. . . จาก ฮา นอย ถึง ฮา ลอง ตอนที่ 1 . . .
***คำเตือน*** บล็อกนี้เนื้อเรื่องยาว และรูปประกอบค่อนข้างจะเยอะ ใครเนตไม่แรงขออภัยเจ้าค่ะ
ต่อจาก ตอนที่แล้ว
เช้าแรกที่ ฮานอย เราตื่นกันแต่เช้า โดยเจ็งลี่เป็นคนแรก (ไม่ใช่เพราะอาวุโสสุดนะ >_<) แต่เป็นเพราะรู้ตัวว่าเป็นคนที่โอ้เอ้สุด เลยต้องตื่นเร็วกว่าชาวบ้านเขา มาจัดการอาบน้ำ สระผม เบ็ดเสร็จแต่ละคนใช้เวลาในห้องน้ำคนละ 30 นาที แต่นังเจ็งฯ ที่เป็นคนแรก ก็เรียบร้อยพร้อมๆ กับทุกคน เอ๊ะยังไงหว่า เมื่อเรียบร้อยก็มีคุณผู้ชายมาเรียกให้เราไปทานอาหารเช้า เราเจอกับกลุ่มคนไทยที่เราเจอตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว ถามไถ่ได้ความว่าวันนี้เราจะไปทริปเดียวกัน Halong Bay ฮาลองเบย์ ถือเป็น The Must ของฮานอยอย่างหนึ่ง เรียกได้ว่ามาแล้วต้องไปที่นี่ เราเองก็ตื่นเต้นกันเล็กน้อย อาหารมื้อเช้าของเรา เป็นแบ๋งหมี่ หรือขนมปังฝรั่งเศสอันเล็กๆ ที่มีขายทั่วไปในเวียดนาม มีเนย และแยม กาแฟ หรือชาแล้วแต่จะเลือก นังเจ็งฯ โชคดีเลือกชา แต่ชากาแฟที่นี่ เหมือนจะหมดสิทธิ์ในการปรุง เพราะพี่แกจะถามเลยว่า เอานม หรือเปล่า ถ้าเอานม จะใส่นมมาให้ แบบไม่ต้องร้องขอ ไม่ต้องถามว่าเท่าไหร่ พี่แกจัดการให้เสร็จ แถมมื้อเช้าด้วยแตงโมหวานเจี๊ยบ ชิ้นหนาๆ คนละชิ้น พวกเรามองหน้ากัน และตกลงกันทันทีที่กลับเข้าห้องว่า อาหารเช้าฟรีแบบนี้ พรุ่งนี้เช้า ตรูยอมเสียตังดีฝ่า ^^""
ทางโรงแรมนัดกับเราว่า รถจะมารับตอนประมาณ 7.45 น. ซึ่งเราก็เรียบร้อยกันตั้งแต่ 7.30 น. ออกจากห้องล็อกเรียบร้อย แน่นอนว่าไม่ลืมน้ำติดตัวไปคนละขวด อย่างที่บอกน้ำหาทานยาก และแพงมาก คนเวียดนามค่อนข้างจะแปลกค่ะ เวลาไปทานอะไรจะไม่มีน้ำไว้ให้ แล้วก็มักจะไม่ค่อยมีน้ำขายกันสักเท่าไหร่ด้วย หรือจะเป็นเพราะอาหารส่วนใหญ่ของเขาจะเป็นพวกเฝอ ที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบก็ไม่แน่ใจ ก่อนที่เราจะออกเดินทางไปฮาลองเบย์นั้น นังเจ็งฯ ได้ขอความช่วยเหลือจากหนุ่มวี ผู้มากด้วยน้ำใจและมากด้วยน้ำลาย ด้วยการขอให้โทรหาเพื่อนฮงของเราให้ที เพราะเขาบอกว่าโทรฟรีไม่คิดตัง (เลยได้ทีใช้เขาเสียเลย) จริงๆ ไม่ใช่ค่ะ เพราะเราไม่รู้จะหาโทรศัพท์ที่ไหน เพื่อจะโทรไปนัดหนุ่มฮง เพื่อไปทานมื้อเย็นกันวันนี้ เลยถามหนุ่มวี ซึ่งหนุ่มวีก็เสนอตัวว่าโทรจากโรงแรมก็ได้ ไม่เสียเงิน เราเลยรับความช่วยเหลือพร้อมกับขอให้วีอย่างไม่อิดออดสักนิดเลยค่ะ ช่วยซื้อซิมการ์ดของเวียดนามให้เราด้วย รวมถึงขอให้วีช่วยจองตั๋วหุ่นกระบอกน้ำไว้ให้เราในวันต่อมาด้วย วีรับปากจัดการให้เราหมดค่ะ หมดห่วงเรื่องโทรฯ เรื่องนัด รถมารับเราก็ออกเดินทางค่ะ
การเดินทางไปเที่ยวในฮานอย รถวิ่งช้ามากค่ะ เขาจำกัดความเร็วที่ 60 กิโลเมตร/ชั่วโมงเท่านั้นเอง ถ้าให้เดา คงเนื่องมาจากการจราจร คนเวียดนามใช้รถมอเตอร์ไซด์เป็นพาหนะ เป็นส่วนใหญ่ค่ะ แล้วคนขับรถที่นี่ก็ทักษะสูงมากด้วย เพราะเขาจะขับรถกันแบบไม่เบรกเลยทีเดียว ทำให้ต้องมีกฏแบบนี้ขึ้นมาเพื่อหลีกเลี่ยงอุบัติเหตุ แต่อย่างนั้นก็ดี ไกด์ของเราบอกว่า ก็ยังมีอุบัติเหตุเกิดขึ้นมากอยู่ดี ด้วยเหตุที่จำกัดความเร็วนี้เอง ทำให้เราใช้เวลา 3 ชั่วโมงจึงจะถึงอ่าวฮาลอง ซึ่งถ้าเป็นเมืองไทยเราคงจะสักแค่ 2 ชั่วโมงสำหรับระยะทาง 170 กิโลเมตรนี้ เรียกได้ว่าเรานั่งนานจนเมื่อยเลยละค่ะ ดีที่อย่างน้อยเขาก็มีจอดรถให้พอยืดเส้นยืดสาย เข้าห้องน้ำ และเพื่อให้ชอปปิ้งด้วย แน่นอนค่ะว่ากลุ่มของเราไม่มีใครควักเงินชอปอะไร รู้ๆ กันอยู่ศูนย์หัตถกรรมที่เขาพาไปแวะนั้น ราคาสินค้านี่บ้าเลือดน่าดูค่ะ ถึงจะอยากได้ภาพปักที่สาวๆ ที่มีปัญหาพิการทางหูนั่งปักอยู่ก็ตามเถอะ แต่ผืนหนึ่งนี่เป็นร้อยเหรียญ ไม่ไหวละค่ะ แค่กระเป๋าใบเล็กๆ ใส่เศษสตางค์ยังตั้ง 5 เหรียญ ไหนจะของอื่นๆ อีก เราเลยได้แต่ชอปปิ้งด้วยสายตา และเก็บภาพบางส่วนกลับมาเท่านั้นเอง
รถตู้ที่พาเราไปค่ะ
ศูนย์หัตถกรรมที่ไปแวะ
ของที่ระลึก
ภาพปักด้วยมือ
ชัดๆ
ก้มหน้าก้มตาปัก
มีน้องไก่กุ๊ก จากจุดที่เราแวะพัก เดินทางอีกหน่อยสักพักก็ถึงอ่าวฮาลองแล้วค่ะ ระหว่างทางเราจะเห็นฮวงซุ้ยตั้งเรียงรายกันอยู่เป็นแนว อยู่เหมือนชุมชนเลยทีเดียวค่ะ เขาสร้างกันไว้ในทุ่งนา ประหนึ่งว่าบรรพบุรุษก็อยู่ที่ของใครของมัน ฮวงซุ้ยแต่ละหลังแลดูหรูหราไฮโซเมื่อเทียบกับที่เคยเห็นจากที่อื่นๆ มา เรายังคิดว่าสงสัยจะเป็นปกติของแถบนี้ แต่พอวันต่อมาเราจึงรู้ว่า เราคิดผิดค่ะ
ใกล้ถึงแล้วค่ะ เมื่อถึงอ่าวฮาลอง ไกด์ของเราบอกให้เรารอสักพัก เพื่อรอรับตั๋วที่ไกด์กำลังจะไปซื้อตั๋วขึ้นเรือให้ เนื่องจากทัวร์ของเราเป็น ทัวร์แบบวันเดียวเที่ยวให้ทั่ว แต่จะลงรายละเอียดมากนักคงไม่ได้ ด้วยข้อจำกัดของเวลา เราเลยได้นั่งเรือรอบๆ อ่าว และไปขึ้นลงถ้ำกันอีกสองแห่ง เดี๋ยวเจ็งลี่จะฝอยต่อไปหลังจากนี้แหละค่ะ เมื่อเราได้ตั๋วจากไกด์แล้ว เราก็ต้องกลายเป็นลูกไก่ เดินตามไกด์ของเราไปต้อยๆ เพื่อไปขึ้นเรือ ไม่มีไกด์แล้วเราจะไปขึ้นเรือถูกได้อย่างไร เพราะงั้นต้องตามไกด์สถานเดียวค่ะ ถ้าไม่อยากเป็นลูกไก่หลงฝูง ที่ขายตั๋ว
ตามตาไก่ เอ้ย ไกด์ไปค่ะ
ไกด์พาเราลัดเลาะไปตามท่าเรือ เรือบางลำก็มีหัวเป็นมังกร แต่บางลำก็ไม่มี อย่างเช่นเรือลำที่เรานั่ง แต่สภาพโดยรวมแล้ว ดีมากเลยละค่ะ เรือแข็งแรงมั่นคง ที่นั่งนั่งสบาย ไม่มีกลิ่นอับหรือกลิ่นไม่พึงประสงค์แต่อย่างใด คณะสาวๆๆของเราก็จับจองที่นั่งชุดหนึ่ง แล้วจากนั้นเรือก็เริ่มออกจากท่า จากการสังเกต ถึงรู้ว่าเรือที่มีความแตกต่างกันตรงหัวเรือนั้น เพราะเรือลำใดที่มีหัวมังกรสวยงามไฮโซแล้วละก็ เป็นเรือที่ใช้สำหรับลูกทัวร์ที่จะค้างคืนบนเรือนั่นเอง ของพวกเรามันเรือไม่ไฮ เพราะเป็น 1 day trip เลยเป็นเรือแบบไม่มีหัวเรือ อิอิ รอกลับไปรอบหน้าแล้วกันจะอยู่บนเรือแบบไฮโซนั่นเสียหน่อย จริงๆ ถ้าเรามีเวลาพอ เราก็คงเลือกที่จะค้างคืนบนเรือหรือบนเกาะ แคทบา Catba อยู่เหมือนกัน เพราะจะมีเวลาชื่นชม เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่นี่ได้มากขึ้น ไม่ต้องเป็นชะโงกทัวร์แบบนี้ T_T
เรือสำเภากางใบอยู่ลิบๆ
เรือที่จอดข้างๆ
ตั๋วล่องเรือค่ะ
เจาะกันตรงนี้
เมื่อเรือเริ่มออกจากท่า แรกๆ เจ็งลี่ก็เกร็งค่ะ เพราะเป็นที่รู้กันในหมู่เพื่อนฝูงว่า นังนี่เป็นโรคกลัวน้ำ เกือบๆ จะโฟเบียเลยทีเดียว โดยเฉพาะน้ำนิ่งๆ อีนี่จะกลัวเป็นพิเศษ ถ้าเรือโคลงๆ โยกๆ ไม่เป็นเรื่องแปลกที่จะเห็นหน้านังเจ็งฯ เปลี่ยนสี คราวนี้รีบนั่งข้างหน้าต่าง พยายามมองออกไปนอกหน้าต่าง ดูวิวไปรอบๆ พร้อมกับกินยาแก้เมาไว้ก่อนด้วยความกลัว หลังจากเรือออกจากท่าได้สักพัก เริ่มรู้สึกว่าเรือไม่โคลงเคลง เรือลำใหญ่ มั่นคง อบอุ่น ประหนึ่งอ้อมกอดของหนุ่ม เอ้ย ไม่ใช่ค่ะ คือ เหมือนเรานั่งรถเฉยๆ นิ่งๆ ไม่โยกคลอนอะไร เลยค่อยๆ คลายใจ กล้าที่จะออกเดินไปด้านหน้าของเรือ ไปชื่นชมบรรยากาศค่ะ เสียดายจริงๆ ที่วันที่เราไปนั้นท้องฟ้ามันไม่สดใสเอาเสียเลย มัวซัว แต่ไม่มีฝน ปลอบใจตัวเองว่า ดีแค่ไหนแล้วมาเที่ยวไม่ต้องเจอฝน ฟ้าไม่ใสก็ทนๆ ไปเหอะ เรือล่องไปเรื่อยๆ ค่ะ ทางไกด์ของเราก็จ้อบ้างแต่เพียงนิดหน่อย คือ นึกในใจ มีไกด์แบบนี้ไม่มีก็ได้ เพราะข้อมูลนั้นไม่ได้ต่างอะไรจากที่เราศึกษาก่อนมาเลย ชิ!! (แอบเชิดหน้าใส่ตาไกด์ค่ะ) โผล่ออกมาดูหน่อยดิ๊
มัวซัวน่าดู
ฟ้าค่อยใสขึ้นหน่อย อ่าวฮาลอง หรือเราเรียกติดปากว่า Halong Bay นี้ ห่างจากกรุงฮานอย 170 กิโลเมตร มีพื้นที่ประมาณ 1,500 ตร.กม. ซึ่งเป็นมรดกโลกของชาวเวียดนามด้วยนะคะ ซึ่งประกอบไปด้วยเกาะหินปูนน้อยใหญ่อยู่ประมาณ 2,000 เกาะ ระหว่างที่ล่องเรือไปนั้น จะเห็นเกาะเล็กเกาะน้อยที่มีรูปร่างแตกต่างกันไป แต่ที่นับได้ว่า เป็นจุดสังเกตของที่อ่าวฮาลองนี้ก็คือ เขาไก่ชน หรือ Kissing Cocks ค่ะ แต่ประทานโทษ นังเจ็งมองไงก็ไม่เป็นไก่ค่ะ ชะรอยจะเป็นเพราะตาถั่วหรือเปล่าก็ไม่ทราบนะคะ เอ หรือตาไม่ถึงกันแน่น๊า พ้นจากเขาชนไก่ เขาไก่ชนมาแล้ว เรือก็จะจอดนิ่งๆ ให้เราได้ทานอาหารกันสักที (แหม รอตั้งนาน หิวนะเนี่ย ไอ้เจ้าแบ๋งหมี่มื้อเช้าไม่ได้ช่วยอะไรสักเท่าไหร่เลยนะ) แต่ก่อนจะได้ทาน เขาก็ไปจอดเรือตรงฟาร์มปลากลางทะเล จริงๆ ไม่ได้เรียกฟาร์มปลาหรอกค่ะ เพราะเขาไม่ได้มีแต่ปลา แต่มีทั้งกุ้งกั้งหอยปู นั่นแหละ สุดแต่จะสั่งจะเลือกขึ้นมาให้เขาปรุงกันสดๆ บนเรือ อ้อ อาหารพวกนี้ราคาไม่รวมกับทัวร์นะคะ สามเราไม่มีใครกล้าค่ะ ไม่ใช่กลัวแพง แต่เห็นแล้วมันไม่กล้าหม่ำ เห็นเป็นตัวเป็นๆ อยู่แท้ๆ จู่ก็มานอนหงายท้องในกะทะ แล้วต้องลงกระเพาะของใครก็ไม่รู้ เห็นแล้วไม่บังอาจค่ะ แต่ก็มีคนในคณะสั่งหอย กับปลามาทานเหมือนกัน แล้วยังเผื่อแผ่มาให้กลุ่มของเรา แต่นังเจ็งฯ ขอผ่านฮ่ะ ไม่รับหอยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยิ่งแบบนี้ยิ่งไม่ไหวเจ้าค่ะ
หมู่เกาะน้อยใหญ่
ฟ้าก็ยังมัวๆ อยู่
เขาชนไก่ เอ้ย เขาไก่ชน kissing cocks
น้ำเขียวดีนะ
เรือพายขายของ
หอยกั๊บหอย
น้องปู
เราลอยเรือกลางทะเล แต่อาหารเที่ยงของเราเป็นสัตว์บก กับผักเสียส่วนใหญ่ค่ะ ถ้าไม่นับหอยที่ได้รับบริจาคมาแล้วละก็ น้องปลาหมึกผัด ก็นับได้ว่าเป็นอาหารทะเลเพียงอย่างเดียวบนโต๊ะ โอ๊ะ รวมน้องปลาทอดด้วยค่ะ ผัดผักเขาอร่อยดี ผักที่นี่กินกี่เจ้าๆ ก็อร่อยนะคะ ผักเขาหวานกรอบ มีรสชาติความเป็นผัก แล้วที่ติดใจมากๆ ข้าวค่ะ ข้าว ข้าวเวียดนามอร่อยมากเลยค่ะ คล้ายๆ กับข้าวญี่ปุ่น เม็ดจะกลมๆ อวบๆ (เหมือนคนกิน ) แต่ยาวกว่าข้าวญี่ปุ่นสักเล็กน้อย เคี้ยวแล้วหนึบๆ หน่อย อร่อยมากค่ะ แต่ถ้าใครไม่ชอบข้าวแบบนี้ก็อย่ามาว่ากันเน้อ อิอิ
ผัดผัก
เต้าหู้
น้องหมึก
ปอเปี๊ยะ
หมู กินพวกเดียวกัน น่าสงสาร
หอย
และข้าวหนุบๆ หย่อยๆ
To Be Continued.....
Create Date : 25 ตุลาคม 2549 |
|
11 comments |
Last Update : 25 ตุลาคม 2549 13:59:57 น. |
Counter : 726 Pageviews. |
|
|
|
ผักเขียวชอุ่ม..ชวนให้คิดถึงผักราดปุ๋ยสด ของเมืองจีน...แหม๋...มันเขียวสดชวนกินเสียนี่กระไร...
อ่านแล้วได้ฟามรู้อีกอย่างว่า..น้องเราเป็นโรคกลัวน้ำ...5555555