You'll never walk alone.
Group Blog
 
 
กันยายน 2558
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
15 กันยายน 2558
 
All Blogs
 
เรื่องราวของ Entaneer Gear 31 ตอนรับน้องขึ้นดอย

หลังจากห่างหายจากการเขียนบล็อคมานาน วันนี้พอมีเวลากอรปกับเพิ่งผ่านพ้นกิจกรรมรับน้องขึ้นดอยของมช.มาไม่กี่วันปีนี้เป็นอีก 1ปีที่เจ้าของบล็อคไม่ได้ไปร่วมกิจกรรม(3ปีแล้วสินะ) เหตุเพราะติดงานไปไม่ได้ทั้งๆที่จองตั๋วเครื่องบินไปแล้วแต่สุดท้ายก็ต้องทิ้งตั๋วไป ปีนี้กิจกรรมรับน้องขึ้นดอยจัดวันที่12 กันยายน 2558 และแน่นอนที่สุดวันนั้นทั้งหน้าฟีดเฟสบุ๊ค ไทม์ไลน์ในไลน์แม้แต่อินสตาร์แกรมก็เต็มไปด้วยรูปภาพบรรยากาศกิจกรรมรับน้องขึ้นดอยจากเพื่อนๆพี่ๆน้องๆที่ได้ไปร่วมกิจกรรมมาเต็มไปหมดสร้างความอิจฉาแก่เจ้าของบล็อคเป็นอย่างมาก พอเห็นภาพบรรยากาศวันนั้นแล้วทำให้นึกย้อนไปเมื่อ15 ปีที่แล้ว ปี พ.ศ. 2543 ตอนเจ้าของบล็อคอยู่ปี 1ความเหมือนที่แตกต่างของวันนั้นกับวันนี้มีหลายอย่างในปัจจุบันคณะวิศวะฯถูกจัดให้ขึ้นดอยเป็นคณะแรกเพราะมีเหตุผลที่ว่าเป็นคณะที่จะรับผิดชอบนำเสรี่ยงของมหาวิทยาลัยฯไปนมัสการบนพระธาตุ (คณะนี้ผู้ชายเยอะก็แบกเสรี่ยงไปด้วยนะคะ...555+)สมัยที่เจ้าของบล็อคอยู่ปี 1 นั้นถ้าจำไม่ผิดรู้สึกว่าคณะวิศวะฯจะได้ออกเป็นคณะที่ 3 วันก่อนวันขึ้นดอย 1 วันวันนั้นช่วงเช้าก็ไปเรียนตามปกติ พอตกเย็นก็เข้าห้องเชียร์เหมือนวันอื่นๆแต่มีพิเศษตรงที่คืนนั้นเค้าเรียกคืนSuper Night จะมีพี่ๆนายช่างที่จบไปแล้วกลับมาพบปะพูดคุยกับน้องๆด้วย มีกดดันน้องๆเล็กน้อยเพื่อให้น้องๆกระตือรือล้นที่จะอยากวิ่งขึ้นดอยกับเพื่อนๆคืนนั้นกว่าจะได้กลับหอไปนอนก็เที่ยงคืนแล้ว (ปกติหอหญิงปิด 4 ทุ่ม วันนั้นพี่ๆทำเรื่องขอเปิดหอหญิงตอนเที่ยงคืนเพื่อที่น้องๆผู้หญิงจะได้กลับหอได้)กลับหอเที่ยงคืนกว่าจะได้นอนก็ตี 1 หลับๆตื่นๆทั้งคืน ตี 4 รุ่นพี่นัดในคณะเยี่ยมเลย!! แทบไม่ได้นอน 
ไปค้นรูปมาเจออยู่ไม่กี่รูป ไว้ได้กลับบ้านที่ลำพูนเมื่อไหร่จะไปหามาอีก

ตี 4 ตามนัด เข้าคณะไปในสภาพสะโหลสะเหลพอไปถึงรุ่นพี่จัดแจงให้เปลี่ยนเสื้อเป็นเสื้อขึ้นดอยสีผ้าดิบเปลี่ยนเสร็จไปนั่งเข้าแถวกินข้าวต้ม...เอิ่ม..ในใจคิดงานนี้มีหมดแรงข้ามต้มแน่ๆกับอีก 14 กม.ที่จะต้องขึ้นไป หลังจากกินข้าวต้มเสร็จแล้วก็เข้าแถมเตรียมตัวเดินไปหน้ามอวิศวะออกตัวเป็นคณะที่ 3 ก่อนหน้านั้นอีก 2 คณะเจ้าของบล็อคจำไม่ได้ว่าคณะอะไรบ้างก่อนออกวิ่งก็มีบูมคณะก่อน ปี 1 อยู่ตรงกลาง 500 กว่าคน ผู้หญิงอยู่หน้าผู้ชายอยู่หลัง มีพี่ปี 2 ขนาบซ้ายขวา พี่ปี3 ปิดท้าย และพี่ปี 4นำขบวนอยู่ข้างหน้า รวมๆแล้วจำนวนคนเป็นพันแน่นอน ออกสตาร์ทจากหน้ามอก็วิ่งสิคะวิ่งไปถึงครูบาก็หอบแล้วค่ะ แวะสักการะครูบาศรีวิชัยก่อนออกวิ่งต่อ ตามไปจนทันคณะที่ออกมาก่อนหน้ารุ่นพี่ก็พาวิ่งแซง เป้าหมายคือเราต้องขึ้นไปถึงบนดอยคณะแรก เอิ่ม...คนเป็นพันวิ่งกันไปไหวบ้างไม่ไหวบ้าง เพื่อนช่วยเพื่อน แรกๆยังพอมีแรงแต่แรงตกจากที่อยู่ข้างหน้าก็ไปอยู่เกือบท้ายเพื่อนผู้ชายที่อยู่ข้างหลังก็คอยช่วยดันหลังผลักส่งต่อกันเป็นทอดๆให้กลับไปอยู่ข้างหน้าผ่านไปซักพักขาเริ่มเจ็บแต่ก็ยังพอวิ่งได้ข้าวต้มที่กินมาตอนเช้ามืดหมดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้เพื่อนเริ่มผลักกลับขึ้นไปข้างหน้าไม่ไปแล้ว กลายมาเป็นมีผู้ชายมาขนาบหิ้วปีกซ้ายขวาพาไปส่งข้างหน้า

โอ้...ระยะทาง 14 กม.ช่างไกลนักไม่ถึงซักที หลังจากมีผู้ชายขนาบข้างมาระยะหนึ่งถึงจุดๆหนึ่งได้ยินรุ่นพี่ตะโกนมาว่า เพื่อนคนไหนไม่ไหวก็แบกไปงานนี้มี 4 คนหามเลยค่ะระหว่างทางมีแวะพักกินข้าวที่สถานีความคุมไฟป่า และพักตรงจุดชมวิวสุดท้ายก่อนถึงพระธาตุสุดท้ายเราก็มาถึงโค้งสุดท้าย คือโค้งขุนกัณฑ์ หรือที่พวกเราเรียกกันว่าโค้งสปิริตหรือโค้งวัดใจ ก่อนวิ่งขึ้นโค้งสุดท้ายนี้รุ่นพี่ให้จัดแถวใหม่ชายสลับหญิงชายอยู่ด้านนอก กอดเอวกันหิ้วเข็มขัดตรงเองด้านหลัง คนเจ็บ คนพิการนั่งรถเข็ญ ถือไม้เท้าก็มาวิ่งไปพร้อมๆกันเมื่อพร้อมแล้วก็มีสัญญาณปล่อยตัวเหมือนปล่อยตัวนักวิ่งเลย ให้วิ่งขึ้นทีละ10แถวได้มั้ง ใครไม่ไหวก็มีเพื่อนช่วยแบกช่วยกันหามกันขึ้นไปแล้วเราก็พากันวิ่งมาจนถึงพระธาตุดอยสุเทพตั้งแถวพักเหนื่อยหน้าบันไดทางขึ้นแป๊บนึงบูมอีก 1 รอบ แล้วพากันเดินขึ้นไปสักการะพระบรมธาตุดอยสุเทพเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเอง

หลังจากนั้นพี่ๆก็พาไปที่สวนสน มีการเปิดสายรหัสพร้อมทานข้าวกลางวัน มีการเอ็นเตอร์เทนและแจกทุนจากพี่ๆนายช่าง รวมทั้งให้ปี 1 ร้องเพลงเชียร์และปิดท้ายกิจกรรมบนสวนสนด้วยพี่ๆร้องเพลงวันลา (ปี 1 ยังร้องไม่เป็นเพราะพี่ๆยังไม่ได้สอน)ตอนนั้นวันนั้นเป็นครั้งแรกที่ได้ยินเพลงวันลา เนื้อเพลงมันโดนใจมาก “…จากบทเพลงเราเคยร่วมร้องก้องกังวานสะท้านห้องเชียร์ เหนื่อยกระหายร่างกายอ่อนเพลีย เรายังเชียร์ด้วยใจดอยที่สูงเสียดฟ้า ด้วยสองขาเราก้าวขึ้นไป ใครไม่ไหวกอดคอเพื่อนไว้ ลากกันไปให้ถึง…” เฮ้ย!! มันใช่อ่ะ เพลงมันใช่เลย เจ้าของบล็อคฟังไปขนลุกไปคงเพราะเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดกับตัวเองไปมันตรงกับเนื้อเพลง

ทีนี้มาถึงตอนสำคัญนึกในใจจะได้กลับแล้ว พี่ๆพาไปตั้งแถวเหมือนเดิมเตรียมตัวเดินกลับไปคณะ แต่แล้ว อยู่ๆก็มีเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมาจากพี่นายช่างกลุ่มหนี่งว่าพวกผมจะไปดอยปุย พวกคุณจะไปกับพวกผมมั๊ย?? แว้กกกกก ดอยปุยนี่มันต้องขึ้นไปอีกหลายกิโลอยู่นะจะไปจริงเหรอ พี่นายช่างบ้ารึเปล่าวะ?(ได้แต่คิดอยู่ในใจมิสามารถเอื้อนเอ่ยออกมาได้) เชื่อว่าเพื่อนๆหลายคนในตอนนั้นใจคิดอย่างหนึ่งแต่ปากก็ส่งเสียงออกมาว่าไปครับ/ค่ะ เหมือนกับเจ้าของบล็อคแน่นอน มีการถามย้ำอีกว่าจะไปดอยปุยมั๊ยแน่นอนคำตอบจากปี 1 จำนวน 500 กว่าคนตอนนั้นตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ไปค่ะ/ครับและพี่ๆนายช่างกลุ่มนั้นก็พาพวกเราวิ่งขึ้นไปทางดอยปุยจริงๆแต่วิ่งไปได้ซักพักหนึ่งก็หยุด เพราะว่าแถวห่างกันมากข้างหน้ากับข้างหลังไกล ทีนี้ต้องมีกันเลือกว่า จะเอา ซีเนี่ยลิตี้(Seniority) หรือ ยูนิตี้ (Unity) ถ้าเราตามพี่เค้า (แถวหน้า ) เพื่อนๆ ข้างหลังก็โดนทิ้งห่าง คือ ตอนนั้นต้องเลือก สุดท้ายพวกเรา (แถวหน้า) ก็เลือกที่จะรอเพื่อนแล้วไปพร้อมๆกันทั้งรุ่น พี่เค้าเลยหยุดแล้วก็พามาส่งให้พี่ปี 4 พาเดินสลับวิ่งกลับไปที่คณะ

ระหว่างทางลงมาฝนตกค่ะ แน่นอนว่าเสื้อสีผ้าดิบโดนฝนมันก็แทบไม่ต่างจากเสื้อสีขาวเลย มีเสียงรุ่นพี่บอกให้เพื่อนผู้ชายถอดเสื้อให้ผู้หญิงใส่ทับอีกชั้นโอ้วแม่เจ้า...พี่ๆช่วยถามหนูก่อนได้มั๊ยว่าอยากใส่รึเปล่า? เจ้าของบล็อคไม่รับเสื้อค่ะให้เหตุผลว่ามีเสื้อซับในใส่ซ้อนมาอีกตัวนึงแล้ว ช่วงเวลาลงดอยนี้เป็นช่วงเวลาทรมานของเพื่อนผู้ชายส่วนใหญ่หรือแทบจะทุกคนก็ได้ มีเสียงมาจากรุ่นพี่เป็นระยะๆว่า แสบแน่ณ ตอนนั้นเจ้าของบล็อคก็ไม่เข้าใจหรอกว่าไอ้คำว่าแสบแน่มันหมายถึงอะไร (มารู้ทีหลังหลังจากวันนั้นก็หลายวันแล้วแอบไปถามเพื่อนผู้ชายมาว่ามันคืออะไร 5555+)

กว่าจะถึงคณะก็มืดแล้ว กี่โมงไม่รู้ได้ แต่พี่ๆให้มาเข้าแถวให้ตึก3 ชั้น แล้วก็นั่งพัก หลายคนคิดอีกนิดเดียวจะได้กลับบ้านกลับหอแล้วเอาวะทนอีกหน่อย ยังค่ะ!! มันยังไม่จบแค่นั้น ก่อนจะได้แยกย้ายกันกลับมาพี่นายช่างคนหนึ่งค่ะมาพูดว่าสิ่งที่พวกเราได้รับในวันนี้มันจะส่งผลไปถึงอะไรได้บ้างในอนาคตจากประสบการณ์ของพี่เค้าที่ผ่านมา ณ ตอนนั้นก็ได้แต่ฟังค่ะเข้าหูบ้างไม่เข้าหูบ้าง ในใจคิดอย่างเดียวเมื่อไหร่จะปล่อยกลับซะทีที่แน่ๆจำหน้าพี่คนนั้นได้แม่นยำเลยทีเดียว.....

เหตุการณ์วันนั้นเจ้าของบล็อคบอกได้เลยว่าผ่านมือชายทั้งคณะมันเป็นยังไงอย่างน้อยก็โดนเพื่อนช่วยผลักขึ้นไปข้างหน้า อย่างมากก็โดนแบกแบบ 4 คนหามเห็นหน้าเพื่อนทุกคน ได้รู้จักเพื่อนมากขึ้น ณเวลานั้นถึงแม้จะจำชื่อเพื่อนไม่ได้ทั้งหมด 500 กว่าคนแต่อย่างน้อยก็รู้ว่าเพื่อนเรามีหน้าตาแบบนี้นะ เพื่อนช่วยเพื่อนตลอดระยะทาง 14กม.ในวันนั้นจนทุกวันนี้ผ่านมา 15 ปี เพื่อนก็ยังช่วยเพื่อนเสมอ....
 

WE ARE ALL ENTANEER CMU. 
 
 
 

 

ขอบคุณที่ตามอ่านมาจนจบ 

เรื่องโดย...หมวย ๔๓๐๖๓๔๑




Create Date : 15 กันยายน 2558
Last Update : 4 สิงหาคม 2563 10:21:58 น. 0 comments
Counter : 272 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

nesle18
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





New Comments
Friends' blogs
[Add nesle18's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.