
ตี 4 ตามนัด เข้าคณะไปในสภาพสะโหลสะเหลพอไปถึงรุ่นพี่จัดแจงให้เปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อขึ้นดอยสีผ้าดิบเปลี่ยนเสร็จไปนั่งเข้าแถวกินข้าวต้ม...เอิ่ม..ในใจคิดงานนี้มีหมดแรงข้ามต้มแน่ๆกับอีก 14 กม.ที่จะต้องขึ้นไป หลังจากกินข้าวต้มเสร็จแล้วก็เข้าแถมเตรียมตัวเดินไปหน้ามอวิศวะออกตัวเป็นคณะที่ 3 ก่อนหน้านั้นอีก 2 คณะเจ้าของบล็อคจำไม่ได้ว่าคณะอะไรบ้างก่อนออกวิ่งก็มีบูมคณะก่อน ปี 1 อยู่ตรงกลาง 500 กว่าคน ผู้หญิงอยู่หน้าผู้ชายอยู่หลัง มีพี่ปี 2 ขนาบซ้ายขวา พี่ปี3 ปิดท้าย และพี่ปี 4นำขบวนอยู่ข้างหน้า รวมๆแล้วจำนวนคนเป็นพันแน่นอน ออกสตาร์ทจากหน้ามอก็วิ่งสิคะวิ่งไปถึงครูบาก็หอบแล้วค่ะ แวะสักการะครูบาศรีวิชัยก่อนออกวิ่งต่อ ตามไปจนทันคณะที่ออกมาก่อนหน้ารุ่นพี่ก็พาวิ่งแซง เป้าหมายคือเราต้องขึ้นไปถึงบนดอยคณะแรก เอิ่ม...คนเป็นพันวิ่งกันไปไหวบ้างไม่ไหวบ้าง เพื่อนช่วยเพื่อน แรกๆยังพอมีแรงแต่แรงตกจากที่อยู่ข้างหน้าก็ไปอยู่เกือบท้ายเพื่อนผู้ชายที่อยู่ข้างหลังก็คอยช่วยดันหลังผลักส่งต่อกันเป็นทอดๆให้กลับไปอยู่ข้างหน้าผ่านไปซักพักขาเริ่มเจ็บแต่ก็ยังพอวิ่งได้ข้าวต้มที่กินมาตอนเช้ามืดหมดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เพื่อนเริ่มผลักกลับขึ้นไปข้างหน้าไม่ไปแล้ว กลายมาเป็นมีผู้ชายมาขนาบหิ้วปีกซ้ายขวาพาไปส่งข้างหน้า
โอ้...ระยะทาง 14 กม.ช่างไกลนักไม่ถึงซักที หลังจากมีผู้ชายขนาบข้างมาระยะหนึ่งถึงจุดๆหนึ่งได้ยินรุ่นพี่ตะโกนมาว่า เพื่อนคนไหนไม่ไหวก็แบกไปงานนี้มี 4 คนหามเลยค่ะระหว่างทางมีแวะพักกินข้าวที่สถานีความคุมไฟป่า และพักตรงจุดชมวิวสุดท้ายก่อนถึงพระธาตุสุดท้ายเราก็มาถึงโค้งสุดท้าย คือโค้งขุนกัณฑ์ หรือที่พวกเราเรียกกันว่าโค้งสปิริตหรือโค้งวัดใจ ก่อนวิ่งขึ้นโค้งสุดท้ายนี้รุ่นพี่ให้จัดแถวใหม่ชายสลับหญิงชายอยู่ด้านนอก กอดเอวกันหิ้วเข็มขัดตรงเองด้านหลัง คนเจ็บ คนพิการนั่งรถเข็ญ ถือไม้เท้าก็มาวิ่งไปพร้อมๆกันเมื่อพร้อมแล้วก็มีสัญญาณปล่อยตัวเหมือนปล่อยตัวนักวิ่งเลย ให้วิ่งขึ้นทีละ10แถวได้มั้ง ใครไม่ไหวก็มีเพื่อนช่วยแบกช่วยกันหามกันขึ้นไปแล้วเราก็พากันวิ่งมาจนถึงพระธาตุดอยสุเทพตั้งแถวพักเหนื่อยหน้าบันไดทางขึ้นแป๊บนึงบูมอีก 1 รอบ แล้วพากันเดินขึ้นไปสักการะพระบรมธาตุดอยสุเทพเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง

หลังจากนั้นพี่ๆก็พาไปที่สวนสน มีการเปิดสายรหัสพร้อมทานข้าวกลางวัน มีการเอ็นเตอร์เทนและแจกทุนจากพี่ๆนายช่าง รวมทั้งให้ปี 1 ร้องเพลงเชียร์และปิดท้ายกิจกรรมบนสวนสนด้วยพี่ๆร้องเพลงวันลา (ปี 1 ยังร้องไม่เป็นเพราะพี่ๆยังไม่ได้สอน)ตอนนั้นวันนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเพลงวันลา เนื้อเพลงมันโดนใจมาก “…จากบทเพลงเราเคยร่วมร้องก้องกังวานสะท้านห้องเชียร์ เหนื่อยกระหายร่างกายอ่อนเพลีย เรายังเชียร์ด้วยใจดอยที่สูงเสียดฟ้า ด้วยสองขาเราก้าวขึ้นไป ใครไม่ไหวกอดคอเพื่อนไว้ ลากกันไปให้ถึง…” เฮ้ย!! มันใช่อ่ะ เพลงมันใช่เลย เจ้าของบล็อคฟังไปขนลุกไปคงเพราะเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดกับตัวเองไปมันตรงกับเนื้อเพลง

ทีนี้มาถึงตอนสำคัญนึกในใจจะได้กลับแล้ว พี่ๆพาไปตั้งแถวเหมือนเดิมเตรียมตัวเดินกลับไปคณะ แต่แล้ว อยู่ๆก็มีเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมาจากพี่นายช่างกลุ่มหนี่งว่า“พวกผมจะไปดอยปุย พวกคุณจะไปกับพวกผมมั๊ย??” “แว้กกกกก ดอยปุยนี่มันต้องขึ้นไปอีกหลายกิโลอยู่นะจะไปจริงเหรอ พี่นายช่างบ้ารึเปล่าวะ?” (ได้แต่คิดอยู่ในใจมิสามารถเอื้อนเอ่ยออกมาได้) เชื่อว่าเพื่อนๆหลายคนในตอนนั้นใจคิดอย่างหนึ่งแต่ปากก็ส่งเสียงออกมาว่า“ไปครับ/ค่ะ” เหมือนกับเจ้าของบล็อคแน่นอน มีการถามย้ำอีกว่าจะไปดอยปุยมั๊ยแน่นอนคำตอบจากปี 1 จำนวน 500 กว่าคนตอนนั้นตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า “ไปค่ะ/ครับ”และพี่ๆนายช่างกลุ่มนั้นก็พาพวกเราวิ่งขึ้นไปทางดอยปุยจริงๆแต่วิ่งไปได้ซักพักหนึ่งก็หยุด เพราะว่าแถวห่างกันมากข้างหน้ากับข้างหลังไกล ทีนี้ต้องมีกันเลือกว่า จะเอา ซีเนี่ยลิตี้(Seniority) หรือ ยูนิตี้ (Unity) ถ้าเราตามพี่เค้า (แถวหน้า ) เพื่อนๆ ข้างหลังก็โดนทิ้งห่าง คือ ตอนนั้นต้องเลือก สุดท้ายพวกเรา (แถวหน้า) ก็เลือกที่จะรอเพื่อนแล้วไปพร้อมๆกันทั้งรุ่น พี่เค้าเลยหยุดแล้วก็พามาส่งให้พี่ปี 4 พาเดินสลับวิ่งกลับไปที่คณะ
ระหว่างทางลงมาฝนตกค่ะ แน่นอนว่าเสื้อสีผ้าดิบโดนฝนมันก็แทบไม่ต่างจากเสื้อสีขาวเลย มีเสียงรุ่นพี่บอกให้เพื่อนผู้ชายถอดเสื้อให้ผู้หญิงใส่ทับอีกชั้นโอ้ว…แม่เจ้า...พี่ๆช่วยถามหนูก่อนได้มั๊ยว่าอยากใส่รึเปล่า? เจ้าของบล็อคไม่รับเสื้อค่ะให้เหตุผลว่ามีเสื้อซับในใส่ซ้อนมาอีกตัวนึงแล้ว ช่วงเวลาลงดอยนี้เป็นช่วงเวลาทรมานของเพื่อนผู้ชายส่วนใหญ่หรือแทบจะทุกคนก็ได้ มีเสียงมาจากรุ่นพี่เป็นระยะๆว่า “แสบแน่” ณ ตอนนั้นเจ้าของบล็อคก็ไม่เข้าใจหรอกว่าไอ้คำว่าแสบแน่มันหมายถึงอะไร (มารู้ทีหลังหลังจากวันนั้นก็หลายวันแล้วแอบไปถามเพื่อนผู้ชายมาว่ามันคืออะไร 5555+)
กว่าจะถึงคณะก็มืดแล้ว กี่โมงไม่รู้ได้ แต่พี่ๆให้มาเข้าแถวให้ตึก3 ชั้น แล้วก็นั่งพัก หลายคนคิดอีกนิดเดียวจะได้กลับบ้านกลับหอแล้วเอาวะทนอีกหน่อย ยังค่ะ!! มันยังไม่จบแค่นั้น ก่อนจะได้แยกย้ายกันกลับมาพี่นายช่างคนหนึ่งค่ะมาพูดว่าสิ่งที่พวกเราได้รับในวันนี้มันจะส่งผลไปถึงอะไรได้บ้างในอนาคตจากประสบการณ์ของพี่เค้าที่ผ่านมา ณ ตอนนั้นก็ได้แต่ฟังค่ะเข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้าง ในใจคิดอย่างเดียวเมื่อไหร่จะปล่อยกลับซะทีที่แน่ๆจำหน้าพี่คนนั้นได้แม่นยำเลยทีเดียว.....
เหตุการณ์วันนั้นเจ้าของบล็อคบอกได้เลยว่าผ่านมือชายทั้งคณะมันเป็นยังไงอย่างน้อยก็โดนเพื่อนช่วยผลักขึ้นไปข้างหน้า อย่างมากก็โดนแบกแบบ 4 คนหามเห็นหน้าเพื่อนทุกคน ได้รู้จักเพื่อนมากขึ้น ณเวลานั้นถึงแม้จะจำชื่อเพื่อนไม่ได้ทั้งหมด 500 กว่าคนแต่อย่างน้อยก็รู้ว่าเพื่อนเรามีหน้าตาแบบนี้นะ เพื่อนช่วยเพื่อนตลอดระยะทาง 14กม.ในวันนั้นจนทุกวันนี้ผ่านมา 15 ปี เพื่อนก็ยังช่วยเพื่อนเสมอ....
WE ARE ALL ENTANEER CMU.
ขอบคุณที่ตามอ่านมาจนจบ
เรื่องโดย...หมวย ๔๓๐๖๓๔๑