ฉบับ 1093 10/5/56 : Checker ฟันเฟืองสำคัญของ หนังไทย
ก่อนอื่นต้องขอกล่าวคำสวัสดี ท่านผู้อ่าน เนชั่นสุดสัปดาห์ ผมขอรายงานตัวในฐานะคอลัมนิสต์น้องใหม่แต่หน้าเก่าเพราะเคยมีประสบการณ์เขียนคอลัมน์เกี่ยวกับหนังไทยในเวบไซต์ pantip.com และที่นิตยสาร VOTE การกระโดดสู่สนามใหญ่อย่างเนชั่นสุดสัปดาห์ เป็นอะไรที่ตื่นเต้นมาครับ ผมจะตั้งใจและทุ่มเทให้กับคอลัมน์ม็อคค่า ปาท่องโก๋ นี้อย่างดีที่สุด ขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ! ในช่วงที่ผ่านมาปรากฏการณ์ พี่มาก...พระโขนง ที่กวาดรายได้ไปกว่า 500 ล้านบาท สร้างให้เกิดกระแสความสนใจในหนังไทยเพิ่มมากขึ้นอย่างมากมาย โดยเฉพาะในด้านสถิติและรายได้ ซึ่งโดยปกติรายได้ของหนังไทยที่มีการรายงานตามเวบไซต์ต่างๆ นั้น จะมีการระบุไว้ว่า เป็นรายได้เฉพาะในเขตกรุงเทพฯปริมณฑล และเชียงใหม่... จึงเป็นคำถามที่คาใจหลายๆคนว่า แล้วรายได้หนังรวมทั้งประเทศ ทำไมถึงไม่มีการรายงาน? หรือมีการปิดบังข้อมูล?และทำอย่างไรถึงจะรู้ได้ว่ารายได้หนังรวมจริงๆ แล้วเป็นเท่าไหร่กันแน่? ผมเชื่อว่าผู้ซื้อตั๋วดูหนังย่อมอยากทราบเป็นธรรมดาว่า เงินแต่ละบาทที่ต้องควักกระเป๋าออกไป มีส่วนอยู่ในรายได้หลายๆล้านของหนังที่รายงานกันหรือไม่... บังเอิญผมเป็นคนรักหนังไทยและคลุกคลีอยู่ในแวดวงพอสมควรทำให้มีข้อมูลอยู่จำนวนหนึ่ง จึงขออนุญาตเล่าให้ฟังเล็กๆน้อยๆ ครับ สำหรับในเขตกรุงเทพฯปริมณฑล และเชียงใหม่ รายได้จากค่าตั๋วหนัง ทางโรงหนังกับทางค่ายหนังจะแบ่งรายได้กันตามอัตราส่วนที่ได้ตกลงกันไว้(ประมาณ 50 : 50) โดยจะนำรายได้จากค่าตั๋วหนังหลักจากการหักค่าดำเนินการ บางประเภทมาแบ่ง ค่าดำเนินการก็มีเช่น ค่าจองผ่านอินเตอร์เน็ต ค่าบริการเพิ่มเติมที่นั่งแบบพิเศษ ค่าบริการการซื้อบัตรจากเครื่องอัตโนมัติ หรืออื่นๆ แต่อัตราส่วนนี้อาจมีการเปลี่ยนแปลงได้แล้วแต่การตกลงกันระหว่างค่ายหนังกับโรงหนัง ดังนั้นตัวเลขที่เราเห็นเช่น พี่มาก...พระโขนง สมมุติว่าได้ 500 ล้านทางค่ายหนังและโรงหนังก็จะแบ่งกันโดยประมาณ คนละ 250 ล้านบาท ส่วนทางค่ายหนังจะเช็คอย่างไรว่ามีการซื้อตั๋วไปเป็นจำนวนเท่าไหร่และราคาเท่าไหร่บ้าง? ตรงนี้ทางค่ายหนังจะมีทีมงานที่เรียกว่า Checker คอยนับจำนวนผู้ชมเอามาเทียบกับข้อมูลการขายตั๋วของทางโรงหนัง บางค่ายก็มี Checker ของตัวเอง บางค่ายก็การใช้ Checker ร่วมกัน แน่นอนการลงทุนจ้าง Checkerก็เป็นต้นทุนของค่ายหนังเช่นกัน ที่จริงแล้วต้นทุนของทางค่ายหนัง ยังมีอีกหลายอย่าง อาทิ ต้นทุนการสร้างหนัง ต้นทุนการผลิตสื่อที่ใช้ในการฉาย(ฟิล์มหรือไฟล์ดิจิทัล) ค่าจัดส่งสื่อไปฉายที่โรง ค่าโฆษณาประชาสัมพันธ์หนังผ่านสื่อต่างๆเช่น โทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ Social Mediaหรือสื่ออื่นๆ รวมทั้งโปสเตอร์ แบนเนอร์ ที่หน้าโรงหนัง คราวนี้ก็มาถึงเหตุผลที่ว่าทำไมการรายงานรายได้ของหนัง จึงมีการรายงานเพียงแค่รายได้ของหนังในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑลและเชียงใหม่? ก็เพราะในต่างจังหวัดระบบการจัดฉาย ของหนังในเขตต่างจังหวัด จะเป็นการขายผ่าน สายหนัง แล้วสายหนัง คือใคร? สายหนังก็คือผู้ที่จัดซื้อหนังเพื่อไปจัดฉายในพื้นที่ต่างๆ ซึ่งปกติจะแบ่งเป็น ภาค คือภาคเหนือ (ไม่รวมเชียงใหม่) ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก และภาคใต้ ซึ่งระบบการซื้อจะเป็นการซื้อแบบ ขายขาด ซึ่งสายหนังก็จะประเมินจำนวน Copy (จำนวน ม้วนฟิล์ม ในระบบฟิล์ม หรือจำนวน ไฟล์ในระบบดิจิทัล) ที่จะต้องนำไปฉาย (ทั้งในระบบดิจิทัลและระบบฟิล์ม)แล้วเจรจาต่อรองการซื้อขายกับทางค่ายหนัง... เมื่อซื้อขายตามจำนวนCopyที่ตกลงกันได้ สิทธิ์การจัดฉาย ใน ภาค นั้นๆ ก็จะตกเป็นของ สายหนังโดยสมบูรณ์ ทางค่ายก็จะได้เงินไปเท่ากับจำนวนที่ตกลงซื้อขายกัน ไม่ว่ารายได้จากการฉายจริงจะเป็นเท่าไหร่ ไม่ว่าจะขาดทุนหรือกำไร เช่น ซื้อ 1 ล้าน ฉายแล้วเก็บเงินได้1 แสน หรือ 3 แสน หรือ 1 ล้าน หรือ 10 ล้านทางค่ายก็ไม่สิทธิ์ในรายได้ส่วนนี้! นอกจากนั้น ในบางกรณี มีการตกลงกันในรูปแบบอื่น เช่นตกลงซื้อกันในราคาขั้นต่ำ และถ้ารายได้ในเขตกรุงเทพฯ ปริมณฑล และเชียงใหม่ เกินเท่าไหร่ (ตามที่ตกลง)สายหนังก็จะจ่ายส่วนแบ่งเพิ่มให้ ซึ่งเป็นเรื่องของการเจรจา... ทีนี้การแบ่งรายได้ระหว่าง สายหนัง กับ โรงหนังต่างจังหวัด ก็จะเป็นเช่นเดียวกับอัตราส่วนการแบ่งรายได้ของค่ายหนังกับโรงหนังในเขตกรุงเทพฯปริมณฑล และเชียงใหม่ โดยสายหนังก็เป็นผู้ลงทุนจ้าง Checker ไปนับจำนวนผู้ชมตามโรงหนังในภาคของตนเอง ดังนั้นการนับรวมรายได้ในต่างจังหวัดของหนังเรื่องใดๆหากอยากทราบรายได้ทั่วประเทศ จึงจำเป็นต้องได้ข้อมูลจาก สายหนัง ของแต่ละภาคแล้วจึงสามารถนำมารวมเพื่อเป็นรายได้ทั่วประเทศ ดังนั้นการรวบรวมรายได้ทั่วประเทศจึงเป็นเรื่องยากที่จะได้ข้อมูลที่ครบถ้วนถูกต้องในเวลาอันรวดเร็วจึงเป็นเหตุผลที่ไม่มีการรายงานรายได้ในส่วนนี้เป็นรายวันเหมือนกับการรายงานรายได้ในเขตกรุงเทพฯปริมณฑล และเชียงใหม่ นั่นเอง... ถึงตรงนี้เชื่อว่าหลายคนอาจสงสัยว่า ทำไมต้องมี สายหนัง ด้วย ทาง ค่ายหนัง จัดจำหน่ายเองไม่ได้หรือ? ต้องบอกว่าระบบสายหนัง นี้มีทั้งข้อดีและข้อเสียครับ... ข้อเสียก็อย่างที่ทราบคือ ทำให้ไม่มีการรายงานรายได้ทั่วประเทศ ถ้าหนังได้เงินค่ายหนังก็ไม่ได้เงินเต็มที่ตามที่ควรจะเป็น ยิ่งหนังรายได้สูง ค่ายหนังยิ่ง ขาดทุนกำไรที่ควรจะได้ แต่ในด้านข้อดีต้องบอกว่า สำหรับค่ายหนังแล้ว การมีผู้เข้ามารับความเสี่ยงในการจัดฉายแทนค่ายนั้นเป็นเรื่องดี เพราะถ้าหนังเจ๊ง สายหนัง ก็อ่วมฝ่ายเดียวค่ายหนังไม่ต้องเสี่ยงด้วย เหมือนเป็นการกระจายความเสี่ยง และการที่มีสายหนัง ทำให้มีโอกาสที่หนังเล็กๆ จะได้ไปฉายตามต่างจังหวัดเพราะบางครั้งค่ายหนังก็อาจขายพ่วงเป็นแพคเกจซื้อเรื่องนี้ เอาหนังเรื่องนี้ไปด้วย หากไม่มีสายหนัง โรงหนังย่อมต้องเอาหนังที่ทำเงินไปฉายก่อน โอกาสของหนังเล็กๆจะยิ่งน้อยลง และสุดท้าย หากไม่มี สายหนัง โรงหนังที่เป็นเครือขนาดใหญ่ก็จะมีอำนาจต่อรองกับค่ายหนังอย่างเต็มที่ สามารถควบคุมจำนวนโรงฉายได้อย่างอิสระซึ่งจะไปมีผลในด้านการต่อรองเรื่องอัตราส่วนรายได้อีกที ที่สำคัญที่สุดหากปล่อยให้ระบบการฉายหนัง ไปใช้ระบบ Demand / Supply ซื้อเยอะได้ราคาถูกกว่าโรงหนังเล็กๆ ก็จะไม่มีที่ยืน! เพราะจะไม่มีเงินไปสู้กับรายใหญ่ๆนั่นเอง และตลาดโรงหนังในประเทศไทยก็จะกลายเป็นตลาดที่มีผู้ขายน้อยราย เหมือนกับระบบโทรศัพท์มือถือ! ซึ่งหากมีการรวมหัวกันขึ้นราคาผู้บริโภคก็จะไม่มีทางเลือก... ยิ่งวงการภาพยนตร์เป็นธุรกิจที่ไม่ได้มีหน่วยงานมาควบคุมด้านราคาเหมือนกับระบบโทรศัพท์มือถือยิ่งอันตราย ลองพิจารณาจากราคาป๊อปคอร์น ขนมขบเคี้ยว และเครื่องดื่มที่ขายหน้าโรงหนังในปัจจุบันดูสิครับ! และที่ชัดๆ เลยก็คือ ราคาตั๋วหนัง ผมเห็นพ่อแก่แม่เฒ่าที่แห่ตามลูกหลานออกมาดูพี่มาก...พระโขนง ขยี้ตาด้วยไม่เชื่อว่าค่าตั๋วดู แม่นาคพระโขนง พ.ศ.นี้ปาเข้าไป 160 บาท! ธุรกิจภาพยนตร์ไทยที่จริงยังมีความเสี่ยงมากมาย หากใครได้ไปดูหนังในช่วงก่อนที่ พี่มาก...พระโขนงจะเข้าฉาย จะพบว่า โรงหนังเงียบเหงาอย่างน่าใจหาย เชื่อว่าในช่วงดังกล่าวโรงหนังแบกภาระขาดทุนมาพอสมควร ด้วยเหตุนี้ธุรกิจภาพยนตร์ ก็ยังคงเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา โดยทั้งหมด ขึ้นกับความนิยมในหนังซึ่งขึ้นกับผู้ชมภาพยนตร์ชาวไทยเป็นสำคัญครับ.
Create Date : 29 กันยายน 2557 |
Last Update : 29 กันยายน 2557 16:53:28 น. |
|
1 comments
|
Counter : 761 Pageviews. |
|
|