เบรมบาเตดิโซปรา เป็นเมืองเล็ก ๆ ในประเทศอิตาลี มีบรรยากาศเงียบสงบเหมือนกับเมืองเล็ก ๆ แห่งอื่น ๆ ทั่วโลก ร้านรวงปิดกันตั้งแต่หัวค่ำและไม่มีสถานบันเทิงยามค่ำคืน เวลา 19.30 น. หิมะเริ่มตกหนัก พ่อแม่ของเธอเริ่มกังวลที่ลูกสาวยังกลับไม่ถึงบ้านจึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ไม่มีใครพบเห็นยาร่าอีกเลยจนกระทั่งวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 2011 หรือ 3 เดือนหลังจากที่เธอหายตัวไป มีคนพบร่างไร้วิญญาณของยาร่าถูกทิ้งอยู่ในทุ่งห่างจากบ้านของเธอไปประมาณ 10 กม. แผ่นหลังและลำคอมีรอยถูกมีดกรีดหลายแห่ง แต่มันไม่ใช่สาเหตุของการเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ชันสูตรลงความเห็นว่าเธอเสียชีวิตเพราะถูกทิ้งให้นอนแข็งตายในที่โล่ง
ยาร่าไม่ได้ถูกข่มขืนแต่ถูกล่วงละเมิดทางเพศด้วยวิธีใดวิธีหนึ่ง ตำรวจพบคราบเลือดของคนร้ายในที่เกิดเหตุ จึงนำมาตรวจหาดีเอ็นเอ และได้ขอตรวจดีเอ็นเอผู้ที่สมัครใจจำนวน 15,000 คนเพื่อนำมาเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอคนร้าย ดามิอาโน กัวริโนนิ มีดีเอ็นเอใกล้เคียงกับดีเอ็นคนร้าย ตำรวจจึงตั้งข้อสันนิษฐานว่าคนร้ายจะต้องเป็นญาติของดามิอาโน ซึ่งบิดาของดามิอาโนมีพี่น้องทั้งหมด 11 คน และตำรวจจะต้องตรวจดีเอ็นเอของคนทั้ง 11 ครอบครัวนี้ทั้งหมด
ตรงกันเป๊ะ
เดือนกันยายน 2012 ตำรวจเดินทางไปพบกับแม่ม่ายผัวตาย ลอร่า โพลิ ที่หมู่บ้านเล็ก ๆ เชิงเทือกเขาแอลป์แห่งหนึ่งห่างจากเมืองเบรมบาเตดิโซปราไปทางตะวันออกเฉียงเหนือราว 30 กม. น่าเสียดายที่สามีของเธอ "จูเซปเป กัวริโนนิ" เสียชีวิตไปแล้วตั้งแต่เมื่อปี 1999 หรือราว 11 ปีก่อนเกิดเหตุฆาตกรรมยาร่า
ตำรวจขอตรวจของใช้ส่วนตัวของจูเซปเป ลอร่าจึงนำกล่องเก่า ๆ ที่ใช้เก็บเอกสารของจูเซปเปมาให้ ข้างในกล่องมีบัตรประจำตัวพนักงานขับรถประจำทาง เอกสารและอากรแสตมป์ ตำรวจนำอากรแสตมป์มาตรวจหาดีเอ็นเอเผื่อว่าจูเซปเปจะเคยใช้ลิ้นเลียอากรแสตมป์และโชคก็เข้าข้างเมื่อพบคราบน้ำลายบนหลังอากรแสตมป์
ดีเอ็นเอของจูเซปเปตรงกับดีเอ็นเอคนร้าย แสดงว่าคนร้ายจะต้องเป็นลูกคนใดคนหนึ่งของจูเซปเปอย่างไม่ต้องสงสัย ตำรวจจึงเรียกตัวลูกทั้ง 3 คนของจูเซปเปมาตรวจดีเอ็นเอ แต่ผลที่ออกมานั้นกลับเป็นว่าดีเอ็นเอของลูกทั้ง 3 คนไม่ตรงกับดีเอ็นเอของคนร้าย สิ่งนี้สร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับตำรวจเป็นอย่างมาก เหมือนจะได้ตัวคนร้ายแล้วแต่แล้วก็กลับเป็นไม่ใช่อีก
เป็นที่แน่ชัดว่าจูเซปเปเป็นพ่อของคนร้ายแต่ลอร่าไม่ใช่แม่ของคนร้าย การจะจับตัวคนร้ายให้ได้ก็จะต้องสืบให้รู้ว่าใครเป็นแม่ของคนร้ายเพื่อสาวไปสู่ตัวคนร้ายอีกที แต่ใครล่ะจะยอมรับว่ามีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งกับจูเซปเปจนถึงขั้นมีลูกด้วยกันอย่างลับ ๆ
ลูกฉันแต่ไม่ใช่ลูกเรา
ตำรวจสอบปากคำเพื่อนร่วมงานของจูเซปเปจนกระทั่งรู้ว่าเขาเป็นเสือผู้หญิงคนหนึ่ง ผู้หญิงที่เข้ามาพัวพันล้วนเป็นคนที่ใช้บริการรถประจำทางเป็นประจำ จูเซปเปเคยมีปัญหากับหญิงสาวคนหนึ่งแต่ไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร ตำรวจตามสืบจนพบว่ามีหญิงสาว 532 คนที่ใช้บริการรถประจำทางและรู้จักกับจูเซปเป ตำรวจขอตรวจดีเอ็นเอหญิงที่เคยสาว (ปัจจุบันแก่แล้ว) ทั้งหมด จนกระทั่งพบว่า อีสเตอร์ อาร์ซัฟฟิ วัย 67 ปี มีดีเอ็นเอตรงกับดีเอ็นเอของคนร้าย
อีสเตอร์แต่งงานเมื่อปี 1967 กับจิโอวานนิ บอสเซติ มีบุตร 3 คนเป็นแฝดหญิง-ชายคู่หนึ่งชื่อมาสซิโม จูเซปเป และลอร่า เลติเซีย และบุตรชาย 1 คนชื่อ ฟาบิโอ แต่ผลการตรวจดีเอ็นเอระบุว่า จิโอวานนิไม่ใช่พ่อของเด็กแฝด หากแต่เป็นจูเซปเป กัวริโนนิ
ที่สำคัญที่สุดคือ ดีเอ็นเอของมาสซิโม จูเซปเป ตรงกับดีเอ็นเอของคนร้าย ส่วนลอร่า เลติเซีย ไม่เข้าข่ายผู้ต้องสงสัย เพราะเธอเป็นผู้หญิง ดังนั้นจึงปักใจเชื่อได้ว่ามาสซิโม จูเซปเป เป็นคนร้ายสังหารยาร่า
หลักฐานมัดตัว
ตำรวจไม่สามารถตรวจดีเอ็นเอผู้ใดได้โดยไม่ได้รับความยินยอมโดยสมัครใจ ลอร่าเคยตรวจดีเอ็นเอมาแล้วครั้งหนึ่งในปี 2012 หากแต่ว่าตอนนั้นเจ้าหน้าที่นำดีเอ็นเอของลอร่าไปเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอยาร่า แทนที่จะเป็นดีเอ็นเอของคนร้าย จึงทำให้ตำรวจไม่ได้เบาะแสของคนร้าย การตรวจสอบในครั้งหลังกระทำโดยการนำผลตรวจครั้งก่อนมาเปรียบเทียบกับดีเอ็นเอคนร้ายตามที่ควรจะเป็น
ส่วนการตรวจดีเอ็นเอของมาสซิโม จูเซปเป กระทำโดยหัวหน้าทีมสืบสวน เลติเซีย รักกิริ ตั้งด่านตรวจแอลกอฮอล์ปลอมบนถนนเส้นทางไปที่บ้านของมาสซิโม จูเซปเป ในเดือนมิถุนายน 2014 หลอกให้เขาเป่าเครื่องวัดแอลกอฮอล์เพื่อนำน้ำลายมาตรวจหาดีเอ็นเอ
เลติเซียสืบพบว่ามาสซิโม จูเซปเป วนเวียนอยู่แถวบ้านและโรงยิมที่ยาร่าไปฝึกซ้อมเป็นประจำ และจากการตรวจสอบการใช้โทรศัพท์มือถือพบว่า มาสซิโม จูเซปเป ใช้โทรศัพท์ที่เมืองเบรมบาเตดิโซปรา เวลา 17.45 น. ในวันเกิดเหตุก่อนที่จะปิดโทรศัพท์ไปและเปิดอีกครั้งในเวลา 07.34 น. ของวันรุ่งขึ้น
หลังจากจับกุมตัวและแจ้งข้อหากับมาสซิโม จูเซปเป ตำรวจตรวจสอบเครื่องคอมพิวเตอร์พบว่ามีการค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการใช้กำลังบีบบังคับเด็กสาว ข้อมูลเหล่านี้มีความเชื่อมโยงกับคดีฆาตกรรมยาร่าอย่างมีนัย แต่มาสซิโม จูเซปเป ให้การว่ามันไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่เขาจะขับรถผ่านบ้านและโรงยิมที่ยาร่าไปฝึกซ้อมเพราะมันเป็นเส้นทางเลี่ยงถนนใหญ่ที่มีการจราจรคับคั่ง
ครอบครัวสวิงกิ้ง
มาริต้า โคมิ ภรรยาของมาสซิโม จูเซปเป ให้การว่า สามีของเธอกลับบ้านตรงเวลาทุกวัน พวกเขากินอาหารค่ำเวลา 19.30 น. แม้แต่ในวันที่เกิดเหตุสามีของเธอก็กลับบ้านทันเวลาอาหารค่ำ จึงไม่น่าเป็นไปได้ที่สามีเธอจะก่อเรื่องอะไรขึ้นมา
อย่างไรก็ตาม หลังจากมาสซิโม จูเซปเป ถูกตำรวจจับก็มีชาย 2 คนปรากฏตัวขึ้นและอ้างว่าพวกเขามีความสัมพันธ์ลับ ๆ กับมาริต้าโดยที่สามีของเธอไม่ระแคะระคาย ยิ่งไปกว่านั้นมีข่าวรั่วออกมา ผลตรวจดีเอ็นเอของลูกชายคนเล็กของอีสเตอร์ก็ไม่ใช่ลูกของจิโอวานนิ ซึ่งนั่นหมายความว่าตลอดเวลากว่า 40 ปี จิโอวานนิเลี้ยงดูเด็ก 3 คนที่ไม่ใช่ลูกของเขาเลยแม้แต่คนเดียว
แต่การประพฤติผิดศีลธรรมไม่ใช่เป้าหมายของการสืบสวนคดีนี้ ตำรวจต้องการเพียงนำตัวคนร้ายที่สังหารยาร่ามารับโทษทัณฑ์ ทางด้านทนายของมาสซิโม จูเซปเป พยายามนำช่องโหว่ของการใช้ผลตรวจดีเอ็นเอมาเป็นหลักฐานผูกมัดตัวคนร้ายโดยอ้างว่าตำรวจจะรู้ได้อย่างไรว่าจูเซปเปไม่มีบุตรกับผู้หญิงคนอื่น ๆ อีกนอกจากมาสซิโม แต่เหตุผลนี้ค่อนข้างจะหลุดยากสักหน่อยเพราะดีเอ็นเอของมาสซิโมตรงกับของคนร้าย และตรงกับดีเอ็นเอจูเซปเปและอีสเตอร์ แม้จูเซปเปจะไปมีบุตรกับหญิงอื่นอีกแต่ดีเอ็นเอก็คงไม่ตรงกับผู้เป็นแม่แบบนี้
ไพ่ใบสุดท้ายก็คือการชี้ให้ศาลเห็นว่าการใช้ผลตรวจดีเอ็นเอเป็นหลักฐานนั้นยังมีข้อผิดพลาดเช่นคดีฆาตกรรมหญิงสาวในปี 2002 ซึ่งผลตรวจดีเอ็นเอคนร้ายตรงกับบาร์เทนเดอร์ชาวอังกฤษคนหนึ่ง แต่เขาไม่เคยเดินทางมายังอิตาลีเลย หลายปีต่อมาจึงมีการจับกุมตัวผู้ต้องสงสัยอีกคน ส่วนผลการตัดสินคดีฆาตกรรมยาร่าจะจบอย่างไรก็ต้องรอดูกันต่อไป เพราะจะมีการพิจารณาคดีราวปลายปี 2015 นี้
มาสซิโม บอสเซติ (จูเซปเป)
โดย ศิลป์ อิศเรศ
ที่มา : //www.lokwannee.com/web2013/?p=137812