Be Happy on Lazy day
 
มิถุนายน 2550
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
 
29 มิถุนายน 2550
 
 

บันทึกการเดินทาง Australia-New Zealand

11-18/11/00
จริงๆแล้ว ก็แค่ ซิดนีย์ กับ นิวซีแลนด์เกาะใต้ เท่านั้นล่ะ





วันที่หนึ่ง 11/11/00 เริ่มจากการเดินทางออกจากกรุงเทพฯโดยสายการบิน Quantas เที่ยวบินที่ QF002 ออกจากกรุงเทพฯเวลา 17.40 น. เพื่อไปนครซิดนีย์ ระหว่างที่ check-in คิวยาวมากๆๆๆเลย และได้ที่นั่งคนละแถวด้วย เลยต้องไปลุ้นขอเปลี่ยนที่เอาเองข้างบนเครื่อง พอดีเจอคณะหนึ่งที่อยากเปลี่ยนที่นั่งพอดี เลยแลกได้ลงตัว....

วันที่สอง 12/11/00 ถึงออสเตรเลีย เวลา 06.30 น. อากาศด้านนอกนั้นค่อนข้างชื้น เพราะฝนพรำๆเล็กน้อย จากนั้นไปยังจุดนัดพบคนรถ เพื่อรับเราไปส่งที่โรงแรม Bayside จุดนัดพบที่นี่นั้นค่อนข้างจะหายากเพราะคนเยอะมาก แต่สุดท้ายก็เจอจนได้ กว่าจะเจอปาเข้าไปเกือบ 8 โมง จากนั้นเดินทางต่อไปที่พัก ระยะทางจากสนามบินไกลพอควร เพราะเราลงเป็นกลุ่มสุดท้าย ระหว่างทางที่เขาไปส่งแขกคนอื่นนั้น ประตูรถมินิบัส เปิดออก มีกลุ่มเด็กวัยรุ่นจอมซ่าที่ถอดเสื้อเดินตัวเปล่าโต้ลมหนาวกัน โฉบเข้ามาที่ประตูชวนผมไปเดินเล่นกัน แหม!!!! อากาศหนาวได้ที่เลยนะนี่ กะจะกระโดดลงไปถอดเสื้อโชว์พุงเดินเล่นกับพวกนั้นซะแล้ว เกรงใจคนที่มาด้วย อิอิ เลยไม่ได้ไปร่วมขบวนต้านความหนาวเลย เมื่อถึงโรงแรมแล้ว เช็คอินทันที แต่Front เขาบอกว่า เช็คได้ แต่จะเปิดห้องให้เข้าต้องหลังบ่าย 2 โมง ดังนั้นจึงฝากกระเป๋าสัมภาระไว้ที่โรงแรม แต่ก็ไม่ลืมที่จะหยิบเสื้อ แจ็กเก็ตติดตัวไว้ เพราะอากาศค่อนข้างชื้นและหนาว
เอาละสิ ครั้งแรกในเมืองนี้เลย เอายังไงดี ไม่รู้ว่าจะเริ่มเดินทางไปทางทิศไหนดี คงต้องมั่วไปก่อนละว่าทิศทางไหนไปเมือง ครั้นจะนั่งรถประจำทางเข้าไปก็กลัวผิดทาง และเพิ่งมาไม่มีเศษเหรียญจ่ายค่าโดยสารด้วยสิ ไม่รู้ว่าเท่าไหร่ด้วย เดินดีกว่า เริ่มออกจากโรงแรมไปทางทิศใต้ เดินไปสักพัก เหมือนกับว่าจะออกจากเมืองนะ กลับดีกว่า ไปถามคนที่โรงแรมดีกว่า ระหว่างเดินทางกลับ มองเห็นรถไฟฟ้าวิ่งผ่านด้านบนเรา
"เอาละ ไปสถานีรถไฟฟ้าก่อนดีกว่า น่าจะสะดวกสุดแล้วละ เริ่มต้นที่นั่นแล้วกัน" ผมพูดออกความเห็น
"ก็ดี น่าจะเดินทางได้ง่ายกว่า" เจนกล่าวเสริม
และแล้วเราก็เดินทางผ่านโรงแรม ถามพนักงานว่าสถานีรถไฟฟ้าไปทางไหนและไกลมั๊ย เขาบอกว่า ไม่ไกล เดินได้ เราจึงเดินออกไปทางทิศเหนือทันที (อิอิ ทีแรกนะเดินทางผิดง่ะ คนละทิศเลย แต่ช่วยไม่ได้ Sense มันผิดพลาดไปเล็กน้อย)
และแล้วเราก็มั่วมาจนถึงใจกลางเมืองจนได้ ค่าโดยสารในเขตเมือง เขาคิดเที่ยวละ 2 เหรียญต่อคน ออกมาจากสถานี Town Hall เจอกับโบสถ์รูปทรงสวยงาม อดไม่ได้ต้องถ่ายรูปกันเสียหน่อย จากนั้นเริ่มเดิน เดิน เดิน กันต่อไปเลย



เป้าหมาย ดาร์ลิ่ง ฮาร์เบอร์ แหล่งรวมความบันเทิงทุกสิ่งแหล่งหนึ่ง ถ่ายรูปมาเรื่อยๆ ผ่านสวนดอกไม้ มาเวทีกลางแจ้ง เสียงคนไทยออกไมค์ ฟังดูจึงรู้ว่ากำลังมีงานเทศกาลอาหารไทยกับประเพณีไทย ลอยกระทง อยู่พอดี เวลาก็ปาเข้าไปเที่ยง ลองไปเดินเล่นดูงานดีกว่า มีอาหารไทยหลากรสให้เลือก ราคาแพง ไม่ต่ำกว่า 5 เหรียญทั้งน้านนน แต่เปรี้ยวปากอยากกินส้มตำ เลยต้องจ่าย 5 เหรียญซื้อส้มตำรองท้องเสียหน่อย รสชาดเพี้ยนไปมาก อาจจะเครื่องที่ใส่ไม่ค่อยได้ที่ หรือน้ำปลาน้ำตาลต่างจากเมืองไทย สรุป จานเดียวพอ เฮ้อ ผ่านไป 1 มื้อ เดินต่อไปจนถึงพิพิธภัณฑ์เรือโบราณ ประกอบไปด้วย ไวกิ้งส์ เรือดำน้ำ และเรือรบที่จอดไว้ที่ท่าน้ำเพื่อให้ได้ชมกัน เสียตังก์นะครับ เลยได้แต่ชะเง้อดูเอาก็พอ



บ่ายแล้วกลับไปโรงแรมก่อนดีกว่า ห้อง หมายเลข 401 อยู่ชั้น 4 ห้องหัวมุม พักล้างหน้าล้างตา สบายใจแล้ว ขอออกไปเดินต่อดีกว่า คราวนี้ขอไปเดินเล่นแถว centerpoints ลงสถานีเดิมแต่เดินไปอีกทาง ไปแวะห้างดัง เดวิดโจนส์ ห้าง QVB ที่ตัวตึกเป็นตึกโบราณ แต่ภายในตบแต่งได้สวยงาม สรุปแล้วไม่ได้อะไรติดมือมาเลย เดินต่อมาแวะร้านข้างทางลดราคา ซื้อ ชอคโกแลต ของฝาก และไม่ลืมที่จะซื้อ adapter เพราะต้องใช้ที่นิวซีแลนด์อีกและปลั๊กไฟที่นี่หน้าตาประหลาดมาก มี 3 รู แต่เป็นรูเฉียงๆ
จากนั้นขอไปชมโอเปร่าเฮ้าส์เสียก่อน กันพลาด นั่งรถไฟฟ้าตามแผนที่ๆมีในมือ ต่อไป ปรากฎว่า นั่งผิดขบวนไปสายใหม่ที่ไม่มีในแผนที่ที่เราถืออยู่ เลยออกไปนอกเมืองข้ามสะพานฮาร์เบอร์บริจด์ เรารีบออกจากสถานีเพราะมันแหม่งๆ เอาละสิ เลยถามฝรั่งแถวนั้นดูจึงรู้ว่านี่เป็นสายใหม่ งงไปเลยเรา เฮ้อ…. ไม่เป็นไร เดินเล่นบนสะพานก่อนก็ได้ ออกจากสถานีสอดบัตร ปรากฎว่า มันร้องและไม่ยอมเปิดให้ออก ใส่อีกทีก็เหมือนเดิม เอาละสิ อ๋อ เพราะเราตีตั๋วในเมือง 2 เหรียญ พอออกนอกเมืองต้องโดนปรับ แต่ก็หาเจ้าหน้าที่ไม่เจอ ทำไงดีหว่า.. เดินงงงงเป็นเด็กบ้านนอกเข้ากรุง ก็มีเด็กนักเรียนหน้าตาญี่ปุ่นที่นั่งคุยกันแถวๆนั้น มาเปิดประตูฉุกเฉินให้ เขาบอกว่ามันคง error ไปเถอะ ผมก็เอาบัตรให้เขา เขาบอกไม่เป็นไร ไปเถอะ 55555 แน็บเลยสิครับ เดินแวปหนีไปเลย มาเมืองเขาครั้งแรกก็ฝ่าฝืนกฎซะแล้ว อิอิ เลยเก็บตั๋วมาเป็นที่ระลึก นี่ไง….
เราเห็นแล้ว โอเปร่า อยู่โน่นไง ต้องเดินข้ามสะพานอันใหญ่โต ลมพัดเย็นมาก ถ่ายรูปบนสะพานแล้วเดินกลับลงมาเพื่อรออาทิตย์ตกดินเพื่อเก็บภาพยามค่ำฝั่งตรงข้าม รอแล้วรอเล่ามันก็ไม่ตกสักกะที นี่ก็ปาเข้าไปเกือบ2 ทุ่มแล้วนะ กลิ่นเครื่องเทศของอาหารไทยโชยมา โชยมา มันหอมมากๆเลย โอ๊ยยย หิววววววว….
"เจน พี่ว่าแวะหาอะไรใส่ท้องหน่อยดีมั๊ย" คนเริ่มหิวนี่ ชวนก่อน "ลองแวะไปดูก่อนจิ" บรรยากาศเป็นร้านอาหารไทยเล็กๆห้องแถวเดียวอยู่เชิงสะพานนั่นแหละ ขายดีมากที่นั่งไม่พอนั่ง ฝรั่งยืนรอคิวด้านนอก ดูราคาแล้วแพงหูฉี่เลย แต่อยากกินนะ ใจหนึ่งกลัวรสชาดเพียน อีกใจหนึ่งก็หิว แต่ทนรอคิวไม่ไหว เลยกลืนน้ำลายลงท้องไปก่อน เฮ้อ….
"สงสัยมันจะไม่ตกแล้วมั๊งพี่ กลับเถอะ หนาวววว" เสียงเจนกล่าวชวนกลับ ก็ OK ไม่รู้ว่ามันจะตกเมื่อไหร่ ไปดีกว่า ฟ้าก็เมฆทมึนเยอะมาก เราจึงเดินข้ามสะพานผ่านความหิวโหยของกลิ่นอาหารไทยที่โชยมาเต๊ะจมูก ฝนเริ่มกระหน่ำปรอยๆ เท้า 2 ข้างเริ่มสับแหลกเพื่อไปหาให้ถึงสถานีรถไฟเร็วๆ เส้นทางไกลมาก เราเลือกที่จะเดินบนทางด่วนเพื่อชมวิวด้านบน แสงไฟเริ่มเปิดขึ้นมาแล้ว เริ่มมืดแล้ว ได้มุมเหมาะ ขอสัก 2 รูป เลยต้องคว้าเอาขาตั้งกล้องตัวเก่งออกมาถ่ายวิวตอนย่ำค่ำสัก 2 รูป
จากนั้นเดินทางต่อมาจนถึงทางลงจากทางด่วน ไกลมากเลยนะนี่ เหลือบไปเห็น ร้าน แมคโดนัลล์ ราคาใช้ได้ ไม่แพงมาก จึงขอฝากท้องมื้อเย็นนี้ไว้ที่ แมคชิกเก้นแล้วกัน ได้เวลากลับแล้วละ เกือบ 4 ทุ่มแล้ว กลัวรถจะหมด …กลับถึงที่พักก็อาบน้ำแล้ว คร๊อกกกก…ฟี่…สบายใจ พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่

วันที่สาม 13/11/00 เรานัดทัวร์มารับที่โรงแรมเพื่อจะไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติบลูเม้าเท่นส์เต็มวัน ตื่นเช้าหน่อย อาหารเช้าของโรงแรมที่นี่ ส่วนใหญ่จะเป็นขนมปัง แยม เนย ผลไม้ ซีเรียล ง่ายๆ กุ๊กที่นี่มีคนจีนด้วย เหลือบไปเห็นโจ็กหรือข้าวต้มเละๆก็ไม่รู้ ใส่หม้อดินเอาไว้ รู้แต่ว่ามันจืดไม่มีเครื่องเลย พวกเราชาวเอเชีย เลยลุยข้าวอันนี้ซะอิ่ม โดยใส่เครื่องเทศเพิ่ม บวกกับใส่หมูแฮมเพิ่มเข้าไป แฮะๆๆๆ ทำตามอย่างเจนนะ เข้าท่าดี ส่วนกุ๊กเดินมาอีกที งงใหญ่เลย ไปคุยกับกุ๊กฝรั่งใหญ่บอกว่าวันนี้ข้าวต้มโจ๊กขายดีเห็นมั๊ย อิอิ สงสัยจะปลื้มฝีมือตัวเอง
รถมารับแล้ว เขาชี้ให้ดูชื่อ ซึงใช้นามสกุลเราที่ยาวมากๆๆ และเขาอ่านไม่ออก เราบอกว่า ใช่ เลยเรื่มออกเดินทางกันเลย โดยรถพาไปรวมกับคณะอื่นๆที่หน้าบริษัทเขา บริเวณ Circular Quay ฝนกระหน่ำปรอยๆ อากาศแย่เชียวละ รอ รอ รอ ฝนก็ตกใหญ่ มีไกด์คนหนึ่งเข้ามาคุยถามที่มาของทุกคน เขาดูชื่อ แล้วก็ทักทายทำความรู้จัก มาถึงชื่อผมเขาบอกว่าขี้เกียวจเรียก เอางี้ เรียกว่า Mr. Bla bla bla แล้วกัน …เพราะเรียกไม่ถูก อิอิ ดีสิจะได้ไม่ต้องเรียกเราตอบไงละ
คณะพวกเราเดินท้าฝ่าดงฝนไปที่ท่าเรือ รอเวลา 09.00 น. เพื่อล่องเรือกัน ผมกับเจนพยายามจำเพื่อนร่วมทาง ให้ได้อย่างน้อยสักคน สะดุดกับหนุ่มน้อยเยอรมัน(หมายถึงความเป็นหนุ่มเหลือน้อยลงนะ) ใส่เสื้อแจกเก็ตสีเหลืองอ๋อยเชียว สรุปเราจะตามตานี่ละ เพราะไกด์ส่งเราขึ้นเรือแล้ว บ๊าย บาย มันยังไงกันละนี่ ฮี่ ฮี่
เรือลำนี้ เรียกว่า Rivercat cruise มุ่งหน้า panamarama กว่าจะได้ออกก็ 9.15 น. ฝนตกตลอดเส้นทาง การชมความงามของอ่าวน้อยใหญ่ที่นี่ ดูไม่น่าสนใจเสียเลย รอขึ้นฝั่งอย่างเดียว เกือบชั่วโมงก็มาถึงฝั่ง พบไกด์ขาเรียวขาว สวยเชียว ใส่กางเกงขาสั้น มองดูจากด้านล่างขึ้นมาข้างบน เอ ผอมไปหน่อยนะ ก็ตะลึงๆๆๆๆๆๆๆๆๆ มันผู้ชายนี่น่า มีหนวดด้วย 55555 เขาขับรถมินิบัสรับคณะพวกเรา ขับเองพร้อมเสียบไมล์ที่ครอบหัวบรรยายตลอดทาง เอ้อ ใช้คุ้มแฮะ เดินทางต่อไป wild life park เพื่อชมสัตว์พื้นเมืองที่นี่ คือ จิงโจ้และหมีโคอาล่า ถึงเวลา 10.15 น. เข้าไปถ่ายรูปกับเจ้าดาราคือ หมีโคอาล่าเสร็จ แวะถ่ายรูปคู่กับจิงโจ้เสียหน่อย แต่ก็ไม่ลืมที่จะถ่ายคู่กับงูที่เอามาพาดคอ อึ๊ยส์..ครั้งแรกนะนี่ …..





11 โมงเช้าแล้ว ต้องเดินทางต่อไป Blue Mountain เสียที รู้สึกไกลมาก ฝนพรำๆตลอดทาง งานนี้คงไม่ได้เห็นอะไรแน่ๆ ระหว่างทางแวะให้เราซื้อของที่ร้านขายผลไม้ข้างทาง ตอนนี้ก็เวลาประมาณ 12.00 น.พอดี ชื่อร้าน Bilpin Fruit Bowl แต่ก็ไม่มีอะไรที่น่าสนใจเลย นอกจากห้องน้ำ ออกเดินทางต่อไปยังโรงแรมอิมพีเรียล เพื่อทานอาหารเที่ยงกันที่นี่ อากาศหนาวมาก ภายในมีเตาผิงและบรรยากาศดีมากเลย มื้อนี้เป็นไก่ย่างครึ่งตัวที่คงสภาพตัวเอาไว้ ขนาดใหญ่ พร้อมสลัดผักเล็กๆ อาหารจานใหญ่มาก เลี่ยนด้วยแหละ แหวะ เฮ้อ….
และแล้วก็มาถึงเสียที เจ้าบลูเม้าเท่นส์ อยู่สูงจากระดับพื้นดินมาก ยืนอยู่ระดับเดียวกับเมฆขาวที่ลอยไปมา ไม่เห็นอะไรเลย…55555
เดินเข้าป่าไปอีกนิด เพื่อไปยังจุดชมวิว ป่าที่นี่สมบูรณ์มากๆ ฟังเสียงน้ำตกที่ไหล ได้แต่ฟังเพราะเมฆขาวบังเสียหมด เลยไม่เห็นอะไรเลย ออกเดินทางต่อมาที่จุดชมวิว ภูเขาแฝดสามพี่น้อง Three Sisters เพื่อนั่ง Cable Skyline ชมวิวและน้ำตก แต่เสียตังก์เพิ่มนะครับท่าน จะเลือกนั่งกระเช้าหรือรถรางลงไปชมด้านล่างก็แล้วแต่ เสียตังก์กันเอง ค่าบริการกระเช้าลอยฟ้าก็เที่ยวละ 8 เหรียญต่อคน



แวะซื้อของที่ระลึกได้ป้ายจราจรบอกระวังจิงโจ้มา 1 อัน
ขากลับ นั่งรถนานมาก ฝนพรำๆตลอด ผ่านให้เห็น หมู่บ้านนักกีฬาและสนามกีฬาที่ใช้แข่ง โอลิมปิค ซิดนีย์ 2000 ที่ผ่านการจัดงานมาไม่นานมานี้ ใหญ่โตอลังการมากเช่นกัน กลับมาถึงโรงแรมก็ปาเข้าไป 18.30 น. ล้างหน้าเปลียนชุดไปหาอะไรกินกัน + เดินเล่นสถานที่ยังเหลืออีก วันนี้จะไปลงสถานี Central แล้วหากมีเวลาจะเดินเลยไปชมประดับไฟที่ดาร์ลิ่ง ฮาร์เบอร์ต่อ หลังจากที่ออกจากสถานี central แล้ว งงมาก ไม่รู้ทิศทางเลย เจอร้าน convenience store อ่าฮ้า มีบะหมี่สำเร็จรูปปรุงเสร็จด้วย เลยถามว่ามีน้ำร้อนบริการด้วยหรือเปล่า เขาบอกว่ามีก็ วันนี้ลองมาม่าเมืองนอกละ คนละชุดคงจะพออิ่ม ราคากระปุกละ 2 เหรียญ แล้วหาทางเดินต่อ ฝนตกไม่หยุดเลยวันนี้ ขอถ่ายรูปยามค่ำสักรูป ละที่หอนาฬิกา แล้วเดินลอดใต้อุโมง เจอศิลปินมากมาย บางคนก็เปิดเทปดนตรีแล้วเป่าฟรุ๖แจมกับดนตรีนั้น เพราะมาก ขึ้นมาก็เจอ เซเว่น-อีเลฟเว่นด้วย แต่ไม่ได้ซื้ออะไร ต่อมาจนถึง china town ซึ่งใกล้กับ ดาร์ลิ่ง ฮาร์เบอร์ อืม 2 ทุ่มครึ่งเข้าไปแล้วหรือนี่ แวะไปดู Food Center ที่นี่ว่าเป็นอย่างไรดีกว่า มีร้านขายอาหารมากมาย มีร้านอาหารไทยอยู่ 2 ร้าน โอ้โห จานทำไมมันใหญ่ยังงี้ละ อาหารจานเปลยักษ์ มีขนาดเดียวราคาตั้งแต่ 5 เหรียญขึ้นไป อ่านชื่อจึงรู้ว่าเจ้าของชื่อป้าจุก ร้านนี้คือร้านป้าจุก ลูกค้าคนไทยเข้ามาทักทายป้าเยอะมาก เพราะแกอัธยาศรัยดีชอบคุย วันนี้ขอลองผัดหมี่สิงคโปร์สักจาน 555 เสร็จเราเจอแหล่งอาหารแห่งใหม่แล้ว ไชโย เขาปิดบริการ 4 ทุ่ม จึงขอกลับบ้านพักผ่อนดีกว่า วันนี้เหนื่อยแล้ว ออกจากนั้นก็ปาเข้าไป 21.45 น.แล้ว เดินไปขึ้นรถไฟใต้ดิน ที่สถานี Town Hall กลับที่พัก ก็ดึกเลย กว่าจะเดินถึงห้องอีกก็เหยียบๆ 5 ทุ่มอีกตามเคย

วันที่สี่ 14/11/00 หลังจากเบรกฟาด (Breakfast) ก็ออกมารอรถ มีเรื่องตื่นเต้นเกิดขึ้น คือเสียงสัญญานไซเรน ดังทั้งตึก บอกให้รู้ว่าไฟไหม้ แป๊ปเดียว รถดับเพลิงก็มาถึง พร้อมเข้าเคลียร์หาจุดเกิดเหตุ พอดีเราแพ็คกระเป๋าเสร็จแล้ว เดินเอากระเป๋าลงมาเรียบร้อย เพื่อเช็คเอ้าท์ เสียงเจ้าหน้าที่บอกว่า สัญญานมาจากชั้น 4 ต้นเหตุ ….นึกในใจ เอาละสิ ลืมปิดอะไรเป่าหว่า…หลังจากเช็คดูสักพัก เขาบอกว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ค่อยโล่งอก นึกว่า เด๋วจะไม่ได้เที่ยวต่อซะแร้น อิอิ วันนี้จะเป็นการเที่ยวนครซิดนีย์ ครึ่งวัน โปรแกรมนี้เกิดความผิดพลาดไม่ส่งรถมารับเราที่โรงแรม หลังจากที่เช็คดูแล้ว เขาให้เรานั่งแท็กซี่มาเอง เจอกันที่คาสิโนชื่อดังคือ star city แล้วเขาจะจ่ายค่าแท็กซี่ให้ คนเยอะมาก คิวยาวมากที่บูท ทำให้เราต้องจ่ายค่าแท็กซี่ สำรองจ่ายไปก่อนทั้งหมด 16 เหรียญ เมื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ได้แล้ว ขอเบิกค่าแท็กซี่ กลับได้รับการปฏิเสธเพราะเขาขอใบเสร็จรับเงินหรือ voucher ที่แท็กซี่ออกให้ ซึ่งเราเองก็ไม่รู้ได้ว่าแท็กซี่ที่นี่มีใบเสร็จด้วย เขาชี้แจงว่าหากไม่มีก็ทำอะไรเบิกไม่ได้ไม่มีหลักฐาน น่านนนเอาเข้าไป ช่างหัวมัน เที่ยวดีกว่า …แต่ก็แค้นในใจ ทิ้งเราแล้วยังมาให้เราจ่ายอีก เฮ้อ….
รถที่ใช้คราวนี้เป็นรถทัวร์ขนาดใหญ่มาก และเช่นเดิม คนขับสวมไมค์พูดเป็นไกด์ด้วย ขับไปพูดไป คงไม่สับสนกับการตั้งใจขับรถหรอกนะ ภาวนาอย่างนั้น อืม ใช้งานคุ้มดีแฮะ เที่ยวตัวเมือง ผ่านสิ่งที่เราเที่ยวมาแล้วทั้งนั้น ฝนพรำๆกระหน่ำต่ออีกวัน ออกเมืองไปทางเหนือ เพื่อชมทะเลด้านเหนือ และบ้านเศรษฐีแถวนั้น แล้วกลับมาส่งที่ Rocks สถานที่เก่าแก่แห่งหนึ่งที่อนุรักษ์เอาไว้ ผมแวะหลบฝนที่ศูนย์ข้อมูลท่องเที่ยวตรงนั้น ตกลงฝนไม่มีทีท่าว่าจะหยุด จึงต้องซื้อเสื้อฝนมาคนละตัว ราคาตัวละ 5.45 เหรียญ จากนั้น ลุยเลย เดินเล่นที่ตลาดเก่า rock market ได้ บูมเมอแรงมา 1 อัน ได้เวลาแล้วละ ไปหาผัดซิอิ๊วจานโตกินที่ china town ดีกว่า เลยนั่งรถไฟไปอีกครั้ง ลงที่ Town Hall แล้วเดินไปโซ้ยผัดซิอิ๊ว 1 จาน 2 คน ราคา 6 เหรียญ อิ่มแปร้ไปเลย เหลือบไปเห็นรูปถ่าย มีป้าจุกถ่ายคู่กับสมรัก คำสิงห์ และถ่ายกับ วิทวัส จากรายการตี10 ซะด้วย แล้วเดินทางกลับที่พัก ระหว่างทาง อยากกินไอศกรีมแมคโดนัล สักถ้วย อยากรู้ที่นี่รสชาดจะอร่อยสู้เมืองไทยได้หรือเปล่า เวลาก็กระชั้นมาก เพราะ นัดรถมารับไปส่งสนามบินตอนบ่าย 3 โมงครึ่ง ปรากฏว่างานนี้เหมือนโดนแกล้ง ขบวนรถไฟเกิดความล่าช้าในการเข้าสถานีแห่งนี้ไป 30 นาที ทำอะไรไม่ได้มีแต่ลุ้นอย่างเดียว จากนั้น วิ่งสิครับ ถึง โรงแรม 15.30 น.พอดี รถก็มารับในนาทีต่อมา ถามหา Mr. Alphabet เราก็งง เขาบอกว่าชื่อ ยาวมากเรียก alphabet แทนแล้วกัน อุอุ 16.45 น.ก็เช็คอินสนามบินละ โอ้โห แถวยาวมากๆๆๆ รอคิวเป็นชั่วโมงเลย กว่าจะได้ตั๋วก็นานมาก ดีนะมีเวลาเหลือ เลยแวะส่งอีเมลล์ที่สนามบินสักกะหน่อย เที่ยวบิน QF065 มุ่งหน้านครไคร้ท์เชิร์ตออกเดินทางเวลา 18.45 น. ตอนขาออก เจ้าหน้าที่ศุลกากรที่นั่น ถามว่ามี Liquor หรือ tobacco มั๊ย เราก็บอกว่าไม่มี เขามองดูเรารู้ว่าเป็นคนไทย จึงถามอีกทีว่า any เหล้า บุหรี่ มีมั๊ย ? อิอิ พูดไทยได้ด้วยโว้ยยยยย สงสัยคนไทยมาเที่ยวบ่อยแน่ๆ.เลย………….

มาถึงจุดหมาย New Zealand ก็ 5 ทุ่มครึ่ง อากาศแรกเริ่มสัมผัส หนาวเย็นกว่าออสเตรเลียมาก ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองเจอเจ้าหน้าที่แก่ๆผมขาวแล้ว เขาถามเราเป็นคนไทยเหรอ ทำงานที่ไหน จากนั้นพอได้คุยเสร็จ แกยกมือไม้ท่วมหัวพร้อมพูด ซาหวัดดีครับ โฮ๊ะๆๆๆๆ เรานี่ยกมือรับไหว้แทบไม่ทันเลย นี่ก็แสดงว่าคนไทยมาที่นี่เยอะมาก จากนั้นริ่มมองหาเก้าอี้นั่งพักดีๆสัก2ตัวเพื่อรอให้ให้ถึงรุ่งเช้า ไม่ต้องกลัว มีหลายๆคนอยู่เป็นเพื่อนเรารอบด้านเลยเพื่อรอให้ถึงรุ่งเช้า

วันที่ห้า 15/11/00 เช้าแล้ว…กาแฟคาปูชิโน่แก้วโตที่สนามบินเป็นอาหารเช้าของผม 8.45 น. เริ่มติดต่อรับรถของ Triffy car เป็นรถมาสด้า รุ่น Astena เครื่อง 1600 cc คันนี้ใหม่เอี่ยมเพิ่งวิ่งได้แค่ 3 พันกว่ากิโลเอง ถูกใจมาก ลุยเลยแล้วกัน เพราะทริปวันนี้เดินทางไกลมาก เราทำเวลาให้เร็วเพราะ late มากแล้ว การขับรถที่นี่ เขาจะจำกัดความเร็ว นอกเมืองไม่เกิน 100 กม./ชม. ส่วนในเมือง ไม่เกิน 50 กม./ชม. ทั้งนี้ทั้งนั้น ตำรวจน้อยมาก ไม่ค่อยเจอ เขาจะใช้กล้องvdo ถ่ายและจับ จะมีป้ายเตือนว่า speed camera area ให้เราได้ระวังตลอดทุกเส้นทาง เราแวะร้านขนมปังแห่งหนึ่งเพื่อซื้อน้ำแร่ดื่มและขอปัสสาวะสักที น้ำที่ไหลลงมาจากท่อน้ำจับตัวเป็นน้ำแข็ง อากาศเย็นมากๆ หายใจเป็นควันเป็นไปเลย เราไม่แวะเมือง Asberton เพื่อ shopping เสื้อผ้าขนแกะ แต่ขอไปเที่ยวก่อน เราวิ่งยาวไปจนถึง ทะเลสาบเทคาโป(Tekapo) ระหว่างทางเจอแกะกินหญ้าในทุ่ง สวยงามดี และตื่นเต้นกับการเห็นวิวทิวเขาที่มีหิมะด้านบน คือเม้าท์คุก(Mt. Cook) นั่นเอง





ทะเลสาบเทคาโปวันนี้ ท้องฟ้ามืดมนทมึนทึน ภาพที่ได้เห็นไม่สวยเหมือนกับที่เห็นภาพโฆษณาเลย อาจเป็นเพราะฟ้าฝนไม่เป็นใจ แดดไม่มี ทำให้ได้ภาพมาไม่ดีนัก ดอกไม้ข้างถนนที่กำลังชูช่ออยู่ช่วยแต่งแต้มสีสันให้ดูงามตามากยิ่งขึ้น จากนั้น แวะถ่ายรูปกับอนุเสาวรีย์สุนัขเลี้ยงแกะ และผ่านโบสถ์อันเก่าแก่ต่อมายังทะเลสาบพูคากิ(Pukaki) อีกแห่งที่สวยงามมาก เราใช้เวลาไม่มากนัก แวะจอดรถถ่ายรูประหว่างทางเรื่อยๆไป จอดถี่มากๆ เพราะภาพสวยหมดตลอดส้นทาง เหมือนภาพลวงตาเลย ทะเลสาบสีฟ้าอยู่ข้างหน้า ดอกไม้บานสวย ด้านหลังเป็นภูเขาที่มีหิมะอยู่บนยอด perfect และช่วงนี้เป็นช่วงดอกไม้เริ่มผลิบานพอดี อากาศเย็นกำลังดี
หันไปมองหน้าปัดน้ำมัน เหลือครึงถัง เอาละสิ เข้าไปในเม้าท์คุกนะไกลมาก ไปถึงด้านในไม่รู้ว่าจะมีปั๊มน้ำมันหรือเปล่า คำนวณแล้ว ไปกลับเป็นเส้นทางเดียวกัน ตลอดเส้นทางไม่มีปั๊มเลย เอายังไงดีหว่า…. ขับมาจนถึงหน่วยบริการข้อมูลและสนามบินเฮลิคอปเตอร์กลางทาง สอบถามแล้วพบว่า น้ำมันด้านในต้องมีบัตรจึงเติมได้ ไม่ขายให้นักท่องเที่ยวทั่วไป คุณต้องย้อนกลับไปตรงทางเข้ามาซึ่งไกลมาก แล้วเลี้ยวไปปั๊มที่ใกล้ที่สุดคือ Cromwell แล้วค่อยเข้ามาใหม่ หรือจะลุ้นเอา เขาบอกว่าน่าจะพอ แต่ว่า น่าจะนะ ไม่ใช่ชัวร์ 5555 เอาละสิ
ตกลงตื่นเต้นอยู่พักหนึ่ง เอาว่ะนึกในใจ ไหนๆก็ต้องเสี่ยงลุ้นดูเอาแล้วกัน ต้องทำเวลาด้วย ย้อนไปย้อนมาละ หมดสิทธิ์แน่ๆ ลองขับรถแบบ save น้ำมันหน่อย ปิดแอร์ เปิดหน้าต่างบ้างเล็กน้อย วิ่งด้วยความเร็วคงที่ ไม่เบิ้ลน้ำมัน ไม่เบรคบ่อยนัก เริ่มเลยแล้วกัน เข้าไปคดเคี้ยวเลาะทะเลสาบ ไปจนถึงเม้าท์คุกเสียที เข็มน้ำมันกระดิกลงมาอีกแล้ว เฮ้อ….เราเดินเล่นถ่ายรูปสักพัก ไม่มีเวลาที่จะเดินเท้าตามเส้นทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ฮุกเกอร์วัลเล่ย์ หรือtrail ต่างๆ ขอไปซื้อทัวร์เฮลิคอปเตอร์ชมด้านบนเขาดีกว่า จึงกลับมาที่จุดเดิมอีกครั้ง ติดต่อเพื่อจะไปเที่ยวๆที่ถูกที่สุดคือคนละ 164 เหรียญต่อคน จำนวน 2 ท่าน แต่พอดีมีนักท่องเที่ยวเป็นฝรั่งอีกคู่หนึ่งกำลังจะบินไปอยู่พอดี เขาจองราคาสูงกว่าเราเท่าตัว เจ้าหน้าที่ที่ขายตั๋วชวนเราไปรอบเดียวกัน แต่เราปฏิเสธไป และยืนยันไปเที่ยวถูกที่สุด สุดท้ายเขาบอกว่า ไปด้วยกันเลย เขา upgrade ให้ ไม่ต้องจ่ายสตางค์เพิ่ม 5555 ดีซิ เสร็จเรา แต่เขากำชับว่าอย่าไปคุยเรื่องราคากับคู่นั้นนะ เราก็ ok สิ เรื่องอะไรจะไม่ OK อิอิ ….งานนี้ไม่เฮ้อแล้ว….
ว้าว…อูยส์ หวาดเสียว วนเวียนเข้ามาในสมองผมตลอดเลย สวยก็สวย เสียวก็เสียว มันเป็นประสบการณ์แปลกๆนะ เพราะเป็นครั้งแรก รู้สึกลอยๆสูงมาก กลัวก็กลัว แต่นักบินบอกว่าวันนี้อากาศดีมาก ฟ้าโปร่ง ไม่มีลม เลยใจชื้นขึ้นมาหน่อย สวยจริงๆเลยครับ ผมถือกล้องถ่ายรูปนั่งอยู่หลังคนขับด้านขวา ในขณะที่เจนนั้นเป็นตากล้อง VDO นั่งหน้าสุดคู่กับคนขับ..สงสัยจะน่ากลัวกว่าแน่ๆเลย อิอิ….. การสื่อสารบนเครื่องนั้น เขาจะมี headphone และหูฟังครอบหัวทุกคน คุยกันได้ ตลอดเวลา และเราก็ได้จอดลงบนลานหิมะขาวบนยอดเขาเม้าท์คุก เพื่อเล่นหิมะ ถ่ายรูปกัน เราไม่ขอเสี่ยงที่จะเดินไปไกลนักเพราะหิมะอาจจะถล่มหรือเราอาจลื่นหล่นเขาได้ง่ายๆ กลับมาที่เครื่อง ออกเดินทางต่อไปดูกลาเซีย ทัสมันกลาเซีย ปรากฎการณ์ธรรมชาติที่แสงแดดละลายหิมะจนเป็นน้ำ ไหลลงมารวมกันเป็นทะเลสาบสีฟ้าสวยด้านล่าง คือ พูคากินั่นเอง แวะบินตามช่องเขาต่างๆ เกือบชั่วโมงจึงลงมาข้างล่าง ได้เวลาขับรถแบบประหยัดน้ำมันต่อแล้ว ไปแบบความเร็วคงที่ ปิดแอร์ต่อไป เข็มลงมาที่ขีด ? แล้ว งานนี้มีลุ้นง่ะ เฮ้อ….
มาจนถึงเมือง Cromwell เมืองเล็กๆที่ขายผลไม้เยอะแยะไปหมด วิ่งวนจนหาปั๊มน้ำมันไม่เจอ เลยต้องถามคนแถวนั้น ปรากฏว่า พี่แกก็เป็นนักท่องเที่ยวเหมือนกัน 55555 หน้าแตก ถามแม่ค้าดีกว่า เลยแวะร้าน convenience store เช่นเคย แวะซื้อน้ำ ขนม ตุนใส่รถไว้สักหน่อย จากนั้นเจอปั๊มแล้ว งานนี้ต้องเติมเอง แต่ก็งงว่า 91 หรือ 95 ดีหว่า รถรุ่นนี้ หยิบไม่ถูก เจ้าของปั๊มเป็นหญิงร่างบึ๊ก เดินออกมาแบบจิกกี๋ ถามว่ามีอะไรให้ช่วย เลยถามว่าเติม 91 ได้หรือเปล่า เขาบอกว่าได้ เขาเลยเติมให้ดู 5555 เราไม่ต้องเติมเอง ซึ่งปกติแล้ว ปั๊มน้ำมันจะใช้คนคุมคนเดียว การเติมน้ำมันนั้น ให้ทุกคนเติมเอง แล้วมิเตอร์จะไป ขึ้นที่cashier จ่ายเงินเองที่นั่น เขาเชื่อใจกัน หากเป็นเมืองไทยใช้วิธีนี้ละก็…….คิดเอาเองแล้วกัน อิอิ ระหว่างทางจาก Cromwell ไป Queenstown จะมีร้านขายผลไม้ราคาถูกเยอะแยะไปหมด ทั้ง 2 ข้างทาง เพราะเขตนี้เขาปลูกผลไม้กัน แต่งานนี้มาซะมืดเลย เขาเก็บร้านกันหมดแล้ว เพราะเขาให้สิทธิ์ในการทำงานและพักผ่อนเท่าๆกัน ตกเย็นก็เลิกงานพอๆกัน และแล้วก็เจอแผงลอยเพิงอยู่ร้านหนึ่ง มีแอปเปิลและผลไม้อื่นๆ ใส่ถุงขายเป็นถุงๆ ถุงละประมาณ 12 ลูก เขียนราคาไว้ เราก็มองหาเจ้าของร้านเท่าไรก็ไม่เจอ แต่เจอรูหยอดเหรียญ และเขียนไว้ว่า put it here เลยถึงกับบางอ้อว่า เขาไม่ต้องมาคุมหรอก ใครเอาไปเท่าไหร่ก็หยอดเหรียญลงไป ก็เท่านั้น แหม!!! คนเขาซื่อสัตย์กันดีจริงๆ น่านับถือ …
หลังจากได้ผลไม้เอาไว้รองท้องแก้หิว กลัวความมือจะมาเยือนแล้วจะขับรถลำบาก เพราะทางค่อนข้างอันตราย เส้นทางลัดเลาะรอบเขา จึงรีบเหยียบให้ถึงจุดหมายก่อนที่ตะวันจะลับไปเสียก่อน เส้นทางเส้นนี้สวยดี วิ่งได้ไม่เร็วนักเพราะเฉียดหน้าผา และกังวลกับที่พักว่าจะหายากมั๊ย รถวิ่งผ่านสะพาน คาวารัว แต่มืดแล้วไม่มีใคร วิ่งผ่านเมือง แอร์โร่ทาวน์ จนถึงเมืองควีนส์ทาวน์สักที เฮ้อ…. สายตา 2 คู่ สอดส่องมองหาเจ้า Millenium Hotel มันอยู่ไหนหว่า มืดจังวู้ วิ่งมาเห็นป้ายบอกหน้าโรงแรมน้อยใหญ่ว่า No vacancy แสดงว่าเป็นเมืองท่องเที่ยวและตรงกับฤดูท่องเที่ยวจริงๆ โชคเข้าข้างเราจนได้ เราเห็นอยู่ข้างถนนด้านขวามือพอดี ตอนนี้ก็ 21.30 น. Check-in ทันที ได้ห้องชั้น 2 ห้องหมายเลข 230 แต่เปิดหน้าต่างดูอยู่ระดับเดียวกับทางเดินข้างนอกเลย เหนื่อยและเพลียมาก เอนหลังสักครู่แล้วไม่อยากจะไปไหนเลย ตกลงคืนนั้นเอาแอปเปิลถุงใหญ่นั้นมาเป็นมื้อค่ำละ ไม่ใช่แค่รองท้อง

วันที่หก 16/11/00 ตื่นเช้ามาก็ไปรับประทานอาหารเช้าที่คอฟฟี่ชอฟด้านล่างกัน ผู้คนมากมาย บรรยากาศสวยดี ด้านนอกมองเห็นยอดเขาที่มีหิมะขาวปกคลุมอยู่ไกลๆ อากาศค่อนข้างเย็นแต่มีเตาผิงให้ อาหารเช้าแบบฝรั่งคงไม่พ้นง่ายๆกับขนมปัง ไม่หรอก ข้าว หรือโจ๊ก อะไรทำนองนั้นอีกแล้ว กินเข้าไป และตบท้ายด้วยผลไม้คือ กีวี อร่อยมาก เรากินกันซะหนำใจ เพราะฝรั่งต่างแย่งชิงกล้วยหอมผิวดำด่างกันเป็นแถวๆ เราเหรอ เฮ้อ เห็นแล้วเมิน คงสลับกันเนอะ …. ได้เวลาเดินทางแล้ว ติดต่อ front counter เพื่อขอรายละเอียด มีโบรชัวร์เยอะมาก เราเลือกที่จะไปเล่นเรือเร็วนรกกัน คือ SHOT OVER JET ซึ่งหากไม่จองคงไม่ได้ คิวเยอะมาก ราคาจองที่โรงแรมกับไปเอง ราคาเท่ากันคือ คนละ 75 เหรียญ และสั่งรูปใหญ่ที่ระลึกอีก 3 ใบ 25 เหรียญ (1 ใบ = 12 เหรียญ 2 ใบ = 20 เหรียญ) ตกลงจองได้รอบ 11.30 น. ขนาดจองนะนี่ รอนานจัง ….. ไม่เป็นไร เราไปดูการโดด bungy jump กันก่อน แล้วค่อยแวะมาเล่นเรือเร็วนรกกัน การโดดบั้งจี้จัมพ์นั้น ต้องใจกล้ามากๆ เพราะอากาศหนาว น้ำข้างล่างเย็น และสะพานนี้สูงมาก ที่นี่เป็นที่ดั้งเดิมเลย คนที่โดดแล้วจะได้รับประกาศนียบัตร ราคาคนละ 150 เหรียญ ก่อนโดดต้องเซนต์หนังสือยินยอมเสียก่อน ประมาณว่าหากเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมาแล้วอย่ามาหาเรื่องกันก็แล้วกัน โหดเนอะ … ใจจริงแล้ว ผมอยากจะโดดให้มันรู้แล้วรู้รอดไป แต่อย่างว่าล่ะ คนใกล้ตัวผมเขาเป็นห่วงผมมาก และผมคือคนเดียวที่ขับรถ แต่เขาก็ไม่ได้ห้ามเท่าไรนัก อยากโดดก็ให้โดด ผมดูไป 3 คนที่โดด คนแรก โดดลงมาหัวจุ่มน้ำ เสื้อยืดที่ใส่หลุดไปกับสายน้ำ น่ากลัว… คนที่สองก็โดดแต่ไม่ถึงน้ำ คนที่ 3 เป็นผู้หญิง ก่อนโดดมีคนปรบมือให้ในความกล้าหาญ หลังจากโดดแล้ว เสียงเธอกรี๊ดดังมาก ลั่นบริเวณนั้นเลย บ่งบอกได้เลยว่า สุดยอด… ดูแล้วเสียวเลยไม่เอาดีกว่า กลับไปลองนั่งเรือ shot over jet ดีกว่า เพราะเวลาใกล้มากแล้ว เรามาถึงแม่น้ำ SHOT OVER และเห็นเรือนั่นแล้ว จอดรถ ลงไปติดต่อ โอ้โห เจอกลุ่มนักท่องเที่ยวไทย ประมาณ 20 คนเห็นจะได้ คุยกัน Z เลย และก็เหมาเรือกันไปเลย หัวดำๆหมดเรือ เราขอเลือกนั่งที่สุดยอดคือข้างคนขับด้านหน้าสุด เพื่อความสะใจ เรือออกเดินทางด้วยความเร็วสูง ปาดซ้ายขวา ผ่านหน้าชะง่อนหิน เฉียดหินมากๆเลย หมุนได้ 360 องศาเหมือนกับลอยไม่ติดน้ำยังไงยังงั้น ใช้เวลาเสียวที่นี่ร่วม 45 นาที คนขับเรือ หล่อและเท่ห์มาก มีจอดชมวิวระหว่างทางคุยกับนักท่องเที่ยว ส่วนหนึ่งมีใจความว่า
"มาเที่ยวที่นี่ ฉลองวันหยุดหรือมาทำธุรกิจกัน" กัปตันถาม
"มาเที่ยวละครับ" พวกเราตอบ
"มีใครยังไม่ได้ที่พักบ้าง" ย้อนถามมาอีกที
"ทุกคนตอบว่ามีที่พักกันหมดแล้ว" ทำหน้า งงงง ใส่กัน
"Look, ข้างหน้าบนหน้าผามีที่พักอยู่หลังหนึ่ง วิวสวยมาก" พวกเรามองตาม พุทโธ่ เป็นกระท่อมหลังคามุงจากเล็กๆของชาวบ้านนั่นเอง และรู้ว่านี่คือ joke ของเขา 55555
"ใครจะพักติดต่อได้นะ" เอิ๊กกกกก



วันนี้ไม่มีเวลาโอ้เอ้ละ นี่ก็ปาเข้าไปเที่ยงครี่งแล้ว เราวางแผนไว้ว่าจะต้องไปชมหนอนเรืองแสง(Growing worm cave)ให้ได้ ที่ ทีอานาว (Te Anau) เป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ ฟยอร์ดแลนด์ (Fiordland National Park)อันโด่งดัง ระยะทางไกลมากพอควร ผมขับรถเลียบทะเลสาบวาคาติปู ลัดเลาะไปเพื่อไปทีอานาว เป็นเส้นทางที่สวยงดงามมาก ก่อนออกจากทะเลสาบวาคาติปู อดใจที่จะจอดรถถ่ายรูปไม่ได้ แชะ ผ่านวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม โดยเฉพาะแกะที่นี่ หาดูได้ทั่วไป ดอกไม้เหลืองบานเต็มภูเขา มีดาดดื่น ต้นไม้เป็นกอพุ่มก็ดูแปลกตาดี และดูจะตื่นเต้นไม่น้อย ก็ตรงเจนได้เห็นแกะดำ ในหมู่แกะขาว



มาจนถึง ศูนย์นักท่องเที่ยว ก็เวลา 15.15 น. แวะหาข้อมูลก่อน เจ้าหน้าที่เห็ฯนามสกุลเรา ทำหน้า งง มาก บอกให้อ่านให้ฟังหน่อยสิ ผมก็อ่านให้ฟัง เขาบอกว่า ไม่เคยได้ยินใครชื่อยาวอย่างนี้มาก่อนเลย จริงๆ และติดต่อซื้อตั๋วไปเที่ยวถ้ำกัน ใช้เวลาเดินทางโดยเรือประมาณ 45 นาที ก็จะถึงถ้ำ แต่เรือจะออกเป็นรอบๆ เราได้รอบ 17.00 น. ยังพอมีเวลา หาอะไรใส่ท้องมื้อเที่ยงแก่ๆเกือบเย็นสักหน่อย แวะเข้าร้าน mini mart ในปั๊มแห่งหนึ่ง ซื้อบะหมี่สำเร็จรูปแล้วขอน้ำร้อน เช่นเดิม ป้าคนขายเขาใจดีมาก บอกว่ารอเดี๋ยว เขาไปเอาน้ำร้อนข้างในให้ เลยสังเวยไปซะคนละห่อ แล้วแวะไป super market อีกแห่งใกล้กัน เจอ ยำยำ รสต้มยำ made in Thailand เสียด้วย ของแท้ เย้…..เยส… อยากกินเผ็ดๆ รสจัดนานแล้ว แต่ไม่มีน้ำร้อน ซื้อตุนไว้ก่อน ใส่รถเก็บไว้
เรือออกแล้ว อากาศข้างนอกเย็นมากๆเลย เขามีการอบรม ฉายสไลด์ ให้ความรู้ก่อนไปดูหนอนของจริงกัน และเริ่มลุยกันเลย เรานั่งเรือท้องแบนที่มีไกด์คอยลากเชือกให้ดูชัดๆ หนอนเรืองแสงสีเขียวสะท้อนแสงระยิบระยับมากมาย บางตัวก็เดินๆไปมา สวยมากและอัศจรรย์มาก งานนี้ดูได้แต่ตาเปล่า ห้ามกล้องทุกชนิดและ vdo ถ่ายบันทึก เพราะแสงไฟจะทำให้แสงของมันหายไปเลย และอีกนานกว่าจะเรืองแสงอีก เขาจึงห้ามเด็ดขาด
กลับจากถ้ำมีบริการ ชา กาแฟ ฟรี!!! ระหว่างนั่งรอเรือ เจอกับยุงยักษ์มากมาย กัดเจ็บชมัดดดเลย แล้วนั่งเรือกลับมาถึงฝั่งก็ประมาณ 20.30 น. พร้อมขับรถกลับ เป็นระยะทางไกลกว่าจะถึงที่พัก ต้องแข่งกับมืดอีกแล้ว คราวนี้มืดระหว่างทาง เส้นทางเงียบเหงาจริงๆ ไม่มีรถวิ่งเท่าไหร่เลย แต่ the show must go on ต้องเก็บแสงสุดท้ายเสียหน่อย เลือกทำเลได้แล้วก็ แช๊ะ ไป 1 รูป วิ่งกลับมากว่าจะถึงก็ปาเข้าไป 4 ทุ่มครึ่ง ปรากฎว่าเข้าที่จอดรถไม่ได้ เพราะว่าเขาปิดแล้ว ต้องไปติดต่อขอเปิดประตูเข้าที่จอดรถอีกที จากนั้นได้เวลา อาบน้ำ นอนหลับแบบม้วนเดียวจบ คร๊อกกกกก…

วันที่เจ็ด 17/11/00 เช้าอีกวันแล้วนะ วันนี้ขอเก็บรายละเอียดของเมืองนี้เสียที และขอเลือกไปชมจุดชมวิวที่สูงที่สุด สามารถมองเห็น queenstown นี้ได้ทั้งเมือง ผมนั่งกระเช้าลอยฟ้า (gondola sky line) เพื่อไปยังยอดเขา bob's peak ที่มีอะไรๆมากมายบนนั้น เสียค่ากระเช้า+การเล่นรถลูจน์ ซื้อตั๋วข้างล่างนี้เลย กระเช้าลอยสูงขึ้นๆๆๆๆ เห็นวิวได้ถนัดตา สวยมาก เมื่อถึงยอดเขาแล้ว ต้องถ่ายสัก 2-3 แชะ เก็บบรรยากาศ แล้วนั่งกระเช้าแบบชิงช้าที่นักสกีใช้ขึ้นไปเล่นสกีบนยอดเขา เป็นเหมือนที่นั่งชิงช้าอันเล็กๆ ที่เคยนั่งโยกตอนเด็กๆ ให้นั่งห้อยขา เย็น+หนาว(ใจ) ชะมัด กลัวจะหล่นละ ไปถึงจุดหมาย ได้รถลูจน์(Ludge) แล้ว มีการสอนให้สำหรับมือใหม่ ได้เข้าใจก่อน เมื่อพร้อมแล้ว ไปโลด 55555
มันส์เลยละครับ แบบว่าวิ่งลงมาจากยอดเขา มองเห็นหน้าผารำไรๆๆ ตื่นเต้นๆๆๆๆ มีอยู่โค้งหนึ่ง เจนซิ่งจนเกยเนินจอดแน่นิ่งไปเลย ดีนะ ไม่หล่นลงไปนะ แหม!!!! วิ่งเร็วซะจริงเชียว หุหุหุ จากนั้นก็ลงกระเช้ากลับ ไม่มีเวลาแล้ว ขับรถรอบเมืองสักหน่อย ไม่มีอะไรเด่นเลย เพราะยังเช้าอยู่ละมั๊ง จากนั้นแวะเมืองโบราณแอร์โร่ทาวน์ เมืองเล็กๆที่น่ารัก มีร้านขายของในเมือง ได้เสื้อวู มาคนละตัว ราคาก็ 95 กับ 105 เหรียญ จากนั้นต้องรีบไปดูนะดีนแล้ว เพราะระยะทางไกลจากนี้มาก แสงแดดที่ร้อนมาก ทำให้ตาผมหยีลงๆๆๆอยากจะหลับเลย เส้นทางที่ไปดูนะดีน ผ่านเทือกเขาสลับไปมา มองเห็นฟาร์มเลี้ยงแกะได้ตลอดเส้นทาง เนินหญ้าสีเขียวตัดกับแกะขาวเห็นเป็นปุ่มๆเต็มไปหมด ดูสวยงามเหมือนกัน ภูเขาบางลูก เต็มไปด้วยดอกไม้สีเหลืองสด สลับกับสีเขียวของใบไม้อื่นๆ ดูเด่นดีไม่เบา
เราใช้เวลานานเลยทีเดียว ออกจากเมืองควีนส์ทาวน์แล้ว เมฆเริ่มเยอะ และฝนตกลงมาเลย งงมาก เป็นเพราะเมืองควีนส์ทาวน์ อยู่ค่อนข้างกลางของเกาะ และมีภูเขาล้อมรอบ ทำให้เมฆฝนไปไม่ถึง อากาศจึงร้อน ฟ้าโปร่งตลอดเวลา ส่วนดูนะดีน เป็นเมืองท่าติดทะเล ฝนจะประปรายตลอด กว่าจะถึงดูนะดีนก็ค่ำเลย ผมเข้าไปในเมือง เพื่อหาศูนย์บริการนักท่องเที่ยว หลงอยู่พักหนึ่ง เพราะในเมืองจะมีแต่ถนนตัดกันเป็นล็อคๆ งงจะตายไป 555
แถมยังหาที่จอดรถได้ยากมาก วน 2 รอบได้จอดที่ๆจอดฟรีไม่เกิน 30 นาที พอจอดแล้ว จะมีจราจรนอกเครื่องแบบมาเขียนชอล์คไว้ที่ยางรถยนต์เพื่อดูว่าจอดเกินหรือเปล่า
เข้าไปในศูนย์ โอ้โห คนเยอะมาก เข้าแถวเรียงคิวกันถามเลย ไม่ไหว คว้าแผนที่ได้นิดหน่อย ไปลุยเองดีกว่า ฝนก็ตกพรำๆ กะจะดูนกเพนกวินที่นี่ ไม่ทันซะแล้ว ขอขับรถไปชมมหาวิทยาลัยเก่าแก่ของเมืองนี้แล้วไปต่อดีกว่า
วิ่งต่อมาเรื่อยๆ ระหว่างทางที่ขับมา มีช่วงหนึ่งผ่านเลียบชายหาด ทะเลสีสวยมาก สวยจริงๆ เลยอดใจไม่ไหวแวะถ่ายรูปอีกตามเคย แชะ แชะ แชะ วิ่งต่อมาอีกหน่อยเกือบจะถึงเมืองโออามารุ มีป้ายบอกให้ไปดูหินกลมประหลาด เรียกว่า โมรากิ โดยเลี้ยวขวาขับเข้าไปดู อยู่ในสถานที่ของเอกชนซึ่งเป็นของภัตตาคารแห่งหนึ่ง เก็บค่าเข้าชมคนละ 2 เหรียญ โอ้โหเฮ๊ะ มีการเก็บเงินด้วย ปรากฎการณ์ธรรมชาติแต่เอกชนเก็บเงิน มันยังไงหว่า….แต่สุดท้ายจะดูมันก็ต้องเสียนะสิ มาถึงนี่แล้ว เดินไปชายทะเลไม่ไกลนัก เจอกับหินก้อนกลม กลมมากๆ แปลกจริงๆ เรียงรายอยู่ริมทะเล บางก้อนก็แตกเป็นเสี่ยงๆแล้ว ผมเลยขอเป็นแบบโผล่ออกมาจากไข่ไดโนเสาร์สักภาพ แอ็คชั่น แฮ่ๆๆๆๆๆ แบบว่ามันมีแตกตรงกลางพอดีนี่ อิอิ
ได้เวลาไปดูนกเพนกวินกันแล้วละ ที่เมืองโออามารุ ไปต่อกันเลยดีกว่า ภาพแรกที่เห็นเมืองนี้ เก่าแก่ มีเอกลักษณ์ เงียบสงบ ดูโบราณดี เห็นรถโบราณเต็มไปหมด ผู้คนแต่งชุดสมัยเก่า เหมือนชุดในหนัง TITANIC หลายๆคนดูแปลกดีจัง เขามีงานแฟนซีหรืองานแต่งงาน ฉลองอะไรเนี่ย เหมือนหลุดโลกไปเลย 55555 ได้เวลาไปดูนกเพนกวินตาเหลือง พันธ์ที่หาดูยากและจะสูญพันธ์แล้ว เป็นสถานที่ดูฟรี มีที่แอบดู การกลับมาจากการออกทะเลไปหากินตินเช้า เฝ้ารอมันกลับมาตอนค่ำ ตอนนี้ก็ 19.30 น. พอดี ย่องไปดูเงียบๆ เจอ 2 ตัวอยู่บนหน้าผา ส่วนที่ชายหาดก็มีกลับมาเรื่อยๆเดินเข้าบ้านของมันไป เจนสายตาอันยาวกว่าเราในตอนนั้น (บ่งบอกอะไรหรือเปล่าว่าสายตายาวหมายถึงอะไร อิอิ) บอกว่าเห็นนกเพนกวิน หลายตัวเลย ค่อยๆเดินมาจากทะเล ขึ้นฝั่ง เป็นธรรมชาติจริงๆ เพราะมันอยู่ตามธรรมชาติ ไม่ได้มีใครเลี้ยงมันแต่อย่างใด
จากนั้นเห็นป้ายเชิญชวนให้ไปดูนกเพนกวินสีน้ำเงิน รอบ 21.00 น. พวกเราก็แวะไปสังเกตุการณ์ อ้าว ที่นี่เก็บค่าเข้าชมแฮะ แต่ก็มองเห็นเกาะกลุ่มอยู่ไกลๆ สงสัยจะรอแสดงรอบต่อไป อิอิ สำหรับผมไม่ยอมเสียตังก์กั๊บ เก็บไว้ไปกิน KFC ดีกว่า 5555
3 ทุ่มแล้ว ต้องออกจากเมือง แวะข้างถนนทาน KFC ก่อนดีกว่า ใช้เงินไปทั้งสิ้น 9 เหรียญ ก็อิ่มแล้ว คราวนี้ละมุ่งหน้ายาวไป ไคร้ท์เชิตเลยดีกว่า เดี๋ยวจะมืดมาก ระหว่างทางมืดขึ้นเรื่อยๆ ฝนตกพรำๆตลอดทาง อากาศข้างนอกเย็นและหนาว ผมทำเวลาไม่ได้เลย กว่าจะถึงไคร้เชิตและหาที่พักเจอก็ปาเข้าไป เที่ยงคืนครึ่งแหนะ
ที่พักที่นี่ห้องกว้างมาก นอนกันได้เป็น 10 คนเลยก็ยังได้ ที่นี่เตียงใหญ่มากๆ แต่เสียอย่างเดียว ไม่มีที่จอดรถ พอดีเรามากันดึก พนักงานบอกว่าจอดได้บนฟุตบาทหน้าโรงแรม บริเวณจตุรัสได้เลย แต่เช้าๆก่อน 8 โมงต้องเอาออกไป …ไม่มีทางเลือกแล้วนี่ เพลียมาก ขอนอนก่อนค่อยว่ากันใหม่ อากาศคืนนี้เย็นมาก ต้องเปิด Heater ในห้องช่วย จึงนอนหลับ

วันที่แปด 18/11/00 เช้าแล้ววันสุดท้ายแล้วครับ ไปทานอาหารเช้ากันดีกว่า ห้อง coffee shop ด้านล่าง รายการก็เหมือนๆเดิมละ ขนมปัง แยม เนย กาแฟ อะไรทำนองนั้น จากนั้น ไปเยือนสวนดอกไม้ Botanic กันดีกว่า เราใช้เวลาหาไม่นาน อากาศในสวนดีมาก เดินเล่นชมดอกไม้ซึ่งมีไม่มากอย่างที่ตั้งใจไว้ เห็นเรือกอนโดล่าล่องไปตามลำน้ำรอบสวนดูดรแมนติกเหมือนกัน แต่เสียเวลา ไม่เอาดีกว่า ไปสวนสัตว์ Willowbank ต่อดีกว่า จะได้เห็นสัตว์พื้นเมืองหายาก คือเจ้านกกีวีสักที สวนสัตว์ที่นี่ไม่ใหญ่เท่าไหร่ แต่ที่เด่นก็คงเป็นตอนค่ำหรือกลางคืน เขาจะเปิดให้ชมนกกีวีที่ออกมาหากินตอนค่ำ ให้เห็นมันอย่างธรรมชาติ ส่วนตอนกลางวันนี้ก็มีห้องมืด(มันไม่ชอบแสงแดด) จำลองธรรมชาติ ให้มันอกหากินเดินเล่นให้พวกเราได้ชมกัน ข้างในค่อนข้างมืด ต้องเงียบและห้ามถ่ายรูปเด็ดขาด มองดีๆ จะเห็นมันเดินไปมาหลายตัว ตัวเท่าไก่รุ่นๆ กลมๆ แต่ไม่มีหาง น่ารักเหมือนกัน
อะฮ่า ได้เวลาแล้ว ไปสนามบินแต่เนิ่นๆดีกว่า เพราะต้องหาปั๊มน้ำมันเติมให้เต็มก่อนคืนเขาด้วย แต่ก็ไม่ลืมมื้อสุดท้าย ในปั๊มมีร้าน minimart ซื้อ noddle cup ใส่น้ำร้อนกินกันอีกมื้อ คืนรถแล้วบ๊ายบายเสียที เฮ้อ…..หาที่จอดรถเสร็จแล้วก็เอากุญแจไปคืนเขา เรียบร้อย ในสนามบินขาออกมีการตรวจสอบกันอีกครั้ง คราวนี้เจอ Battery Lithium ที่ผมสำรองไว้สำหรับใส่กล้อง ผมใส่ไว้ในกระเป๋ากล้อง ตอนมาไม่เห็นมีอะไร แต่พอกลับ ตรวจเพิ่งเจอ เขาถามว่า อะไร เพราะมันเป็นภาษาญี่ปุ่น ผมบอกว่า แบตเตอรี่อ่ะ เขาก็ไปเปิดตำราหาส่วนประกอบ ว่าเป็ฯสารเคมีต้องห้ามหรือเปล่า เสียเวลาอยู่นาน แล้วเอาเทปปิดหัวท้าย แล้วสรุปว่า มันเป็นสารอันตราย ไฟแรงสูง อาจเกิดสปาร์คขึ้นมาได้ เขาบอกให้ใส่กระเป๋ากางเกงไป แยกกันข้างละก้อน แล้วก็ปล่อยเราไป
แหม !!!! รอบคอบจริงๆ ตอนขากลับเนี่ยนะ…เฮ้ออีกที ก่อนจบ บ๊ายยยบาย นิวซีแลนด์ โดยเครื่องบิน แควนตัส เที่ยวบินที่ QF046 มุ่งหน้านครซิดนีย์ ออกเวลา 15.40 น. ถึงซิดนีย์ประมาณ 17.00 น. มีเวลาเดินเล่น อีกนิด แล้วต่อด้วยเที่ยวบินที่ QF001 เพื่อกลับกรุงเทพกันเสียที สุดท้ายก็ดีใจมากได้เหยียบผืนแผ่นดินไทยอีกครั้ง เวลา 23.00 น.

****************




 

Create Date : 29 มิถุนายน 2550
2 comments
Last Update : 29 มิถุนายน 2550 9:29:07 น.
Counter : 2504 Pageviews.

 

ตามมาเที่ยวครับผม

อยากนั่งเรือ shot over jet ครับ

ท่าทางน่าสนุกจัง

 

โดย: pompier 30 มิถุนายน 2550 3:50:48 น.  

 

กำลังจะไปต่างประเทศเร็วๆนี้ เลยแวะเข้ามาดู เพื่อจะได้ประสบการณ์เพิ่มเติมก่อนบิน ขอบคุณมากๆเลยที่เอาเรื่องดีๆ และสถานที่สวยๆ มาถ่ายทอดความสุขให้คนอื่นได้มีความรู้เพิ่มเติม สรุปอยากไปทุกที่ ที่คุณพูดอ่ะ

 

โดย: นุ้ย IP: 58.8.14.112 16 เมษายน 2554 18:42:30 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

 

moddang2
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




สวัสดีครับ
ห่างหายไปนานหลายปี มีภาพสวยๆจากทริป ตปท เยอะเลย จะแวะมา update เร็วๆนี้ ไม่ผิดหวังแน่นอน

Billy
[Add moddang2's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com pantip.com pantipmarket.com pantown.com