Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2561
 
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728 
 
19 กุมภาพันธ์ 2561
 
All Blogs
 

เรื่องลี้ลับใต้ชายคา (5)



ตรุษจีนเพิ่งผ่านไปไม่นานหลาย ๆ ท่าน
ทั้งที่มีเชื้อสายจีนและไม่มีเชื้อสายจีนคงมีการ
ไหว้บรรพบุรุษกันเจ๊ริบบิ้นว่าเทศกาลตรุษจีนนี้
นับว่าเป็นประเพณีที่ดีมาก ๆ เลยนะเป็นการส่งเสริม
การสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีให้กับสมาชิกในครอบครัว
ก็คิดดูซิ ในหนึ่งปีเราต้องทำงานกันกี่วันเราให้เวลา
กับครอบครัวกันขนาดไหนเราทุ่มเทกับงานอยู่ใน
ที่ทำงานมากกว่าอยู่ในบ้านเสียอีกจึงไม่แปลก
ที่บริษัทหลายแห่งได้พยายามผลักดันให้พนักงาน
ถือว่าบริษัทเป็นเสมือนบ้านเพื่อนร่วมงานเป็นเสมือน
ครอบครัวของตน (แต่ผลกำไรเป็นของเจ้าของกิจการ
นะจ๊ะ) เมื่อกว่าครึ่งหนึ่งของชีวิตเราอุทิศให้กับที่ทำงาน
 พอถึงวันหยุดกว่าจะจัดการงานบ้าน ซักผ้า รีดผ้า
กวาดบ้าน ถูบ้าน เรี่ยวแรงก็หมดก็ต้องพักเอาแรงกัน
จึงเหลือเวลาเพียงน้อยนิดที่เราจะมอบให้กับครอบครัว
ที่แท้จริง  ดังนั้นเทศกาลตรุษจีนจึงเสมือนแมทบังคับ
ให้สมาชิกมารวมตัวกันพร้อมหน้าเตรียมข้าวปลาอาหาร
 ขนม ผลไม้ และเครื่องไหว้ต่าง ๆ เพื่อกราบขอพร
เทพเจ้าไหว้บรรพบุรุษผู้ล่วงลับอันเป็นการแสดงความ
กตัญญูกตเวทิตาและยังเผื่อแผ่ไปถึงบรรดาสัมพเวสี
ไม่มีญาติทั้งหลายทั้งปวงนับว่าเป็นการแสดงออกถึง
ความเมตตากรุณาเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ต่อผู้อื่น จากนั้น
บรรดาของไหว้ต่าง ๆ  ก็จะถูกนำมารับประทาน
หรือแจกจ่ายกันไป นัยว่ากินแล้วเฮง เฮง เฮง

เจ๊ริบบิ้นน่ะเป็นคนไทยแสนจะแท้เชื้อสายจีน
ก็พอมีกะเค้าบ้างกระจิ๊ดริ๊ด แต่เราก็ยังมีการไหว้ตรุษจีน
กันด้วยนะคะแม้ว่าอาจไม่ได้จัดเต็มเท่าชาวบ้าน
อย่างน้อยผลหมากรากไม้เราก็มีกราบไว้ไม่เคยขาด
แถมเที่ยงคืนก่อนวันตรุษจีนที่ผ่านมา พ่อขอเจ๊บิ้น
ก็ไล่ปลุกทุกคนขึ้นมากราบไฉ่ชิงเอี้ยกันด้วยนะเออ

การกราบไหว้บรรพบุรุษนั้นบ้านเราไม่เคยขาด
 เรามีโกศใบเล็ก ๆ ทำด้วยกระเบื้องเคลือบ 2 ใบบรรจุอัฐิ
คุณตาและคุณยาย และยังมีโถทรงผอบขนาดเล็ก ๆ
อีก 2 ใบบรรจุอัฐิคุณปู่และคุณทวด โดยจัดวาง
ในห้องพระใกล้ ๆ กันให้ท่านผู้เฒ่าทั้งสี่ได้สังสรรค์กัน
 เรื่องแบบนี้ถือเป็นเรื่องละเอียดอ่อนเลยหนาจะบอกให้
 สมัยก่อนทางบ้านแม่เจ๊เวลามีคนเสียชีวิต เมื่อทำพิธี
เผาแล้วจะไม่ได้นำเถ้ากระดูกไปลอยอังคารแต่จะเก็บ
กันทั้งหมด โดยนำไปบรรุจุไว้ในช่องที่เราเรียกกันว่า
“คอนโด” ช่องนี้สร้างโดยการก่ออิฐถือปูนขึ้น
เป็นสี่เหลี่ยมขนาดสูงเท่าไหล่ แล้วซอยออกเป็นยูนิต
 แต่ละยูนิตมีประตูปิดข้างหน้าสำหรับนำห่ออัฐิและอังคาร
ไปเก็บไว้ มีการเขียนชื่อไว้ด้วยสีเมจิคที่หน้าประตู
ระบุเจ้าของยูนิตของใครของมันแยกกันเก็บโดยมีการ
ทำยูนิตขนาดใหญ่กว่าปกติไว้ตรงกลาง นัยว่าสำหรับใช้
เป็นห้องโถงให้ญาติโยมมาสังสรรค์จัดงานปาร์ตี้กันได้
 แต่ต่อมาภายหลังได้มีการขายที่ดินแปลงนั้นไป
บรรดาญาติ ๆ จึงตกลงกันนิมนต์พระมาทำพิธีนำอัฐิ
และอังคารไปลอยน้ำแทน

เมื่อคุณตาของเจ๊บิ้นป่วยหนักจนต้องเข้า
โรงพยาบาลคุณหมอแจ้งว่าคุณตาอายุมาก ระบบภายใน
ร่างกายไม่ตอบสนองต่อการรักษาอีกแล้ว ที่บ้านจึง
ตัดสินใจให้คุณตานอนหลับไปตลอดในที่สุดคุณตา
ก็จากไปอย่างสงบ ก่อนหน้าคุณตาจะจากไป ทางบ้าน
ได้เตรียมติดต่อวัดใหญ่ฝั่งพระนครไว้แล้วเนื่องจาก
คาดว่าจะต้องรองรับจำนวนแขกเหรื่อที่มาร่วมงานกัน
เป็นจำนวนมาก
แต่ต่อมาได้เกิดเหตุการณ์การชุมนุม
ประท้วงบริเวณแถววัดที่เราไปติดต่อเมื่อคุณตาเสียชีวิต
ลงเราจึงต้องเปลี่ยนแผนไปจัดพิธีสวดพระอภิธรรมศพ
ที่วัดใกล้บ้านแทนวันแรกที่ไปติดต่อ ศาลาเต็มค่ะ
ไม่น่าเชื่อว่าจะมีคนเสียชีวิตช่วงนั้นมากมายขนาดวัด
มีศาลาถึง 6
– 7 ศาลาเต็มหมด เหลือแค่ศาลาเล็กที่สุด
เพียงศาลาเดียวจึงต้องตั้งคุณตาไว้ที่ศาลานั้นก่อน
หนึ่งคืน หลังจากนั้นจึงจะย้ายคุณตาไปศาลาอื่นที่มีขนาด
ใหญ่กว่าสำหรับคุณตาของเจ๊บิ้นนั้น เมื่อยังมีชีวิตอยู่
เป็นคนชอบซื้อล๊อตเตอรี่มาก แถมถูกรางวัลเล็กๆ
 ประเภทเลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว อยู่บ่อย ๆ พอคุณตา
เสียชีวิตเราตัดสินใจกำหนดการสวดพระอภิธรรมศพ
7 วัน จากนั้นเก็บอีก 100 วันแล้วจึงขอพระราชทาน
เพลิงศพ ปรากฏว่ามีคนเอาเลขศาลาที่ตั้งคุณตา
ไปซื้อหวย ซื้อล๊อตเตอรี่ผลงวดแรกก็ออกเลยค่ะ
คนถูกกันอย่างเกรียวกราว แขกงี้แน่นตรึมเลย ต่อมา
คืนที่สามเราได้ย้ายศาลาไปอีกศาลาที่มีขนาดใหญ่กว่า
และติดแอร์เย็นสบายบรรดาคอหวยก็ตามอีกงวด
ปรากฏว่าวงดต่อมาออกอีกค่า ชนิดตรง ๆ เลขศาลาเลย
แต่ขอโทษนะบรรดาลูกหลานมัวแต่ยุ่งกับการจัดงาน
ไม่มีใครได้ซื้อกับเค้าเล้ยหลังจากเก็บคุณตาไว้ 100 วัน
 ก็ถึงกำหนดวันพระราชทานเพลิงศพก่อนนั้นหนึ่งคืน
เราก็มีการเชิญคุณตาออกมาตั้งที่ศาลาเพื่อสวดอีก 1 คืน
 ก่อนวันพระราชทานเพลิง ก็ยังไม่วายออกเลขศาลา
ที่ตั้งคืนนั้นอีกรอบจ้าเรียกได้ว่าคุณตาให้โชคให้ลาภ
คนมากมาย แต่พอถึงคิวงานคุณยายคุณยายไม่ชอบ
เล่นหวยเล่นเบอร์ ไม่ซื้อล๊อตเตอรี่ ดังนั้น จึงไม่มีใคร
ได้เลขท้าย 2 ตัว 3 ตัว จากคุณยายเลยแม้แต่คนเดียว
 แต่กระนั้นคุณยายให้เรื่องการงานดีมาก นั่นแหละน้า
คนชอบอะไรเค้าก็จะให้เราอย่างนั้นจะไปขอหวย
จากคนที่เค้าไม่ชอบหวย แล้วจะไปถูกเหรอ

สำหรับคุณตาของเจ็บิ้นยังมีเรื่องโจษขาน
ในวงญาติลับ ๆ กันอีกเรื่องหนึ่งตอนมีชีวิตอยู่คุณตา
จะเป็นคนแต่งตัวดีมาก ๆ สะอาดเรียบร้อย รักษาหุ่น
ให้น้ำหนักไม่เกิน62 กิโลกรัม ไม่เคยอ้วนเลย ยิ่งตอน
หนุ่ม ๆ ขึ้นชื่อว่ารูปหล่อเลยล่ะ เวลาไปงานไหน
คุณตาจะใส่สูทผูกไทด์เหน็บผ้าเช็ดหน้าพรมน้ำหอม
หอมฟุ้ง รองเท้างี้มันวับ ก็ใครขัดล่ะคะ เจ๊นี่แหละ
ตอนที่คุณตาเสียเป็นช่วงเวลาประมาณ4 โมงเย็น
เราก็เตรียมชุดสูทเน็คไทด์อย่างหล่อ พร้อมผ้าเช็ดหน้า
พรมน้ำหอมไปแต่งตัวให้คุณตา กว่าจะแต่งตัวเสร็จ
ก็ปาเข้าไปเย็นมากแล้ว เราจึงต้องฝากคุณตาไว้
ที่โรงพยาบาลหนึ่งคืนเพื่อให้เจ้าหน้าที่เตรียมเรื่อง
การรักษาสภาพคุณตาให้เรียบร้อยเมื่อแต่งตัวให้
คุณตาเสร็จ เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก็ยกคุณตาขึ้นรถเข็น
 แล้วนำโดมหุ้มพลาสติกทึบมาครอบบนเตียงแล้วเคลื่อน
คุณตาไปยังอาคารที่จัดการเรื่องนี้ทันทีที่เข็นคุณตา
ไปถึงหน้าห้องที่ประตูเป็นโลหะขนาดใหญ่เจ้าหน้าที่
ก็เปิดประตูดังกล่าวออก เจ้าประคุณเอ๊ย
!
มันคือตู้เย็นขนาดมหึมาที่มีศพมากมายเรียงรายกัน
อยู่ในห้องนั้นก็ต้องเข้าใจกันก่อนนะว่าโรงพยาบาลแห่งนี้
เป็นโรงพยาบาลรัฐขนาดใหญ่ย่านฝั่งธนจึงไม่แปลก
ที่จะมีผู้มาใช้บริการมากมายจึงย่อมมีผู้เสียชีวิตเก็บไว้
มากมายเป็นธรรมดา แต่แปลกมากเลยนะ ที่ทาง
โรงพยาบาลเค้ามีระบบจัดการกลิ่นได้ดีมาก
 เจ๊บิ้นไม่ยักได้กลิ่นอะไรเลย ทั้ง ๆ ที่มีร่างนอนเรียงราย
มากมาย ส่วนใหญ่เล็บเปลี่ยนเป็นสีดำบางร่างก็เปลี่ยน
เป็นสีดำคล้ำไปครึ่งตัว เราฝากคุณตาไว้หนึ่งคืนวันรุ่งขึ้น
จึงย้ายคุณตาไปวัดเพื่อทำพิธีรดน้ำจากนั้นจึงนำคุณตา
ลงโลงเตรียมตั้งสวดพระอภิธรรม 7 คืนทุกอย่าง
ก็ผ่านไปได้ราบรื่นพอสมควรจนถึงวันบรรจุคุณตา
(ก็คือวันที่เคลื่อนคุณตาไปไว้ฝากไว้ในอาคารเก็บศพ
ของวัดนั่นแหละ)กระทั่งมีคนรู้จักน้าสะใภ้ของเจ๊บิ้น
แกฝากน้าสะใภ้มาบอกว่า คุณตาถามถึงรองเท้า
พวกเราก็เลยวิ่งวุ่นเอารูปถ่ายพิธีรดน้ำคุณตามาดู
จึงพบว่าเราไม่ได้สวมรองเท้าให้คุณตา และก็ไม่ได้
ใส่รองเท้าลงไปในโลงให้คุณตาด้วย งานนี้บรรดาน้าๆ
 จึงรีบทำสังฆทานถวายรองเท้าอุทิศให้คุณตา
และในวันพระราชทานเพลิงเราได้นำรองเท้าใส่เมรุเ
ผาไปด้วยมันก็น่าแปลกนะ ตอนมีชีวิตอยู่คุณตาเอง
ก็ไม่ได้ปลื้มน้าสะใภ้เท่าไหร่นักและตอนพิธีรดน้ำ
น้าสะใภ้เองก็มาไม่ทันเนื่องจากอยู่ต่างจังหวัด
รูปถ่ายก็ยังไม่มีใครได้ดูจนกระทั่งลอยอังคารเสร็จ
แถมคนรู้จักที่เค้ามาบอกน้าสะใภ้เค้าก็ไม่รู้จักคุณตานะ
 แต่เค้ากลับฝันถึงดูแล้วไม่มีอะไรเชื่อมโยงกันได้เลย
แต่ที่แน่ ๆ เราไม่ได้ใส่รองเท้าให้คุณตากันจริงๆ ด้วยสิ
 มันก็น่าแปลกอยู่นะ

คุณตาเสียไปได้หลายปีก็ถึงคิวคุณยายบ้าง
 จริง ๆ คุณยายแกเคยดูหมอดู หมอดูบอกคุณยายจะเสีย
ก่อนคุณตาแกอุตส่าห์ดีใจที่ได้ตายก่อน แต่ปรากฏว่า
ถึงเวลาเข้าจริงคุณตาเสียก่อนซะงั้น ทั้งๆ ที่คุณยาย
นอนให้อาหารทางสายยางมาก่อนคุณตาตั้งหลายปี
ช่วงคุณยายเสียก็เป้นช่วงมีม๊อบอีกครั้ง (คุณตาคุณยาย
เจ๊นี่นิยมเสียชีวิตกันเวลามีม๊อบซะจริง)
น้า ๆเจ๊บิ้นไปเที่ยวเมืองนอกกันหมด เหลือแต่แม่เจ๊
ซึ่งเป็นลูกสาวคนโตเพียงคนเดียว ในวันที่คุณยายเสีย
มันก็แอบแปลกๆ นะ วันนั้นเป็นวันเสาร์ ช่วงเช้าเจ๊พา
พ่อกับแม่ไปทำสังฆทานเสร็จแล้วปกติเราก็จะไปหาอะไร
อร่อย ๆ กินกัน แต่วันนั้นมันหงุดหงิดยังไงไม่รู้ทุกคน
จึงกลับบ้านไม่ไปไหนต่อ ช่วงบ่ายคนดูแลคุณยายโทรมา
หาแม่เจ๊บอกคุณยายหายใจไม่ค่อยดี ตอนนั้นเจ๊กำลัง
ฉีกซองมาม่าใส่หมูสับใส่เครื่องปรุงก็เลยต้องจัับมาม่า
ยัดใส่ตู้เย็นไว้ทั้งชามกะว่าไปดูคุณยายที่บ้านน้าแป๊บนึง
 เดี๋ยวกลับมาทำมาม่ากินต่อ จากนั้นจึงขับรถพาแม่
ไปบ้านน้าขณะกำลังเลี้ยวรถเข้าซอยบ้านน้า
จู่ ๆ ก็มีเสียงหวอรถพยาบาลไล่หลังเจ๊จึงหลบ
ให้รถพยาบาลเข้าซอยก่อน ตอนนั้นสังหรณ์ใจว่า
รถพยาบาลคันนั้นต้องไปที่เดียวกันแน่นอนซึ่งก็ไม่เกิน
ความคาดหมาย เพื่อนของน้าที่สนิทกันมาก ที่นอนอยู่
บ้านคุณยายนั่นแหละตัดสินใจเรียกรถพยาบาล
เมื่อไปถึงคุณยายตายังลืมแต่ไม่รู้สึกตัวแล้ว
ตัวอ่อนปวกเปียกทุกคนตะโกนเรียกคุณยายกันใหญ่
ส่วนเจ๊บิ้นยืนตัวสั่น ใช่ค่ะสั่นจริง ๆ ทำอะไรไม่ถูก
จากนั้นก็มีการนำคุณยายขึ้นรถพยาบาลไปโดยเจ๊บิ้น
พาแม่ขับรถตามไป ขอบอกว่ารถพยาบาลซิ่งมาก
เมื่อไปถึงเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลเคลื่อนเตียงนำคุณยาย
ลงจากรถโดยมีบุรุษพยาบาลร่างเล็กนั่งคุกเข่าทำ
CPR
ให้คุณยายไปพลางได้ความว่าหัวใจคุณยายหยุดเต้น
ไปดื้อ ๆ ในรถพยาบาล เมื่อถึงโรงพยาบาลทั้งหมอ
และพยาบาลต่างกู้หัวใจคุณยายขึ้นมาได้อีกครั้ง
แต่ก็เต้น ๆ หยุด ๆ ประมาณ 3
– 4 รอบกว่าหัวใจ
ของคุณยายจะเต้นต่อได้เอง แต่กระนั้นร่างกายคุณยาย
ไม่ตอบสนองต่อการรักษาไปแล้วคุณยายอยู่ได้อีก 2 คืน
 จึงสิ้นลมไปอย่างสงบในคืนที่สองแต่เรายังไม่สามารถ
จัดงานให้คุณยายได้ทันทีต้องรอน้าที่ไปเที่ยวเมืองนอก
กลับมากันก่อน ซึ่งขณะนั้นน้า ๆทั้งหลายได้รับทราบข่าว
อยู่บนเรือสำราญจ้า คงไม่มีใครสำราญกันได้หรอก
แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ได้แต่อดทนรอจนกว่าเรือจะกลับเข้าฝั่ง
แล้วรีบบินกลับกันทันที เราจึงต้องฝากคุณยายไว้
ที่โรงพยาบาลคราวนี้ดีหน่อยเป็นโรงพยาบาลเอกชน
ทุกอย่างจึงดูสะอาดสะอ้านไม่น่ากลัวเหมือนห้องเก็บศพ
ในโรงพยาบาลรัฐตอนงานคุณตา เจ๊บิ้นจึงไปเยี่ยม
คุณยายหน้าตู้เย็นได้เกือบทุกวันเมื่อครบกำหนด
วันที่น้า ๆ กลับมาเตรียมพิธีรดน้ำ ทางโรงพยาบาล
ต้องนำร่างคุณยายออกจากช่องแช่มาเตรียมวางไว้
ตั้งแต่เช้าสภาพร่างกายคุณยายสวยงามปกติไม่น่ากลัว
 ผิวหนังนุ่มนิ่มปกติ ไม่มีกลิ่นอะไรเลยเจ๊บิ้นอยากให้
ทุกคนจดจำคุณยายในสภาพที่สวยงามจึงจัดการ
แต่งหน้าให้คุณยายด้วยตนเองโดยได้รับเครื่องสำอาง
จากแม่ การแต่งหน้าคนตายนั้นจะยากกว่าคนเป็น
ตรงที่เมื่อตายแล้วน้ำมันบนผิวจะไม่มี ผิวหนังจะแห้งมาก
 ทาแป้งและบรัชออนติดยากมากทาเท่าไหร่เป็นฝุ่น
ฟุ้งกระจายออกไปหมด จึงต้องลงรองพื้นกันหลายรอบ
 ทำให้การแต่งหน้าคนตายต้องใช้เครื่องสำอางมากกว่า
ปกติ ท่านใดมีเครื่องสำอางไม่ได้ใช้แล้วสามารถนำไป
บริจาคให้ตามห้องเก็บศพโรงพยาบาลได้นะคะ
ได้ข่าวว่าเป้นของจำเป็นมีหลายโรงพยาบาลต้องการ
มากเลยค่ะ หรือท่านใดมีจิตศรัทธาสามารถไปเป็น
จิตอาสาช่วยเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลแต่หน้าผู้เสียชีวิต
ได้เลยนะคะ ลองไปติดต่อดูมีหลายโรงพยาบาลเลย
ที่ต้องการจิตอาสาเพื่องานนี้อยู่ นับเป็นบุญกุศลมากนะคะ
 คิดดูสิคะ เวลาคนเสียชีวิตส่วนใหญ่ใบหน้าและผิวพรรณ
จะซีดเซียว การแต่งหน้าจะช่วยฟื้นคืนความสวยงาม
ขึ้นมา ช่วยให้บรรดาญาติ ๆ หรือคนรู้จักได้จดจำ
ใบหน้าที่สวยงามไว้ในความทรงจำ จริงมั๊ยคะ

สำหรับงานคุณยายเราก็ดำเนินการทุกอย่าง
เหมือนคุณตาเปี๊ยบโดยไม่ลืมซื้อรองเท้าคัทชูคู่ใหม่
ให้คุณยายได้ใส่ให้เข้ากับเสื้อลูกไม้สีแดง(สีโปรด
คุณยาย) และผ้าซิ่นไหม คราวนี้เจ๊บิ้นจัดเตรียมให้
หมดทุกอย่างพร้อมเสร็จสรรพไม่ให้ขาดแม้แต่
ยกทรงและกางเกงชั้นใน ในวันบรรจุคุณยายเก็บ
ไว้ 100 วันขณะที่เตรียมเคลื่อนคุณยายไปอาคาร
เก็บศพวัดเดียวกับคุณตา เจ๊บิ้นได้กลิ่นดอกไม้
ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเป็นดอกไม้อะไร แต่ว่าหอมมาก ๆ
หอม ๆ หวาน ๆแต่ไม่ทำให้เอียนเวียนหัว หอมฟุ้ง
ไปทั่วบริเวณศาลาสวดพระอภิธรรม ซึ่งแถวนั้น
ก็ไม่มีต้นไม้อะไรนอกจากต้นโมกแนวกำแพงวัด
ซึ่งปกติเจ๊บิ้นจะไม่ค่อยชอบกลิ่นดอกโมกเท่าไหร่
 เนื่องจากมันหอมแห้ง ๆเหมือนดอกไม้เหี่ยว ๆ
แต่กลิ่นดอกไม้ที่เจ๊บิ้นได้กลิ่นนี้ไม่ใช่กลิ่นดอกโมก
แน่นอนเจ๊บิ้นเองไม่กล้าทักในขณะนั้น แต่พอวันรุ่งขึ้น
มาไล่ถามว่ามีใครได้กลิ่นดอกไม้หอมๆ เมื่อคืนบ้างมั๊ย
 กลับไม่มีใครได้กลิ่นดอกไม้อะไรเลยแม้แต่คนเดียว
ซึ่งมันก็น่าแปลกนะกลิ่นดอกไม้ออกจะหอมฟุ้งขนาดนั้น

ขณะนี้ก็ผ่านมาหลายปีแล้วนะแต่เชื่อมั๊ยว่า
ความทรงจำที่เจ๊มีต่อคุณตาคุณยายมันยังชัดเจนมาก
เจ๊เชื่อว่าท่านทั้งสองยังอยู่ข้าง ๆ เจ๊ตลอด ทำไมน่ะเหรอ
 ก็เวลาเราจะกินอะไรเจอของชอบคุณตาคุณยายเราก็จะ
นึกถึงแล้วก็ต้องซื้อใส่บาตรให้ตลอด เวลาเราไปไหน
ที่ ๆคุณตาคุณยายเคยไปเราก็จะนั่งนึกถึงเวลาเรา
กินข้าวกินขนมเราก็นึกถึงรสมือคุณยายคุณตาว่า
ถ้าท่านมาทำให้คงจะอร่อยกว่านี้เวลารวมญาติเราก็จะ
พูดถึงท่านทั้งสองตลอด ถึงบอกว่าท่านทั้งสองไม่เคย
จากไปไหน แต่ยังอยู่ในจิตใจของพวกเราตลอด
คิดถึงคุณตาคุณยายมาก ๆ นะคะ

บ๊าย บาย ค่ะ




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2561
0 comments
Last Update : 19 กุมภาพันธ์ 2561 14:10:32 น.
Counter : 496 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


สมาชิกหมายเลข 4341744
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




คุณป้าวัยใส ผู้ใส่ใจสิ่งแวดล้อม
New Comments
Friends' blogs
[Add สมาชิกหมายเลข 4341744's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.