 |
 |
 |
 |
 |
|
 |
 |
|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
 |
27 มิถุนายน 2550 |
|
 |
 |
|
 |
|
|
|
 |
 |
 |
 |
|
 |
 |
 |
 |
|
หลักการวัดแสงเบื้องต้น
การวัดแสงที่แม่นยำถูกต้อง ต้องใช้ประสบการณ์สูง แต่รู้หลักการเอาไว้บ้างก็ดี ผมจึงรวมเอาหลักการคร่าวๆ จากผู้รู้ เอามาสรุปไว้ที่นี่ เริ่มต้นจาก ฟิล์ม ก่อน ภายในฟิล์มถ่ายภาพมีสารประกอบตัวหนึ่ง คือ ซิลเวอร์ฮาไลด์ หรือผลึกเกลือเงินไวแสง ผลึกตัวนี้มีความสามารถพิเศษคือ มันมีปฏิกิริยาเมื่อได้รับแสง ทำให้เรานำมันมาใช้ผลิตฟิล์มถ่ายภาพ เมื่อผลึกเกลือเงินไวแสงได้รับแสงในปริมาณหนึ่ง ก็จะเกิดภาพแฝงขึ้นมาในผลึก และเมื่อเรานำฟิล์มไปล้างด้วยน้ำยาสร้างภาพ ผลึกเกลือจะกลายเป็นโลหะเงินจับตัวกันหลวม ๆ มองเห็นกลุ่มของโลหะเงินเป็นสีดำ นั้นก็คือ ส่วนที่เป็นภาพบนฟิล์มนั้นเอง
ภาพบนฟิล์มจะเกิดได้ ต่อเมื่อผลึกเกลือเงินไวแสง ต้องได้รับแสงขึ้นต่ำ ถึงจะเกิดภาพแฝงได้ ถ้าได้แสงน้อยกว่าขั้นต่ำจะไม่เกิดภาพแฝงเลย เพราะภาพแฝงจะสลายตัว ว่าง่าย ๆ ก็คือ พลังงานแสงไม่พอที่จะไปทำให้ผลึกเกลือเงินเกิดภาพแฝงได้
ปริมาณแสง มีผลต่อโทนสีของภาพที่เกิดขึ้น ถ้าปริมาณแสงน้อยกว่าปริมาณแสงขั้นต่ำ แน่นอนว่า ภาพไม่มีทางเกิดได้ ถ้าปริมาณแสงเท่ากับปริมาณแสงขั้นต่ำ จะทำให้เกิดส่วนดำในภาพ และพอมองเห็นรายละเอียดบนฟิล์มได้ลาง ๆ เมื่อปริมาณแสงมากขึ้น ภาพก็จะเกิดมากขึ้นไปเรื่อย ๆ จากดำจัด กลายเป็นดำ เป็นเทาเข้ม เป็นเทา เป็นเทาอ่อน เป็นขาว เป็นขาวจัด จนกระทั่งถึงจุดหนึ่ง ภาพเกิดมากเต็มที่ 100% ไม่สามารถเกิดได้มากกว่านั้นอีกแล้ว
ถ้าพูดถึงฟิล์มเนกาติฟ ส่วนที่ไม่เกิดภาพเลยก็คือ ส่วนใสของฐานฟิล์ม ส่วนที่โดนแสงขั้นต่ำ ก็คือส่วนใสพอมีโทนเล็กน้อย ส่วนที่โดนแสงมาก คือ ส่วนดำบนฟิล์ม พอมองเห็นรายละเอียด ส่วนที่โดนแสงมากสุด ๆ คืน ส่วนดำสนิทของฟิล์ม
แต่ถ้าพูดถึงฟิล์มสไลด์ ส่วนที่ไม่เกิดภาพเลย คือส่วนดำที่สุดของฟิล์ม ส่วนขอบฟิล์ม เมื่อแสงมีปริมาณมากพอ ก็จะเกิดส่วนดำมีโทนเล็กน้อย แสงมาก จะเกิดส่วนใสมีรายละเอียดบนฟิล์ม และแสงมากสุด ๆ ฟิล์มจะใสขาวไม่เห็นอะไรเลย อย่างเช่น ส่วนหัวฟิล์ม
พฤติกรรมของพื้นฐานของฟิล์มก็คือ ภาพบนฟิล์มจะเกิดเป็นโทนสีอะไร ขึ้นกับปริมาณแสงที่ตกลงบนฟิล์มเป็นสำคัญ
ปริมาณแสงน้อยที่สุดที่ทำให้ผลึกเกลือเงินสามารถเกิดภาพได้ ถูกกำหนดอยู่ในรูปของ ISO หรือค่าความไวแสงฟิล์ม เครื่องวัดแสงไม่รู้หรอกว่า ฟิล์มที่เราใส่ไปมีความไวแสงเท่าไร ต้องให้แสงขั้นต่ำเท่าไร ควรเปิดรับแสงอย่างไร มันรู้ได้จากการตั้งค่าความไวแสงฟิล์ม ถ้าเราตั้งความไวแสงฟิล์มผิด ภาพก็จะเปิดรับแสงผิดไปด้วย
ฟิล์มมีอยู่ 2 ประเภท คือ
- ฟิล์มลายเส้น ให้ภาพขาวและดำ ไม่มีโทนเทา ถ้าให้แสงไม่พอ ภาพจะใส แสงพอภาพจะดำ แสงมาก ภาพก็จะดำ ไม่มีโทนเทา
- ฟิล์มโทนต่อเนื่อง ให้ภาพโทนขาว เทา และดำ ฟิล์มโทนต่อเนื่องจะมีช่วงรับแสงกว้าง แสงไม่พอ ไม่มีภาพ แสงมากเกินไป ฟิล์มดำปี๋ (เนกาติฟ) หรือใสแจ๋ว(สไลด์)
แต่ถ้าแสงพอ ขึ้นกับว่า พอแบบไหน พอน้อย ๆ ก็ให้ภาพสีดำ เทาเข้ม พอแบบมาก ๆ ก็ให้ภาพสีเทาอ่อน มีขาว(สไลด์)
ต่อไปนี้ขอพูดถึงสไลด์นะครับ ไม่ใช่เนกาติฟ ปัญหาก็คือ ฟิล์มโทนต่อเนื่อง ซึ่งก็ฟิล์มที่เราใช้ถ่ายภาพทั่วไป เป็นฟิล์มที่มีช่วงรับแสงกว้างมาก มีโทนสีมากมายหลายเฉด จะได้เฉดไหนก็ขึ้นกับแสงที่ตกลงไป
คราวนี้ จะสร้างเครื่องวัดแสงให้ทำงานร่วมกับฟิล์มโทนต่อเนื่อง ก็ต้องทำการกำหนดว่า วัดแสงแล้วจะให้ภาพสีใดบนฟิล์ม เช่น วัดแสงแล้วทำให้เกิดส่วนขาวบนฟิล์ม วัดแสงแล้วทำให้เกิดภาพส่วนดำบนฟิล์ม จะเอายังไงดีละทีนี้
ถ้าถามว่า การวัดแสงที่ถูกต้องในอุดมคติคืออะไร การวัดแสงที่ถูกต้องก็คือ การวัดแสงแล้วให้ภาพมีสีเหมือนวัตถุที่เป็นต้นแบบ ขาวเป็นขาว ดำเป็นดำ แต่ในทางเป็นจริงแล้วเป็นไปไม่ได้ เพราะความสามารถของเครื่องวัดแสงมีแค่ข้อเดียวคือ บอกว่าปริมาณแสงที่ตกลงเครื่องวัดแสงมีค่าเท่าไร ได้ค่าแล้วจะไปทำอะไร ก็เป็นเรื่องของผู้ใช้แล้ว มันไม่รู้ว่าวัดแสงจากวัตถุสีอะไร แสงเป็นอย่างไร ความเปรียบต่างเป็นอย่างไร รู้อย่างเดียวว่า แสงที่ตกลงบนตัวเองนั้น มีค่าเท่าไร
เราก็เลยต้องมาดูว่า แล้วจะเอาค่าปริมาณแสงที่ได้จากเครื่องวัดแสงไปทำอะไร ? ..ก็ไปทำให้เกิดสีดำ สีขาว สีเทา สีเทาอ่อน สีเทาเข้ม ฯลฯ ก็ฟิล์มมันมีตั้งหลายเฉดนี่นา เราก็เลยต้องมาดูภาพที่จะถ่าย หาวัตถุที่ขาวที่สุดที่ไม่ใช่กระจกและไม่ใช่แหล่งกำเนิดแสง หาวัตถุที่ดำที่สุด เอามาอยู่ในภาพเดียวกัน ลองให้แสงตกลงไป ผลก็คือ วัตถุที่ขาวที่สุด จะสะท้อนแสงได้ประมาณ 90% (ไม่มีวัตถุอะไรที่สะท้อนแสงได้ 100%) ส่วนวัตถุที่ดำที่สุดก็สะท้อนแสงออกมาประมาณ 3.6% ตรงกลางของ 90 กับ 3.6 คือ 18% ในระบบ log ฐาน 2 18% จะห่างจาก 90% อยู่ 2.3 stop 18% จะห่างจาก 3.6% อยู่ 2.3 stop เราจึงถือว่า สีเทา 18% คือ สีกลางของวัตถุทั้งมวล (ไม่ใช่ได้มาจากการหาค่าเฉลี่ย การสะท้อนแสงของวัตถุต่าง ๆ ในโลก)
หามองภาพทีเราถ่ายกัน ภาพส่วนใหญ่ก็จะเป็นโทนเทา มีส่วนขาวบ้าง ดำบ้าง แต่ส่วนมากก็จะอยู่ที่เทา เอาเป็นว่า เราสร้างเครื่องวัดแสงให้วัดแสงจากสีเทา 18% แล้วได้ภาพเป็นสีเทากลางบนฟิล์ม ก็แล้วกัน
แล้วจะสร้างแบบอื่นได้ไหม ได้ซิ ทำไมจะไม่ได้ สร้างให้วัดแสงจากส่วนขาว 90% แล้วได้ส่วนขาวบนฟิล์ม สร้างให้วัดจากส่วนดำ 5% แล้วได้ส่วนดำบนฟิล์ม สร้างให้วัดจากส่วนเทา 50% แล้วได้ภาพสีเทาอ่อนบนฟิล์ม จะสร้างอย่างไรก็ได้ทั้งนั้น
แต่ว่า ถ้าสร้างให้วัดแสงจากส่วนขาว 91.278% ได้ภาพเป็นสีขาว ก็ต้องไปวัดแสงจากส่วนขาว 91.278 % ด้วยนะ ถ้าไปวัดจากวัตถุสีเทา จะได้ภาพสีขาวบนฟิล์ม วัดแสงจากส่วนดำ จะได้สีขาวบนฟิล์ม วัดจากอะไร ก็จะได้สีขาวบนฟิล์ม
ถ้าสร้างให้วัดแสงจากส่วนดำ 3.8829% ได้ภาพเป็นสีดำ ก็ต้องไปวัดแสงจากส่วนดำ 3.8829% ถ้าไปวัดแสงวัตถุสีเทา ก็จะได้ภาพสีดำ วัดแสงจากวัตถุสีขาว ก็จะได้ภาพสีดำ
ไม่ว่าจะสร้างให้เครื่องวัดแสงไปวัดสีอะไร ปัญหามันก็มีเหมือน ๆ กัน คือต้องไปวัดแสงที่วัตถุสีนั้นในภาพ
คิดว่า มันอาจจะยากไปหน่อยนะ เพราะภาพเรารวม ๆ มันก็เป็นเทา ขืนสร้างให้วัดจากส่วนขาว คงได้วัดเมฆบนท้องฟ้ากันมันส์ไปเลย ถ้าสร้างให้วัดจากส่วนดำ มีหวังต้องไปวัดแสงจากเงามืด หรือเส้นผม แล้วเวลาผิดแสงผิด ภาพจะผิดแบบมหัศจรรย์ ไม่ไหวมั้งแบบนี้ เอาเป็นว่า สร้างให้วัดแสงจากส่วนเทา แล้วได้ภาพเป็นสีเทา จะดีกว่ามั้ง
ผลก็คือ เครื่องวัดแสง ถูกสร้างให้วัดแสงจากส่วนเทา และได้ภาพเป็นเทาเสมอ
แต่ว่าคนเราเนี้ย เวลาเอาเครื่องวัดแสงไปใช้งาน มันไม่ได้วัดแสงจากสีเทา 18% เพราะภาพที่เราถ่าย มันมีทั้งส่วนขาว ส่วนเทา ส่วนดำ ดำมาก ดำน้อย ดำชิบเป๋ง ขาวจั๋ว ขาวหน่อย เยอะแยะไปหมดเลย เครื่องวัดแสงมันก็เลยจะวัดแสงถูกต่อเมื่อ เฉลี่ยสีของวัตถุในส่วนพื้นที่วัดแสงทั้งหมด รวมแล้วเท่ากับ เทา 18% หรือไม่ก็ ไปวัดแสงที่เทา 18% มันเสียเลย (การที่เราใช้กระดาษเทา 18% วัดแสง หรือใช้เครื่องวัดแสงแบบตกกระทบ ก็คือ การวัดแสงจากเทา 18% ของจริงนั้นเอง)
หลายครั้ง เราก็มีส่วนขาวมากไป ส่วนดำมากไป ไม่เจอเทา 18% บ้าง ภาพมันก็ดีบ้าง พังบ้าง เป็นเรื่องปกติ เพราะเราใช้งานไม่ถูกต้อง แต่ไม่ว่าภาพที่เราไปวัดจะเป็นอย่างไร ภาพที่เราได้จะมุ่งเข้าสู่โทนกลาง หรือเทากลางเสมอ ถามว่า คนออกแบบเขารู้ไหม ว่าภาพมันจะพังบ้าง ดีบ้าง รู้ครับ คนออกแบบเครื่องวัดแสง ตั้งระบบวัดแสงขึ้นมา เขาฉลาดมาก แต่ไม่มีทางเลือก การวัดสีเทาแล้วได้ภาพสีเทา เป็นทางสายกลางที่ทำให้ได้ภาพเสียหายน้อยที่สุดแล้ว
ถ้าเราวัดแสงจากเทากลาง เราได้สามารถใช้ค่าจากเทากลางมาใช้เป็นค่าเปิดรับแสงได้เลยในเบื้องต้น ยกเว้นแต่ว่าเราต้องการผลพิเศษ ก็สามารถชดเชยแสงได้อีก ถ้าเราไม่ได้วัดแสงจากวัตถุที่เป็นเทากลาง หรือวัตถุใด ๆ ก็ตามสีของภาพจะออกมาเป็นเทากลาง เมื่อมองภาพแบบขาวดำ จะชดเชยแสงหรือไม่ ขึ้นกับความต้องการของเราว่า ต้องการให้ภาพออกมาเป็นเทากลางแบบนั้น หรือต้องการเปลี่ยนเป็นสีอื่น เช่น มีวัตถุสีขาว แล้ววัดแสงจากวัตถุสีขาว หากถ่ายภาพที่ได้วัตถุขาวจะออกมาเป็นเทา จะชดเชยแสงหรือไม่ขึ้นกับว่า 1. ถ้าต้องการให้ขาวเป็นเทาแบบนั้น ก็ไม่ต้องชดเชย 2.แต่ต้องการให้ขาวเป็นดำ ชดเชยแสงไปทาง - หรืออันเดอร์เพิ่ม 3.ต้องการให้ขาวกลับเป็นขาว ก็ต้องชดเชยแสงเพิ่มทาง + หรือโอเวอร์ การชดเชยแสงมันขึ้นกับว่า เราต้องการให้สีเทากลางของภาพที่จะได้ กลายเป็นสีอะไร บางครั้งเราไม่ได้คำนึงถึงว่า วัตถุเป็นสีอะไรด้วยซ้ำ คิดถึงแต่ว่า ต้องการให้วัตถุเป็นสีอะไร เช่น ถ่ายภาพแสงอาทิตย์ที่กำลังลอดเมฆอยู่กลางทะเล เมฆเป็นสีขาว แสงเป็นขาวกว่า และดวงอาทิตย์เป็นขาวที่สุด เมื่อเราวัดแสงที่เมฆ หากเราไม่ชดเชยแสง ได้เมฆเป็นสีเทา ลำแสงสีขาว พระอาทิตย์สว่างเวอร์ ชดเชยไปทางโอเวอร์เพื่อให้ขาวเป็นขาวตามหลักการ ได้เมฆสีขาว ลำแสงขาวจ้า พระอาทิตย์ใสแจ๋ว แต่เป็นผมเลือกเปิดอันเดอร์อีกเล็กน้อย เพื่อให้เมฆเป็นสีเทาเข้มแบบเมฆฝน ลำแสงเป็นเทาอ่อน แล้วเห็นดวงอาทิตย์ขาว
ตัวอย่าง
เช่นไปถ่ายน้ำตก ก็จะไปวัดแสงที่บริเวณใบไม้สีเขียวแทน เค้าว่ามันจะได้ค่าใกล้เคียงสีเทากลาง แล้วจึงเอาค่าแสงไปวัดที่น้ำตก ได้ประมาณ +2.5 วัดตรงส่วนที่ไม่ถูกแสง -2 แล้ววัดที่ท้องฟ้าได้ +1.5
แสดงว่า สุดท้าย ภาพนี้ น้ำตกอยู่ที่ +2 ส่วนไม่ถูกแสงอยู่ที่ -2.5 ฟ้าอยู่ที่ +1.5 รวม ๆ ก็น่าจะโอเคนะ แต่จะเป็นอย่างไร มันต้องดูภาพที่จะถ่ายจริง ๆ ดูเฉพาะค่าแสงไม่ได้หรอก ต้องดูสัดส่วนของแสงในภาพนั้นด้วย และอุณหภูมิ ปัจจัยอื่นๆประกอบ
อ้อ สีเขียวก็มีหลายโทน เขียวเข้ม เขียวอ่อน เขียวโดนแดด อะไรทำนองเนี๊ยะ เนื่องจากบางคน พยายามวัดแสง หาวัดที่อื่นๆแล้วหาหลักไม่เจอ...ก็เอาแถวใบไม้สีเขียวนี่แหละ พอเป็นเครื่องนำทาง ดังนั้นควรใช้หลักว่า ใบไม้สีเขียวนี่ต้องไม่มีละอองน้ำชุ่มฉ่ำเพราะมันจะสะท้อนแสงขึ้นมา และต้องไม่ใช่พุ่มไม้ทึบๆ แล้วก็น่าจะเป็นสีเขียวอ่อนใกล้เคียงใบตอง ของกล้วย(ด้านหน้าใบ)อะไรประมาณนี้
อ่านจบอางจจะงงเหมือนผมก็ได้ จริงป่ะ!?@#%$
Create Date : 27 มิถุนายน 2550 |
|
5 comments |
Last Update : 27 มิถุนายน 2550 17:13:56 น. |
Counter : 1711 Pageviews. |
|
 |
|
|
| |
โดย: PaTueng 27 มิถุนายน 2550 21:16:12 น. |
|
|
|
| |
โดย: x^o`ปูน IP: 203.114.112.12 27 มิถุนายน 2550 21:50:30 น. |
|
|
|
| |
โดย: sanomaru 28 มิถุนายน 2550 9:21:18 น. |
|
|
|
| |
โดย: คนไม่รู้ IP: 124.120.155.4 18 กันยายน 2551 12:39:42 น. |
|
|
|
| |
โดย: อยากถาม IP: 124.121.10.25 30 พฤศจิกายน 2552 19:47:21 น. |
|
|
|
| |
|
|
 |
 |
 |
 |
|
|