|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
จูฬราหุโลวาทสูตร
จูฬราหุโลวาทสูตร ว่าด้วยการประทานโอวาทแก่พระราหุล สูตรเล็ก ภิกขุวรรค หมวดว่าด้วยภิกษุ
ณ กรุงราชคฤห์ พระผู้มีพระภาคเสด็จเข้าไปยังอัมพลัฏฐิกาปราสาทที่ท่านพระราหุลอยู่ ท่านพระราหุลจึงปูลาดอาสนะและตั้งน้ำสำหรับล้างพระบาทไว้ พระผู้มีพระภาคประทับนั่งบนอาสนะที่ปูลาดไว้ แล้วทรงล้างพระบาท พระผู้มีพระภาคเหลือน้ำไว้ในภาชนะน้ำหน่อยหนึ่ง แล้วตรัสกะท่านพระราหุลว่า....... ”ดูกรราหุล เธอเห็นน้ำเหลือหน่อยหนึ่งอยู่ในภาชนะน้ำนี้หรือ” ท่านพระราหุลกราบทูลว่า “เห็นพระเจ้าข้า” ร. “เห็นพระเจ้าข้า” พ. “ดูกรราหุล สมณธรรมของบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งรู้อยู่ ก็มีน้อย เหมือนกันฉะนั้น” ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงเทน้ำที่เหลือหน่อยหนึ่งนั้นเสีย แล้วตรัสกะท่านพระราหุลว่า พ. “ดูกรราหุล เธอเห็นน้ำหน่อยหนึ่งที่เราเทเสียแล้วหรือ” ร. “เห็น พระเจ้าข้า” พ. “ดูกรราหุล สมณธรรมของบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการ กล่าวมุสาทั้งรู้อยู่ ก็เป็นของที่เขาทิ้งเสียแล้วเหมือนกัน ฉะนั้น” ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงคว่ำภาชนะน้ำนั้น แล้วตรัสกะท่านพระราหุลว่า พ. “ดูกรราหุลเธอเห็นภาชนะน้ำที่คว่ำนี้หรือ” ร. “เห็น พระเจ้าข้า” พ. “ดูกรราหุล สมณธรรมของบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งรู้ อยู่ ก็เป็นของที่เขาคว่ำเสียแล้วเหมือนกันฉะนั้น” ลำดับนั้น พระผู้มีพระภาคทรงหงายภาชนะน้ำนั้นขึ้น แล้วตรัสกะท่านพระราหุล พ. “ดูกรราหุล เธอเห็นภาชนะน้ำอันว่างเปล่านี้หรือ” ร. “เห็น พระเจ้าข้า” พ. “ดูกรราหุล สมณธรรมของบุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวมุสาทั้งรู้อยู่ ก็เป็นของว่างเปล่าเหมือนกันฉะนั้น........ผู้มีความละอายเปรียบเหมือนช้างต้นมีงางอนงาม เป็นช้างทรงทีมีชาติกำเนิดดี เคยฝ่าศึกสงครามมาแล้ว ทำการงานด้วยเท้าหน้าทั้งสองบ้าง ด้วยเท้าหลังทั้งสองบ้าง ด้วยศีรษะบ้าง ด้วยหางบ้าง ด้วยงวงบ้าง ฯลฯ ชื่อว่าช้างต้นสละแม้กระทั่งชีวิต ‘ไม่มีอะไรที่ช้างค้นจะทำไม่ได้’ แม้ฉันใดตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน ไม่กล่าวว่า ‘บุคคลผู้ไม่มีความละอายในการกล่าวเท็จทั้งที่รู้อยู่ จะไม่ทำบาปกรรมอะไรเลย’ ราหุล เพราะเหตุนั้นแล เธอพึงสำเหนียกในเรื่องอย่างนี้ว่า ‘ เราจักไม่กล่าวเท็จ แม้เพื่อให้หัวเราะกันเล่น’ เธอพึงสำเหนียกอย่างนี้แล ราหุล”
ทรงสอนให้พิจารณากายกรรม
พ. “ราหุล,.....กระจกมีประโยชน์อะไร” ร. “มีประโยชน์สำหรับส่องดู พระพุทธเจ้าข้า” พ. “อย่างนั้นเหมือนกันราหุล บุคคลควรพิจารณาให้ดีแล้วจึงทำกรรมทางกาย พิจารณาให้ดีแล้วจึงทำกรรมทางวาจา พิจารณาให้ดีแล้วจึงทำกรรมทางใจ ถ้าเธอปรารถนาจะทำกรรมใดทางกาย เธอพึงพิจารณากายกรรมนั้นเสียก่อนว่า ‘กายกรรมที่เราปรารถนาจะทำนี้ เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง กายกรรมนี้เป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก’กรรมทางกายนี้เธออย่าทำเด็ดขาด พ. “แต่ถ้าเธอพิจารณาอยู่พึงรู้อย่างนี้ว่า ‘กายกรรมที่เราจะทำนี้ เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเอง เป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่น เป็นไปเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่ายบ้าง กายกรรมนี้เป็นกุศล มีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก’ กรรมทางวาจาเห็นปานนี้เธอควรทำ........ แต่ถ้าเธอพิจารณาอยู่พึงรู้อย่างนี้ว่า ‘กายกรรมที่เราทำแล้วนี้ ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่ายบ้าง กายกรรมนี้เป็นกุศล มีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก เธอพึงมีปิติและปราโมทย์ สำเหนียกในกุศลธรรมทั้งหลายทั้งกลางวันและกลางคืน อยู่ด้วยกายกรรมนั้นแล"
ทรงสอนให้พิจารณาวจีกรรม
พ. "ดูกรราหุล เธอปรารถนาจะทำกรรมใดด้วยวาจา เธอพึงพิจารณาวจีกรรมนั้นเสียก่อนว่า เราปรารถนาจะทำกรรมใดด้วยวาจา วจีกรรมของเรานี้ พึงเป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง และเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่ายบ้าง วจีกรรมนี้เป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบากกระนั้นหรือ ถ้าเธอพิจารณาอยู่ พึงรู้อย่างนี้ว่า วจีกรรมที่เราปรารถนาจะทำนี้เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง และเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่ายบ้าง วจีกรรมนี้เป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก กรรมทางวาจาเห็นปานนี้ เธออย่าทำเด็ดขาด ถ้าเธอพิจารณาอยู่ พึงรู้อย่างนี้ว่า วจีกรรมที่เราปรารถนาจะทำนี้เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง และเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่ายบ้าง วจีกรรมนี้เป็นกุศล มีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก กรรมทางวาจาเห็นปานนี้ เธอพึงเพิ่มพูนวจีกรรมเห็นปานนี้พึงควรทำ แต่ถ้าเธอพิจารณาอยู่พึงรู้อย่างนี้ว่า วจีกรรมที่เราทำแล้วนี้ ไม่ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง ไม่เป็นไปเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่ายบ้าง วจีกรรมนี้เป็นกุศล มีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก เธอพึงมีปีติและปราโมทย์ สำเหนียกในกุศลกรรมทั้งหลาย ทั้งกลางวันและกลางคืน อยู่ด้วยวจีกรรมนั้นแล"
ทรงสอนให้พิจารณามโนกรรม
พ. "ดูกรราหุล เธอปรารถนาจะทำกรรมใดทางใจ เธอพึงพิจารณามโนกรรมนั้นเสียก่อนว่า ‘มโนกรรมที่ เราปรารถนาจะทำนี้ เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนเองบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง และเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่ายบ้าง มโนกรรมนี้เป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบากกระนั้นหรือ’ ถ้าเธอพิจารณาอยู่ พึงรู้อย่างนี้ว่า มโนกรรมที่เราปรารถนาจะทำนี้เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง และเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่ายบ้าง วจีกรรมนี้เป็นอกุศล มีทุกข์เป็นกำไร มีทุกข์เป็นวิบาก กรรมทางใจเห็นปานนี้ เธออย่าทำเด็ดขาด ถ้าเธอพิจารณาอยู่ พึงรู้อย่างนี้ว่า มโนกรรมที่เราปรารถนาจะทำนี้เป็นไปเพื่อเบียดเบียนตนบ้าง เพื่อเบียดเบียนผู้อื่นบ้าง และเพื่อเบียดเบียนทั้งสองฝ่ายบ้าง มโนกรรมนี้เป็นกุศล มีสุขเป็นกำไร มีสุขเป็นวิบาก กรรมทางวาจาเห็นปานนี้ เธอพึงเพิ่มพูนมโนกรรมเห็นปานนี้พึงควรทำ ราหุล เพราะเหตุนั้นแล เธอพึงสำเหนียกในเรื่องอย่างนี้ว่า เราพิจารณาดีแล้วจักชำระกายกรรม พิจารณาดีแล้วจักชำระวจีกรรม พิจารณาดีแล้วจักชำระมโน เธอพึงสำเหนียกอย่างนี้แล"
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสภาษิตนี้แล้ว ท่านพระราหุลมีใจยินดีชื่นชมพระภาษิตของพระผู้มีพระภาค ดังนี้แล
พบกันใหม่คราวหน้า ครูแอ๊ว
Create Date : 23 สิงหาคม 2554 |
|
16 comments |
Last Update : 23 สิงหาคม 2554 14:24:19 น. |
Counter : 1323 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: YUCCA 24 สิงหาคม 2554 2:57:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: พระจันทร์ของขวัญ (Great_opal ) 24 สิงหาคม 2554 23:36:47 น. |
|
|
|
| |
โดย: haiku 25 สิงหาคม 2554 23:01:01 น. |
|
|
|
| |
โดย: รัชชี่ (รัชชี่ ) 28 สิงหาคม 2554 19:18:24 น. |
|
|
|
| |
โดย: wicsir 29 สิงหาคม 2554 7:22:06 น. |
|
|
|
| |
โดย: คุณต่อ (toor36 ) 29 สิงหาคม 2554 11:23:56 น. |
|
|
|
| |
โดย: panwat 30 สิงหาคม 2554 8:33:38 น. |
|
|
|
| |
โดย: haiku 30 สิงหาคม 2554 22:04:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: YUCCA 26 ธันวาคม 2554 3:56:57 น. |
|
|
|
| |
โดย: YUCCA 26 ธันวาคม 2554 3:57:52 น. |
|
|
|
|
|
|
|
นานนานจะเห็นบล็อกใหม่สักครั้ง ได้สาระประโยชน์มาก
คุณครูแอ๊วคงสบายดีนะครับ
ผมยังคิดถึงเสมอครับ