Noise219@Melbourne

บันทึกจากเมลบิร์น บทที่ 2 : ก้าวแรกสู่เมลเบิร์น

ต่อจากตอนหนึ่งนะคะ

ความเปิ่น ความเป๋อของคนเรา เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ความเปิ่นของเราในครั้งนั้น ก็ทำให้เราโดนเพื่อน ๆ ล้อมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ทุกครั้งที่เดินผ่านหน้าห้องของ MD เพื่อน ๆ เราก็มักจะถามเราว่า

“อ้าว วันนี้ไม่เข้าไปทักทายเพื่อนหน่อยเหรอ”

เราทำงานที่นั่นเดือนกว่า ๆ ก็สนิทสนมกับเพื่อน ๆ ที่นั่นมากขึ้น วันหนึ่ง เดวิดก็พาเพื่อนใหม่คนหนึ่งมาแนะนำให้พวกเรารู้จัก ซึ่งคน ๆ นี้ก็มาช่วยงานที่นี่ชั่วคราวเหมือนเรา หลังจากทักทายเพื่อนใหม่เสร็จ เราก็พูดกับเดวิดว่า

“ทีตอนที่ฉันมา คุณไม่เห็นพาฉันไปแนะนำให้ใคร ๆ รู้จักแบบนี้เลย” พูดเสร็จก็ทำหน้าบูด ๆ เดวิดหัวเราะก่อนจะบอกว่า

“โอ้ย ยูรู้จักไอ้พวกที่แผนกนี้ดีกว่าไออีก ยูต่างหากที่ควรจะพาไอไปแนะนำกับพวกนี้” เขาพูด

“อีกอย่าง ยูก็เป็นเพื่อนกับ MD ไอมิบังอาจหรอก” ว่าไปนั่น เหอๆๆๆๆ

งานนั้นเราไป ๆ กลับ ๆ ระหว่างเมลเบิร์น และซิดนีย์อยู่หลายครั้ง อาจจะเป็นเพราะเรามีเพื่อนและสนิทสนมกับคนที่อยู่เมลเบิร์นมากกว่า เลยทำให้เรารู้สึกว่า เมลเบิร์นเป็นเหมือนกับบ้านหลังนึงของเรา อีกอย่าง เพื่อน ๆ ที่เมลเบิร์นก็มักจะทำให้เรารู้สึกเหมือนเห็นส่วนหนึ่งของที่นั่นด้วย

การไปเยี่ยมเมลเบิร์นของเราครั้งนี้ ถ้าจะไม่พูดถึงคนสองคนนี้ ก็คงจะไม่ค่อยครบเครื่องนัก เพราะในเวลาต่อมาอีกไม่นาน สองคนนี้ก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปซะแล้ว

คนแรกนี่เป็นหนุ่มลูกครึ่งกรีช-อังกฤษ หน้าตาหล่อเหลา หล่อมะล่ำมะเหลือ หล่อแบบไม่เกรงใจใคร เขาเป็นคนที่ทำหน้าที่มารับเราแทนเดวิดในวันแรกที่เราไปเมลเบิร์น ก็เพราะมัวแต่ตะลึงตึงๆ ตึ๊งตึงๆๆ ในความหล่อนั่นแหละ ก็เลยลืมฟังว่าเขาชื่ออะไร พอส่งเราเสร็จเขาก็หายต๋อมไปเลย ไม่รู้ตกกะใจในความงามของเรา หรือกลัวเรากันแน่ แฮ่ๆๆ

เจอกันวันนั้นก็ทำเอาหัวใจหล่นตุ๊บไปสองชั่วโมง ก่อนจะลืมเขาไปในที่สุด (ฮ่ะๆๆๆ) เพราะว่ามีเรื่องขำ ๆ กับเพื่อน ๆ คนอื่น ๆ ที่นั่นอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะกับเพื่อนชาวอิตาลี่ที่ชื่อว่าลัคกี้ ลัคกี้ก็ถือว่าเป็นคนหน้าตาดีมากคนนึง ถึงจะไม่ได้หล่อในสายตาเรา แต่เราคิดว่าเขาเป็นคนน่ารักและมีเสน่ห์มาก ๆ เลยหละ (ปิ๊งๆๆ อีกแล้วหละเรา อิอิ)

เราเป็นคนอาภัพ ไม่ว่าจะปิ๊งใคร ชอบใคร สุดท้าย คน ๆ นั้นก็กลายมาเป็นเพื่อนเราภายในเวลาอันรวดเร็ว

จำได้ว่า ลัคกี้เขาชอบคุยกับเราเรื่องอาหารไทยมากที่สุด แต่คุยกันทีไร เราก็จะค่อนข้างเกร็ง เพราะตานี่ชอบอำเป็นชีวิตจิตใจ เผลอเป็นไม่ได้

“ผมชอบอาหารไทยอย่างอยู่อย่างนึงนะ อันนี้ชอบมากที่สุดเลย ไม่เคยชอบกินอะไรมากขนาดนี้มาก่อน” เขาเล่า

“อะไรเหรอ” เราก็ถามไปงั้น แต่ในใจก็คิดว่า

"เฮ้ย คงหนีไม่พ้น ผัดไทย ต้มยำ หรือแกงเขียวหวาน พันธุ์นั้นแหละ" แต่ที่เขาบอกมานี่ ทำเอาเราอึ้งกิมกี่ไปเลย

เค้าว่างี้

“สะเต๊ะไก่”

อุ๊แม่เจ้า ใครเขาบอกแก๊ ว่าสะเต๊ะเป็นอาหารไทย

“บ๊าาาา สะเต๊ะ ไม่ใช่อาหารไทยเว้ย โน่น เป็นอาหารอินโดฯ มาเลย์โน่น เค้าได้ยินหละโกรธแย่เลย” เราบอก

“อ้าว แล้วทำไมสะเต๊ะที่ผมกินที่ภูเก็ตมันอร่อยกว่าที่กินที่ KL ตั้งเยอะ” เขายังไม่วายจะสงสัย

“เอ๊า ก็ช่วยไม่ได้นี่ ที่คนไทยจะมีผีมือในการทำอาหารได้อร่อยมากกว่าเจ้าของเดิมอ่ะ” เราพูดไปขำไป

ลัคกี้ก็เลยหันไปหาเพื่อนอีกคนที่ชื่อซอว์ ซึ่งเป็นคนมาเลย์เชื้อสายจีน แล้วก็บอกว่า

“เฮ่ ซอว์ เค้าว่าพวกยูทำอาหารห่วยอ่ะ”

อ้าว ตานี่ อย่างนี้เค้าเรียกเสี้ยมนะเฟ้ย ซอว์ซึ่งนั่งอยู่ใกล้ ๆ และฟังอยู่ตลอดก็ได้แต่หัวเราะแหะๆ

และก็ช่วงที่เราอยู่ที่เมลเบิร์นนี่เอง ที่ลูกค้าของเราที่เมืองไทยเขาจะเปิดให้บริการระบบใหม่ เราก็เลยไปสืบว่าทางออฟฟิศที่เมลเบิร์นจะส่งใครมาทำงาน เดวิดก็บอกว่าคนที่จะมาทำงานนี้คือแมททิว เป็นคนอังกฤษที่เพิ่งย้ายมาทำงานที่เมลเบิร์นได้ไม่นาน เราก็เฉย ๆ เพราะไม่รู้จัก

เช้าวันหนึ่ง ขณะที่เรากำลังวุ่นวายอยู่กับงานที่ทำอยู่นั้น อาฮานก็พาคน ๆ นึงมาแล้วบอกว่า นี่แหละแมททิว คนที่จะไปทำงานให้ลูกค้าเราที่เมืองไทย เห็นหน้าก็ต้องบอกว่า ปิ๊งๆๆๆ (อีกแล้วจ้า) คนบ้าอะไรวะ หล่อโค ร ต

“เราเคยเจอกันแล้วครั้งนึง จำได้ไหม” แมททิวบอก แต่ในใจเราน่ะคิดว่า

“บ้าแล้ว อย่ามาอำซะให้ยาก หล่อขนาดนี้ ถ้าเคยเจอ แล้วชั้นจะลืมได้ลงเหรอยะ” แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร เพราะนึกเท่าไหร่ก็นึกไม่ออก เห็นเราทำหน้างง ๆ เขาก็เลยหัวเราะแล้วพูดขึ้น

“ฮ่ะๆๆ จำไม่ได้ก็ไม่เป็นไรหรอก ก็วันแรกที่คุณมาน่ะ ผมเป็นคนไปรับคุณแทนเดวิดไง”

คุณพระช่วย กล้วยปิ้ง บ้าจริง ๆ ด้วย แต่คนที่บ้าน่ะ คือเรา ลืมได้ไงวะเนี่ย

เท่าที่เราเคยพบและรู้จักมา ส่วนใหญ่ คนหล่อ ๆ มักจะไม่ค่อยมีเสน่ห์ และไม่ค่อยน่ารัก แต่กับแมททิวนี่ ต้องยกเว้นไว้สักคน เขาเป็นคนที่ต้องเรียกว่าสุดกู่ในทุก ๆ ทาง ทำอะไรทำเต็มที่ รักอะไรก็รักจริงๆ จังๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องคนหรือเรื่องงาน พอถึงคราวจะบ้า ก็บ้าได้สุดกู่เลยด้วย ซึ่งนั่นคือความประทับใจที่เรามีต่อเขามากกว่าหน้าตาอันหล่อเหลาของเขาซะอีก

แต่ถึงจะหล่อขนาดไหน เราก็มีเรื่องมาเผาอยู่ดี ฮี้ๆๆๆ

ตอนเขามาเมืองไทย เรากับน้องที่ทำงานที่แผนกเดียวกันชื่อหยุง (เป็นผู้ชายเด้อค่ะ) ก็พาไปเที่ยวที่อยุธยา นัดกันเป็นมั่นเป็นเหมาะ ว่าสิบโมงเราจะถ่อสังขารไปรับที่สถานีรถไฟฟ้าหมอชิต แต่พอดีว่านัดกันในวันที่เรานั่งเครื่องกลับมาถึงกรุงเทพตอนเช้าพอดี เราลงเครื่องตอนหกโมงครึ่ง ก็กลับไปอาบน้ำอาบท่าแล้วก็ไปรับหยุงก่อน พอพวกเราไปถึง พ่อคุณหายไปอีกแล้ว ไม่รู้อยู่ไหน โทรเข้ามือถือก็ไม่รับ ก็เลยโทรไปที่โรงแรม

“สวัสดีครับ แมททิวพูดครับ” เนี่ย เสียงงัวเงีย ๆ

“ยังไม่ตื่นเหรอ ขอโทษที แต่วันนี้พวกเรามีนัดไปอยุธยานะ จำได้ป่ะ” เราบอก

“อ้าว นี่ตกลงเธอพูดจริงเหรอ ผมนึกว่าแค่พูดเล่น” เขาว่า

“เอ๊า พ่อคุณ พ่อทูลหัว เห็นฉานเป็นคนพูดจาไม่อยู่กะร่องกะรอยไปซะงั้น” เราก็ได้แค่คิดแหละ

“พูดจริง ๆ เนี่ย หยุงก็มารอแล้วด้วย แล้วจะไปไหมหละเนี่ย” เราถาม

“โอเค ไปๆๆ อีกไม่เกินหนึ่งชั่วโมงเจอกัน”

ไม่ถึงชั่วโมง แมททิวก็มาถึงหมอชิต เขาก็ขอโทษขอโพยยกใหญ่ ก่อนจะบอกว่า เมื่อคืนไปเที่ยวที่ถนนข้าวสาร กลับมาเกือบตีห้า เขาคิดว่าเราพูดเล่นเพราะเห็นว่าเพิ่งจะกลับมาจากออสเตรเลียตอนเช้า ไม่คิดว่าเราจะอึดซะขนาดนี้ แหม่... ชมกันแบบนี้ จะเขินหรือว่าอายดีหว่า

รถที่เราขับไปวันนั้นเป็นรถกระบะสี่ประตู 4WD เกียร์ธรรมดา คันใหญ่มาก หยุงบอกว่า

“ถ้าพี่เหนื่อยก็พักก็แล้วกัน เพราะผมช่วยขับไม่ได้ ขับไม่เป็น” แมททิวได้ยินก็เลยบอกว่า

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวผมช่วย”

วันนั้นทั้งวัน ก็พาเดินชมเมืองเก่า และก็พาไปพระราชวังบางประอิน สุดท้ายก็พาไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ศูนย์ศิลปชีพบางไทร กว่าจะกลับจากอยุธยา ก็ค่ำมือแล้ว จากที่คุยจ้อมาทั้งวัน ทั้งแมททิวและหยุงก็สลบเหมือดตั้งแต่ตอนที่เราขับรถออกมา ดูท่าว่ากำลังของสองหนุ่มจะตกไปพร้อมกับพระอาทิตย์ซะแล้ว อิอิ

“แหมๆๆๆ เมื่อเช้าใครหว่า บอกว่าจะช่วยเราขับรถ เดี้ยงไปซะแล้วเหรอ”

ตอนที่ไปเที่ยวนี้แหละ ที่เราได้มีโอกาสพูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติกันมากขึ้น ปกติแล้ว เราก็รักงานที่เราทำ เพียงแต่บางครั้ง งานที่ทำไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก ยิ่งพูดคุยกันมากเท่าไหร่ เราก็ได้เห็นว่า คนที่ทำงานด้วยหัวใจนั้น มันก่อให้เกิดความสุขในชีวิตประจำวันและสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากแค่ไหน

จากที่เคยเล่นตัวไม่ยอมย้ายไปทำงานที่เมลเบิร์น นับถึงวันนั้นก็กว่าสองปีครึ่ง เราก็ตัดสินในแน่วแน่ ว่าถึงเวลาแล้วที่จะไปพิสูจน์ตัวเองที่ต่างแดนซะที ตัดสินใจภายในสามวันก็ไปบอกคนที่บ้านว่าจะย้ายไปทำงานที่เมลเบิร์น คนที่บ้านคงจะช็อก หรือไม่ก็คิดว่าเราพูดเล่น เขาก็เลยไม่ว่าอะไร เราก็เลยถือว่า การเงียบคือการยอมรับ ฮ่าๆๆ เช้าขึ้นมาก็เลยโทรศัพท์หาเดวิด บอกว่าจะย้ายมาทำงานด้วย ช่วยทำเรื่องให้หน่อย เหอๆๆๆ

เห็นชื่นชมแมททิวซะขนาดนี้ ก็อย่าเพิ่งคิดไปไกล ชีวิตจริงไม่ใช่นิยาย มันจึงออกแบบไม่ได้ว่าเราจะรู้สึกกับคนที่เราพบเจอยังไง แต่ก็อย่างที่บอก ว่าเรามันคนอาภัพ ปิ๊งใครก็ปิ๊งไม่นาน ไม่กี่วันก็เป็นเพื่อนกันหมดแล้ว

หลังจากนั้นอีกสี่เดือน เราก็เก็บเสื้อผ้าย้ายไปอยู่เมลเบิร์น โดยมีกำหนดจะไปเริ่มงานที่นั่นวันที่ 1 กรกฏาคม 2548

เราไปถึงก่อนที่จะเริ่มทำงานหนึ่งสัปดาห์ ระหว่างนั้นก็ไปเที่ยวบ้าง พอว่างก็แวะไปทักทายเพื่อน ๆ ที่ออฟฟิศ ก็เจอข่าวนี้พอดี

“มาพอดีเลย วันนี้มีเลี้ยงส่งเดวิด” อาฮานบอก เราก็อึ้ง

“ทำไมหละ เดวิดลาออกเหรอ” ถามออกไป ใจก็หล่นไปที่ตาตุ่ม เพราะรู้ดีว่า สิ่งที่น่าเบื่อที่สุดในชีวิตการทำงานคือการมีหัวหน้าที่ไม่เข้าใจลักษณะงานที่เราทำ

“หว่า รับตรูมาทำงานแล้วชิ่งหนีกันซะงั้น”

“เดวิดจะย้ายไปทำงานให้ไอร์แลนด์ วันที่ 1 ที่จะถึงนี้ก็จะมีหัวหน้าใหม่แล้ว” เขาบอก

“ใครหละ” เราถามด้วยความอยากรู้ แต่เพื่อนรักไม่ยอมบอกอ่ะ บอกแค่ว่าถึงเวลาก็รู้เอง เพราะวันนี้ในงานเลี้ยงส่ง หัวหน้าใหม่ก็จะไปด้วย

“อ้าว แล้ววันนี้ลัคกี้ไปไหนหละ มาตั้งนานยังไม่เจอเลย” เราถาม

“สงสัยจะยุ่ง ๆ อยู่มั้ง เมื่อเช้ายังเห็นอยู่ เดี๋ยวก็คงมา” อาฮานบอก

งานเลี้ยงมีขึ้นที่ร้านอาหารอิตาเลี่ยนซึ่งเป็นร้านประจำของพวกเราในเวลาต่อ ๆ มาก็ว่าได้ เนื่องจากเรายังไม่ได้เริ่มงาน เราก็เลยไปรอที่ร้านอาหารพร้อมเพื่อน ๆ กลุ่มใหญ่ที่ออฟฟิศ แต่บางคนก็ยังติดงานอยู่และจะตามไปทีหลัง รวมถึงเดวิดและหัวหน้าใหม่เราด้วย

พวกที่ไปถึงก่อน ก็สั่งอาหารมานั่งกินกันไป คุยกันไป เดวิดกับเพื่อน ๆ ก็เริ่มทะยอยมาตอนที่พวกเรากำลังกินกันอยู่ กองทัพเดินได้ด้วยท้อง ก่อนจะร่ำลาหรือกล่าวอะไร ทุกคนก็ต้องกินกันซะก่อน เราสั่งพิซซ่ามากิน เพราะเห็นว่าง่ายที่สุดแล้ว กินไปก็คุยกันไป พวกเขาก็คุยกันสนุกสนาน มีบางทีก็แซว ๆ เรื่องงานใหม่เดวิดเหมือนกัน จนเราอดไม่ได้ต้องถามขึ้น

“ถามจริง ๆ เหอะ เมื่อไหร่จะบอกซะที ว่าใคร (มันบังอาจ) จะมาเป็นหัวหน้าใหม่อ๊ะ”

เพื่อน ๆ เห็นเราอยากรู้เรื่องนี้ ก็พากันขำ แต่ก่อนที่จะมีใครพูดอะไร เพื่อนอีกคนก็เดินเข้ามา เดวิดก็พูดว่า

“อ้อ มาทันเวลาพอดี นี่ไงหละ หัวหน้าใหม่”

เรามองตามสายตาของคนอื่น ๆ ก็เห็นคน ๆ หนึ่งเดินเข้ามา

“เฮ้ย ลัคกี้นี่หว่า”

เราพูดเสียงดัง แทบจะสำลักพิซซ่าที่กินอยู่ ไอ้พวกเพื่อน ๆ มันก็ยิ่งหัวเราะกันหนักขึ้น

“ยินดีต้อนรับสู่เมลเบิร์น และก็ยินดีต้อนรับหัวหน้าคนใหม่” เดวิดพูด

“เซอร์ไพร้ส์!!!!!” ลัคกี้พูดกะเรา

เซอร์ไพร้ส์กะผีอ่ะดิ ตกใจหละไม่ว่า แหม..ปิดกันมิดเลยนะไอ้พวกเนี้ย

ทุกอย่างเป็นอนิจจัง จริงแท้แน่นอน ดังนั้น สิ่งที่เราคิดจะทำในตอนนั้นก็คือต้องปรับตัวให้เข้ากับสไตล์การทำงานของลัคกี้ ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไรนัก เพราะความที่รู้จักมักคุ้นกันอยู่ก่อนแล้ว วันแรก ๆ ที่ทำงาน เขาก็เรียกเราเข้าไปคุย

“พวกเราที่นี่ ตั้งความหวังไว้กะเธอสูงนะ ขอบอก” เขาว่าอย่างนี้จริง ๆ เราก็อึ้ง ๆ เพราะเริ่มเครียด

“อารายหว่า ตรูมาทำงานวันแรก มันจะหวังอะไรจากตรูหละเนี่ย” แต่ลัคกี้เหมือนจะอ่านสีหน้าเราออก จึงบอกว่า

“ไม่ต้องกังวล เธอทำได้อยู่แล้ว เรื่องนั้นผมไม่ห่วง”

อ้าว เหรอ เฮ้อ !!! ค่อยยังชั่ว

“แต่อยากจะให้ช่วยอะไรอย่างหนึ่งได้ไหม”

“ได้สิ อะไรเหรอ” เอาอีกแล้ว ไอ้นิสัยใจง่าย ใจอ่อน จนตัวเองต้องลำบากเพราะไปรับปากชาวบ้านเขาไว้นี่อีกแล้ว

“ผมอยากให้เธอช่วยสอนเด็กใหม่ ๆ และคนอื่น ๆ ในกลุ่มเรื่องงานและเรื่องอื่น ๆ ด้วย”

เราอึ้ง เอ..ตอนแรกเรากะว่าจะมาทำอะไรน๊าาา จำไม่ค่อยได้ซะแล้ว

“เราจะทำงานกันเป็นทีม ผมอยากทำให้ทุก ๆ คนทำงานร่วมกัน มีอะไรเราก็จะช่วยกัน”

“ถ้าเธอทำงานดี ผมจะช่วยให้ได้กลับบ้านได้บ่อยมากเท่าที่จะเป็นไปได้” เขาบอก

แต่ตอนนั้นเราก็ไม่ได้หวังอะไรมากมาย เพราะยังไม่แน่ใจว่าเขาจะเอาจริงเอาจังแค่ไหน แต่คำพูดของเขาในวันนั้น ก็เป็นเหตุที่ทำให้เราเข้า ๆ ออกเมืองไทยบ่อยจนเพื่อนเก่าเราหมั่นไส้ เหอๆๆๆ

“เออ เห็นโบบอกว่าเธอเนี่ยเพี้ยน จริงเหรอ” เขาถามก่อนที่เราจะเดินออกจากห้อง โบ คือหัวหน้าเก่าเราตอนที่อยู่ที่เมืองไทย เขาเป็นชาวเดนมาร์ก

เฮ้ย .. ถามอย่างนี้ มีรึ ที่จะยอมรับ รับก็บ้าแล้ว

“ไม่จริงอ่ะ”

เขาก็ยิ้ม ๆ แล้วบอกว่า

“เดี๋ยวก็รู้กัน” เขาบอก

แต่วันนั้น เขาคงจะไม่ได้คิดฝัน ว่าจะได้เจอเข้ากับตัวเองเร็วเกินคาด

การทำงานในที่ใหม่ ทำให้เราต้องปรับตัวมากพอสมควร ถึงแม้ว่าเราจะเคยคุ้นกับการทำงานของ Regional จากการทำงานในฐานะตัวแทนอยู่พอสมควร แต่ชีวิตประจำวัน และงานประจำวันที่ทำอยู่ในตอนนั้นก็แตกต่างจากที่ใหม่นี่มากพอสมควร

งานที่ทำก็มีทั้งส่วนที่เรียกว่า Support คือแก้ปัญหาให้ลูกค้า และ Service & Supply ซึ่งต้องไปติดตั้งและทดสอบระบบให้กับลูกค้า รวมถึงส่วนที่เรียกว่าเป็น Integration ด้วย พวกเราส่วนใหญ่จึงมักจะต้องเดินทางไปที่ต่าง ๆ ทั้งในและนอกออสเตรเลียกันบ่อย ๆ

ช่วงแรก ๆ ที่เราไปอยู่ เพื่อน ๆ คงจะกลัวเราเหงา ลัคกี้ก็เช่นกัน เขาก็เลยพยายามหาโอกาสให้เราได้เดินทางไปในประเทศในละแวกใกล้ ๆ กับประเทศไทย แต่ถึงจะไม่ค่อยได้อยู่ที่ออฟฟิศ แต่กิตติศัพท์ ความเปิ่นและเฟอะฟะของเราก็มีให้เพื่อน ๆ ได้เห็นและอาจจะซ ว ย ต้องเดือดร้อนไปกับเรากันบ่อย ๆ แต่ลัคกี้เป็นคนเดียวที่มักจะรอดจากเรื่องต่าง ๆ เพราะเขามัวแต่วุ่น ๆ อยู่กับงานในฐานะหัวหน้าแผนก

สวรรค์ก็ไม่ได้เป็นใจแบบนี้ตลอดไป เมื่อวันหนึ่งเราก็ได้ไปทำโปรเจคให้กับลูกค้ารายหนึ่ง ในบังคลาเทศ กับลัคกี้ แต่เราไปกันคนละไฟล์ เราไปการบินไทยถึงบังคลาเทศตอนบ่าย เขาไปสิงคโปร์แอร์ไลน์ถึงที่นั้นตอนประมาณเที่ยงคืนกว่า ๆ

เช้าวันรุ่งขึ้น เราก็ต้องไปทำงานแต่เช้า เขาก็ยังงัวเงียอยู่เพราะเวลาที่บังคลาเทศก็ช้ากว่าออสเตรเลีอยู่ห้าชั่วโมง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เขาจะเกิดอาการ Jet-lag เราทำงานทั้งวัน กว่าจะค่ำก็เล่นเอาซึมไปเหมือนกัน

แต่ที่แย่กว่านั้นก็คือการที่ลูกค้าขอเปลี่ยนแผนกระทันหัน วันนั้นเราสองคนก็เลยต้องทำงานกันถึงตีสองกว่า ๆ ทั้ง ๆ ที่ควรจะได้กลับไปพักผ่อนตั้งแต่ตอนเย็น ถึงคืนก่อนเราจะได้นอนเยอะกว่า แต่เจองานหนักและเครียดทั้งวันก็เล่นเอาเราเบลอไปเหมือนกัน อาบน้ำเสร็จ หัวถึงหมอนก็หลับปุ๋ย มาตกใจตื่นตอนมือถือมันปลุกนั่นแหละ

“อุ๊แม่เจ้า เกือบเที่ยงแว๊ววววว”

กระโดดลงจากเตียงได้ ก็กดโทรศัพท์หาลัคกี้

“นี่ฉันปลุกคุณหรือเปล่า” เสียงเขาตอบมาเบา ๆ

”ไม่หรอก ฉันตื่นนอนตั้งแต่เมื่อสิบนาทีก่อนแล้วหละ”

“ดีเลย เราสายแล้วหละ นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว”

“อ้าวเหรอ งั้นขอเวลา 15 นาทีก็แล้วกัน” ลัคกี้บอก

เราอาบน้ำแต่งตัวด้วยความเร็วสูงสุดเท่าที่จะทำได้ แล้วก็รีบลงไปข้างล่าง โชคดีที่ลัคกี้ยังไม่ลงมา (อิอิ นั่งรอก่อนดีกว่า) ระหว่างที่นั่งรอก็หยิบนาฬิกาข้อมือในกระเป๋ามาใส่ พอเห็นเวลาก็ตกใจ นึกว่าตัวเองตาฝาด ขยี้ตาอีกรอบเวลาที่เราเห็นยังเหมือนเดิม

“เฮ้ย มันก็ยังไม่เปลี่ยนว่ะ เข็มนาฬิกาก็ยังเดินปกติ”

มองไปที่ผนังห้อง นาฬิกาของโรงแรมก็บอกเวลาเดียวกันกับนาฬิกาของเรา กำลังนั่งนึกอยู่ว่าจะพูดกับลัคกี้ยังไงดี เขาก็เดินลงมาพอดี

“หัวเปียกมาเลย ซวยแว้ววววว”

“ไป ผมพร้อมแระ” เขาบอก

“เดี๋ยวก่อนลัคกี้ ฉันมีอะไรจะบอก”

“อะไรเรอะ” เขาถามงง ๆ

“ต้องขอโทษจริง ๆ ที่ฉันปลุกคุณแต่เช้า”

“ไม่เป็นไร” เขาว่า

“ฉันคิดว่ามันจะเที่ยง แต่ว่านั่น มันเป็นเวลาของที่ออสเตรเลีย”

“หา!!!”

“แหะๆ จริง ๆ แล้ว มันเพิ่งจะเจ็ดโมงเช้าเองอ่ะ”

เห็นเค้ายืนมึน ๆ อยู่ เราก็เลยลากเขาไปกินอาหารเช้าที่โรงแรมจัดให้ เราสองคนเป็นกลุ่มแรกที่มาเพราะว่ายังเช้าอยู่ นั่นยิ่งทำให้ลัคกี้บ่นเรามากขึ้นเรื่องที่เราเฟอะฟะ ทำให้เขาต้องมาตื่นแต่เช้าโดยไม่จำเป็น แต่เราน่ะ นังหัวเราะไม่หยุด นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ลัคกี้สาบานว่า จะไม่ขอเดินทางไปต่างประเทศกับเราตามลำพังอีกต่อไป

กลับจากบังคลาเทศ เราก็มาแวะที่เมืองไทยเหมือนเช่นเคย มาคราวนี้ก็ได้มีโอกาสเจอกับเพื่อนเก่า ๆ ด้วย

ครั้งหนึ่งมีเพื่อน ๆ ในกลุ่มสมัยเรียน ม.ต้น นัดกินข้าวตอนเย็นก็ถามสารทุกข์สุกดิบกันตามประสาคนรักกัน โดยปกติแล้ว เพื่อนๆ ในกลุ่มนี้จะคุยเก่งกันทั้งนั้น ยิ่งนาน ๆ จะเจอกันที ต่างคนต่างคุย แทบจะไม่มีใครฟังใครเลย แต่พอรู้ว่าเรากลับมาเมืองไทยบ่อยขนาดไหน ก็ชักเสียงดัง

“ไปอยู่แปดเดือน กลับมาแล้วห้าครั้งเนี่ยนะ” เพื่อนคนหนึ่งชื่ออรว่า

"ไอ้ที่บอกมา Transit นี่ แกไปไหนมาวะ"

"ก็แล้วแต่ บางทีก็บังคลาเทศมั่ง เขมรมั่ง เวียดนามก็มี สวีเดนด้วยครั้งนึง"

"อ้อ แล้วก็มีไปอินโดแหละ" พอดีว่าเราเพิ่งนึกได้ว่าเคยมาจากอินโดนีเซียด้วย

"แกมาจากออสเตรเลีย ไปทำงานอินโด" น้องอรคนเดิมเริ่มเสียงดัง พร้อมออกอาการหมั่นไส้เราสุด ๆ

"เออ แกจะตกใจอะไรนักหนาวะ"

"แล้วแกมาเปลี่ยนเครื่องที่กรุงเทพ"

"เออ ไม่เห็นแปลก" เรายังตีหน้าเซ่อได้อย่างแนบเนียนเหมือนเดิม หุๆๆ

"ไอ้เว... (อันนี้เซ็นเซอร์) อินโดมันครึ่งทางเองนะ แล้วแกมีหน้ามาบอกชั้น ว่ามา Transit อีกเหรอ”




 

Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2551
10 comments
Last Update : 21 มิถุนายน 2551 13:37:31 น.
Counter : 391 Pageviews.

 

แวะมาเจิมต่ะ เปลี่ยน blog ใหม่แล้วเหรอจ๊ะ ..... ว่างๆ พี่แหม่มจะแวะมาบ่อยๆ นะคะ

 

โดย: mamminnie 20 กุมภาพันธ์ 2551 0:21:51 น.  

 

หวัดดีค่ะพี่แหม่ม รู้ได้ไงเนี่ย ว่าเราเปิดบล็อกใหม่ นี่ยังไม่ได้ไปส่งข่าวคราวใครเลยนะคะ

ตอนนี้ก็แค่กู้ข้อมูลเก่า ๆ อยู่ค่ะ หายไปเยอะค่ะ เสียดายมาก ๆ แต่ก็ทำได้แค่เอาให้ได้เยอะที่สุดก็พอ

 

โดย: NoiseN 20 กุมภาพันธ์ 2551 20:34:45 น.  

 

ก็วันนั้นพอดีเห็นชื่อและเนื้อเรื่องคุ้นๆ ก็เลยลองเข้าไปชม ถึงได้ทราบว่าเป็นของน้อย น้องเรานี่เอง ว่างๆ จะแวะมาใหม่จ้า

ปล. ช่วงนี้งานเยอะมาก เรียนรู้งานใหม่ๆ อีกเพียบ ..bye

 

โดย: mamminnie 4 มีนาคม 2551 18:21:02 น.  

 

สวัสดีคะพี่น้อย สบายดีนะคะ ดีใจจังที่พี่น้อยยังไม่ลืมน้องลีคนนี้ PS...ถ้าช่วงนี้ลีไม่ค่อยได้แวะมาก็อย่าเพิ่งลืมกันนะคะ เพราะลียุ่งๆกับเรื่องงาน และเครียดเรื่องการมีน้องนะคะ

 

โดย: Hokey 11 มีนาคม 2551 4:29:21 น.  

 

คลิกๆๆ รูปสวยๆน่ารักๆไว้ส่งต่อเพียบ...

 

โดย: พู่กันสีเงิน 15 มีนาคม 2551 13:16:45 น.  

 

สวัสดีครับยาวจังยังไม่ได้อ่าน อิ อิ


คอมเม้นต์จากบ้านโคลงผวนขอรับอิ อิ...

 

โดย: คนสาธารณะ 18 มีนาคม 2551 0:41:35 น.  

 

แวะมาอ่านเรื่องเปิ่นๆจ้า พี่น้อยสบายดีนะคะ

 

โดย: Hokey 19 มีนาคม 2551 4:04:07 น.  

 

ขอบคุณครับ
ที่เข้าไปอ่าน....โคลงผวน..

ที่พี่น้อย(ขออนุญาต อิอิ)

บอกว่าชั้นเทพน่ะ

เทพไหนครับ

เทพ โพธิ์งาม

หรือเปล่าขอรับ อิอิ

 

โดย: คนสาธารณะ 22 มีนาคม 2551 13:54:43 น.  

 

หวัดดีค่ะทุก ๆ คน ขอบคุณที่แวะมาทักทายค่ะ

คุณ คนสาธารณะแต่งกลอนได้ดีจริงค่ะ เทพจริงๆ ไม่ได้พูดเล่นนะจ๊ะ

 

โดย: NoiseN 22 มีนาคม 2551 17:05:18 น.  

 

เพิ่งเปิดบล๊อกน่ะค่ะ เลยเพิ่งแวะมาอ่าน

อ่านเรื่องเปิ่นๆแล้วนึกถึงตัวเองอ่ะค่ะ เปิ่นเหมือนกัน

 

โดย: NattyJung 9 พฤษภาคม 2551 12:31:22 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


NoiseN
Location :
Melbourne Australia

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Noise219 นะคะเพื่อน ๆ มาในบล็อกใหม่เพราะของเดิมโดนไวรัสค่ะ

ขอบคุณป้ามด คุณ N_BEE810 และคุณเนยสีฟ้า สำหรับของแต่งบล็อกสวย ๆ นะคะ

^-^ ^_^ ^_^ ^_^

I love Melbourne Long Live the King
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
19 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add NoiseN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.