เรื่องลี้ลับใต้ชายคา (6)
เราได้คุยเรื่องคุณตาและคุณยายของเจ๊ริบบิ้นกันมาแล้ว วันนี้เรามาคุยเรื่องคุณปู่คุณย่ากันบ้างนะคะ ว่ากันตามจริงแล้ว เจ๊บิ้น จะสนิทกับทางคุณตาคุณยายมากกว่าเนื่องจากเกิดและโตมาในบ้าน ของคุณตาคุณยาย สำหรับคุณปู่นั้น นาน ๆครั้งถึงจะเจอกันซักที เนื่องจากบ้านคุณปู่อยู่ต่างจังหวัด แม้จะไม่ไกลจากกรุงเทพฯ มากนัก แต่ด้วยภารกิจมากมาย จึงแทบไม่เคยได้ไปมาหาสู่กันเลย บางทีญาติกัน แท้ ๆกลับจำกันไม่ได้ซะงั้น ถึงขนาดว่ามีอยู่ครั้งหนึ่ง เจ๊บิ้นผ่านไปจังหวัด ที่คุณปู่อยู่ แล้วได้แวะอุดหนุนขนมร้านของอาสะใภ้โดยไม่ได้แนะนำ กันก่อนทานขนมเสร็จจ่ายสตางค์ปุ๊บ อาสะใภ้ยกมือไหว้เจ๊บิ้นปั๊บ แถมส่งท้ายว่า แล้วมาอุดหนุนใหม่นะคะพี่ คุณย่าแท้ ๆขอเจ๊บิ้นเสียชีวิตตั้งแต่พ่อเจ๊ยังเล็ก ๆ บรรดา ญาติทางคุณย่าจึงยึดพ่อไว้เนื่องจากเกรงปัญหาเรื่องทรัพย์มรดกในส่วน ของคุณย่าที่ยังไม่ได้แบ่งกันอย่างชัดเจนต่อมาคุณปู่ก็แต่งงานใหม่ กับคุณย่าเงินส่วนพ่อเจ๊ก็ได้รับการเลี้ยงดูตามสภาพ อยู่ที่บ้านญาติ ทางคุณย่าแต่น่าจะสภาพไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ร้อนถึงคุณทวดต้องถือ ไม้คมแฝกไปอุ้มเอาพ่อเจ๊มาเลี้ยงเองอ้าว! เรื่องจริงนะ คนรุ่นปู่ย่า เล่าให้ฟัง พูดถึงคุณทวดเจ๊แกเป็นหญิงแกร่ง และใจเด็ดมาก แกแต่งงาน อยู่กินกับคุณทวดผู้ชายมาจนมีลูกหลายคนต่อมาน้องสาวแกมาขออาศัย อยู่ที่บ้าน คุณทวดผู้ชายก็เลยได้น้องสาวแกอีกคนซะงั้นแกเลยโกรธมาก เชื่อมั๊ยว่าแกนอนกันคนละห้องนะ แต่แกนั่งด่าคุณทวดผู้ชายตลอดทุกวัน ขนาดคุณทวดผู้ชายอยู่ในโลงแล้วแกยังไม่อโหสิกรรมให้เลย ชนิดตาย ไม่เผาผีกันจริง ๆ คุณทวดมีอาชีพเป็นแม่ค้าโดยมีแผงขายของอยู่ในตลาด แกเป็นคนขยันทำมาหากินหาตัวจับยากแกเลี้ยงดูพ่อเจ๊มาจนโต ลูกหลานคนไหนที่คุณทวดเลี้ยงจะได้ดีเป็นใหญ่เป็นโตทุกคนรวมทั้ง พ่อเจ๊ด้วย(ไม่ได้โม้น้า) และแกก็ชอบเล่นหวยมาก เมื่อถึงวันหวยออก คุณทวดแกจะไปหาคางคกมาหลายตัวแล้วนำมาขังไว้ เพื่อดูเลขจาก คางคก แต่ไม่รู้ว่าดูยังไงเหมือนกันนะคนเล่าให้เจ๊ฟังอีกทีเค้าก็ไม่รู้ว่า ดูยังไงเนื่องจากคุณทวดสงวนวิธีการดูคางคกไว้ไม่ให้ใครรู้ถ้าสมัยนั้น มีการจดสิทธิบัตรวิธีการดูหวยคางคก ป่านนี้คงรวยกันน่าดูคุณทวด จะเก็บเงินเก่งมาก เก็บได้เท่าไหร่ก็จะนำไปซื้อสร้อยคอทองคำจากนั้น จะแอบนำมาร้อยไว้ตามตะเข็บที่นอนซ่อนไว้ไม่ให้ใครรู้ พอคุณทวด อายุมากขึ้นมีอาการหลงลืมบรรดาคุณอา เห็นว่าที่นอนคุณทวดนอกจาก จะเก่าแถมยังสกปรก จึงขนไปขายซาเล้ง พวกสร้อยคอทองคำ ที่ถูกซ่อนไว้ตามตะเข็บที่นอนจึงไปกับที่นอนด้วยกระทั่งมีคนสูงอายุ มาเยี่ยมคุณทวดและได้ถามหาที่นอนเก่าความจึงเปิดเผยมาว่า ที่นอนดังกล่าวมีสร้อยคอทองคำซ่อนอยู่แต่กว่าจะรู้ซาเล้งที่รับซื้อ ที่นอนไปก็ได้หายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว กลับมาที่เรื่องของคุณปู่คุณปู่หลังจากแต่งงานใหม่กับ คุณย่าเงิน ก็มีลูกด้วยกันอีกหลายคน ดังนั้น เจ๊บิ้นจึงมีคุณอามากมาย คุณปู่เป็นคนคุยเก่ง มนุษยสัมพันธ์ดี สำหรับคุณย่าเงินนั้นไม่ค่อยเป็นที่ โปรดปรานจากแม่สามี(ก็คุณทวดนั่นแหละ) เท่าไหร่ แต่ก็อยู่ในบ้าน เดียวกันได้อย่างสันติภาพเนื่องจากคุณทวดจะใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับ การด่าคุณทวดผู้ชายที่นอนป่วยอยู่ห้องข้าง ๆหลังจากคุณทวดทั้งสอง คนถึงแก่กรรมลง คุณย่าเงินก็ป่วยกระเสาะกระแสะมาโดยตลอดแล้วจึง ถึงแก่กรรมก่อนเจ๊แต่งงานไม่กี่วัน หลังจากที่คุณย่าเงินเสียแล้วคุณปู่ก็อยู่ตัวคนเดียวโดยมี บรรดาคุณอาและคนแถวบ้านคอยดูแล บอกแล้วไงคุณปู่คุยเก่งจึงมีคน แวะเวียนมาคุยเรื่อย ๆ พอคุณปู่อายุมากขึ้น โรคภัยต่าง ๆ ก็รุมเร้าเข้ามา คุณปู่ต้องเข้า ๆ ออก ๆ โรงพยาบาลตลอด เนื่องจากคุณปู่เป็นข้าราชการ บำนาญจึงใช้สิทธิรักษาตัวในโรงพยาบาลศูนย์ซึ่งเป็นโรงพยาบาลรัฐ ในจังหวัดที่คุณปู่อาศัยอยู่นั่นแหละ ขอพูดถึงสภาพโรงพยาบาลศูนย์ หน่อยนึงนะ มันไม่ได้น่าอยู่น่านอนแอดมิทเหมือนโรงพยาบาลเอกชน หรอก คนป่วยล้นมากบางทีล้นทะลักมานอนอยู่บริเวณทางเดิน เมื่อสถานที่ไม่เพียงพอที่จะรองรับปริมาณคนป่วยความสะอาดหอมกรุ่น จึงหาได้ค่อนข้างยาก แต่อย่างว่านะ ต่อให้พี่ตูนวิ่งตั้งแต่เบตงจนทะลุไป ถึงขั้วโลกเหนือก็คงไม่สามารถหาเงินมาได้เพียงพอที่จะปรับปรุงระบบ บริการสาธารณสุขให้ทั่วถึงทั้งประเทศว่ากันตามตรงแล้วมันต้องช่วยกัน รักษาสุขภาพอนามัยกันตั้งแต่ยังเด็ก ๆ นั่นแหละ จะได้ลดจำนวน คนป่วยลง เมื่อคุณปู่ต้องเข้าโรงพยาบาลแกก็แสดงความจำนงว่า จะขอนอนห้องเตียงรวมตลอด แถมไม่ใช่ห้องเตียงรวมแบบ 2 3 เตียง นะแต่เป็นห้องเตียงรวมแบบห้องนึงมีเป็นสิบเตียง คนป่วยนอนกันบนเตียง ส่วนบรรดาญาติก็ปูเสื่อและหนังสือพิมพ์นอนกันเต็มข้างเตียงไปหมด บางทีมีลูกเล็กเด็กแดงก็ผูกเปลกับขาเตียงไกวกันใต้เตียงกันเลย เมื่อคนเยอะมากจึงแลดูอึกทึกครึกโครม ความสะอาดก็ไม่ค่อยมี แถมคนเยอะ ก็เป็นธรรมดาที่บุคลากรที่เกี่ยวข้องมักจะอารมณ์ไม่ค่อยดี จะหาที่พูดจาไพเราะรื่นหูคงเป็นไปได้ยาก บรรดาคุณอาจึงไม่อยากให้ คุณปู่ต้องพักรักษาตัวในสภาพเช่นนี้จึงขอร้องให้คุณปู่ย้ายไปพักรักษา ตัวในห้องเดี่ยวที่น่าจะสงบ สะอาด และปลอดภัยกว่าแต่คุณปู่ก็ยังไม่ยอม คุณอาจึงโทรมาหาพ่อเจ๊ให้ช่วยมาเกลี้ยกล่อมคุณปู่ให้ย้ายไปพัก ห้องเดี่ยวคุณปู่จึงยอมย้ายไปห้องเดี่ยว แต่ไม่นานก็ขอย้ายกลับไปอยู่ ห้องรวมตามเดิม ทุกคนเริ่มหงุดหงิดไม่ทราบเหตุผลว่าทำไมคุณปู่ ถึงได้ดื้อดึงอะไรเช่นนี้ในที่สุดคุณปู่ก็ปริปากบอกเหตุผล คุณปู่เล่าว่า ทุกคืนวันพระ คุณปู่จะเห็นสิ่งไร้ชีวิตที่เรียกว่าผีจำนวนมากมาย ยืนล้อมเตียงคุณปู่บ้าง เดินเพ่นพ่านไปมาในห้องพักบ้าง เต็มไปหมด บางร่างหัวขาด บางร่างแขนขาขาด น่าสยดสยองมาก มีทั้งเด็ก และผู้ใหญ่เต็มไปหมด ดังนั้น เมื่อผ่านคืนวันพระไปทีไรรุ่งขึ้นความดัน ของคุณปู่จะพุ่งปรี๊ดสร้างความวิตกให้คุณหมอและญาติ ๆ โดยตลอด เมื่อทราบเหตุผลอันสุดสยองแล้วบรรดาคุณอาและพ่อ ต่างเข้าใจคุณปู่กันทันทีแต่กระนั้นพวกเรากลัวว่าหากปล่อยให้คุณปู่ ที่มีอายุมากแล้วร่างก่ายก็อ่อนแอไปนอนห้องรวมจะยิ่งเกิดการติดเชื้อ ได้ง่ายขึ้น จึงขออนุญาตโรงพยาบาลให้เคสคุณปู่สามารถมีคนเฝ้าไข้ เกินกว่า2 คนได้ คุณหมอเมื่อทราบเหตุผลก็ดีใจหายรีบลงนามรับรอง คำขออนุญาตของคุณปู่ได้ในทันใด (ก็น่าจะรู้ ๆ กันนั่นแหละ) ดังนั้น ในคืนวันพระ บรรดาคุณอาจึงไปนอนเป็นเพื่อนคุณปู่กันอย่างล้นหลาม แต่แล้วในวันหนึ่งคุณปู่ตื่นขึ้นมาแล้วเล่าให้คุณอาที่เฝ้าไข้ อยู่ฟังว่า เมื่อคืนย่าเงินมาหาแล้วมาต่อว่าคุณปู่ว่าไหนว่าจะอยู่ต่อหลัง จากที่ย่าเงินเสียอีกแค่ 3 ปี แต่นี่หลายปีแล้วนะ จากนั้นอีก 2 3 วัน อาการคุณปู่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด รับประทานอาหารได้มากขึ้นช่วงนี้ พ่อเจ๊ก็เป็นอันขับรถขึ้น ๆ ลง ๆ ไปเยี่ยมปู่เกือบทุกวัน กระทั่งวันหนึ่ง พ่อเพิ่งกลับจากเยี่ยมคุณปู่ เสียงโทรศัพท์ดังขึ้น คุณอาโทรมาแจ้งข่าวว่า คุณปู่เสียแล้ว หลังจากคุณปู่เสียชีวิตทางบ้านตัดสินใจตั้งสวด พระอภิธรรมคุณปู่ ณ วัดที่อยู่ใกล้บ้านคุณปู่ เนื่องจากคุณปู่มีคนรู้จัก เยอะมากแขกจึงล้นหลามทุกคืน ทางบ้านมีการจ้างช่างภาพมาบันทึก ภาพบรรยากาศในงานคุณปู่เก็บไว้เป็นที่ระลึกเจ๊บิ้นเองก็หอบหิ้วลูกชาย ซึ่งขณะนั้นอายุประมาณ 5 6 ขวบไปทุกคืน งานนี้เหมือนงานรวมญาติ บรรดาลูก ๆ หลาน ๆ เหลน ๆ จึงได้มาพบปะกันที่วัดเด็ก ๆ วิ่งเล่นกัน เจี๊ยวจ๊าว เรียกได้ว่า ครึกครื้นกันไปทั้งวัด ไม่มีมุมไหนน่าวังเวงเลย คนนั่งกันเต็มแม้แต่บันไดเมรุ เมื่อถึงวันก่อนพิธีพระราชทานเพลิงศพ ช่างภาพได้ทยอยล้างและอัดภาพมาให้ดู ปรากฏว่า ในภาพถ่าย ได้ติดภาพแปลก ๆ มา 2 3 ภาพ บรรดาอาจึงนำภาพนั้นมาขยาย แจกจ่ายกันในหมู่พี่น้องเจ๊บิ้นก็ได้เห็นด้วย เอาเท่าที่จำได้นะ ภาพแรก เป็นภาพถ่ายเด็ก ๆที่เป็นเหลนของคุณปู่ หนึ่งในนี้ก็มีลูกชายเจ๊บิ้นด้วย เด็ก ๆ นั่งเล่นกันอยู่ที่บันไดเมรุโดยเห็นเค้าโครงร่างที่โปร่งใสเกือบจะ เป็นเงา แต่มีความชัดเจน สามารถเห็นได้ว่าเป็นคุณปู่และคุณย่าเงิน นั่งอยู่ที่บันไดเมรุกับพวกเด็ก ๆ ด้วย โดยเห็นค่อนข้างชัดแบบไม่ได้ มโนไปเองคุณปู่นั่งบนบันไดเมรุหันหน้ามองไปทางศาลาที่กำลัง ตั้งคุณปู่อยู่ ส่วนคุณย่าเงินนั่งถัดออกมานิดนึงโดยหันมาหากล้อง เห็นได้ค่อนข้างชัดขนาดว่าเห็นลายเสื้อ กางเกง ผ้านุ่ง แต่มีลักษณะ โปร่งใสบางส่วนของร่างกายก็สามารถมองทะลุผ่านเห็นเหลน ๆ ที่นั่งอยู่ ใกล้ ๆ ได้เลยส่วนภาพที่เหลือจะเป็นภาพถ่ายหมู่หน้าโลงศพ แขกที่มา ในงานก็จะยืนเรียงกันหน้าโลงแต่ในแถวที่ยืนจะปรากฏเงาโปร่งใส เป็นร่างคนร่วมยืนอยู่ด้วยอีกหลายร่างแถมมีการจัดการยืนเรียงได้ ลงตัวกันเป๊ะ มันก็แปลกนะที่ช่างภาพที่รับงานนี้ไม่เคยถ่ายภาพคุณปู่ และคุณย่าเงินมาก่อนเลยแถมคุณย่าเงินก็เสียชีวิตไปนานแล้วจึงแทบ จะเป็นไปไม่ได้ที่จะมีภาพถ่ายรูปคู่คุณปู่และคุณย่าเงินในอิริยาบถดังกล่าว ค้างอยู่ในกล้องแถมเสื้อผ้าที่เห็นก็เป็นชุดที่ทั้งสองชอบใส่ประจำเวลา อยู่บ้านและทั้งสองก็ไม่มีพี่น้องหรือญาติคนไหนที่มีความคล้ายคลึงกัน พอที่จะเห็นว่าเป็นเงาภาพซ้อนของคนคนนั้นได้สำหรับกรณีภาพหมู่ ในงานมันก็อาจเป็นไปได้นะที่จะเกิดกรณีภาพค้างในกล้องงานอื่น ที่บังเอิญมาเข้ากันได้กับรูปนี้เป๊ะแต่ภาพคุณปู่และคุณย่าเงินที่นั่งกับ หลาน ๆ หน้าบันไดเมรุนี่นับว่าค่อนข้างชัดเจนในระดับหนึ่งเลยล่ะ แต่ก็ไม่มีใครเคยพบเคยเจอทั้งคุณทวด คุณปู่ และคุณย่าเงิน เลยนะ จะมีก็แต่รูปถ่ายนี้แหละที่ค่อนข้างแปลกและชัด พ่อของเจ๊ก็ได้รับภาพนี้มาจากคุณอาด้วยแต่พ่อเอาเก็บไว้ เงียบ หลังจากนั้นอีกหลายปี จนกระทั่งลูกชายเจ๊โตแล้วเค้าจำได้จึงไปขอ ดูภาพนี้อีกที แต่พ่อเจ๊ปฏิเสธว่าไม่มีไม่รู้ว่าพ่อจะลืมไปแล้วจริง ๆ หรือไม่ อยากให้ใครดู อาจจะด้วยเหตุผลอะไรบางอย่างก็ไม่อาจรู้ได้ บ๊าย บาย นะคะ
Create Date : 21 กุมภาพันธ์ 2561 |
|
0 comments |
Last Update : 21 กุมภาพันธ์ 2561 14:30:17 น. |
Counter : 520 Pageviews. |
|
|
|