4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2558
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
13 กรกฏาคม 2558
 
All Blogs
 

อันเดร ชิกาทิโล : ความโหดเหี้ยมหลังม่านเหล็ก

นี้คือเรื่องราวของฆาตกรต่อเนื่องที่โหดเหี้ยมที่สุดในรัสเซีย และถูกคนทั่วโลกต่างขนานนามว่า “โฉดที่สุดในโลก” เจ้าของฉายา “นักชำแหละแห่งรอสตอฟ”




ปี ค.ศ. 1978 เมืองรอสตอฟ ริมแม่น้ำดอน ชายฝั่งทะเลอาซอฟ ทางตอนใต้ของรัสเซีย ที่ป่าโซโพโลซ่า บ่ายวันเดียวกันชายเก็บฟืนเข้าไปในป่าเพื่อเพื่อหาของป่า อากาศหนาวเย็นของรัสเซียที่แสนสั่นสะท้านและความจนหิวโหย ทำให้ชายเก็บฟืนต้องดิ้นรนอยู่รอดเช่นประชาชนในประเทศ ในยุคของ โจเซฟ สตาลิน ผู้นำระบอบคอมมิวนิสต์ในสมัยนั้นที่เกณฑ์แรงงานชาวรัสเซียเพื่อไปทำกิจกรรมทางการเกษตรที่ไซบีเรีย ทำให้อาหารไม่พอเลี้ยงชาวรัสเซียทั้งประเทศ ส่งผลให้ชาวรัสเซียเสียชีวิตท่ามกลางความอดอยากและหนาวเหน็บเป็นตัวเลขถึง 6,000,000 คน ชาวบ้านบางคนถึงกับขุดศพขึ้นมากินกัน บางทีก็ดักทำร้ายร่างกายนักเดินทางเพื่อนำร่างมาชำแหละขาย ซึ่งในช่วงนั้นว่ากันว่าไม่ต่างจากการชำแหละเนื้อสุกร แต่วันนี้ไม่เหมือนเช่นทุกวันที่ผ่านมาชายเก็บฟืนพบศพ!! ศพนั้นนอนอยู่บนพื้นที่กว้าง ๆ เพียง 50 หลาจากทางเข้าป่าเท่านั้น ร่างนั้นโทรมแทบจะเหลือแต่กระดูก ร่างเน่าเฟะ แต่ก็ มีเศษหนังติดอยู่โครงกระดูกเล็กน้อย บนกระโหลกมีเส้นผมติดเพียงกระจุกเดียว แม้ชายเก็บฟืนดูสภาพศพไม่ชัด แต่ก็พอบอกได้ว่าเธอต้องเจ็บปวดและทนทุกข์ทรมานมากเพียงใดก่อนตาย ชายตัดฟืนตั้งสติได้แล้วก็แจ้งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทันที

จากการสืบสวนในเวลาต่อมาระบุว่าศพนั้นคือ ลิวบ็อฟ บีร์ยุค หนูน้อยอายุ 13 ขวบ จากหมู่บ้านโนโวเวอร์ที่อยู่ไม่ไกลจากที่พบศพมากนัก จากผลการชันสูตรในเวลาต่อมาพบว่า หนูน้อยก่อนตายคงพยายามต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดจากฆาตกรอย่างมาก แต่ยังไม่วายที่ถูกทำร้ายจากด้านหลังอย่างรุนแรงทั้งของแข็งและมีด ส่งผลให้เธอหมดสติทันที แต่ตัวฆาตกรยังกระหน่ำแทงด้วยมีดแบบไม่เลือกที่ถึง 22 แผลจนร่างเหยื่อพรุนเป็นรวงผึ้ง กระดูกซี่โครงบางส่วนหักเพราะมีด และที่น่าขนลุกคือที่เบ้าตามีรอยมีดคมบาดลึก คล้ายกับฆาตกรจะพยายามใช้ปลายมีดควักลูกนัยน์ตาออกจากเบ้า “มันเป็นฝีมือของสัตว์นรกชัด ๆ” ตำรวจออกความเห็น

หลังพบศพหนูน้อยลิวบ็อพมาได้แค่ 2 เดือน คนงานรถไฟซาคธี ก็พบศพที่โทรมจนเกือบเหลือแต่โครงกระดูก ดูเหมือนว่ามันจะถูกทิ้งไว้มานานกว่า 6 สัปดาห์ จากการชันสูตรยืนยันว่าเป็นของหญิงสาว สภาพศพนอนคว่ำหน้าขาสองข้างล่างถ่างออกอย่างน่าขนลุก มีร่องรอยกระหน่ำแทงอย่างบ้าคลั่ง และมีรอยมีดที่เบ้าตาในลักษณะควักนัยน์ตาออกจากเบ้าเหมือนลักษณะศพของหนูน้อยลิวบ็อพไม่มีผิด ไม่มีการแจ้งความคนหายที่มีลักษณะใกล้เคียงกับศพที่พบ ตำรวจจึงทำได้แค่ลงบันทึกประจำวันไว้เป็นหลักฐานสืบค้นในภายหลังเท่านั้น



รูปภาพของ Hathairat Traithip


อีก 1 เดือนถัดมา นายทหารนายหนึ่งออกไปเก็บฟืนในป่าละเมาะก็พบศพรายที่สาม ห่างจากที่พบศพที่สองไปทางใต้ประมาณ 10 ไมล์ ลักษณะศพนอนคว่ำมีกิ่งไม้ปิดอยู่เป็นศพของหญิงสาวเช่นกัน และที่ชวนน่าขนลุกอีกครั้งคือ....“มีรอยกระหน่ำแทงอย่างบ้าคลั่งและมีรอยมีดที่กระบอกต
าบ่งบอกถึงการควักลูกตาเหมือนสองศพก่อนหน้านี้ ฆาตกรเป็นคนเดียวกันแน่” 

ในเดือนเดียวกัน...ศพปริศนารายที่ 4 ก็ปรากฏ ศพถูกพบอยู่ไม่ไกลจากที่พบศพที่ 2 มากนัก สภาพศพก็เหมือนเช่น 3 รายที่ผ่านมา วันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ.1982 เด็กสาวนามว่าโอลก้า สตัลมาเชน็อค อายุ 10 ปี ถูกลักพาตัวไประหว่างการเดินทางไปเรียนเปียโน และในเวลาต่อมามีโพสท์คาร์ดส่งถึงพ่อแม่ของเด็ก มีข้อความว่า...“ลูกสาวของแกอยู่ในป่า บอกต่อกันไปนะว่า จะมีคนตายเพิ่มอีก 10 คน หรือมากกว่านั้น ในปีใหม่นี้แหละ จากไอ้แมวดำจอมโหดหิน” แต่กระนั้นตำรวจก็ไม่สนใจในโพสท์คาร์ดมากนักเพราะผู้ส่งน่าจะเป็นพวกมั่วนิ่มมากกว่า

4 เมษายน ค.ศ. 1983 สี่เดือนหลังจากเด็กน้อยหายสาบสูญไป ก็พบศพของเธอ ซึ่งนับว่าเป็นศพที่อยู่ในสภาพสมบูรณ์ที่สุด เพราะโอก้าถูกฆาตกรรมในช่วงต่อของสภาพอากาศที่เลวร้ายที่สุดช่วงหนึ่งของสหภาพโซเวียต ความหนาวเย็นจึงส่งผลในการช่วยรักษาสภาพของร่างเธอไว้จนชันสูตรได้ว่า เธอถูกแทงที่หน้าอก 12 แผล ท้องน้อยอีก 13 แผล ความรุนแรงในการแทงนั้นทำให้อวัยวะภายในหลุดลุ่ยออกมาภายนอกร่างกายของเธอ “ฆาตกรจู่โจมเข้าหาเหยื่ออย่างรวดเร็ว และมุ่งที่จะกะซวกหัวใจ ปอด และอวัยวะเพศเป็นหลัก และมีรอยแทงที่ลูกนัยน์ตาเหมือนหลายศพก่อนหน้านี้....” ตำรวจออกความเห็น ฆาตกรต่อเนื่องแห่งรอสตอฟเริ่มเป็นคดีเขย่าขวัญของชาวเมืองอย่างยิ่ง ชาวเมืองส่วนใหญ่ที่เป็นพนักงานในโรงงานเริ่มกังวลความปลอดภัยของเด็ก ๆ ที่บ้าน จนถูกสั่งไม่ให้ออกนอกบ้านถ้าไม่จำเป็น รัฐบาลเริ่มตระหนักถึงอารมณ์ของชาวเมืองที่เป็นตัวจักรสร้างผลผลิตแก่ประเทศ จึงต้องเร่งตำรวจให้สืบสวนสอบสวนหาฆาตกรมาลงโทษให้ได้ ตำรวจหลายร้อยนายถูกระดมมาเพื่อควานหาฆาตกร แต่ก็ยังไร้ผล

4 เดือนที่ไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ทว่าระหว่างนั้นเอง นักฆ่าแห่งรอสตอฟก็หันมาเล่นกับเหยื่อที่เป็นเพศตรงข้ามบ้าง เด็กชายวัย 15 ปี ถูกสังหารหมกหิมะไว้ในเมืองชัคห์ที กว่าที่จะเจอศพก็กินเวลานานมาก อีก 4 เดือนต่อมา ไม่มีความคืบหน้าใด ๆ ทั้งสิ้น ซ้ำยังมีหิมะที่ตกหนักปกปิดหลักฐานอีก กลุ่มวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งเข้าไปในป่าอีกส่วนหนึ่งของเลโซโพโลซ่าใกล้กับรอสตอฟ-ออน-ดัน พวกเขาพบชิ้นส่วนของโครงกระดูกมนุษย์ในลำห้วย ซึ่งตำรวจสันนิษฐานว่า ศพนี้เป็นศพเด็กผู้หญิง อายุ 13 ปี ในโรงเรียนสงเคราะห์เด็กในพื้นที่ เสียชีวิตเพราะจมน้ำตาย แม้สภาพศพจะแตกต่างจากรายที่ผ่านมา แต่ตำรวจเชื่อว่าต้องเป็นฝีมือของนักชำแหละแห่งรอสเตฟแน่นอน ต่อมามีการพบศพผู้หญิงวัย 45 ปี ถูกสังหารทิ้งในป่าละเมาะ ในป่าเลโซโพโลซ่า ต่อมาจึงมีการเชื่อมโยง 6 ศพที่มีการค้นพบก่อนหน้านี้ และศพของหญิงสาวที่จมน้ำตายก่อนหน้านี้ก็ถูกนำมาเชื่อมต่อกันด้วย

จากศพทั้งหมดที่ถูกสังหาร ตำรวจได้สืบสวนจนสามารถจับผู้ต้องสงสัยคนหนึ่งชื่อ ยูริ คาเลนนิค หนุ่มวัย 19 ปี มีประวัติคุกคามทางเพศเด็ก ๆ หลายคน ด้วยประวัติและพฤติกรรม ตำรวจเชื่อสนิทว่ายูรินี้แหละคือฆาตกรตัวจริง ยูริ คาเลนนิค ถูกสอบสวนอย่างหนัก ไม่มีสิทธิ์พ
บทนาย หรือไม่ให้ปากคำ แต่กระนั้นเขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา มีการทรมานอย่างหนักเพื่อให้รับสารภาพ จนผู้ต้องหาจำต้องสารภาพว่า สังหารไป 7 ศพ อีก 4 ศพที่ยังไม่ได้ตรวจสอบในย่านนั้น สุดท้ายเรื่องก็จบลง ยูริ คาเลนนิค ถูกศาลตัดสินจำคุกและประหารชีวิตในเวลาต่อมา คดีต่อเนื่อง นักชำแหละแห่งรอสตอฟก็ปิดฉากลง แต่... ที่จริงแล้วคดีมันเพิ่งจะเปิดฉาก!

◘ ฤดูร้อนถัดมา ◘
ส่วนหนึ่งของป่าเลโซโพ มีการพบศพหญิงสาวเปลือยอีกหนึ่งศพ หัวนมของเธอแหว่งหายไป คาดว่าจะถูกกัดกระชากจนขาดหายไป เบ้าตาข้างหนึ่งถูกควัก เธอเน่าอยู่ที่นั่นเป็นเวลาหลายเดือน ตอนพบศพ ยูริ คาเลนนิคยังอยู่ในคุก แต่ก็ยังไม่มีคำสั่งที่จะปล่อยตัว

ต่อมา มีการพบศพอีกหนึ่งศพในวันที่ 20 ตุลาคม 1983 เป็นผู้หญิงต่างจากศพอื่นคือไม่พบการควักนัยน์ตา ศพที่ 10 นี้พบประมาณอีกสี่สัปดาห์หลังจากที่พบศพที่ 9 มีผู้พบศพหญิงสาวในป่าละเมาะที่เดิม คาดการณ์ว่าเธอน่าจะถูกฆ่าในช่วงฤดูร้อน ซึ่งแน่นอนลูกนัยน์ตาก็ถูกควักเช่นเคย

ค.ศ.1984 มีการพบศพเด็กผู้ชายใกล้ ๆ รางรถไฟ ทราบชื่อคือ เซอร์ไก มาร์คอฟ วัย 14 ปี ที่มีการแจ้งความว่าหายตัวไปเมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 1983 โชคดีที่หิมะตกมาปกคลุมร่างช่วยรักษาศพของเด็กชายไว้ ทำให้มองหลักฐานจากฆาตกรได้ชัดเจนมาขึ้น ฆาตกรกะซวกแทงคอหอยของเหยื่อถึง 12 แผล ตามร่างกายคาดว่าน่าจะถึง 60 แผลทีเดียว เท่านั้นยังไม่พอ ฆาตกรคว้านตัดอวัยวะเพศจนหมดสิ้น มีร่องรอยการข่มขืนทางทวารหนักของเหยื่ออย่างรุนแรง แต่คราวนี้ตำรวจได้หลักฐานใหม่ คราบอสุจิจำนวนมากตกค้างอยู่บริเวณทวารหนักของมาร์คอฟ ตำรวจสกัดหากลุ่มเลือดไว้เป็นหลักฐาน เห็นได้ชัดว่าผู้ต้องสงสัย ยูริ คาเลนนิคเป็นผู้บริสุทธิ์ เป็นแพะที่ตำรวจจับบูชายันต์

ครั้นถึงต้นปี ค.ศ. 1980 - 1984 สถิติการฆ่าเด็กเพิ่มทวีมากขึ้นถึงขั้นผู้รับผิดชอบระดับสูงนั่งไม่ติดเก้าอี้ และจนถึงเวลานั้นการฆ่าได้ขยายวงจากเด็กเล็กไปสู่วัยรุ่น และแม้แต่คนทำงานยังถูกฆ่า ศพถูกตัดเป็นชิ้น เหมือนตุ๊กตาไม่มีชีวิต และระยะหลังสาเหตุการตายเริ่มพิลึกกกกือมากยิ่งขึ้น แสดงให้เห็นว่าฆาตกรมีทักษะในการฆ่ามนุษย์สูงขึ้นและวิปริตมากขึ้น จากลักษณะของคมมีดที่คว้านบนตัวเหยื่อ ฆาตกรจงใจสร้างความเจ็บปวดให้แก่เหยื่อมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในขณะที่เหยื่อยังมีชีวิต เช่น ศพเด็กชายจะถูกแล่อวัยวะเพศออกเป็นชิ้น ๆ อย่างช้า ๆ ขณะร้องขอความตาย ส่วนเด็กผู้หญิงจะถูกตัดหัวนมก่อนคว้านเต้านมออกมา และทั้งสองเพศถูกผ่าเปิดตั้งแต่หน้าท้องถึงหัวเหน่า เครื่องในถูกล้วงมากองข้าง ๆ ตัว บางศพถูกตัดนิ้วไปด้วย สิ่งที่เหมือนกันอีกอย่างคือตาและลิ้นของเหยื่อ ฆาตกรจับเหยื่ออ้าปาก กัดลิ้นด้วยฟันตัวเอง และลากลิ้นเหยื่อจนหลุดออกจากปากด้วยพละกำลังมหาศาล หลังจากนั้นลูกตาจะถูกคว้านออกจากเบ้าด้วยมีดที่ละข้าง

ฆาตกรรายนี้เริ่มย้ายแหล่งหาเหยื่อไปเรื่อย ๆ ตำรวจพบศพที่รอสตอฟเลยไปถึงอุซเบกิสสถาน ห่างออกไปหลายไมล์ ศพหนึ่งพบในสวนสาธารณะกลางกรุงมอสโก ห่างจากทางเหนือถึง 500 ไมล์ แรกเริ่มตำรวจไม่เชื่อว่าทั้งหมดเป็นฝีมือฆาตกรคนเดียวกัน หากแต่เป็นกลุ่มฆาตกรที่มีความเชื่อในพิธีกรรมเหมือนกันต่างหาก แต่แล้วสมมุตฐานนี้เป็นอันต้องยกเลิกไป เมื่อมีการพิสูจน์ทางนิติเวชศาสตร์โดยละเอียด พบว่าเป็นฝีมือของฆาตกรคนเดียวกัน โดยฆาตกรทิ้งหลักฐานไว้ให้ตำรวจบนศพให้ตำรวจตามเล่น มันคือน้ำอสุจิ!! มีน้ำอสุจิจำนวนมากมายจนน่าตกใจไว้บนตัวเหยื่อเกือบทุกราย... ตำรวจระดมพลอีกครั้ง การสืบสวนเข้มข้นและรุนแรงขึ้น ชายต้องสงสัยคนหนึ่งถึงกับฆ่าตัวตายเพราะทนการสอบสวนของ KGB ไม่ไหว อีกคนพยายามฆ่าตัวตายแต่ไม่สำเร็จ

28 ตุลาคม 1983 พบศพเวอรา เซฟคุน อายุ 19 ปี เป็นหญิงขายบริการสาวสวยที่รู้จักกันดีในหมู่นักเที่ยว แต่ติดเหล้างอมแงม ศพของเธอถูกพบนอนตายในทุ่งหญ้าชานเมือง ดวงตาสีฟ้าของเธอหายไป เหลือแต่เป้าตากลวงโบ๋ ผมสีทองสลวยชุ่มด้วยเลือด มันสมองทะลักออกมาด้วยแรงกระแทกของค้อน สิ่งที่น่าอดสูใจที่สุดคือหัวของเธอถูกวางห่างจากร่างถึง 10 ฟุต จนถึงต้นปี 1984 ตำรวจพบศพถูกเสียชีวิตถึง 31 ราย และฆาตกรก็ยิ่งทำสถิติเพิ่มขึ้นอีก อย่างมันมือ.......

ปี ค.ศ. 1984 หญิงสาวอายุ 18 ปี ถูกฆ่าและนำศพมาทิ้งไว้ที่ป่าโลโซโพโลซ่าเช่นเดิม ศพถูกกระหน่ำแทงและถูกมัดด้วยเชือกเหมือนรายอื่น ๆ เพียงแต่คราวนี้ฆาตกรไม่ควักนัยน์ตาออกไป ที่เสื้อผ้ามีน้ำอสุจิจำนวนมาก บ่งบอกว่าฆาตกรสำเร็จความใคร่ตัวเองหลังจากฆ่าเธอ

21 กุมภาพันธ์ 1984 ศพของอิกอร์ กัตกอฟ วัย 7 ขวบ ถูกชำแหละเป็นชิ้น ๆ ในป่า เช่นเดียวกับศพของมาร์ทา ยาเบียง ที่พบในสวนสาธารณะเมืองรอสตอฟ การพบศพของเธอช่วยบอกอะไรกับตำรวจสองประการ อย่างแรกฆาตกรเชื่อมั่นตัวเองอย่างยิ่ง เห็นได้จากการที่มันเริ่มฆ่าเหยื่อกลางเมือง และมันเริ่มสังหารเหยื่อโดยไม่สนว่าเป็นผู้ชาย หญิง หรือเด็ก มันเริ่มติดใจรสชาติในการฆ่าคน ประการที่ 2 มาร์ทาเป็นเหยื่อที่อายุมากที่สุดเท่าที่ฆาตกรฆ่ามา เธออายุ 44 ปี เป็นหญิงขายบริการ ติดเหล้า มีผู้พบเห็นเธอครั้งสุดท้ายกับชายวัยกลางคนศีรษะล้าน หน้าตาพื้น ๆ

24 มีนาคม พบศพ ดิมิทริ พทาชนิคอฟ วัย 10 ขวบ ในเขตโนวอชคทินสค์ ศพถูกพบอีกสามวันหลังหายตัวไป มีร่องรอยกระหน่ำแทงอย่างโหดเหี้ยม ปลายลิ้นกับอวัยวะเพศหายไป มีรอยอสุจิบนเสื้อเช่นเดียวกับศพอื่น ๆ ก่อนหน้า และใกล้ศพพบรอยเท้าเบอร์ใหญ่ปรากฏอยู่ชัดเจน คราวนี้นับว่าเป็นโชคร้ายของฆาตกร มีพยานเห็นและยืนยันว่าดิมิทริเดินตามหลังชายแปลกหน้าแก้มตอบสวมแว่นตา เดินเหินคล้ายกับคนหัวเข่าไม่ดี สวมรองเท้าขนาดใหญ่ คดีของดิมิทริ ยังค้างคาอยู่ ศพรายใหม่ก็ปรากฏขึ้นอีก ศพระบุชื่อ ลุคมีล่า อเล็คเซเยวา อายุ 17 ปี ถูกกระหน่ำแทงถึง 39 แผลด้วยมีดทำครัว และไม่ทันไรก็พบศพเพิ่มอีกสองศพ ศพแรกเป็นหญิงสาวถูกทุบด้วยค้อนจนสมองเละ และอีกศพเป็นหญิงสูงอายุ แม่ของศพแรกถูกแทงจนพรุน

ในระหว่างการสืบคดีหาตัวฆาตกรอยู่นั้น ฆาตกรก็ยังคงฆ่าเหยื่อต่อไป จนเรียกได้ว่าฆาตกรก้าวนำตำรวจหลายก้าว 11 พฤษภาคม 1984 ศพของทันยา เปโทรสยัน วัย 32 และสเตฟาลูกวัย 11 ปี ถูกพบในป่า ศพของสเตฟามีรอยถูกกัดที่หลอดลมอย่างรุนแรง ผู้เป็นแม่ถูกผ่าท้อง มดลูกถูกฉีกทึ้ง และโยนทิ้งในพุ่มไม้ 2 เดือนต่อมา วันที่ 19 กรกฎาคม 1984 แอนนา ลิมิชิวา วัย 19 หายตัวไประหว่างกลับบ้าน 6 เดือนต่อมาจึงพบศพ ร่างของเธอถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ

ารตามล่าฆาตกรเริ่มต้นอีกครั้ง นักสืบ 50 นาย และตำรวจในเครื่องแบบอีก 500 คนถูกระดมเพื่อคดีนี้โดยเฉพาะภายใต้การนำของวิทาลี กาลยูลิน

เป้าหมายคือฆาตกรต้องเป็นชายวัยกลางคนอายุ 25-30 ปี รูปร่างสูง บึกบึน กรุ๊ปเลือด AB เป็นคนฉลาดรู้ทันตำรวจ มีสัญชาติญาณระมัดระวังตัวสูง อาจพักอยู่กับภรรยาหรือมารดา และเคยเป็นคนไข้โรคจิตมาก่อน มีความรู้เรื่องสรีระวิทยา มีความเชี่ยวชาญในการใช้มีด และที่สำคัญคดีนี้ไม่อนุญาตให้หนังสือพิมพ์ทำข่าว และเตือนภัยใด ๆ เกี่ยวกับฆาตกรต่อเนื่องรายนี้โดยเด็ดขาด (ถือว่าวางแผนผิดพลาดมาก ๆ) คืนวันที่ 27 มีนาคม 1984 ตำรวจรอสตอฟได้รับแจ้งจากพลเมืองดีว่า พบชายต้องสงสัยคนหนึ่งเป็นชายวัยกลางคนพยายามหว่านล้อมเด็กข้างถนน หรือเด็กที่ผ่านไปมาบริเวณสถานีรถไฟด้วยเงินหรือเหล้าวอดก้าเพื่อให้มีเซ็กซ์ด้วย เด็กส่วนใหญ่พากันวิ่งหนี

ตำรวจรีบรุดไปที่เกิดเหตุ และไม่กี่นาทีต่อมาชายชื่อ "อันเดร โรโนวิช ชิกาทิโล" วัย 40 กว่า ถูกนำเข้าห้องขัง อันเดรยอมรับว่าเขาไล่จับเด็กเพื่อสนองความต้องการทางเพศจริง แต่เขาไม่ใช่นักเชือดรอสตอฟ และก็ไม่ได้เป็นเกย์ เขามีครอบครัวที่เป็นสุข มีอาชีพที่ดีเป็นถึงผู้จัดการของบริษัทเครื่องจักรกล แต่ทำอย่างนี้เพื่อ “เปลี่ยนบรรยากาศบ้าง” เท่านั้นเอง ตอนแรกตำรวจไม่พบพิรุธในตัวอันเดรจึงปล่อยตัวไป แต่หลังจากนั้นอันเดรก็ยังคงไล่จับเด็กในสถานีรถไฟหลายครั้ง จนตำรวจอดสงสัยไม่ได้ว่าหมอนี้เป็นนักเชือดหรือเปล่า เลยจับกุมกลับมาอีกครั้ง คราวนี้มีการค้นกระเป๋าและเอกสารของอันเดร พบว่าในกระเป๋ามีมีดทำครัวคมกริบหนึ่งด้าม กระปุกวาสลิน เชือกหนึ่งขด และผ้าขี้ริ้วเล็ก ๆ หนึ่งผืน ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกเลยสักนิดว่าเขาเป็นผู้จัดการบริษัทขายเครื่องจักรกล ตำรวจเริ่มมั่นใจว่าเจ้าอันเดรนี้ต้องเป็นนักเชือดแห่งรอฟตอสแน่นอน ตำรวจขอเก็บตัวอย่างเลือดส่งตรวจเพื่อเปรียบเทียบตัวอย่างน้ำอสุจิที่ได้จากฆาตกร แต่...........

การตรวจสอบกินเวลาถึงสองเดือน ผลออกมาทำให้ตำรวจเข่าอ่อน น้ำอสุจิเกิดเสื่อมสภาพ การทดสอบล้มเหลว น้ำอสุจิของฆาตกรไม่ตรงกับตัวอย่างเลือดของอันเดร และอันเดรถูกปล่อยเป็นอิสระ แม้อันเดรจะพ้นจากการกล่าวหาว่าเป็นฆาตกร แต่ไม่นานนักเขาก็ถูกจับเข้าคุกอีกข้อหาลักทรัพย์ เจ้าทรัพย์ยืนยันที่จะเอาผิด ส่งผลให้อันเดรถูกจำคุก 3 เดือน เป็นความผิดเล็ก ๆ ที่ตำรวจต้องบาดใจ ตำรวจถึงทางตัน ใครคือฆาตกร?

2 กันยายนปีเดียวกัน นาตาซา โกโลซอฟสกายา นอนตายที่สวนสาธารณะเอวิเอเตอร์ กลางเมืองรอสตอฟ หน้าอกและมดลูกถูกคว้านออกจากร่างกาย 26 กันยายน พบเด็กชายวัย 11 ปี เอ็ด ซาซา เซเพล นอนตายในป่าเครื่องเพศหายไป ตำรวจหายังไงก็ไม่พบ คาดว่าฆาตกรคงกินมันไปแล้ว การฆ่าก็ยังดำเนินต่อไป ในขณะที่ตำรวจถึงคราวตัน แวบหนึ่งของความคิด หัวหน้าทีมสืบสวนของรัสเซียนึกถึง FBI ของสหรัฐอเมริกา พวกนั้นน่าจะมีคำตอบ เขารีบติดต่อขอความช่วยเหลือทันที FBI ตอบกลับ ขอข้อมูลเกี่ยวกับคดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งสภาพศพและหลักฐานแวดล้อม แล้วให้ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาฆาตกรรมต่อเนื่องมาวิเคราะห์ เพียงไม่นานผู้เชี่ยวชาญของสหรัฐฯ ถูกส่งไปยังรัสเซีย การวิเคราะห์นั้นน่าสนใจอย่างยิ่ง

“ฆาตกรต้องใช้มีดปลายแหลมทะลุแทงเหยื่อให้หูหนวกก่อนลงมือทารุณกรรม“ กรณีที่เป็นเด็กผู้ชาย ไม่เพียงตัดลูกอัณฑะเท่านั้น แต่ฆาตกรยังกินมันด้วย แสดงว่าฆาตกรต้องบกพร่องทางเพศ และอาจมีความเชื่อว่าอัณฑะของเด็กช่วยรักษาอาการของตนได้ ฆาตกรฆ่าเหยื่อหลังจากที่ทรมานให้หน่ำใจแล้วโดยการกัดหลอดลม เหยื่อทุกรายต้องทำให้หูหนวก ตาบอด เป็นใบ้ก่อนชำแหละ นั้นแปลว่าพวกเขาถูกชำแหละทั้งเป็น!!

“ทำไมฆาตกรถึงต้องควักนัยน์ตาเหยื่อหรือ? จากการวิเคราะห์ฆาตกรจะต้องมีความเชื่อว่าฆาตกรกลัวดวงตาที่เหลือกลานของเหยื่อขณะที่เขาลงมือ หรือไม่ก็ได้ยินมาว่าแก้วตาของเหยื่อที่ถูกฆ่าตายจะบันทึกภาพฆาตกรเอาไว้ ฆาตกรอาจเคยเป็นครู แต่ขณะนี้ไม่ได้เป็นแล้ว เขาต้องเดินทางไปยังที่ต่าง ๆ สังเกตจากการพบศพในที่ต่าง ๆ กัน อาจมีรถเป็นของตัวเอง (ซึ่งต้องเป็นคนระดับสูงในรัสเซียเท่านั้น) หรืออาจเดินทางโดยรถไฟ

ฆาตกรรายนี้ไม่ใช่คนบ้าเพราะเขาจะต้องลงมืออย่างชาญฉลาดในเวลาที่เหมาะสม ฆาตกรสามารถควบคุมพฤติกรรมของตัวเองทุกขั้นทุกตอนของการกระทำ มีความคิดว่ามันมีพรสวรรค์ในการฆ่าคน ฉลาดวิปริต ชอบร่วมเพศกับเด็ก นิสัยของฆาตกร น่าจะเป็นพวกชอบความอำมหิตพอดู ชอบดูเหยื่อที่ตายช้า ๆ อย่างทรมานตรงหน้าเพื่อบรรลุจุดสุดยอด เช่น มันใช้ค้อนทุบที่ศีรษะของเหยื่ออย่างรุนแรงให้หมดความรู้สึก ต่อจากนั้นก็ใช้มีดชำแหละร่างกายของเหยื่อเพื่อความสะใจขณะที่เหยื่อยังมีลมหายใจ มันนั่งใกล้กับร่างของเหยื่อที่นองไปด้วยเลือด มีบาดแผลเหวอะหวะทั่วตัว ท่ามกลางคาวเลือดที่ฟุ้งกระจาย ฆาตกรแหวะเครื่องในต่าง ๆ อย่างมันมือ จากนั้นก็สำเร็จความใคร่ มันโหดกว่าแจ๊ค เดอะ ริปเปอร์เสียอีก"


◘ ฤดูใบไม้ผลิ ◘ 
หลังจากการพบศพผู้หญิงในรอสตอฟในปี ค.ศ. 1985 นักชำแหละแห่งรอฟตอสอยู่ ๆ ก็หยุดลงมือ และแล้วในฤดูใบไม้ผลิ นักฆ่าแห่งรอสตอฟมันก็กลับมาอีกครั้ง ในมาดที่แปลกไป............วันที่ 6 เมษายน 1988 มีการพบศพหญิงสาวข้างทางรถไฟ ในสภาพที่มือไพล่หลัง ลำตัวถูกกระหน่ำแทงทั้งตัว กระโหลกยุบ และปลายจมูกถูกตัดขาดออก แต่ตำรวจรวมทั้งนักสืบ วิคเตอร์ บูราคอฟ ไม่กล้าตัดสินใจว่าเป็นคดีเดียวกันกับฆาตกรต่อเนื่องคดีแรก เพราะร่องรอยผิดกัน ในวันที่17 พฤษภาคม 1988 มีผู้พบศพเด็กชายวัย 8 ปี ในป่าไม่ไกลจากสถานีรถไฟมากนัก ผลจากการชันสูตร พบว่ามีร่องรอยข่มขืนทางทวารหนัก ฆาตกรหาขยะที่หาได้จากแถวนั้นยัดเข้าปากเด็กชาย พร้อมกระหน่ำแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่า อวัยวะเพศถูกตัดขาด ทว่าหลังจากศพเด็กคนล่าสุดก็พบอีกหนึ่ง ศพที่พบเป็นหญิงสาว ศพนี้ได้ร่องรอยที่ดีมาก ๆ นั่นคือ มีพยานเห็นว่าเคยเห็นหญิงสาวผู้ตายคนนี้ เธอชื่อว่า วอรองโก ก่อนตายเธออยู่กับชายฟันเลี่ยมทอง วัยสูงอายุ และแล้วโชคก็เข้าข้างบูราคอฟ เนื่องจากผลการตรวจคราบอสุจิของกองนิติเวชถูกส่งมา สรุปว่า *ฆาตกรไม่ได้มีกรุ๊ปเลือด AB เนื่องจากไม่สามารถตรวจได้แน่ชัด จึงขอเปลี่ยนผลสรุปเป็น "ไม่อาจระบุกรุ๊ปเลือดได้" 

วันที่ 6 เมษายน 1989 พบศพเด็กชายวัย 16 ปี ถูกฆ่าหมกป่า รายนี้มีการแจ้งหายตั้งแต่ฤดูร้อนที่ผ่านมา สภาพร่างกายถูกแทงหลายแผล อวัยวะเพศถูกคว้านออกมาทั้งหมด ยกเว้นลูกนัยน์ตาเท่านั้นที่ไม่ถูกควัก มันเป็นการฆาตกรรมของฆาตกรรายเดียวชัด ๆ ในเวลานั้นผู้ต้องสงสัย ยูริ คาเลนนิคได้รับการปล่อยตัวออกจากคุกพอดี หลังจากถูกคุมตัวสืบสวนนานถึง 5 ปี ตำรวจบุกเข้ามารวบตัวถึงบ้าน แต่หลังจากสืบสวนแล้วก็ถูกปล่อยตัวในเวลาไม่นานนัก

วันที่ 11 พฤษภาคมปีเดียวกัน ตำรวจรับแจ้งเด็กหายเป็นเด็กวัย 8 ปี ศพถูกพบในสภาพโหดสุด ๆ ในป่าละเมาะใกล้ทางรถไฟที่เด็กหายตัวไป มีร่องรอยการข่มขื่นทางทวารหนักอย่างรุนแรง เครื่องเพศถูกคว้าน ฆาตกรหาขยะแถวนั้นยัดจนเต็มปาก มีรอยถูกแทงซ้ำแล้วซ้ำเล่าที่ลำตัว ศีรษะมีรอยยุบ สิงหาคม 1989 อีเลน่า วาร์กา นักศึกษาชาวฮังกาเรียน ถูกพบเป็นศพในป่าละเมาะใกล้ทางรถไฟ ตามร่างกายถูกแทงและคว้านเหมือนศพอื่น ๆ ที่พบมา 2 สัปดาห์ถัดมา อเล็กไซ โคห์โบตอฟ อายุ 10 ขวบ หายตัวไป อีก 4 เดือนถัดมา ต้นปี ค.ศ. 1990 มีผู้พบศพถูกข่มขืนทางทวารหนักในเขตเลโซโพโลซ่า ต่อมาไม่นานนักมีผู้พบศพเด็กอายุ 10 ขวบถูกฆ่าอย่างทารุณ อวัยวะเพศถูกตัดออกไปทั้งพวง ลิ้นแหว่งหายไป เห็นได้ชัดว่า ฆาตกรเริ่มเปลี่ยนการล่าเหยื่อหันมาล่าเด็กชายมากกว่าผู้หญิง รูปแบบการฆ่าเด็กผู้ชายจะเหมือนกัน กล่าวคือฆาตกรจะจับมือไพล่ไว้ด้านหลังป้องกันไม่ให้เหยื่อขัดขืน หลังจากนั้นจะบีบปากเหยื่อให้อ้า กัดลิ้นและดึงลิ้นจนหลุดออกเพื่อไม่ให้เหยื่อร้องขอความช่วยเหลือ ขณะที่เหยื่อทรมานถึงสุดขีด การแล่เนื้อก็เริ่มขึ้น มีการข่มขืนทางทวารหนัก จากนั้นก็เอามีดแทงหู ควักนัยน์ตาออกจากเบ้า ทั้งหมดนี้ทำในขณะเหยื่อมีชีวิต

8 ปีที่ผ่านมานักชำแหละเชือดเหยื่อไปทั้งสิ้น 38 ศพ การปิดข่าวของตำรวจเริ่มไม่ได้ผล หนังสือพิมพ์เริ่มประโคมข่าวใส่สีตีไข่ขนาดหนัก ว่าตำรวจไร้น้ำยา รัฐมนตรีระดับสูงเริ่มกดดันเอาผิดตำรวจชั้นผู้น้อยกันจ้าละหวั่น ในช่วงปลายทศวรรษที่ 80 ตำรวจได้ระดมพลอีกครั้งอย่างมโหฬาร จนนับได้ว่านี้เป็นการปฏิบัติการของตำรวจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก 

วันที่ 11 สิงหาคม ค.ศ. 1990 อีวาน โฟมิน วัย 11 ปี ไปเล่นน้ำในบึงไม่ไกลจากระท่อมของย่าตัวเองมากนัก จากนั้นก็กลายเป็นศพเหมือนเหยื่อรายอื่น ศพถูกแทง 42 แผล และชำแหละอย่างเคย และต่อมาก็พบเหยื่อผู้หญิงถูกทุบตีและแทงอย่างบ้าคลั่งและลิ้นหายไป และแล้วการปฏิบัต
ิการตามล่านักชำแหละแห่งรอสตอฟก็บรรลุผล.....วันที่ 1 พฤศจิกายน ปี ค.ศ. 1990 เมื่อจ่าอิเกอร์ ไรบาร์กอฟ เฝ้าสังเกตการณ์ ณ สถานีรถไฟ ชานเมือง เขาสังเกตถึงความผิดปกติ สถานีแห่งนั้นติดอยู่กับชายป่าที่คนทำงานจำนวนหนึ่งมีบ้านพักอยู่แถวนั้น จ่าอิเกอร์เริ่มสะดุดตากับชายคนหนึ่ง อายุราว 50 ศีรษะล้าน แต่งตัวสะอาดสะอ้านกำลังเดินผ่านมา เขาจึงเรียกชายผู้นั้นให้หยุดเพราะเห็นอะไรบางอย่างบนหน้าสะอาดและแจ่มใส มันคือจุดสีแดงเล็ก ๆ คล้ายกับเลือดพุ่งกระเด็นติดหน้า ทราบชื่อภายหลัง คือ อันเดร โรมาโนวิช ชิกาทิโลเจ้าเก่านั้นเอง! อันเดรถูกจับอีกครั้ง เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่าเลือดที่กระเซ็นมาติดหน้านี้มาจากไหน ตำรวจทำการค้นหาป่าทุกตารางนิ้ว และในเวลาอันรวดเร็วตำรวจก็พบร่างของโสเภณี สเวตา โกรอสติก ถูกพบในพุ่มไม้ ถือได้ว่าเป็นเหยื่อรายสุดท้าย รายที่ 52!!! ที่ถูกค้นพบ สรุปคือ....มีเหยื่อถึง 52 ราย (อาจมากกว่านี้) สังเวยให้ฆาตกรรายนี้ 

หลังอันเดรถูกจับกุมเขาเลือกไม่ยอมให้การใด ๆ กับตำรวจทั้งสิ้น แต่จากการพิสูจน์เลือดและน้ำอสุจิใหม่ ทุกอย่างยืนยันว่าเขาคือนักชำแหละแห่งรอสตอฟตัวจริง ตำรวจเริ่มทำการบุกค้นบ้านของอันเดร ตำรวจพบมีดต่าง ๆ ถึง 23 เล่ม ภรรยาและลูกต่างตกตะลึงไม่เชื่อว่าหัวหน้าครอบครัวเป็นฆาตกรโรคจิตสุดโด่งดัง แต่กระนั้นอันเดร ชิกาทิโลก็ไม่ให้การใด ๆ มากนัก เขาฉลาดพอที่จะให้ข้อมูลที่ไม่เป็นประโยชน์แก่ตำรวจและเรียกร้องขอทนาย จนตำรวจต้องสอบปากคำต่อหน้าทนายที่รัฐบาลจัดให้ และนี่คือบางตอนของการสอบปากคำอันเดร “มันเป็นการอบสวนแบบดุดัน เหี้ยมเกรียม เพื่อกดดันให้ชิกาทิโลทนไม่ได้และยอมสารภาพขึ้นมา แต่เขาก็ยังยืนยันว่าเขาไม่ทำผิดอยู่นั้นแหละ”ตำรวจเริ่มบ่น “ตำรวจใส่ความผมชัด ๆ” ตำรวจส่ายหน้าและยิ้มก่อนที่จะบอกว่า “ไอ้โกหก เราน่ะมีพยานและหลักฐานแน่นหนาที่จะเอาผิดกับนายนะ เมื่อนายขึ้นศาลละก็นายตายแน่ ๆ” แท้จริงตำรวจโกหกคำโต เขาไม่มีหลักฐานเป็นชิ้นเป็นอันสักหน่อย การพิสูจน์เลือดและอสุจิยังไม่เพียงพอที่จะใช้เป็นหลักฐาน วันรุ่งขึ้นชิกาทิโลก็แสดงความฉลาด เขาขอพบตำรวจและเขียนคำสารภาพ ตำรวจจัดหากระดาษและปากกาพร้อม แต่ผลทีอีกมากลับเป็นจดหมายตลกซะงั้น ตำรวจเริ่มหัวเสีย ไอ้บ้านี้คิดจะเป็นฮันนิบาลหรือไง

ดร.บูคานอฟสกี้ จิตแพทย์ชาวมอสโคว์จึงขออาสาเข้ามารับหน้าที่เป็นผู้สอบสวน แต่ได้ระบุไว้ว่า ไม่ใช่เพื่อประโยชน์ทางการงานและชื่อเสียง ซึ่งตอนนี้ ทางกรมตำรวจไม่มีทางเลือกแล้ว จึงต้องเชิญ ดร.บูคานอฟสกี้ เข้ามาทำหน้าที่หลอกล่อฆาตกร ดร.บูคานอฟสกี้ เข้าใจแก่นแท้ของฆาตกรโรคจิตที่ไม่ต้องการให้อีกฝ่ายใช้กำลังบังคับ เขาก็ต้องการให้คนอื่นรับรู้ว่า เขาเป็นคนหนึ่งที่ต้องการความเป็นมนุษย์เหมือนกัน ในที่สุดคำสารภาพจากปากก็ออกมา ด้วยถ้อยที่ที่ไม่มีการบังคับ ขู่เข็ญของจิตแพทย์ผู้ชาญฉลาด เขาคุยกับชิกาทิโล เสมือนว่าเป็นเพื่อนที่คบกันตั้งแต่วัยเยาว์ เขาคุยอย่างเป็นกันเองรวมถึงรับฟังคำสารภาพที่เต็มไปด้วยเรื่องชำแหละ คดีต่าง ๆ ที่เขาทำจนหมดสิ้น แต่ที่น่าประหลาดใจก็คือชิกาทิโลจดจำเหยื่อที่เขาฆ่าได้ถึง 36 รายอย่างละเอียดทุกขั้นตอน รู้แม้กระทั่งการเลือกมีดที่เหมาะสมสำหรับเหยื่อนั้น ๆ 



“ผมหลงใหลในเสียงร้อง ความกลัว และความเจ็บปวดของคนที่ผมฆ่า เลือดที่พุ่งกระฉูดออกจากบาดแผลและกลิ่นคาวเลือด ทำให้ผมผ่อนคลาย ผมติดใจในการชิมเลือดของเหยื่อสังหาร และพอใจการใช้ฟันกัดกระชากปากของเหยื่อให้ขาดออกมา มันให้ความรู้สึกว่าผมเป็นสัตว์ร้ายที่ทรงพลังอำนาจหลังกินส่วนต่าง ๆ ของเหยื่อ” ชิกาทิโลทำแผนคำประกอบรับสารภาพอย่างละเอียดและทุกขั้นตอน และให้รายละเอียดศพต่างๆ ที่ยังไม่ถูกค้นพบจนครบ 52 ราย (อาจมากกว่านั้น)

◘ ประวัตินักฆ่ารัสเซีย ◘
อันเดร โรมาโนวิช ชิกาทิโล เกิดที่หมู่บ้านยาโบลชนอย ในยูเครน เมื่อวันที่ 16 ตุลาคม 1936 บิดาของเขาถูกเกณฑ์ให้ไปทำงานตั้งแต่เขายังเด็กแต่ก็ส่งเงินมาให้ใช้เป็นประจำ ทิ้งให้มารดาต้องดูแลชิคาติโลและน้องสาวอีกหนึ่งคนตามลำพัง ที่สำคัญเขาเป็นโรคที่มีความผิดปกติทางสมอง เนื่องจากมีน้ำขังอยู่ในบริเวณเนื้อเยื่อสมอง ทำให้ชิคาติโลมีศีรษะที่โตกว่าคนปกติ ใคร ๆ เห็นต่างก็กลัวเขา ในตอนที่ชิกาทิโลเกิดนั้น รัสเซียอยู่ช่วงมืดมนพอดี สตาร์ลินริเริ่มการปกครองแบบสังคมนิยมด้วยการยึดที่ดินการเกษตรและผลผลิตทั้งหมดให้เป็นของรัฐ ทำให้ยูเครนประสบกับสภาวะขาดแคลนอาหาร ชาวนาพากันต่อสู้ฆ่ากันเองเพื่อแย่งชิงอาหาร และมีกระทั่งการกินเนื้อคนเพื่อประทังความหิว ชิกาทิโลได้รู้ในภายหลังว่าพี่ชายของเขาก็เป็นหนึ่งในผู้เคราะห์ร้ายที่ถูกกินเป็นอาหาร และเรื่องนี้เองที่กลายมาเป็นพื้นฐานทางนิสัยของเขาในภายหลัง

“แม่ผมบอกว่า....” ชิกาทิโลย้อนความหลัง "ตอนนั้นบ้านเรามีผู้คนอดอยากจนถึงขั้นไล่ฆ่าเอาเนื้อมากิน พี่ผมถูกพวกชาวบ้านลากเอาไปฆ่าแล้วชำแหละกิน แม่บอกว่าอย่าออกไปนอกบ้านนะไม่งั้นจะโดนกินเหมือนพี่ชาย” (ไม่เคยมีรายงานหรือบันทึกการกินคนในยูเครน คาดว่าเป็นเรื่องแต่งของแม่ของชิกาทิโลมากกว่า เพื่อไม่ต้องการออกนอกบ้าน จนเป็นผลร้ายในเวลาต่อมา) ปี 1941 ระหว่างการบุกทิ้งระเบิดของเยอรมันในสงครามโลกครั้งที่ 2 ชิกาทิโลได้เห็นความตายมากมาย ซึ่งเขาได้โยงเอาภาพของศพไร้แขนขาที่ได้เห็นเป็นครั้งแรกมาบวกเข้ากับอารมณ์ทางเพศ และวาดจินตนาการว่าตนเป็นทหารเร้ดอาร์มี่ที่ทรมานเชลยศึกชาวเยอรมัน

ความจริงแล้วชิกาทิโลเป็นเด็กชายเงียบขรึมเก็บเนื้อเก็บตัว เขาสายตาสั้นอย่างแรง หากก็กลัวที่จะถูกล้อเลียนจึงไม่ยอมใส่แว่นตา ซึ่งก็ยิ่งทำให้เขาทำงานผิดพลาดบ่อย ๆ และถูกล้อเลียนหนักเข้าไปอีก (เขาไม่ยอมไส่แว่นจนกระทั่งสอบใบขับขี่เมื่ออายุ 30 ปี) ในช่วงวัยเด็ก ชิกาทิโลมีประสบการณ์ทางเพศครั้งแรก เมื่อต่อสู้กอดรัดเพื่อนน้องสาวอายุ 10 ขวบ ใขณะที่เล่นกันนั้นเองเขาก็ถึงจุดสุดยอด จากนั้นเขาก็ฝังใจมาตลอดว่าเขาสามารถถึงจุดยอดได้โดยไม่ต้องร่วมเพศ ชิกาทิโลเป็นคนขี้อายขนาดหนักโดยเฉพาะต่อหน้าเด็กผู้หญิง เขาพยายามจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยมอสโควาเพื่อที่จะเอาชนะปมด้อยนี้ หากก็สุดท้ายก็สอบตก (ในข้อนี้เจ้าตัวกล่าวว่า ที่จริงคะแนนของตัวเองดี แต่เพราะพ่อกลายเป็นเชลยเยอรมัน เขาเลยสอบตก) แล้วหลังจากนั้นก็เข้าเรียนต่อในโรงเรียนการช่างแทนหลังจากเข้ารับราชการทหาร 3 ปี

ชิกาทิโลกลับมายังบ้านเกิดและประสบกับเหตุการณ์ที่กลายมาเป็นตัวกำหนดชีวิตของเขาในภายหลัง ผู้หญิงที่เขาคบด้วยพบว่าชิกาทิโลไม่มีสมรรถภาพทางเพศและนำไปพูดให้คนรอบ ๆ รู้จนหมด เขารู้สึกอับอายและแค้นใจในเรื่องนี้มาก ถึงกับบอกในภายหลังการจับกุมว่าตนอยากจะฆ่าผู้หญิงคนนี้แล้วฉีกร่างของเธอให้เป็นชิ้น ๆ (ชิกาทิโลไม่มีสมรรถภาพทางเพศก็จริง แต่เขาไปถึงจุดสุดยอดได้เมื่ออีกฝ่ายขัดขืน ซึ่งในจุดนี้เองที่ชี้ให้เห็นว่าเขาเป็นซาดิสซึ่ม)

ปี 1960 ชิกาทิโลทิ้งบ้านเกิดอันมีแต่ความทรงจำอันเลวร้าย แล้วย้ายมายังกรุงรอสทอฟและประกอบอาชีพช่างไฟฟ้าที่นั่น หากก็ยังไม่มีเพื่อนฝูงเช่นเดิมจนได้พบกับหญิงสาวที่น้องสาวแนะนำให้และแต่งงานในปี 1963 หลังจากชีวิตเซ็กส์อย่างลุ่มๆดอนๆ ก็มีบุตรชายและบุตรสาวอย่างละคน หากชิกาทิโลก็กล่าวว่าการมีเซ็กส์กับภรรยานั้นเป็นเพียงการมีลูกเท่านั้นเอง เซ็กส์ในอุดมคติของเขาคือการที่ตนมีอำนาจอย่างเด็ดขาดเหนือผู้หญิง ซึ่งนั่นก็ทำให้เขาสะสมความไม่พอใจนี้ไว้ทีละน้อย และทางออกเพียงทางเดียวของเขาก็คือการสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเอง ปี 1971 ชิกาทิโลสอบได้ใบอนุญาตเป็นครูจากการศึกษาทางไปรษณีย์ ภรรยาของเขาภูมิใจในเรื่องนี้มากเพราะอาชีพครูนั้นถือเป็นตำแหน่งมีหน้ามีตาสำหรับรัสเซียในยามนั้น หากในความจริงแล้วชิกาทิโลเป็นอาจารย์ที่ไม่ดีนัก เขาถูกดูหมิ่นทั้งจากนักเรียนและเพื่อนอาจารย์ด้วยกัน หากที่ยังไม่ยอมเลิกอาชีพครูก็เพราะเขาอาศัยตำแหน่งของตน ลอบเข้าไปถ้ำมองนักเรียนหญิงในหอพัก เดือนพฤษภาคม 1973 ก็ถูกจับได้เมื่อจะล่วงเกินทางเพศนักเรียนหญิงอายุ 14 ปีหากคดีนี้ไม่แดงขึ้นมาเพราะทางโรงเรียนปิดข่าว ชิกาทิโลถูกสั่งย้าย คราวนี้เขาลอบเข้าไปในหอพักนักเรียนชายและถูกจับได้อีก แน่นอนว่าเขาถูกนักเรียนล้อเลียนในเรื่องนี้เป็นอย่างมากมาถึงตอนนี้ การสำเร็จความใคร่ด้วยตัวเองเริ่มไม่เพียงพอแก่ชิกาทิโล เขาย้ายไปอยู่นอกเมืองและซื้อเพิงเล็ก ๆ ไว้สำหรับพาโสเภณีหรือคนจรจัดไปหาความสำราญ แต่ไม่ว่าจะพยายามยังไง โรคไร้สมรรภภาพทางเพศก็ไม่ดีขึ้นเสียที

ส่วนภรรยาของชิกาทิโลก็เป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเป็นฆาตกรเหมือนกัน เธอมีนิสัยเหมือนแม่เขา จู้จี้ขี้บ่น จนทำให้ชิกาทิโลเป็นคนเก็บกด อีกทั้งแม่เขาถึงแก่กรรมในปี ค.ศ. 1973 ขณะที่ชิกาทิโลอายุได้ 37 ปี จากนั้นไม่นานนักเขาก็เริ่มพบว่าการกระทำทารุณกรรมกับสตรีทำให้เขารู้สึกว่าเขามีพลังแข็งแกร่งถ้าเขาทำกระทำทารุณกรรมกับสตรีและเด็ก แล้วในที่สุดชิกาทิโลก็ก่ออาชญากรรมครั้งแรกขึ้นและก่อคดีต่อเนื่องยาวนานถึง 8 ปี ก่อนถูกจับด้วยความบังเอิญในเวลาต่อมา ชิกาทิโลขึ้นศาลครั้งแรกที่เมืองรอสตอฟ วันที่ 14 เมษายน ค.ศ. 1992 ชิกาทิโลขึ้นศาลด้วยการจองจำในกรงขังเหล็กทาสีขาวขนาดเล็ก เขาไม่สามารถยืนหรือนั่งได้อย่างสบายนัก ผู้พิพากษานั่งบนบังลังก์ อัยการยื่นสำนวนกว่า 225 แฟ้มเพื่อส่งให้ผู้พิพากษาพิจารณา ห้องพิพากษาเต็มไปด้วยคนจากทั่วทุกสารทิศถึง 250 คนจนล้นที่ ทุกคนต่างแห่มาดูหน้าฆาตกร พร้อมคำสาปแช่งที่มาเป็นระลอกคลื่น ร่างของชิกาทิโลสูงใหญ่ เท้าใหญ่ หัวล้าน แก้มตอบ ไม่สวมแว่นตา ดวงตาขวางเหมือนคนบ้า ไม่ทำตัวสงบเมื่ออยู่ในศาลสักนิด ชอบทำอะไรแปลก ๆ ออกมา เช่น เอามือรูดกางเกงแล้วโชว์ของลับออกมาให้ทุกคนดู ถ่มน้ำลาย ส่ายหัวไปมา คอเอียง พร้อมสบถและด่าศาลเป็นระยะ ๆ 

ดร.บูคานอฟสกี้ ให้การว่าคนป่วยจิตวิปลาสไม่ต้องเข้าเรือนจำ แต่ให้ไปรับการบำบัด แล้วทำไมจำเลยต้องฆ่าคนละ อัยการถาม “ไอ้พวกที่ผมฆ่าน่ะมันเหมือนกับเครื่องบินรบของนาซี ผมสอยมันร่วงมาทีละลำ” วันต่อมาชิกาทิโลร้องเพลงบ้า ๆ บอ ๆ และสบถออกมาจากกรงเหมือนลิงในสวนสัตว์ ก่อนที่จะถึงวันพิจารณาคดีครั้งสุดท้าย แต่จากการพิพากษา ศาลเห็นว่า พยานรวมถึงคำสารภาพของชิกาทิโล มีน้ำหนักพอที่จะให้เขาเป็นผู้กระทำผิดได้ และความเห็นของจิตแพทย์ได้นำสืบ สรุปได้ว่า “จำเลย อังเดร ชิกาทิโล มีความผิดจริงตามข้อกล่าวหาคดีทำร้ายร่างกายสาหัส 5 คดี กระทำการฆาตกรรมอันมีพฤติกรรมที่เหี้ยมโหดโดยที่มนุษย์ธรรมดาไม่สามารถทำได้ จึงพิพากษาให้ประหารชีวิตให้ตกไปตามกัน” สิ้นสุดคำพิพากษา ชิกาทิโลร้องตะโกนเฉกเช่นเดียวกับสัตว์ป่าที่ถูกกระหน่ำด้วยไรเฟิล “ไม่จริงมันโกหก มันหลอกข้า....!!!" เขาถ่มน้ำลาย ยกเก้าอี้ฟาดกับพื้นร้องขอพบตำรวจ ระหว่างทางที่ถูกคุมตัวก็มีประชาชนกลุ่มใหญ่ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นบรรดาญาติของผู้ที่เสียชีวิต จากเหตุฆาตกรรมของเขา พวกชาวบ้านพากันสาบแช่ง รวมถึงตะโกนให้สับมันเป็นชิ้น ๆ วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 1994 คำร้องของทนายชิกาทิโลไม่เป็นผล เพราะไม่มีทางที่ตำรวจรวมทั้งศาลจะยกโทษให้กับชายวิปลาสที่ฆ่าคนไปถึง53 รายเด็ดขาด ชะตาของสัตว์จากนรกใกล้จะขาดแล้ว

วันที่ 14 ตุลาคม 1992 ในที่สุดอังเดร ชิกาทิโล อายุ 52 ปี ถูกนำไปที่แดนประหารที่เป็นห้องเก็บเสียง ถูกมัดมือและผูกตา นั่งคุกเข่า เพชฌฆาตเล็งปืนพกออโตเมติคจ่อยิงที่เหนือกกหูขวา กระสุนทะลวงออกด้านซ้าย เสียชีวิตทันทีอย่างไม่ทรมาน ผิดกับเหยื่อที่เขาสังหารไป ชีวิต ต้องชดใช้ด้วยชีวิตที่มันไม่สาสมสักนิด หลังจากนั้น อันเดร ชิกาทิโล วัย 52 ปี (บางข้อมูลระบุว่าอายุ 54 ปี) กลายเป็นฆาตกรที่ 10 อันดับแรกที่โลกต้องจดจำ ชื่อของเขาและประวัติของเขาถูกบันทึกในสารคดีและบันทึกในหนังสือต่าง ๆ เช่น ซีเรียล ออฟเฟนเดอร์ ล่าปีศาจ ฯลฯ และล่าสุดพฤติกรรมวัยเยาว์ของเขาถูกนำไปใช้เป็นพล็อตในประวัติฮันนิบาล วัยเยาว์ เมืองรอสตอฟ ออนดัน หลังจากหมดยุคของอันเดร ชิกาทิโล








 

Create Date : 13 กรกฎาคม 2558
0 comments
Last Update : 19 ตุลาคม 2558 14:32:11 น.
Counter : 5393 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 


hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.