แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet

<<
กรกฏาคม 2553
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
16 กรกฏาคม 2553
 

แกะรอย สิงค์โปร์ (เป้าหมายที่ดูไบไปไม่ถึง)

วันนี้หากพูดถึงสิงค์โปร์ ใครๆก็นึกถึงความสะอาด อลังการ คนมีการศึกษา รวย มีระเบียบ(อะไรจะขนาดนั้น !!)..ย้อนกลับไป 30 ปีก่อน สิงค์โปรยังล้าหลังกว่าเรามาก "ไม่มีอะไรเลย"

สิงค์โปร์ในปัจจุบันย้ายฐานการผลิตที่สกปรกออกนอกประเทศหมด เน้นส่งเสริมให้ต่างชาติมาลงทุน โดยเอื้อประโยชน์ทางภาษี และมาตรการต่างๆเช่น นโยบายสนับสนุนการซื้ออสังหาริมทรัพย์ ที่คุ้มกว่าเช่า --ระบบสาธารณูปโภคของสิงค์โปร์วันนี้ มีการขนส่งมวลชนที่สะดวก --มีการออกกฏลดการนำรถยนต์เข้าใจกลางเมือง ลดมลภาวะ และ รถติด (สร้าง Shopping Street ใต้ดินที่ทันสมัย)

ล่าสุดก็คือ Casino ที่เน้นจับนักท่องเที่ยวต่างชาติ (ถ้าคนสิงค์โปร์เข้า จะเสียค่าเข้า เพราะเขาไม่สนับสนุนให้คนของเขาเล่นการพนัน) -- วันนี้เศรษฐกิจเน้นหนักไปที่ภาคบริการที่ทันสมัย การสร้างประเทศให้เป็นศูนย์กลางการเงินของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

ทั้งหมดนี้ อยู่ภายใต้วิสัยทัศน์ ของชายที่ชื่อ "ลี กวน ยู" --ทุกครั้งที่ไทยจะขุดคลองคอดกระ ก็จะมีชายคนนี้ ถือกระเป๋า เจมส์บอนด์ บรรจุด้วยเงินสด ซึ่งเป็นเครื่องมือที่ "เบรคโครงการได้ทุกยุคทุกสมัย" --วันนี้รัฐบาลอภิสิทธ์ได้ เสนอแผนท่อส่งน้ำมัน ..หรือนี่จะเป็นการกระตุ้นให้ "ลี กวน ยู" มาเที่ยวเมืองไทยอีกรอบ!!-- แต่ด้วยอายุของ "ลี กวน ยู" ที่มากขึ้น ครั้งนี้ อาจต้องให้ลูกชาย "ลี เซียง ลุง" หิ้วกระเป๋ามาแทน !!(ล้อเล่นนะ...หุ หุ)

ผมได้เกร่ินมาอย่างยืดยาว เพราะอยากจะชี้ถึง ประเด็นการพัฒนาประเทศที่อาศัย เงินและอำนาจที่เบ็ดเสร็จ สิงค์โปร์ในวันนี้เป็นแบบอย่างที่จีนแผ่นดินใหญ่พยายามเดินตาม ..ด้วยปริมาณการค้าของจีนที่เกินดุล ส่งผลให้ Reserve ที่มีในมือ "ถือได้ว่ามากที่สุดในโลก"

หากมองไปรอบๆเอเชีย จะพบว่าเศรษฐกิจที่ประสบความสำเร็จ สูงสุด ก็คือ สิงค์โปร์และ มาเลเซีย (จับคนขัง ไม่ต้องสืบสวน (ยิ่งกว่า) พรก.ฉุกเฉิน แต่ไม่เห็นมีใครท้วงติง!!"อย่างว่า ประเทศเขารวย ไม่มีใครกล้าแตะ..หุ หุ) ..มาตอนนี้ก็จีนเอาบ้าง(ผูกขาดและกีดกันการค้า ส่งเสริมการลงทุนในจีนเท่านั้น และกันการโอนเงินออก!!)--- จะเห็นได้ว่าสิ่งที่ ทั้งสามประเทศนี้มีเหมือนกันก็คือ "เผด็จการทุนนิยม"

การ มีระบบการเมืองที่มั่นคง กลับทำให้ ทุนนิยมสามารถ เติบโต ซึ่งขัดกับความเชื่อสมัยก่อน ว่าเผด็จการกับทุนนิยม มันไปด้วยกันไม่ได้ แต่ทุกวันนี้ เราได้เรียนรู้จาก สิงค์โปร์, มาเลเซีย และ จีน ว่า "เผด็จการทุนนิยมมันเป็นไปได้" แถมมันยังเติบโตได้อย่างมั่นคงตลอด 30 ปีที่ผ่านมา

ซึ่งถ้ามองให้ดีแล้ว การที่ประเทศต่างๆมุ่งสู่การเป็นประชาธิปไตย มันไม่ได้การันตีความมั่งคั่งแต่อย่างใด เพราะแท้จริงแล้ว ทุนนิยมต่างหากที่สร้างให้เกิดจุดนั้น ส่วนเผด็จการกับความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ก็หลอมจนแทบแยกจากกันไม่ออก -- เศรษฐกิจเอเชียในวันนี้ช่างท้าทายแนวคิดดังเดิมของการเมืองการปกครองที่เคย มีมาในอดีตเสียจริงๆ??

"เผด็จการทุนนิยม..น่าคิด!!" --แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น "เผด็จการ"ที่ว่า ต้องฉลาดและเข้าใจการค้า อย่างพื้นฐานของสิงค์โปร์ผู้นำมีความรู้ทางด้านการค้าขาย ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นกฏหมายต่างๆ(เอื้อต่อการจัดการรวมทั้งภาษีธุรกิจที่จูงใจ)การ จัดการเงินทุน(ก็ง่ายต่อการเคลื่อนย้าย และใช้ดอลล่าห์เป็นสกุลเงินซึ่งไม่ต้องเสี่ยง ในการเคลื่อนย้ายแบบไทย) คือทุกกฎเกณฑ์จะออกมาแบบเข้าใจการค้า... "จุดนี้ทำให้ สิงค์โปร์เป็นศูนย์กลางทางด้านการค้าและการเงิน" ประเด็นนี้ ผู้นำและระบบราชการไทยยังตีโจทย์ไม่แตก และนี่ก็คือ Key success Factor ของสิงค์โปร์ คือ แม้ไม่มีทรัพยากรแต่ใช้เพียงสมองก็ "ชนะได้"...
เขียนโดย pawawit ที่ //pawawit.blogspot.com




 

Create Date : 16 กรกฎาคม 2553
9 comments
Last Update : 16 กรกฎาคม 2553 10:17:23 น.
Counter : 981 Pageviews.

 
 
 
 
แล้วดูไบ บทความพูดไปไม่ถึง?
 
 

โดย: 1000 tip IP: 202.47.96.98 วันที่: 16 กรกฎาคม 2553 เวลา:11:28:59 น.  

 
 
 
เดี๋ยวค่อยๆไปครับ(โทษทีครับ)..หุ หุ
 
 

โดย: pawawit วันที่: 16 กรกฎาคม 2553 เวลา:14:02:47 น.  

 
 
 
ปัจจัยพื้นฐานแห่งความสำเร็จอีกประการคือ คน
การส่งเสริมการศึกษา การปลูกฝังค่านิยมไม่คอรับชัน ไม่รับแม้แต่ทิป (ผู้บริหารในรัฐบาลถ้ามีข่าวฉาวด้านนี้ รับรองหลุดจากตำแหน่งทันที) การสร้างระเบียบวินัยของคนในชาติ ฯลฯ
จะว่าไปแล้ว การสร้างชาติของสิงคโปร์เป็นเรื่องที่น่าศึกษา มีการวางแผนพัฒนาในทุกๆ ด้านอย่างเป็นระบบ

แต่ไม่ใช่ว่าจะดีพร้อมหมดทุกๆ เรื่อง พื้นดินแทบจะทั้งหมดเป็นของรัฐ คนทำงานหนักแทบตายเพื่อหาเงินแย่งกันซื้อรังนกพิราบ (คอนโด) คนสูงวัยหางานทำยากมาก ผู้หญิงมีครอบครัวไม่ค่อยมีใครอยากรับเข้าทำงาน ชีวิตที่ขาดความสมดุลย์ มี iq แต่ขาด eq การแก่งแย่งแข็งขัน สังคมที่แล้งน้ำใจ

ต้องได้สัมผัสเองถึงจะตระหนักในส่วนลึก
 
 

โดย: s_man IP: 116.87.232.12, 218.186.13.228 วันที่: 18 กรกฎาคม 2553 เวลา:4:27:13 น.  

 
 
 
มารออ่านเรื่องดูไบต่อค่ะ
 
 

โดย: แฟนคลับ(mild.mind) IP: 61.7.218.6 วันที่: 18 กรกฎาคม 2553 เวลา:8:47:00 น.  

 
 
 
ใครบอกว่าเมื่อ 30 ปีก่อน สิงคโปร์ล้าหลังมากเมื่อเทียบกับไทย และ สิงคโปร์ไม่มีอะไรเลย??

เรื่องจริงคือ ประเทศสิงคโปร์ ก้าวล้ำประเทศไทย ตั้งแต่70 ปีที่แล้วโน่น ทั้งการเดินเรือ การค้า และการศึกษา

พ่อดิฉันเกิดที่กรุงเทพ ยังไปเรียนต่อประถมปลายและ high school ที่สิงคโปร์ หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็ไปเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยในประเทศจีน ที่พ่อพบกับแม่ และพาแม่หนีออกจากประเทศจีนเมื่อได้ข่าวเจียงไคเช็คหนีไปไต้หวัน พ่อแม่โดนจับที่ท่าเรือ แต่มีนายทหารลูกน้องเก่าของตาแอบช่วย ไปฮ่องกงก่อน ตอนนั้นแม่ท้องดิฉัน 6 เดือนแล้ว ลูกน้องปู่รอรับที่ฮ่องกง และช่วยเรื่องเอกสารเข้าไทยให้แม่ ต้องยอมจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินแพงลิ่ว บินมาเมืองไทย ถึงกรุงเทพวันที่ 1 มกรา 2493

ตั้งแต่สมัยทวด ที่บ้านทำธุรกิจนำเข้า ส่งออก กลุ่มสินค้าไฮเทค เครื่องมือแพทย์และนำเข้าภาพยนต์จีน อเมริกา เราตั้งบริษัทสาขาที่สิงคโปร์ ฮ่องกง เดลลี โดยมีสำนักงานใหญ่ที่เซี่ยงไฮ้ ...กรุงเทพก็มีร้านขนาด 3 คูหา 3 ชั้น ริมถนนเจริญกรุง เยาวราช (ตอนนั้น ธนาคารกรุงเทพยังแค่คูหาเดียวบนถนนสายที่สอง)

น้องชาย น้องสาวปู่จะประจำที่สิงคโปร์ ปู่ไปๆมาๆ ...พวกท่านเป็นลูกครึ่งอังกฤษ จีน จึงใช้ภาษาอังกฤษได้คล่อง

เพราะปู่ด่วนเสียชีวิตไปเมื่ออายุแค่ 50 เศษๆ ลูก 12 คน 7 คนอายุต่ำกว่า 16 คนเล็กสุดอายุแค่ 1 ขวบ (เกิดจากย่า 10 คน ย่าน้อย 2 คน) แล้วยังมาเจอสงครามโลกครั้งที่ 2 ตามด้วยคอมมิวนิสต์ เราจึงหมดสิ้นทุกอย่าง

ป้าคนโตเล่าว่า จนถึงอายุ 20 กระทั่งบิดน้ำออกจากผ้าขนหนูเพื่อเช็ดหน้า ยังไม่เคยทำ เพราะทวดและปู่รวยมาก พี่ๆของพ่อ จึงคุณหนูจัด เมื่อไม่มีทุน ก็ไม่สามารถลุยงานหนักเพื่อกลับมารวย ในขณะที่คนจนกลับสู้งานได้

พี่เขยพ่อเป็นชาวสิงคโปร์ เมื่อ 65 ปีที่แล้ว ถูกส่งเข้ามาเป็น ผจก บริษัทเรือ KLine ของญี่ปุ่น สาขาประเทศไทย

27 ปีที่แล้ว ลูกสาวอาคนเล็กแต่งงานกับลูกชายนายธนาคารที่สิงคโปร์ พวกเขาพบกันตอนเรียนที่อเมริกา ส่วนน้องสาวดิฉันแต่งงานกับน้องเขยชาวอินโดที่พบกันตอนเรียนที่อังกฤษ

 
 

โดย: คุณแม่ลูกสอง IP: 61.90.15.13 วันที่: 18 กรกฎาคม 2553 เวลา:15:30:05 น.  

 
 
 
อยากจะบอกว่า ที่ประเทศไทยไปอย่างอืดๆ ทั้งที่ทุกอย่างดีกว่าประเทศเพื่อนบ้าน เพราะมีการ monopoly ของกลุ่มคนมีที่ดินในครอบครองมากเกินไป และแถมยังมีอาวุธในมือ ทำให้มี power ในการต่อรองทุกอย่างสูงมาก

จนทำให้คนกลุ่มที่คิดต่าง และไม่ยอมสยบและส่งส่วย ไม่มีโอกาสเติบโต และขาดอำนาจต่อรองในการทำมาหากิน
ประเทศไทย ...คนที่มีทั้งเงินและอำนาจ ความรู้ หากยิ่งสร้างบารมีด้วย จะไม่สามารถอยู่ในประเทศไทยได้ นี่คือคำที่ดิฉันเคยพูดไว้ก่อนทักษิณขายหุ้นชิน

ลูกผู้พี่ของแม่ดิฉันหนีออกจากจีนแต่อยู่ไทยไม่ได้ ไปอยู่อังกฤษ ลูกผู้น้องของแม่ไปอยู่ออสเตรเลีย

คนแก่ๆลูกน้องปู่เล่าให้ฟังว่า ปู่และเพื่อนๆ เป็นกลุ่มต่างชาติที่รวยติดอันดับหนึ่งในประเทศไทย พี่น้องของพ่อ เกือบทุกคน แต่งงานกับลูกๆเพื่อนของปู่

พ่อสามีของอาโกว และพ่ออาซิ่ม ตั้ง รพ ตั้งมูลนิธิสารพัด ที่ดังๆ เพื่อช่วยเหลือคนเจ็บ คนตาย ช่วงสงครามโลก

ผลคือ ต่อมา..คนแรกถูกยิงตายข้างถนน อีกคน บริจาคที่ดินในไทยทั้งหมดให้... จนได้ชื่อว่าเป็นมหาเศรษฐีใจบุญ แต่มีใครรู้ไหมว่า อาแปะหนีไปอยู่ปีนังจนวันตาย

นายชิน ยังเคยหนีไปอยู่ฮ่องกงเลย แต่กลับมาหลังจากตกลงกันได้

ยังคิดว่าจะโทรไปหาพี่ทองสุทธิ์น้าทักษิณ ให้เตือนอย่าเก็บเงินไว้ในไทย แต่ดูไปดูมา มันเป็นเงิน credit เพราะเทมาเซกกู้ธนาคารไทยหลายแห่งมาซื้อหุ้นชิน scb แลกกับหุ้น 3% มั๊ง ผ่านไป 4-5 ปี กรณ์เพิ่งสั่งถอนออกมาใช้

โปรแกรมใส่สมองคนไทยว่าคนจีนนั้น ยากจนสุดแสน เสื่อผืนหมอนใบมาตั้งตัวจนรวยในไทย เออ..มีใครคิดมั๊ย แล้วคนจีนจนๆนี่เขาหาเงินที่ไหนมาเริ่มลงทุน? นายชินไปยืมเงินใครมาตั้ง bbl ?

ประวัติศาตร์ไทย ได้ลบหน้า เจ้าสัวจากแผ่นดินใหญ่ไปหมดแล้ว ยังมีต่างชาติที่ขนเงินเข้ามาลงทุนแล้วไม่ค่อยจะได้ดังใจ เหมือนถูกตีกรอบไว้ ทั้งที่ประเทศไทยมีชัยภูมิดี ภัยธรรมชาติก็แทบไม่เจอ

คนไทยเป็นคนที่มีจิตใจดี มี service mind และมีฝีมือด้านศิลปมาก จึงจัดเป็นชาติฝ่ายศิลป์ ไม่ใช่ศาตร์

การปกครองด้วยความละมุนละม่อม ใจดี ให้ความเมตตา แบ่งปัน จะสามารถครองใจได้ง่ายๆ ไม่ใช่ไปไล่ฆ่ากัน
 
 

โดย: คุณแม่ลูกสอง IP: 61.90.15.13 วันที่: 18 กรกฎาคม 2553 เวลา:16:39:01 น.  

 
 
 
เรื่องราวน่าสนใจมาก แต่ย่อจนเกินไป ทำให้เข้าใจยาก ผมก็อยู่ในยุคนั้น แต่ยังไม่เข้าใจเท่า และดูเหมือนว่าจะชอบไปทางทักษิณ อยากให้เล่าให้ละเอียดกว่านี้หน่อยได้ใหม?
 
 

โดย: หลานจีน IP: 182.52.37.84 วันที่: 18 กรกฎาคม 2553 เวลา:21:18:59 น.  

 
 
 
ฮะๆๆๆๆ เจ้าของblogโดนสอนมวย ยปไม่เป็นเลยทีนี้ เหยียบขี้ไก่ต้องให้ฝ่อ
 
 

โดย: NAmi aki IP: 110.49.193.191 วันที่: 19 กรกฎาคม 2553 เวลา:7:40:33 น.  

 
 
 
หางานทำค่ะ งานอะไรก็ได้ ใครพอจะมีติดต่อ 081 981 7818
ขอบคุณค่ะ
 
 

โดย: aoy IP: 61.7.176.122 วันที่: 31 สิงหาคม 2553 เวลา:19:40:53 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

pawawit
 
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 27 คน [?]




เขียน Blog เกี่ยวกับการลงทุน อยู่ที่
http://pawawit.blogspot.com ก็ใครจะคุยกันก็เข้าไป ดูที่ Blog ของผมได้ มีทั้ง Link ของ Facebook / Twitter หนังสือแกะรอยหยักสมอง (สั่งที่นี่ครับ) หนังสือ(ของผม)แนะนำครับ
[Add pawawit's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com