความหอมหวาน เนื้อไวน์แน่น แทนนินแจ่ม

แพขนตางอนกระพือพั่บ ดวงตากลมโตมองโลโก้หอคอยคร่ำครึบนฉลากติดขวดแล้วช้องนางอยากสมน้ำหน้าพี่ชายตัวเอง อยากขัดขวางไม่ให้เธอไปโปรตูเซียดีนัก แถมยังทำให้เธอต้องมาเผชิญหน้ากับคู่กรณีเก่าอีก เลยสั่งให้เด็กในบ้านจิ๊กมันออกจากขุมคลังเมรัยของเขาเสียเลย ถือเป็นของกำนัลที่เธอจะมอบให้อดีตอริและว่าที่สหายเลิฟในอนาคต

ปรับสายตาให้ดูอ่อนโยนลงประหนึ่งเป็นเด็กสาวผู้อ่อนต่อโลก ถีบประตูรถ คว้าข้าวของทั้งหมดแลพะรุงพะรัง หอบไปกดกริ่งหน้าบ้าน ประตูรั้วเหล็กดัดอิตาลีปิดสนิท และไม่มีวี่แววว่าจะมีคนออกมาเปิดสักที หญิงสาวขยับขยุกขยิกเมื่อแสงแดดกล้าส่องสะท้อนลงมา เธอไม่อยากให้เหงื่อออก เพราะมันจะร้องเรียกความเหนียวเหนอะหนะและความอับชื้นตามมา จิ้มกริ่งแช่อีกครั้ง อีกครั้ง และอีกครั้ง พลันก็มีมือมาสะกิดที่ด้านหลัง ทำให้ช้องนางต้องหันกลับมองและพบว่าตาคลีอยู่ประชิดตัวเธอเกินคาด หญิงสาวสะดุ้งโหยง กระถดตัวถอยไปแทบชิดกับประตู ช้องนางยังรู้สึกถึงเลือดลมที่พลุ่งพล่านทั่วร่างกาย ปวดขมับตุ้บๆ หัวใจเต้นเร็วรัว ให้ตายเถอะ จะเจอกันทั้งที ให้เวลาเธอตั้งตัวหน่อยก็ไม่ได้

“มีธุระอะไร” เขาถาม

“คะ” หญิงสาวพูดส่งๆ เพื่อตั้งหลัก สายตาระแวดระวังภัยสำรวจตรวจตราคนตรงหน้า ตาคลีในวันนี้ดูดีกว่าที่เคยพบกันเมื่อประมาณสิบปีก่อนมากๆ ชายหนุ่มตัวสูงใหญ่ขึ้น สูงกว่าเธออีกจนเธอต้องเงยหน้ามอง คะเนไม่ต่ำกว่าหกฟุต ตัวหนา แต่ช่วงเอวดูเพรียวแกร่ง ผิวสองสีสะอาด ใส่เสื้อยืดคอกลมลายกราฟฟิกตัวโคร่ง กางเกงยีนส์ฟอก กับรองเท้าผ้าใบ ดวงหน้ารูปไข่ ตัดผมสั้นสะอาดแบบทหาร ดูมีแก้ม มีลักยิ้ม ตาคมจนดุดูดื้อรั้นและเกเร บวกกับคิ้วเข้มๆ อีก อืม... รวมๆ ถือว่าหล่อ แต่ก็ยังเป็นหล่อมาตรฐาน หล่อดาษดื่นธรรมดาหาได้ทั่วไปแถวตลาดนัดคลองถม

คนตรงหน้ากวาดมองเธอคล้ายสำรวจ สายตาเป็นประกายแรงกล้า ลึกล้ำ ทรงเสน่ห์เหมือนช็อกโกแลตหวานๆ ขมๆ กำลังละลายในปาก นุ่มลิ้นและซาบซ่าน อีโรติกชะมัด

“ฉันเองไงคะคุณหมวด จำกันได้รึเปล่า” หญิงสาวโปรยเสน่ห์ผ่านรอยยิ้ม

“จำไม่ได้” คำตอบห้วนสั้น ดวงตาก็ส่อแววตรงกับคำพูดทุกประการ

คิ้วโก่งงดงามขมวดมุ่นเล็กน้อย ช้องนางไม่เข้าใจเลยว่า เขาจำเธอไม่ได้จริงๆ หรือ... นี่นางสาวช้องนาง พชรเวช น้องสาวเลขาฯ นายกรัฐมนตรีเชียวนะยะ อะไรจะไร้ความสำคัญปานนั้น แล้วไอ้ที่เธอทั้งกลัว เกร็ง เครียด จนน้ำลายเหนียวหนืดกลืนไม่ลงคอนี่เพื่ออะไรล่ะ

ตาคลี... ไอ้คุณหมวดบ้าเอ๊ย!!




โปรดติดตามตอนต่อไป




 

Create Date : 05 ธันวาคม 2555
5 comments
Last Update : 25 ธันวาคม 2555 7:42:20 น.
Counter : 1399 Pageviews.

 

นินทาระยะเผาขนมากรักดี -"-

**** ******

สวัสดีนักอ่านทุกท่านค่ะ
ใครแวะเข้ามาอ่าน ปีใหม่นี้ของให้เฮงๆ
ร่ำรวย สุขภาพดีจ้า ^ ^
อวยพรล่วงหน้าซะเป็นเดือน 555+

 

โดย: ploy666 IP: 58.11.148.244 5 ธันวาคม 2555 8:22:10 น.  

 

เข้ามาหลายรอบ โชคดีวันนี้นี่เอง

คิดถึงทั้งสองคนเลยนะค๊าาา ... รออ่านตอนต่อไปนะค่ะ ปกติไม่ชอบแนวทะเลทราย แต่เรื่องนี้นางเอกฮาดี น่าติดตามค๊าาาา

 

โดย: wa-ne IP: 99.54.47.70 5 ธันวาคม 2555 23:25:19 น.  

 

คุณ wa-ne สวัสดีค่า...

ช่วงนี้รับความฮาส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ก่อนนะคะ
คุณน้องรักดีเลือกลงวันพุธ คิดว่ากำลังดี
ไม่ชนวันหยุดค่ะ (555+)

ช่วงนี้วันหยุดเทศกาลเยอะดีจริงๆ ปลื้มๆ

 

โดย: ploy666 (ploy666 ) 6 ธันวาคม 2555 6:54:47 น.  

 

ชื่อ ฟาติมะห์ เห็นแต่เป็นชื่อของผู้หญิงนะ ไม่น่าจะเป็นชื่อสำหรับเจ้าชาย ^^

 

โดย: sakeena IP: 124.122.79.171 13 ธันวาคม 2555 10:13:56 น.  

 

ขอบคุณค่ะคุณ sakeena
เดี๋ยวพลอยนำข้อทักท้วงไปฝากคนเขียนให้เขาดูอีกทีนะคะ บอกตามตรงว่าพลอยเองก็ไม่ชำนาญพอกัน (555+)

 

โดย: ploy666 (ploy666 ) 14 ธันวาคม 2555 10:19:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


ploy666
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




หนังสือที่มีวางจำหน่ายเฉพาะในบล็อก
https://ploy666.bloggang.com




ชื่อเรื่อง : เศวตธามัน (บัลลังก์ศศิธรา)
นามปากกา : สิตาปางค์
ประเภท : จินตนิยาย , โรแมนติก
รูปเล่ม : ขนาด 700 หน้า A5
ออกแบบปก : Little thing

ราคา : 850.- บาท
สินค้าหมด

ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
https://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=ploy666&group=28

สั่งซื้อที่ : .........

หมายเหตุ : งดใส่ลายเซ็นนักเขียนทุกกรณีค่ะ

** ***********************************



ชื่อเรื่อง : เงาบรรณ
นามปากกา : ลายน้ำ
ราคา : 259.- บาท
สั่งซื้อที่ (ยุติการสั่งซื้อ)

สินค้าหมดค่ะ



****************

นิยายที่อัพล่าสุดคือเรื่อง

รอยทรายบนลายรัก
...และ...
กระต่ายในใจจันทร์



***********

เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่า
ทนไม่ไหวแล้ว...
จงเรียนรู้ ที่จะขอความช่วยเหลือ

โลกไม่ได้โหดร้ายเกินไปนัก
ผู้คน ก็ไม่ได้ใจร้ายไปซะทั้งหมด

เป็นกำลังใจให้ค่ะ...


Ploy666.



************

หมายเหตุสักนิดค่ะ...

ถ้าเป็นไปได้ งดการแปะรูปใส่คอมเม้นท์นะคะ
เจ้าของบล็อกเข้าหน้าจอไม่ได้จ้า เน็ตห่วยมากมาย

ขอบคุณคนใจดีทั้งหลายล่วงหน้าค่ะ


**************

เนื้อหาต่างๆที่อัพในบล็อก
สงวนลิขสิทธิ์ตามกฎหมาย


Friends' blogs
[Add ploy666's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.