ละครเวที "พระมหาชนก" : อีกหนึ่งเกลียวคลื่นที่เราจะฝ่าข้ามไป
ปิดโรงหนังเดียวดายไปชั่วคราว เนื่องจากต้องผจญกับงานที่โหมโถมทับจนไม่ มีแรงจะกระดิกกระเดี้ยไปทำอะไร ปล่อยให้คลื่นแห่งชีวิตประจำวันพัดเราไปจน แทบจะลืมไปแล้วว่าเราใช้ชีวิตไปทำไม แล้วเรากำลังจะไปไหน แต่เมื่ออาทิตย์ที่ ผ่านมา ผมได้มีโอกาสดูละครเวทีดี ๆ ที่ช่วยเรียกฟื้นคืนสติเราได้อักโข
หลายคนอาจเคยดูละครเวทีเรื่องพระมหาชนกกันแล้วเมื่อปีก่อนที่มีการจัดแสดง ที่เมืองทองธานี ในคราวนั้นผมก็พลาดไม่ได้ดู จนเมื่อไม่กี่เดือนก่อน ผมได้ ยินข่าวการจัดแสดงเรื่องพระมหาชนกที่เชียงใหม่ และทราบว่าจะมีการจัดแสดง อีกครั้งตอนต้นเดือนกันยายนที่ขอนแก่น
ผมตั้งใจแม่นมั่นว่าคราวนี้ต้องดูให้ได้ ถึงขั้นตัดสินใจขับรถขึ้นขอนแก่นกว่าเจ็ด ชั่วโมงเพื่อการนี้โดยเฉพาะ ผมไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองนึกบ้าอะไร เพราะผม เดินทางทั้ง ๆ ที่ยังไม่มีตั๋วเข้าชม คิดแต่ว่าถ้าไปต่อคิวเช้าหน่อย พอมีคน cancal ตั๋วเราก็คงจะได้ชมแน่ ๆ จริง ๆ ก็ไม่มั่นใจหรอกแต่ความรู้สึกลึก ๆ บอกว่ายังไง ก็ต้องไป
ผมคิดผิดอย่างมหันต์ เพราะเมื่อผมกับเพื่อนไปถึงหอประชุม ม. ขอนแก่น ซึ่งเป็น สถานที่จัดแสดง ผมถึงกับตะลึงว่าผู้คนมาจากไหนมากมายมืดฟ้ามัวดิน ขณะผม ไปถึงงานก่อนการแสดงตั้งสี่ชั่วโมง แต่ผมกลับเซ็นชื่อต่อคิวได้เป็นอันดับประมาณ ที่สองร้อยกว่า ๆ พอเวลางวดเข้าแต่กลับไม่มีวี่แววมามีคณะไหนยกเลิกตั๋วเลย ผมกับเพื่อนเริ่มใจไม่ดีเพราะกลัวจะมาเสียเที่ยว จนกระทั่งถึงเวลาแสดงก็ใจชื้น ขึ้นมาบ้างเมื่อเจ้าหน้าที่ประกาศว่ามีที่นั่งว่างอยู่จำนวนหนึ่ง คนสามสี่ร้อยคนที่ยืน หน้าเคาเตอร์จึงต่างลุ้นระทึกเมื่อเจ้าหน้าที่อ่านรายชื่อคนที่ลงชื่อไว้ก่อน
เวลาขานชื่อ เราจะเห็นทั้งกลุ่มนักเรียนที่ร้องดีอกดีใจ เห็นคุณยายแก่ผมขาวทั้งหัว ที่ยิ้มละไมเดินมารับบัตร บางคนก็โวยวายหาว่าชื่อตัวเองหาย ในขณะที่ส่วนใหญ่ เริ่มสลดเพราะไม่แน่ใจว่าบัตรที่เหลือนั้นจะเพียงพอจนถึงรายชื่อของตนหรือไม่
"คุณณรง..." ไม่นานนักผมก็ได้ยินเจ้าหน้าที่เรียกชื่อผม ผมขานนามสกุลของผม ด้วยเสียงอันดังตามกติกา พร้อมเดินไปรับบัตรชนิดแก้มแทบปริ แล้วเรียกเพื่อน ให้รีบเข้าหอประชุมทันที
ในหอประชุมมืดมาก ผมกับเพื่อนเข้าไปนั่งเก้าอี้เสริมด้านหลังสุด มุมที่นั่งไม่ดีเลย เพราะเวทีเสี้ยวหนึ่งโดนบัง แต่พอนึกถึงคนอีกเป็นร้อยที่ยืนรออยู่ด้านนอกก็เลย เลิกหงุดหงิด แล้วหันมาดูละครอย่างตั้งใจ...
มันเป็นช่วงเวลาที่มหัศจรรย์มาก.. จริง ๆ ผมก็อ่านเรื่องมหาชนกมาก่อนแล้ว เนื้อหาของละครก็ไม่ต่างจากบท พระราชนิพนธ์มากนัก บทร้องก็รู้สึกว่าไม่ค่อยมีสัมผัสเอาเลย ดนตรีหลาย ๆ ช่วงก็รู้สึกคุ้น ๆ หูว่าเคยได้ยินจากหนังบางเรื่อง แต่ไม่ว่าจะมีข้อติอย่างไร สำหรับผมแล้วละครเรื่องนี้สะกดผมอยู่หมัดเลย ส่วนหนึ่งอาจเพราะเสน่ห์ของการ แสดงสดที่ผมไม่ค่อยได้มีโอกาสดูบ่อยนัก (ก็ปกติดูแต่หนัง)
โปรดักชั่นอลังการ การจัดองค์ประกอบของเวทีดีเยี่ยม นักแสดงทั้งมืออาชีพ และมือสมัครเล่นต่างเล่นกันอย่างถวายหัว โดยรวมแล้วถือว่าดีหมด
สิ่งหนึ่งที่ผมไม่ค่อยเข้าใจตัวเองเลยก็คือ ฉากที่กระชากใจผมที่สุดกลับไม่ใช่ฉากที่ โชว์เทคนิคตื่นเต้น อย่าง ฉากเรือแตก ฉากโค่นต้นมะม่วง แต่กลับกลายเป็นฉาก ธรรมดา ๆ คือ ตอนที่พระมหาชนกกำลังว่ายน้ำในทะเล เป็นเวลาถึงเจ็ดวัน
ผมเห็นกลุ่มนักแสดงหลายสิบคนที่ยกตัวอัษฎาวุธ เคลื่อนตัวไปยังส่วนต่าง ๆ ของ เวที พร้อมกับเสียงดนตรีประกอบแสนโหยหวน ตอนดูถึงฉากนี้ผมจุกถึงคอหอย อยู่ ๆ น้ำตามันก็ร่วงออกมาเอง ไม่รู้เป็นบ้าอะไร (ยังดีที่หอประชุมมันมืด ไม่งั้นได้โดยเพื่อนล้อตลอดทางกลับ ก.ท.ม. แน่)
พระมหาชนกเป็นเรื่องจากชาดก มันก็มีบรรยากาศแบบเรื่องจักร ๆ วงศ์ ๆ เป็นธรรมดา แต่ว่าฉากที่พระมหาชนกลอยคอในมหาสมุทรนั้น มัน Realistic มาก ผมนึกถึง หนังอย่าง Open Water Cast away Adrift Whale Rider คนตัวเล็ก ๆ กับท้องทะเลที่กว้างใหญ่ มองไปทางไหนก็ไม่เห็นฝั่ง ไร้หวัง มันเป็น สถานการณ์ที่บีบคั้นสุด ๆ
ในชีวิตของคนเราต่างก็เคยอยู่ในสถานการณ์แบบนี้กันทั้งนั้น
เราทุกคนมีทะเลที่ต้องแหวกว่ายข้ามไป... คนส่วนใหญ่จะหมดแรงแล้วจมลงสู่ก้นมหาสมุทร แต่คนประเภทใดเล่าที่สามารถ ว่ายน้ำทั้ง ๆ ที่มองไม่เห็นฝั่ง ผมไม่เคยนึกเอะใจเลยจนวินาทีนั้นว่า คนประเภทไหนเหล่าที่ไม่ท้อถอย ว่ายน้ำได้ถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน ทั้งที่ไม่มีความหวัง
ตอนนั้นพระมหาชนกกลายเป็น Hero ในใจผมไปแล้ว
วันนั้นผมออกจากหอประชุมด้วยความรู้สึกชุ่มฉ่ำ เหมือนใครมาฉายไฟให้ห้อง ทำงานที่มืดทึบแสนรกรุงรังของผม
ผมพร้อมกลับไปตะลุยงานกองโตที่รออยู่เบื้องหน้าอีกแล้ว ชีวิตมันก็เหมือนงานที่ไม่รู้จักเสร็จแต่เราจะบ่นไปใยเล่า แม้จะไม่มีนางมณีเมขลามาพบ ขอเพียงแค่พากเพียรทำหน้าที่ให้ดีที่สุด แม้ตายก็ไม่อายใคร
Create Date : 14 กันยายน 2550 |
|
1 comments |
Last Update : 14 กันยายน 2550 18:01:20 น. |
Counter : 2449 Pageviews. |
|
|
|