4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2558
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
14 กรกฏาคม 2558
 
All Blogs
 

เกรแฮม ยัง : ชายผู้หลงใหลยาพิษ

ะหว่างฤดูร้อนของปี 1961 ที่คลังสินค้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นขนาดเล็กของจอห์น ฮาร์ดแลนด์ ในหมู่บ้านโบวิงดันในเฮิร์ทฟอร์ดเซอร์ ที่ประเทศอังกฤษ ได้เกิดเหตุการณ์โรคระบาดประหลาดเกิดขึ้น พนักงานในคลังสินค้ากว่า 70 คน เกิดอาการป่วยอย่างรุนแรง โดยมีอาการท้องร่วง ปวดท้อง ผมร่วง และขาไม่มีความรู้สึก แน่นอนมันไม่ใช่อาการของโรคระบาดแต่เป็นอาการที่เกิดจากยาพิษ! ต่อมามีผู้เสียชีวิต 2 คน คือบ๊อบ อีเกิล อายุ 57 ปี หัวหน้าผู้ดูแลคลังสินค้า เขาเกิดอาการปวดท้องในเดือนกันยายน เขาปวดท้องและอาเจียนและเสียชีวิตลงที่โรงพยาบาลลอนดอนใน 3 สัปดาห์ต่อมา และต่อมาเฟร็ดเดอริก บิ๊กส์ อายุ 61 ปีหัวหน้าแผนกงานก้าวหน้า อาการเขาทรุดลงหลังเข้าโรงพยาบาล หัวใจหยุดเต้น 2 ครั้ง ก่อนที่จะเสียชีวิตวันที่ 7 กรกฎาคม เมื่อบิ๊กส์เสียชีวิต ทั้งโรงงานอยู่ในภาวะที่แตกตื่นตกใจ พนักงานหลายคนขู่ว่าจะลาออกถ้าไม่มีคำอธิบายในเรื่องนี้ จนกระทั่งเจ้าของโรงงานได้ให้ เอียน แอนเดอร์สัน แพทย์ในบริษัทมาทำการตรวจสอบ จนกระทั่งได้ผู้ต้องสงสัยคนหนึ่ง เขาชื่อ.....เกรแฮม ยัง

เกรแฮม ยัง (Graham Young) เป็นชาวอังกฤษและเป็นฆาตกรที่ชอบวางยาพิษให้คนอื่นตาย โดยปราศจากแรงจูงใจ หรือความแค้นต่อเหยื่อใด ๆ ทั้งสิ้น เขาทำเป็นเพื่อความสนุกเท่านั้น เกรแฮมเกิดเมื่อ 7 กันยายน 1947 ที่นีสเด็น ทางตอนเหนือของลอนดอน มาร์กาเร็ตแม่ของเขาเสียชีวิตด้วยวัณโรคเพียง 3 เดือนหลังจากคลอดเกรแฮม เกรแฮมและวินนิเฟรดพี่สาวจึงถูกเลี้ยงดูมาโดยน้าวินนี่ และเมื่อเกรแฮมอายุได้ 3 ขวบ เฟร็ดผู้พ่อก็แต่งงานใหม่กับมอลลี่ แล้วทั้งหมดก็ย้ายเข้ามาอาศัยใต้ชายคาเดียวกัน
เกรแฮมเป็นเด็กเฉลียวฉลาด ชอบอ่านหนังสืออยู่ในห้องมากกว่าออกไปเล่นอยู่นอกบ้านกับเพื่อน แต่ผลการเรียนของเขาก็ใช่ว่าจะดีนัก ซึ่งนอกจากที่สิ่งที่ตัวเองสนใจแล้ว เกรแฮมไม่คิดจะแตะเลยแม้แต่น้อย เมื่ออายุได้ 9 ปี เกรแฮมเริ่มแสดงความสนใจในสารเคมีต่าง ๆ ซึ่งแม่เลี้ยงของเกรแฮมมักดุด่าในเรื่องนี้อยู่เรื่อย แต่สำหรับพ่อแล้วกลับชมเกรแฮมมากกว่า เขาจึงซื้อชุดทดลองวิทยาศาสตร์ให้เกรแฮมเล่นให้จุใจ

พอเกรแฮมอายุ 11 ปี เขาเริ่มสนใจในเรื่องอาชญากรรม ไสยศาสตร์ นาซี เขาหลงใหลในฮิตเลอร์และเริ่มบอกกับคนอื่นว่าบุคคลที่เขานับถือคือหมอคริปเปน นักวางยาพิษในยุควิคตอเรีย และมีการนั่งอธิบายถึงสารเคมีต่าง ๆให้เพื่อนทั้งชั้นฟังจนเพื่อนให้ฉายาเขาว่า "ด๊อกเตอร์สติเฟื่อง" และยิ่งโตขึ้นเกรแฮมก็กลายเป็นเด็กที่ค่อนข้างโดดเดี่ยว มีเพื่อนน้อย และครูไม่ค่อยชอบหน้าเขามากนัก เกรแฮมชอบแต่งตัวเป็นพวกทหารนาซีและชอบพูดเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 กับคนอื่น ๆ ให้ฟังอยู่บ่อย

ความสัมพันธ์ของเกรแฮมกับครอบครัวหลังจากนั้นไม่ดีนัก โดยเฉพาะกับแม่เลี้ยงแล้วเขามักมีปากเสียงกันเป็นประจำเกี่ยวกับการทดลอง (เกรแฮมผ่าศพหนูในบ้าน และมอลลี่ก็เอามันไปทิ้ง) ส่วนพ่อนั้นเขามักโทษเกรแฮมเกี่ยวกับการตายของมาร์กาเร็ต ทั้งสองจึงเข้าหน้ากันไม่ค่อยติด และนี่ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เกรแฮมโตขึ้นมาโดยไม่รู้จักความรักจากพ่อแม่ตัวเอง







เมื่อเกรแฮมอายุ 13 ปี เขาซื้อแอนติมอนจากร้านขายยา เอามันใส่ขวดเล็ก ๆ และพกติดตัวตลอดเวลา เพื่อนร่วมชั้นเล่าว่าเกรแฮมมักจะเอาขวดที่ว่าออกมาอวดเพื่อน ๆ ในห้องพร้อมกับบอกว่านี่คือ "เพื่อนตัวน้อย ๆ" ของเขา 

ใน 1961 เกรแฮมอายุ 14 เขาก็เริ่มสะสมยาพิษเป็นงานอ
ดิเรกและเริ่มคิดจะทดสอบยาพิษกับคน โดยใช้ยาในปริมาณที่ทำให้คนกินตายได้ในทันที ผู้เคราะห์ร้ายคนแรกคือเพื่อนร่วมชั้นของเกรแฮมนี่เอง หลังจากที่คริส วิลเลี่ยมทะเลาะกับเกรแฮมได้อาทิตย์นึง ก็เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนหลังจากที่กินแซนด์วิชที่เกรแฮมให้มา แต่ขนาดนี้แล้วคริสก็ยังไม่รู้ตัว ยังคงรับแซนด์วิชของเกรแฮมมากินอีกหลายครั้งจนในที่สุดก็นอนป่วยไป ในไม่ช้า เกรแฮมก็เริ่มลงมือกับครอบครัวของตัวเอง ทุกคนในบ้านพากันเกิดอาการคลื่นไส้อาเจียนอย่างไม่ทราบสาเหตุ ในตอนนี้ทุกคนยังคิดว่าเป็นผลสืบเนื่องมาจากการทดลองเคมีที่เกรแฮมล้างถ้วยไม่สะอาดพอเสียมากกว่า ไม่มีใครนึกฝันว่าพวกเขากำลังถูกวางยาพิษ ในจำนวนนี้ มีเพียงมอลลี่แม่เลี้ยงของเกรแฮมที่อาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ เธอเริ่มมีอาการปวดหลังจนต้องเดินตัวค่อม น้ำหนักตัวลดลงฮวบฮาบ เพียง 3 เดือนเธอก็กลายเป็นเหมือนหญิงชราทั้งที่เพิ่งอายุแค่ 38 ปี

21 เมษายน 1962 แม่เลี้ยงของเกรแฮมตื่นขึ้นพร้อมกับอาการอึดอัด นอกจากอาการเจ็บเช่นทุกทีแล้ว เธอยังรู้สึกหลังตึง เจ็บแขน ขาชาและเจ็บเหมือนมีเข็มแทง เกรแฮมกล่าวในภายหลังว่าเขาทดลองใช้แอนติมอนมาเป็นเวลานานจนไม่ค่อยเห็นผล แล้วจึงเปลี่ยนมาผสมแทลเลียมลงในอาหารเย็นของมอลลี่แทน แถมยังใส่ถึง 20 เม็ด เท่ากับ 12 เท่าของปริมาณที่กินแล้วตายเลยทีเดียว เที่ยงวันนั้นเมื่อเฟร็ดกลับถึงบ้านพบเกรแฮมกำลังยืนมองอะไรอยู่ เมื่อเข้าไปดูด้วยก็เห็นมอลลี่กำลังชักอยู่ในสนามหลังบ้าน เฟร็ดรีบพามอลลี่ส่งโรงพยาบาล และเธอก็ตายไปในเย็นวันนั้นโดยไม่ทราบสาเหตุ ศพของมอลลี่ถูกเผาโดยไม่มีการชันสูตร ซึ่งการเผาศพนี้ก็ทำโดยคำแนะนำของเกรแฮม ในงานศพวันนั้นแฟรงค์ วอคเกอร์ พี่ชายของมอลลี่เกิดอาการคลื่นไส้วิงเวียน เขาเป็นแขกเพียงคนเดียวที่กินผักดองซึ่งเสิร์ฟมากับแซนด์วิช หลายวันให้หลังเฟร็ดเกิดอาการปวดท้องขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนต้องเข้าโรงพยาบาลหลายครั้ง มาตอนนี้ทุกคนเริ่มสงสัยในตัวเกรแฮมขึ้นมาทีละน้อย อาจารย์วิทยาศาสตร์ซึ่งอนุญาตให้เกรแฮมใช้ห้องทดลอง เกิดความกังวลหลังจากทราบว่าแม่เลี้ยงของเขาตายและพ่อของเขาเข้าโรงพยาบาล จึงลองตรวจโต๊ะของเกรแฮมดู อาจารย์พบขวดใส่ยาพิษหลายขวด สมุดโน้ตซึ่งวาดภาพคนกำลังทรมานตาย กลอนชื่นชมสารพิษ และบทความสรรเสริญวิลเลี่ยม พาลเม่อร์ กับฮาร์เวย์ คริปเปน (หมอฆาตกรคนแรกของโลกที่ฆ่าภรรยาของตนเอง) รวมทั้งรายละเอียดเกี่ยวกับยาพิษต่างๆ อย่างละเอียดละออ

เกรแฮมถูกเรียกตัวไปพบจิตแพทย์ เขาเล่าถึงความรู้เกี่ยวกับสารเคมีต่าง ๆและผลการทดลองในห้องวิทยาศาสตร์ จนแพทย์ทึ่งว่าเขาควรจะไปเรียนมหาวิทยาลัยได้เลย เกรแฮมกลับบ้านในวันนั้นด้วยท่าทางลำพองใจในขณะที่จิตแพทย์ตรงไปยังสถานีตำรวจ วันต่อมาตำรวจมายังบ้านเกรแฮมและตรวจพบยาพิษต่าง ๆ ในบ้าน มีทั้ง แอนติมอน แทลเลียม ดิจิทาลิส อิโอนอน อาโธรปิน และสารพิษอื่น ๆ จากห้องของเกรแฮมในจำนวนที่สามารถฆ่าคนได้ถึง 100 คน เกรแฮมถูกจับและรับสารภาพในวันถัดมา เขาอ้างว่าเขาก่อคดีขึ้นก็เพราะนี่เป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์ โดยเพื่อผลการทดลองแล้ว ไม่ว่าจะต้องเสียสละเท่าใดย่อมจำเป็นต้องทำ โดยเขาเลือกครอบครัวของตัวเองเป็นหนูทดลองก็เพราะเขาสามารถเฝ้าติดตามอาการอย่างละเอียดได้นั่นเอง

เกรแฮมถูกตัดสินโทษในคดีวางยาเฟร็ดและเพื่อนร่วมชั้น สำหรับคดีของมอลลี่นั้นไม่ได้ถูกนำมาพิจารณา เนื่องจากศพของเธอถูกเผาไปแล้วจึงไม่สามารถตรวจสอบได้ เขาถูกลงโทษกักกัน 15 ปีและถูกส่งตัวไปยังโรงพยาบาลจิตเวชบรอดมัวร์ เกรแฮมกลายมาเป็นคนไข้อายุน้อยที่สุดในโรงพยาบาล การรักษาเพียงอย่างเดียวที่เกรแฮมได้รับจากโรงพยาบาลก็คือการกินยาให้ตรงเวลาเท่านั้น นอกนั้นอยากจะทำอะไรก็ไม่มีใครห้าม รวมทั้งชนิดของหนังสือที่จะอ่านด้วย ขณะอยู่ในโรงพยาบาลนี้เอง เกรแฮมอ่านหนังสือจำพวกยาพิษ วิทยาศาสตร์ในห้องสมุดโรงพยาบาล ซึ่งมันทำให้เกรแฮมมีความรู้ด้านสารเคมีและยาพิษมากยิ่งขึ้นไปอีก

บรรดาแพทย์เชื่อว่าเกรแฮมจะสามารถกลับไปใช้ชีวิตอย่างปกติได้ในเร็ววัน จึงมอบหมายงานในห้องครัวให้กับเขา แต่กาแฟที่เขาเสิร์ฟให้กับนางพยาบาลกลับมีสีดำข้นจนน่าสงสัย (ไม่มีใครยอมดื่ม เพราะไม่ไว้ใจ) การตรวจพบว่าในกาแฟที่ว่ามีสารทำความสะอาดห้องน้ำผสมอยู่ หลังจากนั้น เมื่อคนไข้คนไหนที่ดื้อดึงอาละวาดขึ้นมา นางพยาบาลก็จะขู่ว่า “เดี๋ยวก็เรียกเกรแฮมมาชงกาแฟให้กินหรอก” 4 กุมภาพันธ์ 1971 เกรแฮมออกจากโรงพยาบาลโดยแพทย์ที่ทำการรักษายืนยันว่าเขาหายแล้ว เกรแฮมย้ายไปอยู่กับพี่สาวที่แต่งงานแล้วระยะหนึ่งก่อนจะหางานทำ เกรแฮมเกิดไปสนใจบริษัทขายเลนส์ของกล้องถ่ายรูปที่เมืองโบวิงดันในเฮิร์ทฟอร์ดเซอร์ที่ลงในหน้าหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเข้า และเขากรอกในใบสมัครงานว่า"เคยมีประสบการณ์ด้านเคมี อินทรีย์สาร อนินทรีย์สาร เภสัชวิทยา และพิษวิทยา เป็นเวลา 10 ปี และมีความรู้ทางเคมีภัณฑ์บ้าง"

และเมื่อสอบสัมภาษณ์กับก็อดฟรีย์ ฟอสเตอร์ กรรมการผู้จัดการเรื่องช่องว่าง 9 ปีที่หายไป เกรแฮมก็ตอบว่าเขาเคยเป็นโรคทางประสาทมาก่อนหลังจากการเสียชีวิตของแม่ และได้รับการรักษาจนหายขาดแล้ว จากนั้นก็อดฟรีย์ ได้สอบถามไปยังโรงพยาบาลบรอดมัวร์ และนายแพทย์ก็เพียงรับรองว่าเกรแฮมหายขาด แต่กระนั้นเขาก็ไม่กล่าวถึงคดีที่ติดตัวของเกรแฮม 

10 พฤษภาคม เกรแฮมได้เริ่มงานในหน้าที่พนักงานห้องสโตร์ เป็นคนดูแลคลังสินค้า เกรแฮมในขณะนั้นมีอายุ 23 ปี เขาเป็นคนกันเองกับพนักงานหลายคนในบริษัท และได้เป็นเพื่อนกับ บ๊อบ อีเกิ้ล หัวหน้าดูแลคลังสินค้า อายุ 59 ปี และเฟร็คเดอริก บิ๊กซ์ อายุ 61 ปี หัวหน้าแผน
กงานก้าวหน้า ซึ่งให้ความเอ็นดูเกรแฮมเป็นอย่างมาก และเกรแฮมก็ตอบแทนด้วยการมอบบุหรี่มวนมือให้กับทั้งสอง นอกจากนี้ยังเสนอตัวรับหน้าที่ชงชาและกาแฟให้ทุกคนอีกด้วย และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของอาการป่วยลึกลับ ซึ่งพนักงานหลาย ๆ คนเรียกชื่อเล่นของโรคนี้ว่า “แมลงโบวิงดัน”

เริ่มจาก 3 มิถุนายน บ๊อบ อีเกิ้ล ปวดท้องอย่างแรงจนนอนซมไประยะหนึ่ง 8 มิถุนายน ลอน ฮิวอิท ปวดท้องอย่างแรงหลังจากดื่มชาที่เกรแฮมส่งให้ แพทย์วินิจฉัยว่าอาหารเป็นพิษ หากอาการก็ไม่ทุเลาลงเสียที หลังจากอาการทรงตัวอยู่ 3 อาทิตย์ ฮิวอิทก็ลาออกไป (จึงรอดชีวิตไปได้) 25 มิถุนายน อีเกิ้ลกลับมาทำงาน แต่วันถัดมาก็เกิดอาการชาที่มือ ปวดหลัง จนในที่สุดก็ขยับไม่ไหว เขาถูกนำตัวส่งโรงพยาบาล และอาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ ถึงขั้นหัวใจหยุดเต้น 2 ครั้ง เขาเสียชีวิตเมื่อวันที่ 7 กรกฎาคม และหมอได้สรุปสาเหตุจากการเสียชีวิตว่าปลายประสาทอักเสบ พอเข้าเดือนกันยายน เฟร็ดเดอริก บิ๊กส์ก็เริ่มมีอาการปวดท้อง 20 กันยายน ปีเตอร์ แบ็กเกิดอาการปวดท้องอย่างรุนแรงหลังจากดื่มชากับเกรแฮม

8 ตุลาคม เดวิด ทีลสันเกิดอาการอาการเจ็บขาอย่างแรงเหมือนถูกเข็มแทงหลังจากดื่มชา 15 ตุลาคม เจสโล แบ็ด ดื่มกาแฟที่เกรแฮมชงให้ หากขมเกินไปจึงทิ้งเกือบหมดหลังจากดื่มไปได้เล็กน้อย 20 นาทีให้หลังขาของเขาเริ่มเกิดอาการชาขึ้นทีละน้อย 18 ตุลาคม เดวิด ทีลสัน เข้าโรงพยาบาล เนื่องจากท้องร่วง ปวดท้อง ผมของเขาเริ่มหลุดร่วง และแขนขาไม่มีความรู้สึก 19 ตุลาคม ไดอาน่า สมาร์ท อาเจียนหลังจากดื่มกาแฟกับเกรแฮม มือของเธอเจ็บราวกับมีเข็มทิ่มและมีอาการชาในไม่ช้า ทางด้านเจสโล อาการของเขายิ่งหนักขึ้นและผมเริ่มร่วง 30 ตุลาคม เฟร็ดเดอริก บิ๊กส์อาการดีขึ้นจนกลับมาทำงานได้ แต่แล้วเมื่อเขาดื่มชาของเกรแฮมก็อาการทรุดลงอีก เขาปวดท้อง อาเจียน จนต้องเข้าโรงพยาบาลในวันที่ 4 พฤศจิกายน และเสียชีวิตไปอีกคนเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายน จนถึงบัดนี้มีพนักงานป่วยด้วยโรคนี้ถึง 70 คน 

พนักงานบริษัทเริ่มตกใจเกี่ยวกับจำนวนผู้เสียชีวิตที่ป่วยด้วยโรคลึกลับ และพนักงานหลายคนขู่ว่าจะลาออก จนผู้อำนวยการโรงงานได้ให้ความสนใจไปยังสาเหตุเรื่องการรั่วไหลของสารเคมีในโรงงาน สารเคมีที่ใช้ในการทำเลนส์คือแทลเลียม เขาจึงได้จ้างนักพิษวิทยาซึ่งมีหัวหน้า
ทีมชื่อนายแพทย์เอียน แอนเดอร์สัน เมื่อคุณหมอสอบถามพนักงานทุกคนในบริษัท เขาก็สะดุดใจเข้ากับเกรแฮม ที่สามารถอธิบายเรื่องพิษอย่างละเอียดละออ ราวกับว่าเกรแฮมเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องยาพิษที่เก่งพอ ๆ กับเขาทีเดียว

แทลเลียม (Thallium) คือธาตุเคมีที่มีหมายเลขอะตอม 81 และสัญลักษณ์คือ Tl สีแทลเลียมเป็นธาตุโลหะ สีเทา เนื้ออ่อนนุ่ม สามารถยืดได้คล้ายดีบุก แต่เมื่อสัมผัสอากาศจะเปลี่ยนสี แทลเลียมมีพิษมาก ใช้ทำยาเบื่อหนูและฆ่าแมลง เป็นต้นเหตุให้เกิดมะเร็งจึงถูกห้ามใช้ในหลายประเทศ นอกจากนี้ยังใช้ตรวจสอบรังสีอินฟราเรด แทลเลียมไม่จำเป็นที่จะต้องสร้างขึ้นในห้องทดลองเพราะว่ามันสามารถที่จะนำมาใช้ได้เลย แทลเลียมตามธรรมชาติมักถูกค้นพบพร้อม ๆ กับอาร์เซนิก แคดเมียม อินเดียม เจอเมเนียม ตะกั่ว นิกเกิล เซเลเนียม เทลูเรียม และสังกะสี การแยกแทลเลียมทำได้โดยเทกรดเจือจางลงไป ซึ่งปฏิกิริยานี้จะแยกตะกั่วซัลเฟตออก จากนั้น เติมกรดไฮโดรคลอริกลงไป ซึ่งจะแยกเอาแทลเทียมคลอไรด์ออก (TlCl) ต่อจากนั้น เราสามารถทำให้มันบริสุทธิ์ได้โดยการอิเล็กโทรลิซิสเกลือแทลเลียมที่ละลายน้ำได้

หลังจากสืบหาข้อมูล คุณหมอที่ปรึกษาได้ขอให้ทางการสก๊อตแลน ยาร์ดสืบประวัติของเกรแฮม จนได้ทราบประวัติเขา และแล้วเกรแฮมก็ถูกจับในข้อหาเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีฆาตกรรม หลังจากเกรแฮมถูกจับกุม ตำรวจได้ตรวจพบบันทึกจากห้องของเขา ในนั้นเขียนไว้อย่างละเอียดเกี่ยวกับสิ่งที่เขาทำทั้งหมดไว้ว่า เป็นอาการของผู้ถูกวางยา โดยการใช้ธาตุแทลเลียมผสมลงในน้ำชาให้เพื่อนร่วมงานดื่ม รวมทั้งกำหนดการคร่าว ๆ ว่าใครจะเป็นเหยื่อรายต่อไป ในบันทึกไม่มีการแสดงความตื่นเต้น ไม่มีความเคียดแค้นใด ๆ ทั้งสิ้น เกรแฮมเขียนบันทึกนี้ไว้ราวกับว่านี้เป็นการทดลองทางวิทยาศาสตร์เท่านั้น สำหรับกรณีของเฟร็ดเดอริก บิ๊กส์ เกรแฮมเขียนไว้ว่าได้ให้ปริมาณที่เป็นอันตรายต่อชีวิต ในรูปแบบของสารชื่อ “F” โดยเขาได้แยกให้สามครั้ง



นอกจากนั้นตำรวจยังพบขวดใส่สารเคมีและยาพิษหลากหลายในห้องนอนของเขา และที่ฝาผนังมีรูปฮิตเลอร์ ผู้นำพรรคนาซีและเป็นวีรบุรุษของเขาติดอยู่ นอกจากนี้ยังมีการตรวจวิเคราะห์พบแทลเลียมในเหยื่อหลายคน ส่วนศพของบ๊อบ อีเกิ้ล ซึ่งถูกเผาไปแล้วก็มีการตรวจวิเคราะห์จากเถ้ากระดูก นอกจากนี้ตำรวจยังพบห่อบรรจุแทลเลียมในเสื้อโค้ทของเกรแฮม เกรแฮมรับสารภาพในทุกข้อหา และถูกพิจารณาคดีที่เซนต์ อัลบานส์ ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2512 คณะลูกขุนใช้เวลาไม่ถึง 1 ชั่วโมง ตัดสินว่าเขาทำความผิดฐานฆาตกาม 2 คดี และพยายามฆ่าอีก 2 คดี และวางยาพิษ 2 คดี เกรแฮมถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต และเข้าโรงพยาบาลที่มีระบบความปลอดภัยสูง ต้นเดือนสิงหาคม ปี 1990 เกรแฮมอายุ 42 ปีถูกพบเป็นศพอยู่ในห้องขังของตัวเอง สาเหตุการตายคือโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด แต่ก็มีหลายฝ่ายเห็นว่านี้เป็นการตายเพราะยาพิษ ซึ่งถ้าหากเป็นจริงนี้ก็คงเป็นจุดจบที่ดีที่สุดสำหรับเกรแฮมก็ว่าได้

แน่นอนเรื่องของเกรแฮม ยังถือว่าได้รับความนิยมพอสมควร เพราะเป็นฆาตกรโรคจิตที่วางยาพิษคนอื่นตายทั้ง ๆ ที่ไม่มีความแค้นต่อกัน ทำให้ประชาชนให้ความสนใจฆาตกรคนนี้ จนเกิดเรื่องตามมา เริ่มจากหนังเรื่อง The Young Poisoner's Handbook (1995) เป็นภาพยนตร์อังกฤษในชื่อ “หนังสือคู่มือของยัง : นักวางยาพิษ” ซึ่งเป็นลำดับเหตุการณ์ชีวิตด้านมืดของเกรแฮม ซึ่งเรื่องนี้ยังสะท้อนให้เห็นความน่าสะพรึงกลัวและความน่าเบื่อของกรุงลอนดอนในยุคนั้นเป็นอย่างดี ถือว่าเป็นหนังดีอีกเรื่อง

- วง "Macabre" แต่งเพลง "Poison" เล่าเรื่องของเกรแฮมล้วน ๆ
- วง "Whitehouse" แต่งเพลง Psychopathia Sexualis
- ในปี 1982 มีการทำหุ่นขี้ผึ้งของเขาที่พิพิธภัณฑ์มาดามทุสโซ รูปปั้นของเขาตั้งอยู่เคียงข้างวีรบุรุษในวัยเด็กของเขา "ดร.คริปเปน"

และในเดือนพฤศจิกายน 2005 นักเรียนหญิงญี่ปุ่นอายุ 16 ปีถูกจับกุมข้อหาวางยาพิษแทลเลียมในยาให้แม่ของเธอกิน เธออ้างเหตุผลที่ทำว่าตนอ่านเรื่องของเกรแฮมแล้วเกิดซาบซึ้ง ตรึงใจในสิ่งที่เขาทำ และเธอยังจดบันทึกเรื่องการวางยาของแม่เธอเหมือนที่เกรแฮมทำด้วย.







 

Create Date : 14 กรกฎาคม 2558
0 comments
Last Update : 28 กรกฎาคม 2558 15:18:26 น.
Counter : 1957 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.