The Happening หนังซัมเมอร์แห่งปีที่น่าจดจำ
ขออนุญาต สำหรับคนที่ดูแล้วจะเข้าใจ แต่คนที่ยังไม่ได้ดูก็อ่านไปก่อนแล้วกันเผื่อดูหนังแล้วจะเข้าใจมากขึ้น
พูดถึงหนังหลาย ๆ เรื่องในช่วงเทศกาลซัมเมอร์ปีนี้ แน่นอนว่าหลาย ๆ ท่านมีภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ในใจอย่างที่ว่าเป็นหนึ่งเรื่องที่ต้องอยากไปดู ด้วยเสน่ห์ของหนังที่คนเขียนบทเป็นที่รู้จักกันอย่างดีนั้นก็คือ M.Night Shyamalan หรือที่นักดูหนังเมืองไทยให้ชื่อเล่นเป็นไทย ๆ ไปเลยว่า พี่มาโนช ครับ
หนังเรื่องนี้ต้องบอกก่อนเลยว่าเป็นหนังอีกเรื่องของปีที่วันแรกในการเข้าฉายผมจะต้องไปสัมผัสให้ได้ ต่อให้ดิ้นตายก็ยอม เนื่องจากชื่อตัวคนเขียนบท+ผู้กำกับ เพราะส่วนมากจะเป็นแบบนี้อยู่แล้วนี้หน่า จึงทำให้แฟน ๆ ที่ติดตามผลงานต่างใจจดใจจ่อจริง ๆ ครับ ว่าหนังจะออกมาในลักษณะไหน เนื่องจากหลาย ๆ คนที่ตามงานพอจะทราบอยู่แล้วว่า หนังเรื่องนี้มีเนื้อเรื่องอย่างไรบ้างแบบย่อ ๆ และคงเป็นหนังเรื่องแรกเหมือนกันที่ผมหยิบยกตัวคนเขียนบทและผู้กำกับ หยิบขึ้นมาเป็นประเด็นหลักเลยก็ว่าได้ ให้การขยายเรื่องของหนังเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ผมสะท้อนมุมมองของตัวเอง ผ่านเรื่องเล่าในตอนนี้ครับ
M.Night Shyamalan มีชื่อเสียงอย่างมาจากผลงานใน Hollywood เรื่องแรกจาก The Sixth Sense .ในปี 1999 และก็กลายเป็นที่กล่าวขานกันอย่างต่อเนื่องตลอดมา โดยเฉพาะกลุ่มคนดูหนังรุ่นใหม่ ๆ ไม่มีใครไม่รู้จักเขาคนนี้เป็นแน่แท้ ส่วนเรื่องประวัติ ผมเองก็ไม่ทราบเหมือนกันว่า พี่มาโนช ของเราเกิด วันที่เท่าไหร่ ตอนเด็กเป็นยังไง ทราบแค่เพียงว่าเป็นคนอินเดียและก็สร้างหนังจากบทของตัวเอง และไม่ยอมแก้บทหรือเปลี่ยนอะไรในหนังเพื่อเงิน นี้หล่ะคือพี่มาโนช
The Happening ได้ดาราระดับแม่เหล็กอย่าง Mark Wahlberg มาเล่นนำเรื่องนี้ในบท Elliot Moore อาจารย์ที่สอนวิทยาศาสตร์เคมี ด้วยเรื่องที่พูดถึงธรรมชาติ ไว้อย่างน่าสนใจ รวมถึงความน่าจะเป็นในธรรมชาติที่อนาคต ไม่สามารถทำนายทายทัก หรือว่าพยากรณ์ อะไรได้เลยว่า อีก 1 นาทีข้างหน้า ธรรมชาติจะเปลี่ยนไปถึงขั้นไหน เริ่มเรื่องด้วยการฆ่าตัวตายแบบทฤษฎีของความเป็นไปได้ที่คนหมู่มากฆ่าตัวตายพร้อม ๆ กันด้วยสาเหตุของคำว่า สงครามเคมี ด้วยบ้านเมืองที่ไม่สงบสุขบวกกับศัตรูทั่งที่มองเห็นและมองไม่เห็นมากมายรายล้อมตัวประชากรของสหรัฐ ฯ จึงทำให้เกิดแนวคิดว่า ศัตรูได้สร้างสารเคมีบางอย่างแล้วเล่นงานประชากรใน สวนสาธารณะให้ฆ่าตัวตายตาม ๆ กันไป ภาพในเรื่องถือว่า รุนแรงและไม่มีที่มาในขณะนั้นว่า จริง ๆ แล้วสิ่งกระตุ้นคืออะไร คน สัตว์ สิ่งของ หรืออะไรก็ช่าง ภาพของตัวละครทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อทฤษฎีความเป็นไปได้ในเรื่องการตายของคนเริ่มขยายวงกว้างและแผ่ออกไปอย่างรวดเร็วในเวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมงข้ามจากอีกเมืองไปถึงอีกเมือง หนังให้แง่คิดถึงธรรมชาติได้อย่างน่าสนใจและมีความเป็นไปได้ในอนาคตอยู่เหมือนกัน เมื่อ สิ่งแวดล้อม ต้องสร้างเกราะป้องกันตัวเองตามธรรมชาติเพื่อรักษาเผ่าพันธุ์ของเขา แต่กลับย้อนมาทำลาย สิ่งแวดล้อมที่ให้โทษอย่างมนุษย์ในแบบที่ไม่ทันตั้งตัว นี้คือความน่ากลัวในหนังที่ให้ บรรยากาศกดดัน จิตตก หวาดระแวง หวาดกลัว จนนึกนอกเรื่องไปต่าง ๆ นา ๆ
พอมาถึงบางช่วงของตัวเองแล้วต้องเกิดการแยกส่วนของหนังออกมาบ้างแล้วครับ
1. หนังให้บรรยากาศที่น่าหดหู่ ปน สยอง ไปในตัวได้อย่างหวาดเสียว 2. หนังให้อารมณ์ร่วมที่ตัวละครส่งถึงคนดูได้อย่างน่าประหลาด 3. หนังให้อิทธิพลแนวคิดทางวิทยาศาสตร์ที่ดูแล้วตกใจและมีความเป็นไปได้สูงมาก 4. หนังบีบบังคับความรู้สึกคนดูได้หลายอารมณ์ในฉากเดียวกัน จนฟุ้งซ่านและเกิดอาการจิตตก อย่างรุนแรง 5. หนังให้จินตนาการเรื่องวันวิบัติโลกที่จะมาถึง จากคำทำนายของ ไอน์สไตน์ ที่ว่า ถ้าผึ้งหายไปจากโลกอย่างไม่มีสาเหตุแล้ว มนุษย์จะสูญพันธุ์ตามไปด้วยภายในเวลา 4 ปี เพราะในหนัง พูดถึงเรื่องนี้ด้วย 6. ฉากฆ่าตัวตายในหลาย ๆ รูปแบบ ดูแล้ว ก็สยองไม่หยอก เมื่อคนไม่สามารถควบคุม ตัวเองได้ สมองสั่งการทำตามที่ตัวเราต้องการได้แล้ว ด้วยกระบวน 3 อย่างคือ ทำตัวแปลกๆ ไม่พูด แล้วก็ตาย นั้นจึงหมายถึง มันไม่ใช่ร่างเราอีกต่อไป 7. ฉากฆ่าตัวตายอีก คือ เหมือนบ้านเราที่เวลาเขาสักยันต์ หรือว่า ที่ต้องมาไหว้ครูแล้ว เกิดอาการอุปทานหมู่ แต่ว่าในหนังคือ ความเชื่อโยงเรื่องการฆ่าตัวตาย อย่างฉากที่ ตำรวจจราจรฆ่าตัวตายก่อนแล้วคนขับแท็กซี่ก็หยิบปืนมาฆ่าตัวตายต่อแล้วก็มีผู้หญิงมาหยิบปืนต่ออีกไปเรื่อย ๆ จนกระสุนหมด 8. ฉากฆ่าตัวตายอีกเหมือนกัน ก็คือ ฉากที่เพื่อนของพระเอกคือ Julian ติดรถคนแปลกหน้าเพื่อเดินทางตามหาภรรยาของตัวเอง ที่กำลังตามมาหาเขา แต่แล้วก็เห็นภาพชวนขนหัวหลุก เมื่อเห็นคนจำนวนมาก ใช้บันได ต่อไปที่แขนงต้นไม้เพื่อแขวนคอฆ่าตัวตายกันเป็นหมู่ มันเป็นภาพในหนังที่ให้อารมณ์สยอง ถ้าออกมาเป็นภาพเขียนถือว่าสวยแต่นี้ มันหนัง เลยออกมาได้แต่ กริ้ดอย่างรุนแรง 9. ฉากหนีตายที่ Elliot วิ่งหนีกลางทุ่งหญ้า ฉากนี่ก็คือฉากที่ให้อารมณ์ความหวาดกลัวและภาวะบีบบังคับที่ ให้อารมณ์รวมถึงอารมณ์เหมือนกัน 10. หนังทำดนตรีได้เร้าอารมณ์เช่นกัน โดนการรับส่งของฉากกับดนตรีประกอบ บอกได้เลยว่า มันเข้ากันอย่างมากและส่งให้อารมณ์ในแต่ละฉากรุนแรงขึ้นไปอีก
โดยรวม หนังเรื่องนี้ของพี่มาโนช ให้อารมณ์ ในสถานการณ์ที่ สุดยอดแห่งการบีบบังคับ หวาดกลัว สยอง เร้าอารมณ์ ทำให้สภาพอารมณ์ในขณะที่ดูหนัง มันไม่ปกติจริง ๆ ครับ ถ่ายเทความรู้ฉากบางฉากแทบไม่ทันเหมือนกัน อย่างฉากที่วิ่งหนีกลางทุ่งแล้วไปที่บ้านหลังหนึ่งเพื่อขอความช่วยเหลือ แต่แล้วเด็ก 2 คนก็ถูกยิงตายต่อหน้าต่อตา เปลี่ยนอารมณ์หนังได้อย่างสุดแสบเลย มันเป็นภาวะที่หนังเล่นกับอารมณ์คนดู และ บีบบังคับให้คนดูต้องคิดตาม สัมผัสตาม อย่างตลก นี้จริง ๆ น่ะ
มาถึงส่วนตัวแล้วครับท่าน สำหรับผมแล้วผมค่อนข้างให้ความหวังกับหนังเหมือนกันพอสมควร เนื่องจากว่า หนังของพี่มาโนช หลาย ๆ เรื่องก่อนหน้านี้ ให้บทสรุปที่หักอารมณ์คนดู และ หยิกแกมหยอกมาโดยตลอด เลยทำให้ผมคาดหวังว่าหนังน่าจะมีบทสรุปที่เสียดสีกับตัวหนังหรืออารมณ์คนดูที่ให้ อารมณ์ของแบบฉบับที่เป็นพี่มาโนช แต่แล้วผมก็ลมออกหู เมื่อบทสรุปของหนังมันกลับเป็นอะไรที่เรียบเอาซะมากมาย จนติดพื้นไปเลย วางตอนจบอย่างง่ายมากครับ คือ มันไม่มีส่วนความขยายสิ่งกล่าวอ้างในหนัง เรื่องของความเป็นไปได้ จากความเป็นพิษของต้นไม้ว่าจริง ๆ แล้ว มันเป็นอย่างที่คิดจริงหรือเปล่า หรือว่า มันมีอะไรมากกว่านั้น อย่างที่หนังเขาบอก หรือว่าเป็นฝีมือของรัฐบาล อืม มันก็ไม่ได้บอกอะไรเราเลย บอกแต่เพียงว่า ต้นไม้คือตัวการหลักในการฆ่าตัวตายหมู่ของคนในสหรัฐ แถบซีกตะวันออก (ถ้าจำไม่ผิดนะเพราะว่าเป็นอยู่แค่ฝั่งเดียว) แต่ก็ยังชอบใจที่ หนังของพี่มาโนช ยังเหยียบและเสียดสีความเป็นอเมริกาเหมือนเดิมครับ แต่ที่รับไม่ได้จริง ๆ คือ บทสรุป ส่งท้ายเรื่อง ที่ น่าจะเขียนบทให้ได้อะไรที่สวยงามกว่านี้สักหน่อย สำหรับผมแล้ว ตั้งแต่ต้นเรื่องจนจะจบให้ไปแล้ว เกือบเต็ม แต่พอได้บทสรุปนี้มา เอาเป็นว่า ขอลดลงนิดหนึ่งแล้วกันครับ ให้เท่าที่คิดว่าจะให้ในใจ คือ ยังคงเป็นผู้กำกับและคนเขียนบทที่อยู่ในใจและยังคิดอยู่ตลอดว่า จะมีหนังเรื่องไหนของพี่มาโนช ที่ออกมาเขย่าประสาท ได้แรงกว่านี้อีกเหรอไม่ ถ้าพูดถึงการเจริญเติบโต ผมต้องบอกว่าพี่มาโนช ยังเท่าเดิมนะครับ คือยังไม่ขึ้นแท่นในใจผมก็เท่านั้น แต่สำหรับแฟน ๆ คนอื่นอาจจะชอบก็ได้ แต่ถ้าให้ครบรสที่เป็นหนังของพี่มาโนช ต้องมีดังนี้ 1. หนังหักมุมอย่างคาดไม่ถึง 2. ต้องเห็นหน้าพี่มาโนช 3. ต้องมีคนหน้าตาแขก ๆ ในเรื่อง อย่างน้อย 1 คน 4. หนังต้องมีดาราดังระดับแนวหน้า แค่มี 4 ข้อนี้ครบเมื่อไหร่ นั้นหล่ะครับ พี่มาโนช แน่นอนเลย แต่หนังเรื่องนี้สำหรับผมแล้ว มันยังมาไม่ครบก็เท่านั้นเอง อาจะเห็นผมเป็นคนงี่เง่าให้เอาแต่ใจ แต่จริง ๆ ที่ผมหวังไว้ แค่ 4 ข้อนี้ผมก็ให้พี่เขาเต็ม 10 ไปเลยครับ ปล.1 เท่าทีทราบ พี่มาโนช มาเสียงที่เป็นชู้ชื่อโจอี้ ปล.2 ในหนังมีคนหน้าตาแขกเยอะขึ้นเหมือนกัน และดูจะเป็นพี่มาโนชขึ้นมาบ้างนะครับ ปล.3 นักวิจารณ์ในอเมริกาด่าซะเละเลยครับ ปล.4 จะถึงไหนยังไงกัน ผมก็ยังเฝ้ารอดูผลงานพี่เขาเหมือนเดิม
Create Date : 15 มิถุนายน 2551 |
|
3 comments |
Last Update : 15 มิถุนายน 2551 0:14:17 น. |
Counter : 1535 Pageviews. |
|
|
|
แวะมาชวนไปเที่ยวพัทยาด้วยกันครับ
คลิกที่ภาพเพื่อตามมาเที่ยวพัทยาด้วยกันได้เลยนะครับ
พรุ่งนี้ไปตีตั๋วดูเรื่องนี้ดีกว่า