YESTERDAY is history, TOMORROW is mystery, TODAY is a gift ............that is why its called "PRESENT" from Kangfu Panda - June 2008
Group Blog
 
 
มิถุนายน 2550
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
25 มิถุนายน 2550
 
All Blogs
 

กู้ธนาคารซื้อบ้าน- ปัญหาข้อขัดข้อง และแนวทางแก้ไข&ป้องกัน 1

ข้อมูลต่อไปนี้ได้จากการรวบรวมไว้ก่อนซื้อบ้านค่ะ คิดว่าคงจะเป็นประโยชน์ต่อผู้อ่านได้บ้าง เลยขออนุญาตเจ้าของความรู้ทุกท่าน นำมาเผยแพร่ต่อนะคะ

รบกวนช่วยอธิบายวิธีการกู้เงินสร้างบ้าน ค่ะ

ต้องการสร้างบ้านใหม่ ที่ต่างจังหวัดค่ะ
มีที่ดินอยู่แล้ว
มีเงินเดือนประมาณ 50,000 บาท
รบกวนท่านผู้รู้แนะนำการกู้เงินที่เหมาะสม
ตามสถาบันการเงิน หรือโครงการต่างๆ
ต้องการกู้ประมาณ 800000 ควรผ่อนชำระกี่ปี
ผู้กู้อายุ 29 ปี
ขอบคุณท่านผู้รู้ทุกท่านที่ให้การแนะนำ ถือว่าเป็นความรู้กับผู้อ่านทุกท่าน ที่เป็นมือใหม่ค่ะ ไม่อยากตัดสินใจผิดพลาด
จากคุณ : แอน - [ 13 ธ.ค. 47 14:39:51 A:203.152.41.55 X:203.152.41.4 TicketID:081980 ]
ความคิดเห็นที่ 1
ดูจากรายได้แล้ว….
ถ้าไม่มีหน้สินอย่างอื่นอีก
น่าจะกู้ได้สบายๆ ครับ
เอาตั้งแต่เริ่มจนถึงเข้าอยู่เลยนะครับ

1. เลือกแบบบ้านที่ถูกใจ
ตัดสินใจว่าจะเป็นแบบสองชั้น หรือชั้นเดียว ดูตามอินเตอร์้เน็ท ก็ได้ครับ หรือจะไปดูตามบ้านจัดสรร ต่างๆ ก็ได้ แล้วเอาแบบแปลนมา ให้สถาปนิกเขียนแบบให้

1.1 การเขียนแบบ ก็ตกลงเรื่องราคาให้ดีครับ โดยปกติน่าจะ ไม่เกิน 7 เปอร์เซ็นต์ของราคาบ้าน แต่ของผมเขาคิดแบบ flat เลย คือ 15000 บาท (บ้านสองชั้น)
1.2 หลังจากที่ได้แบบทางสถาปัตย์แล้ว ติดต่อจ้างวิศวะกรโยธา เพื่อดำเนินการคำนวนโครงสร้างครับว่าต้องใช้วัสดุ อะไร เท่าไหร่ พอมาถึงตรงนี้แล้ว คุณจะได้แบบบ้านที่สมบูรณ์ เพื่อไปขอยื่นกู้ กล่าวคือ คุณจะต้องมีแบบทางสถาปัตย์ และรายการคำนวนโครงสร้างจากวิศวกรครับ (ถึงขั้นตอนนี้ให้ใจเย็นๆ ครับ แบบบ้านอาจมีต้องแก้ไขกันบ่อยครั้ง เพราะเราอาจเปลี่ยนนู่นนี่ได้ สั่งไปเลยครับ ตราบใดที่มันยังเป็นกระดาษ เราแก้ไขได้ ไม่ต้องไปเกรงใจสถาปนิก เพราะถ้าหากสร้างมาแล้วมันแก้ยากครับ เอาที่เราพอใจที่สุด)
1.3 แบบบ้านทุกหน้า ต้องมีลายเซ็นของสถาปนิก และวิศวกรที่ออกแบบด้วยครับ
1.4 นำแบบที่ได้ ส่งต่อ (จ้าง) ผู้รับเหมาที่เราไว้ใจ เพื่อประเมินราคาในการก่อสร้างทั้งหมดครับ
ตรงนี้ก็อาจต้องใช้เวลาอีกเหมือนกัน สรุป เรื่องราคาของ ค่าแรง งวดงาน งวดเงิน ค่าปรับล่าช้าให้ชัดเจน ขั้นตอนนี้ผมหมายถึงตัวสัญญานะครับ
แบบของสัญญาก็มีให้ดาวน์โหลดตามเวบทั่วไป แล้วก็เอาไปปรับเปลี่ยนให้เหมาะกับเราครับ
เดี๋ยวมาต่อครับ

จากคุณ : ล่า - [ 13 ธ.ค. 47 15:47:16 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]
ความคิดเห็นที่ 2

ดูคุณสมบัติทางการเงินของผู้กู้

น่าจะผ่านการพิจารณาได้ไม่ยาก
ขอแนะนำสถาบันการเงิน2 แห่งคือธนาคารออ.และธนาคารอา. เพราะมีนโยบายเพื่อที่อยู่อาศัยโดยเฉพาะ

รายละเอียดอื่นๆ ก็ตาม คุณคคห1 เรื่องยุ่งยากมากที่สุด ก็ตอนลงมือสร้างนั่นแหละ

จากคุณ : watch (watchh) - [ 13 ธ.ค. 47 15:59:41 ]
ความคิดเห็นที่ 3

ว่ากันด้วยเรื่องสัญญานี่
มีบางจุดที่ต้องให้ความดูแลเป็นพิเศษครับ แต่ขอเอาไปพูดถึงตอนท้ายนะครับ

หลังจากที่ได้แบบบ้านเรียบร้อยแล้ว เราก็เตรียมเอาไปขออนุญาตก่อสร้างบ้านที่เขตครับ
ถึงขั้นตอนนี้ ขอเน้นเรื่องแบบ นิดเดียวครับ ไม่งั้นมีปัญหากับเขตแน่ๆ
กล่าวคือ

แบบบ้านจะต้องถูกกฏหมายครับ จุดที่ต้องเน้นมี..
1. ระยะร่น หมายถึงผนังบ้านกับตัวรั้ว ถ้ามีช่อง ต้องห่งจากรั้ว อย่างน้อย 2 เมตรครับ ถ้าเป็นผนังทึบผมไม่แน่ใจ อาจจะ 1.5 เมตร หรือ 50 เซ็นต์นี่แหละครับเดี๋ยวเช็คอีกที
2. ระบบสุขาภิบาล เรื่องบ่อเกรอะ บ่อซึม ถังดักไขมัน ควรมีไว้ให้ครบตามกฏหมายกำหนดครับ
3. รั้วบ้านใช้ร่วมกับบ้านอื่น หรือเป็นของตัวเอง เคลียร์ให้เรียบร้อยครับ
4. ทางเข้าบ้าน เป็นที่ดินของเราเอง หรือภาระจำยอม ต้องให้เคลียร์อีกเหมือนกันครับ

ผมโดนเขตเรียกใต้โต๊ะ 7000 บาทครับ เพราะแกบอกว่า ระยะร่นผมไม่ถึง 2 เมตร (ตามแบบ 1.75 ม.) ไม่งั้นไม่เซ็นให้….ตรงนี้ทำให้ถูกต้องไว้ดีกว่าครับจะได้ไม่ต้องเสียเงิน

หลังจากนั้นเอา
1. แบบพิมพ์เขียว (เดี๋ยวนี้แบบพิมพ์เขียวไม่นิยมแล้วครับ มีแต่ที่ปริ๊นออกมาจากคอมด้วย CAD ขนาด A3 แต่ไม่เป็นไร ใช้ได้เหมือนกันครับ)
2. โฉนดที่ดิน พร้อมสำเนา
3. บัตรประชาชนพร้อมสำเนา
4. ทะเบียนบ้านพร้อมสำเนา

ไปยื่นขอใบอนุญาตปลูกสร้างที่เขตครับ
เขตจะใช้เวลาประมาณ 1 อาทิตย์ เพื่อไปตรวจสอบหน้างาน และออกใบอนุญาตให้ครับ
จากคุณ : ล่า - [ 13 ธ.ค. 47 16:07:40 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]


ความคิดเห็นที่ 4

ยังครับ
ยังไม่ถึงขั้นตอนยื่นกู้…เย็นไว้ครับ..เรามาว่าด้วยเรื่องสัญญากันก่อน
หลังจากที่ได้สัญญา มาตรฐานจากอินเตอร์เน็ทแล้ว
อาจมีหลายจุดที่ต้องให้ความดูแลเป็นพิเศษครับ เพราะมันคือหัวใจของการสร้างบ้านตัวหนึ่งเลยครับ

ว่ากันตั้งแต่
1. ชื่อที่อยู่ที่ชัดเจน ของผู้รับเหมาครับ เป็นใครมาจากไหน สำเนาทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน ท่ีอยู่ออฟฟิส ให้ชัดเจนครับ
2. เรื่องรายการวัสดุ หรือใบ BOQ ต้องให้ชัดเจนครับ ว่าบ้านเราใช้วัสดุอะไร แบบไหน ไล่ตั้งแต่ เสาเข็ม ไปจนถึงกระเบื้องหลังคาได้ยิ่งดีครับ ถึงขั้นตอนนี้ใช้เวลามากเหมือนกันครับ
3. การแบ่งงวดงาน งวดเงิน ขอเน้นว่าอย่าให้สมน้ำสมเนื้อเด็ดขาด ควรเขียนสัญญาให้เราได้เปรียบเข้าไว้ครับ กล่าวคือ

3.1 ถ้าเป็นไปได้ ควรแบ่งงวดงานให้มากที่สุด (อย่าให้น่าเกลียดมากครับ ขึ้นอยู่กับแบบบ้านด้วย) โดยปกติน่าจะอยู่ที่ 5-7 งวด ครับ เผื่อพี่แกทิ้งงานตอนไหน จะได้เหลือเงอนไว้จ้างคนต่อไป
3.2 ควรระบุให้ชัดเจน ว่าถึงขั้นตอนไหนแล้วถึงจ่าย ขอย้ำว่าในการร่างสัญญา ควรให้ปริมาณงานมากกว่าจำนวนเงินที่ต้องจ่าย ครับ
3.3 ควรเน้นไปจ่ายในช่วงสุดท้ายมากหน่อยครับ จ่ายน้อยๆ ในงวดแรกๆ (แต่อันนี้คิอว่าคงไม่มีผู้รับเหมาเจ้าไหนยอมง่ายๆ ต้องใช้ศิลปะในการเจรจานิดหน่อยครับ)
3.4 ถ้าเป็นไปได้ ควรขอเครดิตการันตีไว้ด้วยครับ เผื่อทิ้งงาน
3.5 ควรระบุว่า ต้องจ่ายเงิน ภายใน 7 วัน หลังจากเสร็จงานในแต่ละงวดครับ เผ่ือเราหมุนเงนไม่ทันครับ ของผมแค่ 3 วัน …หาเงินกันขาลาก

4. เอกสารที่ต้องมีแนบกับสัญญา
4.1 สำเนาทะเบียนบ้าน ประชาชนทั้งของเรา และผู้รับเหมา
4.2 รายการวัสดุก่อสร้าง อย่างละเอียดที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
4.3 แบบบ้านที่ยื่นขอก่อสร้าง พร้อมลายเซ็นวิศวกร และสถาปนิกผู้ออกแบบ
4.4 หากผู้รับเหมาเป็นวิศวกร หรือสถาปนิก ควรมีสำเนาใบรับอนุญาตด้วยครับ
4.5 สำเนาโฉนด

พรุ่งนี้มาต่อให้ครับ
นี่ยังไม่ถึงครึ่งทางเลยครับ

จากคุณ : ล่า - [ 13 ธ.ค. 47 16:36:31 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]



ความคิดเห็นที่ 5

อิงจากข้อมูลของคุณ ล่า
กรณีสร้างที่ต่างจังหวัด และก้อค่อนข้างชนบท
ไม่จำเป็นต้องขออนุญาติก่อสร้างใช่หรือป่าว ค่ะ
จากคุณ : nirachs@hotmail.com - [ 13 ธ.ค. 47 18:48:51 A:203.152.41.55 X:203.152.41.4 TicketID:081980 ]


ความคิดเห็นที่ 6

คุณล่า ตอบได้ครอบคลุม ได้ความรู้ดีจัง
ขอตอบ จขกท. ว่าอยู่ในชนบทก็ยังต้องขออนุญาติ
กับ อบต. ครับ ธนาคารถือเป็นสาระสำคัญมากเรื่องใบอนุญาติก่อสร้างเนี่ยนะ

จากคุณ : งงจังเลย - [ 13 ธ.ค. 47 21:03:46 ]

ความคิดเห็นที่ 7

เอาล่ะครับ

มาถึงขั้นตอนนี้…เกือบๆ จะยื่นกู้ได้แล้วครับ
สรุปแล้วในมือของคุณตอนนี้มี

1. แบบบ้าน (แบบพิมพม์เขียวหรือปริ๊นคอมก็ตามแต่)
2. สัญญาว่าจ้างระหว่างเรากับผู้รับเหมา
3. ใบรายการวัสดุพร้อมประเมินราคาจากผู้รับเหมา
4. ใบอนุญาตก่อสร้าง
5. โฉนดที่ดิน
6. ลืมครับ…ตกไปประเด็นนึง สำหรับเรื่องโฉนดที่ดิน…..ถ้าหากว่าโฉนดของที่ดินที่จะปลูกสร้างไม่ใช่ชื่อเราเป็นเจ้าของ ต้องให้เขาทำหนังสือยินยอมให้ปลูกสร้างได้ครับ (ถึงแม้ว่าจะนามสกุลเดียวกันก็ตาม)โดยแบบฟอร์มที่สำนักงานที่ดินเขตก็มีให้ หรือ จะทำขึ้นมาเองก็ได้ครับ โดยขั้นตอนนี้จะต้องไปยื่นพร้อมกับหลักฐานตอนขออนุญาตก่อสร้างครับ โดยหลักฐานเพิ่มเติมก็จะมี
6.1 หนังสือยินยอม
6.2 สำเนาประชาชน ทะเบียนบ้านของเจ้าของโฉนดผู้ยินยอม

แต่ถ้าโฉนดเป็นชื่อเรา และปลอดภาระอยู่แล้ว ก็ข้ามขั้นตอนนี้ไปได้เลยครับ

จบสิ้นแล้วครับ ในส่วนของการเตรียมเอกสาร เพื่อขอยื่นกู้ แต่อย่างไรก็ตามทุกขั้นตอนที่ผมกล่าวมาข้างต้น ต้องใช้ความละเอียดรอบคอบอย่างสูงครับ อย่าใจร้อน โดยเฉพาะการเลือกแบบบ้าน แก้ไขแบบ และการร่างสัญญา


คราวนี้ก็มาถึงขั้นตอน ที่ต้องเกี่ยวกับธนาคารบ้างแล้วครับ
แต่ก่อนที่จะพูดถึงเรื่องการยื่นกู้
อาจจะของพูดสักเล็กน้อยเรื่อง ธนาคาร…
จากคุณ : ล่า - [ 14 ธ.ค. 47 07:32:49 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]

ความคิดเห็นที่ 8

การเลือกธนาคาร
หลายคนอาจมองว่า…
“โธ่เอ๊ย…แบงค์ไหนๆ มันก็เหมือนๆ กันหมดแหละ ดอกเบี้ยก็พอๆ กัน ขอให้มันอนุมัติเถอะน่า…ได้ทั้งนั้น”
ก็อาจจจะมีส่วนจริงอยู่บ้างครับ แต่ไม่ทั้งหมดครับ
กล่าวคือ ในความเป็นจริงแล้ว การบริการ ความน่าเชื่อถือ และอัตราดอกเบี้ย มีส่วนมากครับ กับการผ่อนชำระ

1. การบริการ
บางธนาคาร เป็นธนาคารเล็ก ที่มีลูกค้าน้อย ดังนั้น ความเป็นไปได้ที่เขาจะปล่อยสินเชื่อย่อมระมัดระวังเป็นพิเศษ ไม่ใช่เพราะเขาเงินน้อยนะครับ เพียงแต่ว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยเงินเลย หากดูแล้วว่าอาจเกิดความเสี่ยงขึ้นในอนาคต เพราะอะไรรู้ไหมครับ…คุณเคยเห็นที่พวกแบงค์เขาเอาบ้านที่เป็นหนี้เน่าออกมาขายทอดตลาดหรือเปล่าล่ะครับ นั่นแหละครับ นอกจากจะทำให้เงินทุนจมแล้ว ค่าใช้จ่ายในการนำพวกนี้ออกขายก็มากโขอยู่ครับ ซึ่งนั่นก็จะส่งผลกระทบไปถึงการพิจารณาปล่อยสินเชื่อ และจำนวนเงินที่ปล่อยด้วยครับ

2. อัตราดอกเบี้ย
บางที่ 3 เศษๆ 3 ปีแรก หลังจากนั้นก็ 6-7% ผมบอกได้เลยครับว่า เกือบทุกธนาคารอัตราดอกเบี้ยจะอยู่แถวๆ นี้ แต่ความจริงที่เกิดขึ้นกับตัวผม คือก่อนหน้านี้ได้เกิดการเปรียบเทียบกันระหว่าง 2 ธนาคาร ซึ่งพอเปลี่ยนมาใช้ MLR แล้ว ดอกเบี้ยจะต่างกันแค่ 0.75% เท่านั้น….แต่ผมก็ดันไปเลือกแบงค์ที่ดอกแพงกว่า เพราะเขาบริการเราค่อนข้างดี เอกสารต่างๆ ก็เอามาให้เซ็นต์ที่บ้าน เลยครับ
แต่คุณรู้ไหมครับว่า 0.75% ของเงินก็ของผมนั้น เป็นเงินเกือบๆ 7000 บาท บาทที่ต้องจ่ายเฉพาะดอกเบี้ยต่อเดือน ซึ่งถ้าผมรวยกว่านี้ ก็คงไม่เสียดายครับ

ทุกวันนี้ผมผ่อนเดือนละ 18000 บาทครับ แต่คุณเชื่อไหม เป็นดอกเบี้ยซะ 7000 เลิอตัดเงินต้นแค่เดือนละหมื่นเศษๆ เท่านั้น แล้วอีกกี่ปีจะหมดละครับเนี่ย
จากคุณ : ล่า - [ 14 ธ.ค. 47 07:42:19 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]
ความคิดเห็นที่ 9

3. พึงระลึกไว้เสมอว่า สิ่งที่ธนาคารอยากได้มากที่สุด ไม่ใช้บ้านของคุณครับ แต่เป็นดอกเบี้ย เพราะบางคนอาจคิดว่า โอ๊ย..บ้านของชั้น 300 ตารางวา สร้างด้วยหินอ่อน ปูพื้นด้วยทองคำ แบงค์ไหนก็ต้องปล่อยอยู่แล้ว….ผิดถนัดครับ

ธนาคารจะดูที่ “ความสามารถของคุณ ในการจ่ายดอกเบี้ยให้เขา ในระยะยาวครับ” ไม่สังเกตหรือครับ ว่าทำไมเขาถึงยอมให้ผ่อน ตั้ง 20-30 ปี นั่นแหละครับเหตุผล

ดังนั้น เลือกธนาคาร หาข้อมูลจากหลายๆ ด้านครับ มีส่วนลด โปรโมชั่นอะไร เอามาพิจารณาให้หมด โดยเฉพาะเรื่องของดอกเบี้ย และการบริการ บางธนาคาร ต้องส่งเรื่องมาที่สำนักงานใหญ่อย่างเดียว ต้องรอกันเป็นชาติ บางธนาคารส่งแค่สำนักงานเขตของตัวเอง ก็อนุมัติได้แล้วครับ ลองเลือกดู

เดี๋ยวผมจะมาต่อเรื่อง หลักฐานทางด้านการเงินที่เราต้องยิ่นไปพร้อมกับเอกสารที่ผมบอกไปแล้วข้างต้นครับ…

จากคุณ : ล่า - [ 14 ธ.ค. 47 07:49:41 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]

ความคิดเห็นที่ 10

รออ่านอยู่ครับ กะลังมันส์

จากคุณ : kompunn (kompunn) - [ 14 ธ.ค. 47 08:35:04 ]


ความคิดเห็นที่ 11

ทีนี้มาว่ากันต่อ เรื่องเอกสารทางการเงินของตัวคุณเองครับ
โอว์…ผมบอกให้ก็ได้ครับ ว่านี่คือ สิ่งสำคัญอันดับ 1 ที่คุณต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษ หากคิดจะกู้แบงค์

ผมคงต้องขออนุญาตคุณเจ้าของกระทู้ว่า ผมอาจจะพยายามครอบคลุมให้กว้างที่สุด เผื่อเป็นประโยชน์กับคนอื่นด้วยนะขอรับ

ปัญหาอันดับต้นๆ ที่มักจะถามกันก็คือ..
ผมมีรายได้แค่เนี้ย ต่อเดือน จะกู้ได้ไหม หรือกู้ได้เท่าไหร่

อันนี้ผมบอกตามตรงเลยครับ ว่าถึงแม้ว่าจะเป็นพนักงานแบงค์มาตอบเอง ก็ยังตอบไม่ได้หรอกครับ

อันดับแรก
คุณจะเริ่มรู้สึกตัวว่าหนาวๆ ร้อนๆ ตั้งแต่วันที่รู้ว่า ราคาค่าก่อสร้างจากผู้รับเหมานั้นเป็นเงินเท่าไหร่ ตรงนั้นแหละครับ เราถึงเริ่มพอมีไอเดียว่า เราจะไหวหรือเปล่า

เราจะคิดอย่างง่ายๆ แบบเอาราคาบ้าน หารจำนวนเดือนที่ผ่อนชำระก้พอทำได้ครับ แต่อาจจะห่างไกลจากความเป็นจริงอยู่บ้าง พอเป็นไอเดียเท่านั้น เชื่อถือยังไม่ค่อยได้ ก็อย่างที่ผมเล่าให้ฟังครับ ว่า “ดอกเบี้ย” นี่แหละ คือตัวจักร สำคัญในการคำนวนครับ

เบื้องต้นในการประเมินตัวเอง ว่าผ่อนไหวหรือไม่ แบบง่ายๆ ของผม ก็คือ…ไม่ประเมินเลยครับ
เพราะผมถือว่า หากอยากได้บ้าน ก็พยายามให้มากที่สุด เท่าที่จะเป็นไปได้
ส่วนกู้ได้หรือไม่ได้ ไหวหรือไม่ไหว “ธนาคาร” จะเป้นคนให้คำตอบนี้กับผม ครับ

แต่นั่นไม่ได้หมายความว่า ให้คุณเลียนแบบผม แล้วตะบี้ตะบัน ดันทุรังยื่นกู้ทั้งๆ ที่ไม่มีรายได้นะครับ
สิ่งที่สำคัญที่สุดก่อนตัดสินใจว่าจะกู้หรือไม่ คือ คุณต้องมี “เงินเก็บ” ครับ
จากคุณ : ล่า - [ 14 ธ.ค. 47 09:06:14 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]
ความคิดเห็นที่ 12

เงินเก็บ
ในที่นี้ผมหมายถึง เงินออมที่ปลอดภาระ พร้อมที่จะจ่ายเป็นเงินสดหรือเช็คได้ทันทีครับ หรืออาจเป็นเงินที่หยิบยืมมาจากญาตพี่น้อง แบบที่ไม่ต้องเสียดอกก็ได้ แต่ไม่ใช่กู้มาจากสถาบันการเงินนะครับ

เพราะถ้าหากไม่มีเงินออมตรงนี้ บอกได้เลยว่า “ริบหรี่” เหลือทน ครับ (แต่ไม่ได้หมายความว่าเป็นไปไม่ได้ เดี๋ยวจะมาบอกวิธีแก้ สำหรับพวกเราๆ ที่เงินออม เบี้ยน้อยหอยน้อยครับ)

เพราะอะไรน่ะหรือครับ
เพราะคุณจำเป็นต้องใช้เงินเหล่านี้
1. ถ้าเป็นการก่อสร้าง เราต้องใช้เงินจำนวนนี้ ในการวางมัดจำ เพื่อให้งานเริ่มได้ครับ
2. ถ้าเป้นบ้านจัดสรรแบบ สร้าง(ยังไม่) เสร็จก่อนขาย คุณก็ต้องเอาไปเป็นเงินดาวน์ครับ

ส่วนที่ว่าจะต้องมีเท่าไหร่นั้น
บอกได้เลยว่า อย่างน้อยที่สุด 10% ของราคาบ้านครับ กดเครื่องคิดเลขไปเลยครับ ถ้าบ้านราคา 1 ล้าน ต้อง 1 แสนอุ่นๆ ในกระเป๋าอย่างน้อยครับ

พอมาถึงตรงนี้
พวกที่มีเงินเก็บ อาจจะพอสแยะยิ้มได้บ้าง…….แต่ยังไม่หมดปัญหาครับ โปรดติดตามตอนต่อไป….


ว่ากันต่อเลยครับ
เรื่องรายได้……

รายได้ก็มีทั้ง เงินเดือน ดอกเบี้ย กำไร ค่าจ้าง ทั้งผ่านบัญชีบ้าง ไม่ผ่านบัญชีบ้าง แล้วแต่การทำมาหากินของแต่ละคน

เอาสิ่งสำคัญที่สุดมาบอกไว้ตรงนี้เลยครับ..ว่าแบงค์จะสนใจคุณมากๆ หากคุณมีหลักฐานยืนยันว่า รายได้ที่คุณได้มานั้น เป็นรายได้ “ประจำ”

คำว่าประจำนี่ก็คือ ทุกเดือน เป็นอย่างน้อย และถ้าหากสม่ำเสมอ เท่ากันหรือไล่เลี่ยทุกเดือน ความเป้นไปได้ที่เขาจะให้กู้ก็มีสูงครับ


จากคุณ : ล่า - [ 14 ธ.ค. 47 09:22:37 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]
ความคิดเห็นที่ 13

สำหรับคนที่มีเงินเดือนผ่านธนาคาร ก็คงจะไม่ค่อยยุ่งยากเท่าไหร่ เพราะมันมีหลักฐานที่ตรวจสอบได้ชัดเจน


ส่วนคนที่ประกอบอาชีพค้าขาย หรือประกอบอาชีพอิสระก็อาจจะต้องมีเอกสารกันมากหน่อย โดยเฉพาะเรื่องหลักฐานด้านการค้า สำหรับพวกที่ประกอบอาชีพอิสระนี่รู้สึกว่าจะมีปัญหามากที่สุด เพราะอาจจะหาหลักฐานเกี่ยวกับ รายได้ประจำ ลำบากหน่อย ซึ่งทางออกก็คือ อาจจะต้องมีการเริ่มเอารายได้เข้าบัญชี เพือ่ตกแต่ง statement ให้ดูสวยงาม น่ารักน่าชัง

ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ว่า ทางธนาคารจะไม่ปล่อยกู้ให้คุณ เพราะคุณไม่มีเงินเก็บ หรือเงินออม ในบัญชีออมทรัพย์ เพราะสิ่งที่เขาให้ความสนใจมากที่สุดคือ “สภาพคล่อง” ทางด้านการเงินของคุณ เป็นหลักครับ

คำว่า สภาพคล่องนี่ก็หมายถึง การที่มีเงินเข้ามาหมุนเวียนอยู่ในบัญชีเป็นประจำ สม่ำเสมอ อันหมายถึง รายได้ประจำของคุณนั่นเอง แต่เตือนไว้นิดนึงว่าคุณต้องมีที่มาที่ไปของเงินจำนวนนั้นด้วยนะครับ(อาจมีบางธนาคารที่เขี้ยวจัดๆ โทรมาถาม เพราะเดี๋ยวนี้พวกฟอกเงินก็มีเยอะ)
ที่ใช้เป็นบัญชีเงินเดือน 2 เล่มที่ผมยื่นกู้ไปนั้นยอดสุดท้าย มีรวมกันทั้ง 2 เล่ม ไม่ถึง 300 บาท ครับ

สำหรับผู้ที่ประกอบการค้า หลักฐานทางด้านการเงินก็คงไม่พ้นพวก บัญชีต่างๆ ที่มีอยู่ ทั้งออมทรัพย์ และกระแสรายวัน รวมไปถึงทะเบียนการค้า หรือใบอนุญาตประกอบกิจการ ต่างๆ ฯลฯ

คำแนะนำนิดเดียวสำหรับผู้ที่ค้าขายเล็กน้อย ที่ไม่ได้เป็นระบบใหญ่โต อย่างพวก ส้มตำ กล้วยทอด ฯลฯ อย่าพึ่งท้อใจครับ กู้กันมาได้เยอะแล้วครับ

แต่ทางเลือกของคุณอาจมีน้อยหน่อยก็คือ ต้องเอาเงินที่ได้ เข้าบัญชีลูกเดียวครับ ต้องใช้ความอดทน เป็นอย่างมากครับ


จากคุณ : lar - [ 14 ธ.ค. 47 10:06:54 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]


ความคิดเห็นที่ 14


คงพอมีไอเดียกันบ้างไม่มากก็น้อยนะครับ สำหรับการเตรียม เอกสารทางการเงินในส่วนของเรา
อยากเน้นว่า ไม่ต้องไปกังวลมากครับ เตรียมไปให้มากที่สุด และพร้อมที่สุด พยายามเน้นตรงจุดที่ผมบอกไป เผื่อธนาคารจะเห็นใจครับ

และก็มีประเด็นสำคัญอีกประเด็นหนึ่ง คือเรื่อง
“หนี้สิน” ที่มีอยู่แล้ว
บางคน มีเงินเดือนหลักแสน แต่หนี้สิน เพียบ อันนี้ก็กลืนไม่เข้า คายไม่ออกเหมือนกันครับ

ก็เป็นประเด็นหนึ่งที่ให้คำแนะนำค่อนข้างลำบาก
แต่จะพยายามถ่ายทอดให้แบบหมดใส้หมดพุงเลยครับ

ผมค่อนข้างมั่นใจว่านโยบายของแต่ละธนาคาร มีวิธีการพิจารณา หนี้สินที่มีอยู่ก่อนของตัวผู้ขอกู้ไม่เหมือนกัน

และเมื่อพูดถึง หนี้สิน มันก็จะมีอีกองค์กรหนึ่ง เรียกว่า Credit Bureau ขออภัยเป็นอย่างสูงครับ ผมจำชื่อเป้นภาษาไทยไม่ได้จริงๆ คงอยู่แถวๆ “ศูนย์ข้อมูลเครดิตไทย” อะไรเทือกนี้แหละครับ

องค์กรนี้จะเก้บข้อมูลเครดิตของลูกหนี้ที่กู้จากสถาบันการเงินซึ่งข้อมูลของลูกนี้ส่วนใหญ่ จะถูกบันทึกไว้ที่นี่ วัตถุประสงค์ก็เพื่อ

ให้สถาบันการเงินได้ตรวจสอบฐานะทางการเงินของลูกหนี้ หรือผู้ที่มาขอกู้

แต่ไม่ต้องตกใจครับ
ที่ผมใช้คำว่าส่วนใหญ่ ก็เพราะว่า ไม่ใช่อยู่ๆ เขาจะเอาข้อมูลเราไปเปิดเผยได้นะครับ

สมมติ ว่าผมซื้อรถราคา 100,000 บาท โดยผ่อนชำระกับ บริษัท A

ทางบริษัท A จะมีหนังสือมาถึงผมว่า “เป็นระบียบของธนาคารแห่งประเทศไทย ว่าสถาบันการเงิน ต้องส่งข้อมูลของลูกหนี้ ไบที่ Credit Bureau เพื่อให้เรารับทราบ

ดังนี้ ข้อมูลการเป็นหนี้ของเรา ก็จะถูกส่งไป



จากคุณ : lar - [ 14 ธ.ค. 47 10:25:52 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]

ความคิดเห็นที่ 15

ยกตัวอย่าง
เกิดอีก 2 อาทิตย์ถัดมา
เกิดมีพนักงานขายบัตรเครดิตสาวสวย มาขายบัตรผม พร้อมใบสมัครมาให้กรอก
ในใบสมัครนี่แหละครับ มันจะมีอยู่ส่วนหนึ่งที่เป็นหนังสือยินยอม ให้เราเซ็นลงไปเพื่ออนุญาตให้บริษัทบัตรเครดิต ตรวจสอบกับ Credit Bureau ได้ว่าผมเป็นหนี้อะไรใครเขาไว้บ้าง

ไอ้ความที่ผมหน้ามือตามัวในความสวยของน้องเขา ก็เซ็นลงไปอย่างฉับไว
เมื่อนั้นแหละครับ ทางสถาบันการเงิน ถึงมีสิทธิ์ที่จะติดต่อขอข้อมูลได้ เพราะได้รับอนุญาตจากผมเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ถ้าหากเราไม่เซ็นต์ เขาก็ไปเอาข้อมูลออกมาไม่ได้ครับ ซึ่งนั่นก็หมายความว่าใบสมัครก็จะถูกยกเลิกไปทันทีเหมือนกัน ซึ่งมันก็เป็นการบังคับให้เซ็นกลายๆ เหมือนกัน

อาจมีคำถามว่า
ตาย_่า เมื่อวานยืมเงินแม่ยายมา 2 ล้าน แล้วมันจะเข้า Credit Bureau ไปหรือยังวะเนี่ย

ตามความเข้าใจของผม ไม่มีทางที่เขาจะรู้ครับ
หากเป็นเงินกู้นอกระบบ เพราะข้อมูลที่เราเป็นหนี้กับสถาบันการเงินเท่านั้น ที่ต้องส่งเข้าไปที่ Credit Bureau

ผมถึงกำชับไงครับ
ว่าเงินออมที่ต้องมีเริ่มต้นในการสร้างบ้านนั้น ต้องเป็นเงินออม หรือเงินกู้ที่ไม่ใช่จากสถาบันการเงินเท่านั้น เพราะถ้าหากคุณไปกู้สถาบันการเงินมาอีก เขาก็รู้อีกแหละครับ ว่าคุณมีหนี้

มาถึงตรงนี้ คงพอจะรู้ตัวกันบ้างแล้วนะครับ
ว่าเขาจะรู้อะไรเกี่ยวกับตัวเราบ้าง

ไม่ต้องตกใจครับ
ผมมีวิธีรับมือ……โปรดติดตาม


จากคุณ : lar - [ 14 ธ.ค. 47 10:37:35 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]


ความคิดเห็นที่ 16

คำถามที่พบบ่อยก็คือ
“เรื่องหนี้สินนี่ไม่น่าจะเกี่ยวนะ เพราะการกู้บ้าน เราก็เอาบ้านกับที่ดินเป็นหลักประกันอยู่แล้วนี่ ผ่อนไม่ไหวก็มายึดบ้านไปสิ”

ถูกต้องครับ แต่ไม่ทั้งหมด
อย่างที่กระผมบอกไปครับ

ว่าสิ่งที่แบงค์อยากได้ คือดอกเบี้ยครับ ไม่ใช่บ้านของคุณ เพราะฉะนั้น หนี้สิน คือกุญแจสำคัญที่จะบ่งบอกถึงความสามารถในการผ่อนชำระของคุณ

ก็อยากจะขอรวบรวมประเภทของหนี้สิน ที่พบบ่อยและเป็นหลัดในการพิจารณาของธนาคาร

1. บัตรเครดิต
มีหลายธนาคาร ครับที่ไม่ถือว่าหนี้สินประเภทนี้ เป็นภาระของผู้กู้ …..เขาอธิบายให้ผมฟังว่า มันเป็นหนี้สินหมุนเวียน ซึ่งผู้ขอกู้สามารถชำระเป็นขั้นต่ำได้

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้นก็มีอีกหลายๆ ธนาคารที่ถือว่ายังไงๆ มันก็คือความเสี่ยง และเป็นภาระ เขาจะเอาหนี้สินนี้ ตัดออกจากฐานรายได้เราทันทีครับ

ยกตัวอย่าง
เงินเดือน 10,000 บาท แต่มีหนี้ บัตรเครดิต 5000 บาท ต้องผ่อนชำระขั้นต่ำเดือนละ 500 บาท ดังนั้น ฐานรายได้คุณจะลดเหลือ 9500 ทันที ครับ

ไม่ต้องมาถามผมนะครับว่าธนาคารไหน ที่เขาไม่นับหนี้สินตัวนี้เป็นภาระ ผมไม่บอกดอกครับเพราะผิดมารยาทอย่างแรง แต่รับรองว่ามีแน่นอน ก็สถาบันการเงินที่ผมกู้อยู่ทุกวันนี้ไงครับ
ยังไงสอบถามทางพนักงานสินเชื่อของแต่ละที่ได้เลยครับ


จากคุณ : lar - [ 14 ธ.ค. 47 11:11:25 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]

ความคิดเห็นที่ 17

ต่อคับพี่ เหมือนอ่าน สารคดีเลย

จากคุณ : PPP (phugp) - [ 14 ธ.ค. 47 11:32:07 ]

ความคิดเห็นที่ 18

ขอเสริมความเห็นของคุณล่า เรื่องการแบ่งงวดงาน

ธนาคารจะแบ่งงวดมาให้โดยดูลักษณะของสิ่งปลูกสร้างที่ผู้ขอกู้ ขอกู้สร้าง เป็นต้นว่า ขอกู้สร้างตึกแถว ให้เวลา 8เดือน จ่ายเงิน 8 งวด

สร้างบ้านพักอาศัย ให้เวลา 6 เดือน และในแต่ละงวดเดือน จะกำหนดมาด้วยว่าสร้างอะไร ไปแค่ไหน

จากคุณ : watch (watchh) - [ 14 ธ.ค. 47 11:42:16 ]
ความคิดเห็นที่ 19

2. ผ่อนรถ, ผ่อนบ้าน, ผ่อนของ ฯลฯ
อันนี้ค่อนข้างแน่นอนทีเดียวครับว่าเขาจะต้องนับเอามาเป็นภาระหนี้สิน ของผู้ขอกู้ โดยเอาเงินที่เราต้องผ่อนชำระต่อเดือน มาหักจากฐานรายได้แน่นอนครับ อันหลักเกณฑ์เดียวกันทุกธนาคารครับ ผมมั่นใจอย่างนั้น

ถ้าถามว่า ถ้าเราไม่บอก แล้ว เขาจะรู้หรือไม่
รู้ครับ จาก ศูนย์ข้อมูลเครดิตไทย นั่นแหละครับ

แต่ตรงนี้อาจจะพอมีช่องว่างอยู่นิดหน่อย อาจจะทำให้เรารอดตัวไปได้ครับ
เอาเป็นว่าผมยกตัวอย่าง เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นนะครับ

2.1 เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าทางสถาบันการเงินที่เราเป็นหนี้อยู่ ส่งข้อมูลหนี้สินของเรา ไปที่ เครดิตบูโร หรือยัง
ผมไม่ค่อยมั่นใจที่จะตอบนะครับ สำหรับคำถามนี้
แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ถ้าสถาบันการเงินใดได้ส่งข้อมูลของเราไปแล้ว เขาก็จะมีหนังสือแจ้งมาครับ

สมมติว่า ผมไปทำสัญญาซื้อรถ ซึ่งสมมติว่าขณะนี้เป็นเดือนมกราคม โดยผ่อนชำระงวดแรก เดือน กุมภาพันธ์ เป็นเงิน 10000 บาท หลังจากนั้น 1 เดือน คือเดือนกุมภา ผมเกิดไปปิ๊งคอนโดหลังหนึ่ง แล้วต้องการยื่นกู้

ถ้าหากผมรีบเตรียมเอกสารยื่นกู้ ผมก็จะรีบยื่นกู้ให้เร็วที่สุด เพราะไม่แน่ ข้อมูลการผ่อนชำระของผมอาจจะยังไม่เข้าระบบบูโร และอีกอย่างผมก็ยังไม่ได้รับหนังสือแจ้งจากบริษัทที่ผมผ่อนรถแต่อย่างใด

ซึ่งก็มีโอกาสที่เราจะรอดหูรอดตาออกไปได้ครับ

บออก่อนว่า ในหัวข้อ 2.1 นี้ ไม่ใช่ข้อเท็จจริงนะครับ เป็นเพียงความเห็น และความเข้าใจส่วนตัว
เท่านั้น ส่วนข้อเท็จจริง เรื่องระบบ เครดิตบูโร อาจจะต้องรอผู้รู้จริงมาขยายความอีกทีครับ

จากคุณ : lar - [ 14 ธ.ค. 47 13:34:26 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]

ความคิดเห็นที่ 20

3. การค้ำประกันหนี้สินให้กับบุคคลอื่น

มาถึงตรงนี้ คงนึกไม่ถึงใช่ไหมล่ะครับ
ใช่ครับ บางธนาคาร เขานับเป็นความเสี่ยงด้วยครับ และถือเป็นรายจ่าย ที่สามารถตัดออกจากฐานรายได้ของเราได้แน่นอน ถึงแม้ว่ามันจะเป็นแค่การค้ำประกัน มันก็เสมือนหนึ่งเราเป็นลูกหนี้ด้วยเหมือนกันล่ะครับ

หลักเกณฑ์ในการหัก ก็เหมือนกับข้อต้นๆ ที่ผ่านมาครับ
ทีนี้ แต่ก็อีกล่ะครับ บางธนาคารก็ไม่เอามารวมเป็นภาระหนี้สินครับ เช็คดูให้ดี โดยการคุยกับพนักงานสินเชื่อครับ

ทีนี้ จะเซ็นค้ำประกันอะไรให้ใคร คงต้องดูดีดีล่ะครับ
อาจจะทำให้เราอดได้บ้านในฝันก็เป็นได้ ถึงแม้เราจะไม่ได้เป็นลูกหนี้ก็ตาม

4. หนี้สินอื่นๆ
อันนี้อย่างเช่นพวก กู้อเนกประสงค์ กู้ทำธุรกิจ บัญชี OD อะไรพวกนี้
ความจริง ผมไม่ค่อยมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มากนัก แต่อาจจะพออนุมานได้ว่า คงเป็นประเภทเดียวกับข้อ 2 นั่นแหละครับ

ทีนี้..
ก็มีคำถามขึ้นมาอีก ว่า ไอ้นั่นก็นับ ไอ้นี่ก็รวม รายได้ของกระผม/อิฉัน ก็ไม่เหลือสิครับ ตัดนั่นตัดนี่ออกไป สรุปฐานรายได้เหลือ 200 กว่าบาท อะรประมาณนี้……….ใจเย็นครับ

หากจิตใจมุ่งมั่นที่จะเป็นหนี้จริงๆ ติดตามต่อไปครับ

จากคุณ : lar - [ 14 ธ.ค. 47 13:45:35 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]
ความคิดเห็นที่ 21

อันว่าด้วยการกู้ร่วม

เห็นไหมครับ ว่าธนาคารกระหายอยากได้ดอกเบี้ยของเรามากแค่ไหน

นอกจากให้ผ่อนตั้ง 20-30 ปีแล้ว
ยังสามารถให้คนอื่นมาร่วมจ่ายดอกเบี้ยแทนเราก็ได้ด้วยครับ

ในกรณีที่รายได้ไม่เข้าเกณฑ์ที่จะสามารถผ่อนชำระ พี่ท่านสามารถให้เอาบุคคลอื่นมาร่วมก๊วนเป็นหนี้ได้
โดยที่หลักเกณฑ์ทั่วไปในการพิจารณาผู้กู้ร่วมก็คงเหมือนกันกับตัวผู้กู้เองอย่างที่ผมได้บอกไปแล้ว

แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า เราจะไปหลอกเอาตาสีตาสา นักค้ายาบ้าให้มาเซ็นร่วม ได้นะครับ
เพราะโดยทั่วไปทางธนาคารจะมีหลักเกณฑ์ว่า ผู้กู้ร่วมต้องมีความเกี่ยวพันกันทางสายเลือด หรือเป็นญาตกันนั่นเอง หรือไม่ก็เป็นคู่สามีภรรยาที่จดทะเบียนเท่านั้น

เช่น พี่ ป้า น้า อา ลูกพี่ ลูกป้า หลานตา หลานยาย ได้ทั้งสิ้นครับ เพียงแต่ขอให้ฐานรายได้เข้าหลักเกณฑ์
แต่ก็อีกแหละครับ มีบางธนาคารที่อยากได้ดอกเบี้ยเราเสียจนตัวสั่น

บางที เป็นแค่คู่หมั้น สามีภรรยา ที่สมรส แต่ไม่จดทะเบียน หรือ เป็นเพื่อนที่เรียนมาด้วยกันตั้งแต่สมัย ป.2 พี่ท่านก็ปล่อยสินเชื่อให้ครับ

โดยยึดหลักว่า จะเป็นใครก้ได้ ขอให้เข้าหลักเกณฑ์ และพร้อมที่จะเป็นหนี้ และมาร่วมรับผิดชอบในความเสี่ยง เชิญได้เลยครับ

แต่ก็คงต้องคุยเป็นกรณีๆ ไปนะครับ ไม่ใช่ทุกแบงค์ที่คิดแบบนี้

แต่มีข้อคิดสำคัญนิดหน่อย (ความจริงก็ไม่หน่อยหรอกครับ สำคัญมากด้วย) ก่อนที่จะเชิญใครมากู้ร่วมครับ
1. คนคนนั้นต้องไม่มีหนี้สินพะรุงพะรัง เหมือนกับเรา เพราะถ้าหากเป็นเช่นนั้นแล้ว มันจะเหมือนกับธนาคารมีความเสี่ยงเพิ่มมากขึ้น ทีนี้แทนที่จะมาช่วยเรา กลับกลายเป็นตัวถ่วงเราไปเลยครับ
2. คุยกันให้ดี ทำเป็นลายลักษณ์อักษรให้ดีครับว่า พอผ่อนหมดแล้ว กรรมสิทธิ์จะเป็นของใคร ชื่อใครที่จะไปปรากฏอยู่บนฉโนด เพราะถ้าไม่เคลียร์ พอผ่านไปอีก 30 ปี ราคาที่ดินบ้านเราพุ่งขึ้นไปเป็น ร้อยล้าน เพื่อนรักที่เรียนกันมาตั้งแต่ ป.2 อาจมาฟ้องเอาส่วนแบ่งได้นะครับ เพราะแกก็ถือว่าแกกู้ร่วมได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้น คุยกันให้ดี
หรือแม้กระทั่งสามีภรรยาก็เถอะครับ พอตอนหย่ากันเกลียดกันเป็นขี้ อย่างพ่อแม่ผม พ่อซื้อบ้านไว้ที่ ตจว. 1หลัง ใส่ให้เป็นชื่อแม่ พอหย่ากัน พ่อปลอมลายเซ็นแม่เอาไปขายฉิบ……อะไรก็เกิดขึ้นได้ครับ


จากคุณ : lar - [ 14 ธ.ค. 47 14:08:57 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]
ความคิดเห็นที่ 22

ลืมบอกไปครับ

เขาให้กู้ร่วมได้ไม่เกิน 2 คนครับ
รวมตัวเราด้วยเป็น 3

จากคุณ : ล่า - [ 14 ธ.ค. 47 14:13:44 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]
ความคิดเห็นที่ 23

รบกวนถามคุณล่าคะ
ถ้ามีเงินเดือน แต่ทำงานกับญาติซึ่งเป็นร้านค้า
โดยไม่ได้จดทะเบียนเป็นบริษัท
สามารถที่จะยื่นกู้ธนาคารได้ไม๊คะ

จากคุณ : nin - [ 14 ธ.ค. 47 14:56:13 A:61.90.37.76 X: TicketID:080052 ]

ความคิดเห็นที่ 24

ตอบคุณนิน

ได้แน่นอนครับ ขอให้เป็นรายได้ประจำ
แต่อาจจะต้องฝากเข้าธนาคารทุกเดือน แล้วค่อยถอนมาใช้ครับ

จากคุณ : ล่า - [ 14 ธ.ค. 47 15:19:51 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]
ความคิดเห็นที่ 25

คุณล่า เขียนมันส์ดีจิงๆ โขโบกๆ

จากคุณ : kompunn (kompunn) - [ 14 ธ.ค. 47 17:14:15 ]






ความคิดเห็นที่ 26

ผมอยากขอความกรุณาให้คุณล่า.ช่วยไปอ่านกระทู้ของผมหน่อยครับหัวข้อกระทู้คือ ผม..ผมม...ผม..อยาก..อยาก. ของ"คนอยากมีบ้าน"นะครับ ในนั้นมีรายระเอียดของผมหมดเลย ผมไม่สามารถก็อปปี้มาได้ครับและช่วยแนะนำในกระทู้นี้ด้วครับจะขอบคุณมากเลย

จากคุณ : คนอยากมีบ้าน - [ 14 ธ.ค. 47 18:32:01 A:61.91.134.44 X: TicketID:063596 ]
ความคิดเห็นที่ 27

เขียนดีจริงๆครับ...........เห็นภาพเลยครับ

จากคุณ : mute - [ 14 ธ.ค. 47 18:39:41 ]


ความคิดเห็นที่ 28

ควัสดีครับคุณล่าผมดึงมาหาคุณแล้วแต่ดูไมสวยเท่าไร ช่วยอ่านแล้วขอความกรุณาแนะนำด้วยครับ ขอบคุณมากๆเลย เผื่อจะมีบ้านไว้อยู่ตอนแก่หลังเกษียนอายุราชการครับ ผมไปดูบ้านมาหลังหนึ่ง แถวปทุมธานี28ตรว.เป็นทาวเฮ้าแฝด ราคา1ล้าน2แสนบาท เจ้าของเดิมยืนยันว่าเข้าธนาคารอาคารสงเคราะห์ ได้2แบบคือถ้าเอาเต็มราคาประเมินได้1ล้าน4แสน5หมื่นบาท แต่ต้องรับราชการและมีเงินหลือให้เขาหักที่ต้นสังกัดเลย(ประมาณ7.5พันบาทซึ่งผมก็ไม่พอให้หัก และเขาบอกว่าต้องเหลือกินเหลือใช้อีกไม่น้อยกว่า5พัน ต่อเดือน แต่ผมเหลือจากหักสหรณ์แล้วเหลือ4500บาทกว่าบาทเพราะต้องจ่ายสหกรณ์)
แบบที่สองคือกู้ได้85 เปอร์เซ็นต์คือได้ประมาณ1.2ล้านเท่าราคาบ้านแต่ต้องเหลือเงินกิน/ใช้เท่าเดิม
ตอนนี้ผมอายุ46ปี มีลูก2คนตนโตจะจบป.ตรีปีนี้ ส่วนคนเล็กจบปวช ทำงานแล้วแตเป็นงานรายวันไม่มั่นคงนัก(วันละ200บาท) ส่วนภรรยาเปิดร้านเกมส์คอมพ์และโต๊ะสนุกฯมีรายได้วันละ7-9ร้อยโดยเฉลี่ย(เสาร์-อาทิตย์1500ครับ)เปิดมา4ปีแล้ว มีเงินเข้าออก บ/ช ตลอด แต่ไม่เหลือมากนักเพราะต้องส่งลูกเรียนและจ่ายค่าเช่าบ้านที่ประกอบกิจการอยู่+ค่าไฟ+ค่าน้ำ+รถเงินผ่อนก็ตก15000-บาท
ผมเงินเดือน13790บาท(หักแล้วเหลือ4500กว่าบาท)

บ้านหลังใหม่ผมดูทำเลแล้ว เหมาะที่จะทำการค้าหรือเปิดร้านเกมส์มากเลย ในหมู่บ้านมีประมาณ2พันหลังมีคนอยู่ประมาร90เปอร์เซ็ฯต์ และมันก็ต้องมีรายได้มาอีกจากการทำร้านค้า/ร้านเกมส์
ผมมองว่าต้องสามารถส่งได้แน่นอน อ้อ..มีรายได้แน่นอนอีกอย่างหนึ่งครับสามารถพิสูจน์ได้แต่เขาจะยอมรับเป็นรายได้หรือเปล่าเท่านั้นคือ
หน่วยงารราชการของผมมีสหกรณืครับผมเป็นสมาชิกสามัญมีสิทธิ์กู้ได้ทุก6เดือนโดยไม่ต้องคอยจนกว่าส่งหมด(เป็นข้อตกลง/กฏร่วมของสมชิกครับ) โดยหัก-กลบหนี้กันเองในตัวของมัน(ถ้าผมกู้มา3แสน ผมส่งไป6เดือน+ดอกคือต้น7800คูณ6ก็ได้46800พอครบ6เดือนผมกู้ได้ใหม่คือเอาเงินต้น-เงินคงเหลือก็จะได้เงินมาอีกเกือบ5หมื่นบาททุก6เดือน ผมหมุนอย่างนี้มา10ปีแล้วครับ(เพราะถ้าไม่กู้มาเขาก็หัก7800เท่าเดิม)และถ้ามีขั้นเงินเดือนขึ้นมาผมก็กู้ได้มากขึ้นอีก(กู้ได้40เท่าของเงินเดือน)
คืออย่างน้อยผมก็มีเงินส่งบ้านได้เดือนละ8พันบาทจากเงินกู้สามัญของสหกรณ์แล้ว
แต่เงื่อนไขของทางธนาคารทำให้ผมไม่สามารถที่จะซื้อบ้านได้ อยากขอความคิดเห็นหรือช่วยแนะนำด้วยว่าผมมีทางไหนบ้างที่จะซื้อบ้านหลังนี้ได้โดยธนาคารยอมรับในรายได้ทั้งหมดของผม(ผมมีบ/ช ออกทรัยพ์เงินเข้าออกตลอดเดือนละ2หมื่นเป็นอย่างน้อย ช่วยแนะนำทางหน่อยครับ อายุมากแล้วก็อยากจะมีบ้านของตัวเองและถ้าคอยซื้อตอนเกษียน ราคาคงไม่ได้เท่านี้ ขอบคุณมากครับ
สรุปรายได้ของผมคือเหลือ 1.เหลือจากเงินเดือน4500บ
2.จากร้านเกมส์ 23000บาท(อันนี้ผมมีสมุดลงเวลาและรายได้ ย้อนหลังให้ดูว่าเป็นรายได้จริง)
3.จากลูก3000บาท ่วนค่าใช้จ่ายดังที่บอกและตอนนี้ไม่ต้องส่งลูกเรียนแล้ว ช่วยแนะนำหน่อยครับ ขอบคุณมาก

จากคุณ : อยากมีบ้านครับ - [ 13 ธ.ค. 47 20:03:45 A:61.90.57.167 X: TicketID:063596 ]

คือตอนนี้การเงินหมุนเวียนในครอบครับก่อนจะซื้อบ้านก็สะดวกอยู่บ้างครับ ไม่เดือดร้อนและก็พอจะส่งบ้านใหม่ได้พอดี และเรื่องลูกเรียนนั้นตอนนี้จบแล้ว1คนอีกคนจะจบป.ตรีในปีนี้ และคงมีงานทำ ครับ (ตอนนี้เรียนอยู่ปี4 มหาลัยเชียงใหม่เทอมสุดท้าย)
คุณยังไม่บวกรายได้ ของลูกคนที่ทำงานและรายได้อันจะเกิดจากร้านอีก1ร้าน(บ้านที่จะซื้อต้องเปิดร้านเน็ต) เอาเป็นว่ารายได้จาก การกู้สหกรณืก็พอจะส่งบ้านได้แล้ว
สรุปอีกครั้งครับ ตอนนี้ผมมีรายได้คือ
1 จากเงินเอืน 4500
2.จากร้ารเน็ต 21000
3.จากลูกที่ทำงาน 3000
4.จากกู้สหกรณ์ 8000
อันนี้เป็นรายไดแน่นอนรวม37000 บาทครับ
....รายได้ที่จะตามมาอีกจากร้านเน็ทที่บ้านใหม่ประมาณ1-15000บาทครับ
ส่วนรายจ่ายของผมคือ15000+ค่าส่งบ้านใหม่7500+ค่าใชจ่ายอื่นๆ5000รวมค่าใชจ่ายทั้งหมด27500ผมว่าผมสามารถที่จะผ่อนได้สบ่นมากครับ(ตอนนี้ผมมีเงินสะสมประมาณ8หมื่นบาทครับ)
ช่วยคำนวนและบกหหน่อยครับว่าเราจะำปติดต่อที่ธนาคารไหนและเขาจะต้องการอะไรบ้าง ขอบคุณอีกครั้ง
อีกครั้งครัง รายจ่ายในครอบครับแบบเป็นจริงคือใช้หยิบในกล่องตังค์ครับ ตอนเย็นหรือเก็บร้านจึงจะรวมยอดรายได้ครับ(คือรายได้700หลังหักค่าใช้จ่ายรายวันแล้วครับ)


จากคุณ : อ้วน - [ 14 ธ.ค. 47 19:37:36 A:61.91.134.44 X: TicketID:063596 ]






ความคิดเห็นที่ 29

เขียนเข้าใจง่ายจังเลยค่ะ


อยากถามว่า ถ้าคนกู้ร่วมเป็นข้าราชการ จะทำให้พิจารณาง่ายขึ้นรึเปล่าคะ??

จากคุณ : คุณนายฟู - [ 14 ธ.ค. 47 19:44:27 ]


ความคิดเห็นที่ 30

อ่านแล้วเข้าใจเรื่องการกู้ขึ้นเยอะมากๆเลยค่ะ อ่านสนุกด้วย

ขอบคุณนะคะ

จากคุณ : ascha - [ 14 ธ.ค. 47 21:17:56 ]

ความคิดเห็นที่ 31

เอ๊ะ ! แล้วขั้นตอนในการตรวจสอบผู้ยื่นกู้
ทางแบงค์เค้าดำเนินการอย่างไร
ว่าเราทำงานที่ไหน เพราะไม่เห็นเค้าโทรมาสอบถามที่ออฟฟิศเลยว่ามีตัวตนอยู่จริงหรือเปล่า (พอดีสงสัยคะ)
เคยซื้อรถยนต์เค้ายังโทรมาเช็คที่บริษัท ว่ามีตัวตนอยู่


จากคุณ : ORD - [ 14 ธ.ค. 47 22:30:45 A:61.91.130.40 X: TicketID:080052 ]

ความคิดเห็นที่ 32

เข้ามาเก็บข้อมูลสุดๆเลยฮ่ะ

ขอบคุณมากๆๆๆ โหวตๆๆ

จากคุณ : เด็กสันดานเสียแห่งโลกใบนี้ - [ 14 ธ.ค. 47 23:20:19 ]


ความคิดเห็นที่ 33

ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาอ่านครับ
อันความจริง ก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมากที่มีคนสนใจ ก็แอบมาเช็คอยู่เนืองๆ

ความจริงผมยังเขียนไม่จบนะครับ
เพราะประสบการณ์การสร้างบ้านของผม นับว่าโชกโชน และค่อนข้างจะครอบคลุมทุกปัญหา

ตั้งใจจะเขียนให้จบจนถึงโอน และเข้าอยู่เลย
ไม่รู่ว่าสมาชิกจะว่าอย่างไรครับ

เพราะเกรงใจเจ้าของกระทู้อยู่เหมือนกัน

สำหรับคำถาม ผมคงทะยอยตอบให้อย่างละเอียด ควบคู่กับการเล่าเรื่องราวของผมต่อ
คงขออนุญาตไม่ให้อีเมล์ของผมนะครับ

คิดว่าตอบในนี้น่าจะเป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมมากกว่า
จากคุณ : lar - [ 15 ธ.ค. 47 07:19:36 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]

ความคิดเห็นที่ 34

สะหวัดดีค่ะ คุณล่า

ไม่ต้องเกรงใจค่ะ
ข้อมูลและประสบการณ์ของคุณ ล่า มีประโยชน์มาก
ถือว่าเป็นข้อมูลสำหรับผู้อ่านทุกท่าน นี่เพิ่งจะเข้ามาตั้งกระทู้ใน pantip เป็นครั้งแรก แต่ได้ข้อมูลเยอะมากจริงๆ

ขอบคุณค่ะ
แอน


จากคุณ : แอน - [ 15 ธ.ค. 47 07:44:06 A:203.152.41.55 X:203.152.41.4 TicketID:081980 ]
ความคิดเห็นที่ 35

ขออนุญาตตอบคำถามก่อนแล้วกันนะครับ

ใครที่รออ่านต่อ ก็อดใจรอนิดครับ

ผมอาจจะต้องไปเปิดเป็นกระทู้ใหม่…
เอ..หรือว่าไปเขียนเป็นหนังสือ แล้วออกขายดี….55

ขอตอบตามคิวแล้วกันนะครับ

ตอบคุณอ้วน
สารภาพให้ก็ได้ครับว่าผมไม่ค่อยเก่งเรื่องคำนวนเลขเท่าไหร่…(อย่าเข้าใจผิดนะครับ ผมไม่ใช่พนักงานแบงค์)
แต่จะพยายามแนะนำแนวทาง และกลยุทธ์ ให้ไปปรับใช้ในการกู้นะครับ

ประเด็นแรก
เจ้าของบ้านบอกว่า…….
ผมว่าอาจจะเป็นไปได้ยากครับ
ถ้าราคาซื้อขาย แค่ 1 ล้าน 2 แสนบาท (ที่ระบุในสัญญาจะซื้อจะขาย) แล้วธนาคารจะให้กู้ เกินจากราคาขาย คือ 1,450,000 บาท
ถึงแม้ว่ามันจะเป็นราคาประเมินก็ตาม อย่างดีที่สุดๆ คือเท่ากับราคาซื้อขายครับ (แบบที่หลายๆ โครงการเขามีโปรโมชั่น กู้ 100% อะไรนั่นแหละครับ) แต่นั่นก็ต้องหมายถึงว่า เขาต้องมองเห็นแล้วว่าเรามีศักยภาพในการจ่ายดอกเบี้ยให้เขาแน่ๆ

ส่วนที่เกินราคาขายออกมานั้น ก็มีสิทธิ์ที่จะกู้เพิ่มออกมาได้ครับ แต่ต้องไม่ใช่ loan บ้านแล้วครับ
อาจจะต้องเป็น “กู้เพิ่มเติม เพื่อตกแต่ง” อะไรประมาณนี้

แน่นอนครับ ในเมื่อมันเป็น loan คนละชนิดกัน อัตราดอกเบี้ย ต้องไม่เหมือนกันครับ ส่วนใหญ่ประเภทหลังนี่ จะแพงกว่าครับ….จะบอกไว้เลยครับ ธนาคารไม่โง่ครับ

อันว่าด้วยราคาประเมินนี่
ตามที่ผมประสบมา ถ้าเรายื่นกู้…มันจะต้องมีการประเมินหลักทรัพย์ใหม่ทุกครั้งไป ซึ่งอาจจะไม่ถึง 1,450,000 บาท ก็ได้ครับ
สมมติว่าราคาประเมินออกมาได้ 1,450,000 บาท จริง ถ้าธนาคารคำนวนปล่อยสินเชื่อที่ 80% ของราคาประเมิน คุณก็อาจจะได้เงินที่ใกล้เคียงกับราคาขาย ใช้เงินออมน้อยหน่อย เพื่อทำสัญญามัดจำ อะไรต่างๆ

ธนาคารให้เหตุผลได้ถูกต้องแล้วครับ ว่าต้องเหลือเงินไว้กินใช้บ้าง
ไม่ต้องกลัวครับ
ถ้าเรามีรายได้ซะอย่าง ถึงแม้ว่ามันจะไม่ค่อยประจำนัก เราก็ทำให้มันประจำได้ พนักงานสินเชื่อไม่ได้โหดร้ายทุกคนครับ

เอ…พ่นมาตั้งนาน
ตอบคำถามไปได้บ้างหรือยังครับเนี่ย เดี๋ยวมาต่อครับ
ขอไปซดกาแฟซักแก้ว
จากคุณ : lar - [ 15 ธ.ค. 47 07:50:29 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]
ความคิดเห็นที่ 36

เท่าที่ผมลองประเมินรายได้ด้วยตัวเองแล้ว

เดือนละ 7500 ก็น่าจะพอลุ้นได้ครับ
แต่นั่นก็อาจจะต้องหมายถึงว่า
คุณอ้วนต้องไม่มีหนี้สินอย่างอื่น อีก ครับ
ไอ้สหกรณ์นี่ แล้วก็แล้วกันไปครับ

เพราะสุดท้ายแล้ว…สิ่งที่เราหนีไปไม่พ้นก็คือ “ความจริง” ครับ
ถึงแม้ว่าเราจะมีหนี้สิน ที่ธนาคารไม่รู้ จนทำให้เรากู้ผ่านได้

แต่ต่อไป หากเกิดภาวะวิกฤตต่างๆ เกี่ยวกับหนี้สินขึ้นมา ปัญหาจะตามมาอีกครับ
ผมไม่อยากให้เป็นอย่างนั้นครับ

เอาล่ะครับ
มาว่ากันที่รายได้กันเลย

อืม…ผมขอตัดข้อ 4 ออกได้ไหมครับ
เพราะกลัวจริงๆ ครับ..ไม่อยากให้คุณไปกู้เขามาเลย ขอร้องเถอะนะครับ
เพราะลำพังรายได้จากร้านเน็ท เงินเดือนที่เหลือ และเงินเดือนของลูก น่าจะพอดิ้นได้ครับ

รายได้จากเงินเดือนตัดสหกรณ์ออกไปแล้ว…เหลือ 4500 ไม่น่าจะเป้นปัญหามากนัก เพราะมีหลักฐานที่ตรวจสอบได้ชัดเจน

อันที่สองร้านเน็ตนี่แหละครับ ที่จะช่วยเราได้
ถ้าจดทะเบียนการค้า หรือมีใบอนุญาตเป็นเรื่องเป็นราว ด็ใช้ตัวนี้แนบไปด้วยครับ
แต่ถ้าเป็นแบบทำกันเองในครับครัว
ก็ได้ครับ เพียงแต่เราอาจจะต้อง นำเสนอคือ
เงินรายได้ ต่อเดือน ถ่ายสำเนาสมุดบัญชีรายรับรายจ่ายแนบไปด้วยครับ หรือถ้าไม่อยากก็มีอีกวิธีนึง ก็คือ คุณอ้วนอาจจะต้องนำเงินที่ได้ เข้าธนาคาร อาจจะเดือนละ 2 ครั้งก็ได้ครับ เพื่อให้ธนาคารรู้ว่า เรามีรายได้ที่เข้ามาเป็นประจำจริงๆ ถ้าคุณอ้วนบอกว่าเอาเข้าบัญชีตลอดอยู่อล้วก็ดีครับ เพียงแต่รักษาความสม่ำเสมอในการเอาเงินเข้าบัญชีเท่านั้น

ส่วนเรื่องที่ว่าถ้าไม่มีพวกทะเบียนการค้า หรือใบอนุญาตจะทำอย่างไร
ก็คงอาจจต้องถ่ายรูปร้านค้าหรือกิจการไปให้เขาประกอบการพิจารณาเลยครับ ว่าเรามีกิจการร้านค้าจริงๆ ไม่ได้มั่ว และมีรายได้เข้ามาสม่ำเสมอตลอด โดยประกอบกับสมุดบัญชีธนาคาร
จากคุณ : lar - [ 15 ธ.ค. 47 08:31:07 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]
ความคิดเห็นที่ 37

ไอ้เรื่องถ่ายรูปนี่ เราสามารถทำได้จริงๆ นะครับ และก็มีคนทำมาแล้วด้วย
ไม่ใช่มาหลอกเพื่อให้มีหวังนะครับ แต่มันสามารถทำได้จริงๆ ส่วนผลจะอย่างไร ก็อีกเรื่องหนึ่งครับ

ส่วนรายได้ของลูกที่เป็นรายวันนั้นผมอยากให้ชะลอไว้ก่อนครับ เพราะมันก็จะกลายเป็นการกู้ร่วมไป เอาไว้เป็นทางเลือกที่สองก็แล้วกันนะครับ

แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น คำแนะนำของผม อาจไม่ถูกต้อง 100% ครับ
อาจจะต้องตรวจสอบกับพนักงานของธนาคารอาคารสงเคราะห์อีกครั้งหนึ่ง ไม่แน่ เขาอาจจะมีความคิดเห็นที่ดีๆ ช่วยคุณอ้วนได้เพิ่มขึ้นครับ

แต่เสริมให้อีกนิดนึงว่า เวลาคุยกับเขา ให้พูดตรงๆ ไปเลยครับ
ว่าความจริงเป้นอย่างนี้ อย่างนี้ เราจะทำอย่างนี้ได้ไหม…เปิดอกลูกผู้ชายกันไปเลยครับ
จากคุณ : lar - [ 15 ธ.ค. 47 08:49:08 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]

ความคิดเห็นที่ 38

ตอบคุณนายฟูครับ

ช่วยได้แน่ๆ ครับ
แต่ไม่มาก กล่าวคือ อาจจะช่วยได้ตรงที่มีความแน่นอนเกี่ยวกับรายได้ และฐานะทางการงานที่มั่นคง
แต่ที่ช่วยไม่ได้ และต้องว่ากันอีกเรื่อง คือ

1. อายุราชการที่เหลือ
2. รายได้ หลังหักค่าใช้จ่ายต่อเดือนครับ
จากคุณ : lar - [ 15 ธ.ค. 47 08:53:02 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]

ความคิดเห็นที่ 39

ตอบคุณ ORD
ไม่ต้องห่วงเลยครับ เขามีแหล่งให้ตรวจสอบหายทางครับ
ทะเบียนบ้าน บัตรประชาชน
ข้อมูลหนี้สิน อะไรต่างๆ ครับ

ที่พวกไฟแนนซ์ หรือบัตรเครดิตเขาโทรมาเช็ค
คงไม่ใช่ต้องการเช็คว่าเรามีตัวตนหนือเปล่าหรอกครับ

เขาต้องการแน่ใจว่า ที่ไปซื้อรถ หรือทำบัตรเครดิตน่ะ เรารู้เรื่องนะ ไม่ได้มีใครนำเอกสารของเราแอบอ้างเอาไปซื้อครับ
จากคุณ : lar - [ 15 ธ.ค. 47 08:59:34 A:203.152.9.158 X: TicketID:081990 ]


ความคิดเห็นที่ 40

ขอบคุณมากครับคุณ lar ผมไปธอส.มาแล้วครับเล่าความจริงทุกอย่างแบบในนี้และบอกว่าถึงแม้ว่าได้แค่85เปอร์เซ้นต์ผมก็มีเงินมาใส่ให้ครบได้ครับ(ใน บ/ชมีเกือบแสน) พูดแบบเปิดอกเลย(แต่เขาเปิดไม่ได้ครับเป็นผู้หญิง/ล้อเล่นนะครับ/ผมจะได้หายเครียด)เขาบอกว่าเข้าใจว่าผมจะผ่อนได้แน่นอนแต่ทางธอส.ต้องการ ผู้ที่มีรายได้แน่นอนก็คือดูจากเงินเดือนของทางราชการที่เหลืออย่างเดียวครับ
ผมมี บ/ช รายรับจากค่า บริการจากร้านเกมส์เป็รราย ชม/รายวันเลยครับ/มีครบตั้งแต่เริ่มเปิดกิจการมา(เปิดเมื่อ10เม.ย45)และจำเป็นหรือไม่ว่าเราต้องไปขอสินเชื่อจากธอส.ของจว.ที่จะซื้อบ้านเท่านั้นครับ ขอบคุณมากครับที่ช่วยแนะนำ พวกคนที่อยากมีบ้าน /

จากคุณ : /อ้วน - [ 15 ธ.ค. 47 12:14:18 A:61.90.57.33 X: TicketID:063596 ]










 

Create Date : 25 มิถุนายน 2550
0 comments
Last Update : 31 พฤษภาคม 2552 18:08:46 น.
Counter : 4331 Pageviews.


gijane
Location :
ชลบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




รักสายลม แสงแดด เกลียดการดูถูกคนจน ชอบทั้งหมาและแมว
Friends' blogs
[Add gijane's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.