4 | | | ตำนานอาถรรพ์ อาชญากรโลกไม่ลืม ฆาตกรรมบันลือโลก ประวัติศาสตร์ทั่วมุมโลก | | |

Group Blog
 
 
กรกฏาคม 2558
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
18 กรกฏาคม 2558
 
All Blogs
 
เอ็ดกีน (Ed Gein) ปอบแห่งเพลนฟิลด์ (ตอนที่ 2)






บ้านของเอ็ด กีน

เอ็ด กีนไม่ชอบเลือดหรือการฆ่า แม้ว่าการฆ่าสัตว์จะเป็นกิจกรรมหลักวิถีชีวิตเกษตรในชนบทที่กีนอาศัยอยู่ แต่กีนชอบหนังสือการ์ตูนสยองขวัญและความรุนแรง ทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับค่ายกักกันนาซีและการทรมาน เรื่องความชอบดังกล่าวไม่อยากทราบแน่ชัดว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้แก่เอ็ด กีนกลายเป็นฆาตกรโหดในอนาคตหรือไม่ หากแต่เรื่องเหล่านี้ส่งเสริมให้เอ็ด กีนน่ากลัวมากขึ้นสำหรับมุมมองคนภายนอก

เอ็ดกีนเป็นเด็กขี้อาย ขี้อาย ตกเป็นหมายถูกรังแกจากเด็กรอบข้าง เด็กหลายคนต่างหัวเราะเพราะจากลักษณะการแสดงที่ตลกของเอ็ดกีน ทำให้เขาไม่มีเพื่อน ซี้ร้ายเขายังถูกกีดกันจากแม่ไม่ให้ออกไปข้างนอกหรือจะทำโทษหากเห็นเขาพยายามจะมีเพื่อน เพราะพวกผุ้ชายจากโลกภายนอกล้วนบาปหมด ทำให้เอ็ด กีนหยุดการติดต่อกับเด็กอื่นๆ ซึ่งมีผลทำให้ทักษะการเข้าสังคมของเอ็ด กีนไม่ดีนักที่โรงเรียนเอ็ดกีนเรียนอยู่ในเกณฑ์ปานกลาง แม้เขาจะไม่มีเพื่อน แต่เขาก็รักการอ่านเขาชอบหนังสือประเภทผจญภัยและนิตยสารต่าง ๆ ซึ่งพวกนี้เป็นช่วยทำให้เกิดโลกส่วนตัวของเขาขึ้นมา เมื่อเอ็ดกีนเรียนหนังสือได้เพียงเกรดแปดก็ลาออกมาอยู่กับบ้าน ทำงานฟาร์ม หลังจากนั้นกิจการของครอบครีนกีนก็เริ่มตกต่ำลง แม่ของเอ็ดเชื่อว่าลูกทั้งสองถูกลิขิตให้เป็นคนล้มเหลวเหมือนกับพ่อของเขา ในช่วงวัยรุ่นและตลอดจนวัยผุ้ใหญ่เอ็ด กีนจึงกลายเป็นคนที่มีนิสัยพ่ายแพ้ต่อโลก และทำอะไรไม่ค่อยเป็น


ไร่ของเอ็ด กีน

ในปี 1940 จอร์จ กีน พ่อของเอ็ดก็เสียชีวิตลงจากอาการหัวใจวาย ไม่มีใครในครอบครัวกีนเสียใจต่อการจากไปของพ่อมากนัก เพราะพ่อของพวกเขาเป็นเหมือนกาฝากของครอบครัวที่มีแต่เพิ่มภาระค่าใช้จ่าย อย่างไรก็ตามหลังจากพ่อของเอ็ดกีนเสียชีวิตกิจการฟาร์มของครอบครัวกีนเริ่มทรุดลง สภาพดินเสื่อมถอยจนผลผลิตตกต่ำ ผลผลิตในฟาร์มเพียงพอแค่อาหารบนโต๊ะแต่ละมื้อเท่านั้น พวกเขาไม่มีเงินแม้กระทั่งนำมาใช้จ่ายเพื่อซ่อมแซมบ้าน นานวันบ้านของพวกเขาก็เริ่มทรุดโทรมลง จนกลายเป็นบ้านน่ากลัวสำหรับสายตาของเพื่อนบ้าน เมื่อกิจการครอบครัวย่ำแย่ สองพี่น้องกีนเริ่มหางานทำนอกบ้านเพื่อช่วยลดค่าใช้จ่าย สองพี่น้องได้รับความชื่นชมจากคนภายนอกว่ามีความขยัน น่าเชื่อถือ และซื่อสัตย์ ส่วนใหญ่ทั้งคู่รับงานทุกอย่าง บ่อยครั้งที่เอ็ดกีนกลายเป็นพี่เลี้ยงเด็กให้เพื่อนบ้าน การเป็นพี่เลี้ยงเด็กเป็นสิ่งที่เขาชื่นชอบ เพราะสำหรับเขาแล้วการเข้าถึงเด็กนั้นง่ายกว่าการคบเพื่อนฝูง เฮนรีลูกชายคนโตของออกัสตานั้นมีความแตกต่างกว่าเอ็ดกีน เฮนรีถูกเลี้ยงแบบลูกผู้ชาย ไม่ติดแม่ เขาเป็นคนทำงานหนักและมีบุคลิกอันแข็งแกร่ง ไม่ยอมฟังคำสอนและคำสั่งของแม่ เขาเริ่มมีปากเสียงกับแม่มากขึ้นทุกวันและด่าแม่ต่อหน้าเอ็ด กีน เขาโกรธแค้นเฮนรีแทนแม่เพราะแม่เป็นพระเจ้าผู้ซึ่งละเมิดมิได้

ในวันที่ 16 พฤษภาคม 1944 เฮนรีและเอ็ดกีนช่วยกันดับไฟป่าที่ลุกลามเข้าทางไร่ของพวกเขา ไฟไหม้รุนแรงมาก เฮนรีและเอ็ดกีนแยกกันสกัดไฟ และหลังจากไฟดับแล้วเฮนรีก็หายไป เอ็นกีนเลยแจ้งตำรวจค้นหาและเมื่อตำรวจตามเอ็ดกีนไปพวกเขาก็พบศพเฮนรีนอนคว่ำหน้าอยู่ในพงหญ้าที่ไม่ติดไฟ มีรอยแผลช้ำที่หน้าและต้นคอ ซึ่งเวลาต่อมาตำรวจระบุสาเหตุการตายของเฮนรีว่าขาดอากาศหายใจก่อนหมดสติ แม้การตายของเฮนรีจะมีเงื่อนงำ แต่ตำรวจไม่ได้ให้ความสนใจในตัวเอ็ดกีนเท่าไรนัก เพราะท่าทางของเอ็ดกีนเป็นคนขี้อายไม่น่าจะกล้าพอที่จะฆ่าพี่ชายตนเองได้ ทำให้คดีนี้สรุปแต่เพียงว่าเฮนรีตายเพราะสำลักควันไฟเป็นอันปิดคดีลงแต่เพียงเท่านี้

ไม่นานหลังจากการเสียชวิตของเฮนรี่บุตรชายคนโต นางออกัสก้าก็เกิดอาการหัวใจวาย เส้นเลือดในสมองตีบตันเป็นอัตพาตชั่วคราว ในช่วงเวลานั้นเอ็ดกีนดูแลแม่เป็นอย่างดี เขารักและเคารพแม่ แสดงให้เห็นว่าแม่คือทุกสิ่งทุกอย่างของเขาเลยก็ว่าได้ หากในวันที่ 29 ธันวาคม 1945 นางออกัสตาเสียชีวิตลงด้วยอาการเส้นเลือดในสมองแตก และตายในเวลาอันสั้น การจากไปของแม่ทำให้เอ็ด กีนเศร้าโศกเสียใจเป็นอันมาก และเท่ากับว่าเอ็ด กีนอยู่ตัวคนเดียวบนโลกเพราะคนใกล้ตัวจากไปหมด อีกทั้งไม่มีญาติ ค่าใช้จ่ายบ้านก็หมดไปกลับงานศพ สัตว์เลี้ยงในฟาร์มก็ถูกนำไปขาย เขาเริ่มเก็บตัวอยู่แต่ในบ้านหรือไม่ก็ออกไปหางานทำเล็ก ๆ น้อย ๆ เพื่อความพออยู่พอกิน หลายคนมองว่าเอ็ด กีนเป็นคนประหลาดที่เหมือนกระเทย แต่ไม่เป็นภัยอะไร เขาใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในห้องที่เดิมเป็นห้องของแม่ ด้านล่างที่เป็นห้องรับแขกและห้องนั่งเล่นเขาไม่แตะต้อง เขาอาศัยห้องเล็ก ๆ ที่ถัดจากห้องครัวเป็นที่หลับนอน และเริ่มหมกมุ่นนิตยสารสยองขวัญและเรื่องราวเร้นลับ ไสยศาสตร์และการผจญภัยจนกลายเป็นบ้า

ความจริงแล้วเอ็ด กีนจะได้รับเงินจากรัฐบาลเป็นการแลกเปลี่ยนหากเขาออกจากที่ดินแห่งนี้ไป แต่เขาปฏิเสธที่จะปล่อยให้ที่ดินดังกล่าวรกร้าง เขาเริ่มอาศัยอยู่ตามลำพัง ทำงานรับจ้างพอเป็นค่าอาหาร ในสายตาคนอื่นมักมองเขาเหมือนคนบ้า แต่ไม่มีพิษภัยอะไร จึงไม่ได้แสดงความรู้สึกน่ารังเกียจนัก ในช่วงเวลาที่เอ็ด กีนเริ่มใช้ชีวิตอยู่ตัวคนเดียวก็มีคดีหายตัวลึกลับมากมายเกิดขึ้นในเพลนฟิลด์และบริเวณโดยรอบ ในเดือนพฤษภาคม ปี 1947 เด็กหญิงวัย 8 ขวบ ชื่อ จอน์เจีย เว็คเลอร์ เธอหายตัวไประหว่างทางกลับบ้าน ทุกฝ่ายพยายามระดมกำลังค้นหาตัวหนูน้อยอย่างเข้มข้น แต่สุดท้ายก็ล้มเหลวเด็กหายไปอย่างไร้ร่องรอย ต่อมาในเดือนพฤษศจิกายน นายวิคเตอร์ ทราวิ กับเพื่อนของเขา นายเรย์ เบอเกตส์ได้ออกไปล่ากวางในเมืองเพลนฟิลด์ ซึ่งหลังจากนั้นทั้งสองก็หายสาบสูญไปไม่รับข่าวคราวอีกเลย ต่อมา สาวอายุ 15 ปีชื่อ อีเวนล์ ฮาร์ทเลย์ ได้หายตัวไปอย่างลึกลับไปจากบ้าน ตำรวจพบร่องรอยคราบเลือดและการต่อสู้กันบนพื้นห้อง หลังจากค้นหาตำรวจจึงได้พบเสื้อผ้าเปื้อนเลือดที่ระบุว่าเป็นของเธอบริเวณใกล้กับถนนหลวงนอกเมือง แต่พวกเขาไม่พบตัวเด็ก คดีปริศนาทั้งหลายเหล่านี้ หลายคนเชื่อมโยงว่าเป็นฝีมือของเอ็ด กีน หากแต่เป็นเพราะขาดพยานและหลักฐานที่จะพิสูจน์ทำให้คดีทั้งสามไม่ได้รับการยืนยันว่าเป็นเอ็ด กีน ทำให้คดีตกไป

ในเพลนฟิลด์มีสถานที่หนึ่งเรียกว่า “โรงเตี๊ยมของโฮแกน” เป็นโรงเตี๊ยมเล็กๆ ที่มีมารี โฮแกน วัย 55 ปี เป็นเจ้าของและคนให้บริการคนเดียว นางมารีนั้นเป็นหญิงที่ผ่านการหย่อสองครั้ง เคยเป็นคนในชิคาโกและเป็นคนเคร่งศาสนาและอนุรักษ์นิยม เอ็ด กีนมักเข้าไปใช้บริการอยู่เสมอ ในช่วงบ่ายของวันที่ 8 ธันวาคม 1954 เกษตรกรในท้องถิ่นคนหนึ่งได้เข้าโรงเตี๊ยมของนางมารี หากแต่เมื่อเขาก็พบสิ่งปกติในร้ายเมื่อไม่มีใครอยู่ในร้าน เมื่อเขาร้องเรียกก็ไม่มีใครตอบรับ จากนั้นเก็พบรอยเลือดเลือดกองใหญ่บนพื้นที่ประตูด้านหลังร้าน เขาก็ตกใจในสิ่งที่เดิดขึ้นจึงรีบวิ่งขอความช่วยเหลือกับนายอำเภอแฮโรลด์ ทอมป์สันกพร้อมกับผู้ช่วยของเขา เมื่อมาถึงพวกเขาก็พบเส้นทางรอยเลือดปรากฏเป็นระยะ ๆ ผ่านทางประตูหลังไปจนถึงที่จอดรถและก็หายไป ทำให้เข้าใจว่านางมารีอาจถูกฆ่าและฆาตกรคงลากศพนำไปขึ้นรถจากที่ตรงนั้น รถอาจเป็นรถบรรทุกไม่ก็รถตู้ นอกจากนี้พวกเขาก็พบกับกระสุนปืนพกขนาด 32 ปลอกหนึ่งซึ่งเชื่อว่าเป็นอาวุธสังหาร จากการตรวจสอบสภาพในร้านเพิ่มเติม ก็พบว่าเหยื่อไม่มีการต่อสู้แสดงว่าฆาตกรน่าจะเป็นคนรู้จักนางมารี และไม่ใช่ฆ่าเพื่อขโมยของในร้านเพราะเงินสดยังอยู่ครบแน่นเอ๊ยดและไม่มีสิ่งของหรือของมีค่าหายไปเลยสักชิ้น ต่อมีการมีการตามหาศพของนางมารีแต่สุดท้ายก็ไม่มีใครพบตัวเธอ

ข่าวคดีลึกลับของนางโฮแกนได้แพร่กระจายอย่างรวดเร็ว หลายสัปดาห์ผ่านไปไม่มีใครคนได้พบนางโฮแกนอีกเลย หลายคนได้ตั้งคำถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกับนางมารี โฮแกน” บทสนทนานี้ได้กลายเป็นเรื่องเล่าประจำวง โต๊ะของชาวบ้าน ที่สันนิษฐานแตกต่างกันไป อย่างไรก็ข้อสันนิษฐานที่น่าเชื่อถือมากที่สุดน่าจะเป็นนายเอลโม เจ้าของโรงเลื้อยในเพลนฟิลด์ ที่ให้การกับตำรวจภายหลังว่า เขาเคยคุยกับเอ็ดกีนเรื่องการหายตัวของโฮแกน ซึ่งเขาพบเอ็ด กีนหลายครั้งในโรงเตี๊ยมโดยมักนั่งคนเดียวในหลังร้านมือถือเหยือกเบียร์นั่งจ้องนางโฮแกนนานสองนาน เชื่อว่าเอ็ด กีนมองนางมารีเหมือนแม่ของเขา ระหว่างที่นายเอลโมสนทนากับเอ็ด กีน ทันใดนั้นเองเอ็ด กีนก็ได้พูดว่า “เธอไม่ได้หายไป” เอ็ด กีนตอบ “ตอนนี้เธออยู่ที่ฟาร์มของฉัน” เอ็ด กีนพูดด้วยอารมณ์ขัน ซึ่งเขาพูดในลักษณะซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งต่อหน้าคนอื่น อย่างไรก็ตามไม่มีใครสนใจเรื่องของเขาจริงจังมากนัก ด้วยคิดว่าเอ็ด กีนพูดเล่น

ในตอนเช้าวันเสาร์ของวันที่ 16 พฤศจิกายน 1957 ซึ่งเป็นฤดูล่ากวางของรัฐวิสคอนซินและคนส่วนใหญ่ในเมืองเพลนฟิลด์ได้ออกไปล่ากวางในป่า ทำให้ตัวเมืองในเวลานั้นเหมือนถูกทิ้งร้างไม่มีคนและร้านค้าส่วนใหญ่ปิด หากแต่นางเบอร์นิซ วอร์เดน หญิงหม้ายวัย 60 ปี เจ้าของร้านขายอุปกรณ์ในเมืองเพลนฟิลด์ ได้ตัดสินใจเปิดร้าน เอ็ด กีนถือว่าเป็นลูกค้าขาประจำของนางเบอร์นิซ หลายครั้งที่เขาเข้ามาในร้าน เขามักสอบถามรายละเอียดเล็กน้อยกับนางเบอร์นิซโดยไม่ซื้ออะไร บางครั้งก็ซื้อของแล้วจะยืนอยู่ที่นั่นสักครู่ก่อนที่จะออกไป บางครั้งเอ็ด กีนถึงกับชวนเบอร์นิซไปเล่นสเก็ตน้ำแข็ง แต่เธอปฏิเสธ นางเบอร์นิซมักบอกกับลูกชายว่าเอ็ด กีนเป็นคนประหลาด และกล่าวเสริมว่าเขาเห็นรถกะบะของเขาจอดหน้าร้านพร้อมกับส่งสายตาจ้องมองบริเวณนอกร้านอยู่นานสองนาน โดยหารู้ไม่ว่าจะเกิดเรื่องร้ายแรงกับเธอในอนาคต

ในช่วงเย็นของวันนั้น แฟรงค์ลูกชายของเบอร์นิซกลับจากการล่าสัตว์ และแวะร้านขายอุปกรณ์ของแม่ เขาพบว่าประตูร้านของแม่เขาล็อกเอาไว้ แต่มีไฟเปิดอยู่ด้านใน ซึ่งมันผิดปกติ เพราะเป็นเวลาที่ร้านควรปิดได้แล้ว เมื่อเปิดประตูเข้าไปข้างในก็พบเครื่องคิดเงินหายไป ไม่มีร่องรอยต่อสู้ แต่มีหยดเลือดกระจายอยู่บนพื้น แฟรงค์รู้สึกความไม่ชอบมาพากล จึงรีบแจ้งตำรวจทันที จากการสันนิษฐานคาดว่าฆาตกรน่าจะเข้ามาในร้านในตอนที่ไม่มีคนอยู่ และใช้ปืน (ภายหลังพบว่าเป็นปืนไรเฟิล .22) ยิงเธอโดยไม่ทันรู้ตัว แล้วลากนำร่างของเธอใส่รถที่น่าจะเป็นรถบรรทุกนอกร้านเพื่อนำศพไปยังสถานที่หนึ่ง

จากการสอบปากคำของคนในที่พื้นใกล้เคียง พบว่าระหว่าง 8.45 น. และ 9.30 น.มีผู้พบเห็นรถกะบะจอดบริเวณร้านของนางเบอร์นิซ ภายในไม่กี่ชั่วโมงก็มีผุ้พบเห็นแสงไฟภายในร้านหากแต่ประตูกลับปิดสนิทหากแต่ตอนนั้นหลายคนไม่สนใจเพราะเชื่อว่าเจ้าของร้านลืมปิดไฟ ต่อมา มีผู้พบเห็นรถส่งของของร้านแล่นผ่านไป เมื่อเวลาประมาณ 9.30 น. แฟรงค์และตำรวจพบหลักฐานชิ้นสำคัญ คือใบเสร็จรับเงินว่า เขาได้ขายของให้ใครบ้าง สิ่งที่พบคือใบเสร็ขของเอ็ด กีนชายที่เป็นลูกค้าประจำที่ถามแฟรงค์ว่าพรุ่งนี้เช้าเขาอยู่หรือเปล่า อีกทั้งก็มีพยานเห้นว่าวันที่เกิดเหตุนั้นเอ็ด กีนขนอะไรบางอย่างที่หลังรถ เมื่อเอ็ด กีนเห็นเขาก็ตกใจเล็กน้อยก่อนที่จขะขับรถเร็วกว่าปกติ ในช่วงบ่าเพื่อนบ้านคนหนึ่งได้พบเห็นเอ็ด กีนมือเปื้อนเลือดหากแต่เขาตอบว่าเขาพึ่งแล่เนื้อกวาง ซึ่งไม่สนใจอะไร ก่อนที่จะช่วยล้างรถให้กับเขาและทานอาหารเย็นด้วยกัน และนั่นเป็นมือสุดท้ายของเอ็ด กีนกับเพื่อนบ้านของเขาก่อนที่จะถูกจับกุมเวลาต่อมา นายอำเภอและตำรวจตามหาตัวเอ็ดกีน และพบเขานั่งกินอาหารเย็นอยู่ในรถบนถนนไม่ไกลจากบ้านมากนัก เขาถูกนำตัวไปสอบสวนในฐานะผู้ต้องสงสัย และต่อมาก็มีการตรวจสอบบ้านของเอ็ด กีน

ผู้เกี่ยวข้องได้ทำการตรวจสอบบ้านฟาร์มของเอ็ด กีน ที่ประตูหลังไม่ได้ล็อกทำให้เข้ามาอย่างง่ายดาย ในบ้านมืดทำให้ต้องมีการส่องไฟฉายเพื่อสะดวกในการเดินต่อไปข้างหน้า และเมื่อพวกเขาพบกับสภาพบ้านที่เต็มไปด้วยขยะ พวกเขาก็มีความคิดว่ามันเหมือนกับภาพยนตร์สยองขวัญ ก่อนที่สายตาของพวกเขาจะเห็นร่างกายของผู้หญิงหัวขาดแขวนจากเพดานอย่างน่าสยดสยอง ซึ่งต่อมาก็ระบุตัวว่าศพที่เห็นคือนางเบอร์นิซนั้นเอง เมื่อนายอำเภอเห็นภาพดังกล่าวก็วิทยุขอความช่วยเหลือ ขอกำลังเสริมสนับสนุนยกใหญ่ จากการตรวจสอบศพอย่างละเอียดพบว่าร่างกายที่กลางตัวมีรอยผ่าชำแหละอย่างชัดเจนด้วยของมีคมบาดจากหน้าอกจนถึงอวัยวะเพศ และเอาอวัยวะภายในออก ก่อนที่จะนำศพนั้นไปทำความสะอาด ก่อนที่จะถูกแขวนโดยมีลวดเบ็ดรัดข้อเท้าและข้อมือ แขวนกลับหัวกับลูกรอก

มันยากที่จะเชื่อว่ามนุษย์คนหนึ่งจะสามารถอาศัยอยู่ในบ้านหลังนี้ได้ เพราะในบ้านเต็มไปด้วยขยะและเศษซากจากเฟอร์นิเจอร์สกปรก เครื่องใช้ในครัว กล่องกระดาษแข็ง กระป๋องที่ว่างเปล่า และเครื่องมือที่ทิ้งกระจุยกระจายขึ้นสนิทบบนพื้น อีกทั้งยังเต็มไปด้วยสิ่งปฏิกูลแลอุจจาระ นอกจากนี้ที่ชั้นหนังสือในห้องนอนของเอ็ด กีนนั้น พบนิตยสารนักสืบ การ์ตูนสยองขวัญ หนังสือหลายเล่มมีเนื้อหาเกี่ยวกับการแพทย์และกายวิภาคและบางเริ่มมีเนื้อหาเกี่ยวกับการแปลงเพศ ไม่นานหลังจากนั้นฟาร์มก็ถูกล้อมรอบด้วยรถตำรวจ มีการนำเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเข้ามาช่วยเหลือในการสำรวจบ้าน แสงไฟนั้นได้เปิดเผยสิ่งที่น่ากลัวซุกซ่อนในบ้านมากมาย เป็นต้นว่ามีกะโหลกศีรษะของมนุษย์หลายหัวกระจัดกระจายอยู่ห้องครัว บาวอันถูกตัดครึ่ง บางอันถูกนำมาใช้เป็นภาชนะใส่น้ำ บางอันถูกใช้เพื่อความสุมดุลขาเตียงสกปรกของเอ็ด กีน

เมื่อทำการตรวจสอบใกล้ชิดพบว่าเก้าอี้ในห้องครัวหลายตัวทำมาจากชิ้นส่วนของผิวหนังของมนุษย์ และชิ้นส่วนอวัยวะของมนุษย์สะสมในกล่อง เป็นต้นว่าจมูก อวัยวะเพศมากมาย ซึ่งชิ้นส่วนศพเหล่านี้ไม่ปรากฏหลักฐานว่าเป็นของใคร หรือที่มาแต่อย่างไร หากแต่เชื่อว่า เอ็ดกีนน่าจะขุดศพเหล่านี้จากสุสสานป่าช้า ซึ่งเขามักติดตามข่าวสารการตายของคนในท้องถิ่น และเมื่อสบโอกาสเขาจะขโมยศพตอนกลางคืน
ที่น่าขนหัวลุกกับรายการสะสมของเอ็ดกีนคอลเลกชั่น “อุปกรณ์แปลงร่าง” ที่ประกอบไปด้วยผิวหนังมนุษย์ที่เอ็ด กีนได้ถลกหนังศีรษะของศพหลายศพมาทำหน้ากากที่ นัยน์ตากลวงโบ๋ หลายๆ อันอยู่ในลักษณะสมบูรณ์ชนิดญาติจำหน้าเจ้าของหนังดั่งเดิมได้ หนึ่งในนั้นคือนางแมรี โฮแกนเหยื่อรายหนึ่งของเอ็ด กีน และเข็มขัดที่ประดับประดาด้วยหัวนมสตรีเพศที่ถูกตัดออกจากร่างแล้วนำมาเย็บตรึงกับเข็มขัด มันมีจำนวนถึง 17 ชิ้น กล่าวกันว่าเมื่อถึงพระจันทร์เต็มดวงเมื่อใด เอ็ด กีนจะสวมเสื้อผิวหนังมนุษย์ เข็มกัดหัวนม ใส่หน้ากากหนังมนุษย์ และเอาอวัยวะเพศที่หญิงที่ตัดแล้วใส่ในกางเกงใน จากนั้นก็เต้นรำข้างนอกหน้าแสงจันทร์ ซึ่งไม่มีใครทราบว่าเอ็ด กีนทำแบบนี้เพื่ออะไร จากคำให้การของเอ็ด กีนเขาบอกว่าหลังจขากแม่ตายเขาอยากเปลี่ยนเพศตนเอง โดยอยากเป็นผู้หญิงโดยเริ่มจากสร้างชุดผู้หญิงเพื่อหลอกตนเองว่าเป็นผู้หญิง

ที่ห้องครัวถือว่าเป็นห้องน่ากลัวที่สุดในการตรวจค้น ห่องครัวนั้นเป็นห้องที่เอ็ด กีนหลับนอนของชั้นล่างของบ้าน ซึ่งเป็นห้องที่รกที่สุดจนต้องเอาไม้กระดานมาช่วยในการเชื่อมต่อห้องหลัก ในนั้นเต็มไปด้วยฝุ่นมหาศาล และเต็มไปด้วยซากศพที่ ตำรวจได้พบอวัยวะชิ้นส่วนต่างๆ ในกล่องกระดาษแข็งและถุงกระจัดกระจายไปทั่วห้องครัว ซึ่งบางส่วนถูกน้ำมันชะโลมทำให้ยังผิวนุ่มและยังพบร่องรอยพลาสติก ซึ่งตำรวจพบว่าศพนั้นเป็นของมารีโฮแกนเจ้าของบาร์ที่หายไปเมื่อสามปีก่อน และนอกจากยังพบหัวใจชำแหละใส่ถุงพลาสติกเก็บไว้ในครัวนางเบอร์นิช วอร์เดน (ที่ห้องอื่นๆยังพบศพแห้งของนางออกัสตาแม่ของเอ็ด กีนด้วย) และที่น่าขนหัวลุกสุดขีด เมื่อเขาเปิดปากถุงขยะก็พบห้องของนางเบอร์นิซ วอร์เดนที่เต็มไปด้วยสิ่งสกปรก เลือดจับเป็นก้อนรอบๆ จมูก การแสดงออกบนใบหน้าของเธอนั้นดูสงบ จากการตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนพบว่าที่หัวมีตะขอแขวนเข้าด้วยกันโดยเชือก เป็นที่ชัดเจนว่าเอ็ด กีนพยายามแขวนหัวของเธอบนผนังเหมือนกับชิ้นส่วนอื่นๆ ในห้องของเขา

การเผชิญหน้าและการค้นพบที่น่ากลัวเหล่านี้ถือว่าเป็นงานหนักของผู้เชี่ยวชาญนิติเวชและนักสืบเป็นอย่างมาก หลายคนเป็นผู้เชี่ยวชาญมานานหลายปี ยังแทบเตรียมใจไม่ได้ในการตรวจสอบบ้านที่เต็มไปด้วยศพและซากมนุษย์เหล่านั้นของเอ๊ด กีน ด้วยกลิ่นเหม็นที่สุดเหลือทน ความขยะแขยงที่มาจากกลิ่นเหมือนส่วนผสมของบ้านหมู โรงฆ่าสัตว์ และสุสานถ้ำอะไรสักอย่าง สิ่งเหล่านี้ทำให้เป็นภาพติดตาสำหรับใครหลายคนแบบไม่มีวันลืมเลือน สุดท้าย ตำรวจไม่อาจพิสูจน์จำนวนซากศพที่ค้นพบในบริเวณบ้านไร่ได้แน่ชัด อีกทั้งไม่รู้ว่าเหยื่อที่เอ็ดฆ่ามีกี่รายกันแน่นอกเหนือศพนางมารี โอแกนและเบอร์นิช วอร์เดน แต่ประมาณว่ามีศพในบ้านเอ็ด กีนไม่ต่ำกว่า 15 ศพ จากชิ้นส่วนอวัยวะที่ไม่เหมือนกัน


#อ่านต่อตอนที่ 3 ตอนจบ









Create Date : 18 กรกฎาคม 2558
Last Update : 22 กันยายน 2560 15:16:13 น. 0 comments
Counter : 2140 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

hathairat2011
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]










Google

ขอบคุณที่แวะมา
อย่าลืมคอมเม้นท์นะจ้ะ

Flag Counter

ส่งอีเมล์

Facebook ของ Hathairat



New Comments
Friends' blogs
[Add hathairat2011's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.