Noise219@Melbourne
บันทึกจากเมลบิร์น บทที่ 1 : เสียบเพื่อชาติ เมื่อโอกาสมาถึง

ใครที่เพิ่งเข้ามาในบล็อก อาจจะงง ๆ นะคะ จริง ๆ แล้วเราเคยมีบล็อกอยู่ก่อนแล้ว แต่โดนไวรัส จนไม่สามารถเข้าได้อีก พยายามแก้กันอยู่หลายเดือน ก็ไม่สำเร็จ เราก็เลยต้องปิดบล็อกเก่ามาเปิดบล็อกใหม่ค่ะ เรื่องที่เราจะเล่า ก็เป็นเรื่องที่ลงไว้ในบล็อกเก่า ใครที่เคยอ่านแล้วก็คงไม่ว่ากันนะคะ

เล่ามาตั้งสองตอนแล้ว (จากกลุ่ม เล่าสู่กันฟัง) นี่ไม่เคยบอกเลยเนอะ ว่าจริงๆ แล้วเราเป็นลูกชาวนาค่ะ พ่อกะแม่เรียนจบชั้น ป.สี่ เราได้โอกาสมาเรียนวิศวะด้วยโครงการ ๆ หนึ่ง เรียกว่า โครงการวิศวกรช้างเผือก จากสถาบันที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในด้านวิศวกรรมโทรคมนาคมในสมัยนั้น ซึ่งคล้าย ๆ กับโครงการครูชนบท ของจุฬาฯ

วันแรกที่รู้ตัวว่าจะได้มาเรียนวิศวะที่กรุงเทพฯ นี่ก็ดีใจมาก ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยรู้เลยว่าวิศวกรนี่เค้าทำอะไรกัน พอไปเล่าให้พ่อกับแม่ฟัง เขาก็อึ้ง ถามเราว่า

“ไอ้วิศวะที่ว่าเนี่ย มันคืออะไรวะ"

เราก็อึ้งกิมกี่ไปเลยวันนั้น พยายามอธิบายให้พ่อกับแม่ฟังเท่าที่เราเข้าใจ แต่เขาก็มองไม่เห็นภาพเท่าไหร่ พอเห็นว่าเราตอบไม่ได้ดั่งใจ แม่ก็เลยบอกว่า

“เป็นครูดีกว่านะ แม่ว่า” เรายังไม่ทันจะพูดอะไร พ่อก็พูดแทรกขึ้นมา

“ไม่เอา เป็นพยาบาลดีกว่า พ่อชอบ”

เอ๊า ชักจะไปกันใหญ่ เราเลยต้องห้ามศึกระหว่างพ่อกับแม่

“ไม่ต้องเสียใจนะ หนูไม่ได้ลำเอียงเข้าข้างใคร หนูจะเป็นวิศวกร” เหอๆๆๆๆ

กลับมาเข้าเรื่องที่จะเล่าถึงเพื่อน ๆ ที่เมลเบิร์นให้ฟังกันดีกว่าเนอะ

อย่างที่เคยบอกไว้ตอนต้น ๆ ว่าบริษัทที่เราทำงานอยู่มีสาขาอยู่เกือบทุกประเทศทั่วโลก ที่พูดอย่างนี้ก็ไม่ได้จะอวดว่าได้ทำงานบริษัทใหญ่โตอะไรค่ะ เพราะจริง ๆ แล้ว ยิ่งทำงานบริษัทใหญ่เท่าไหร่ ตัวเราก็จะเล็กลงเท่านั้น แต่ที่ต้องพูดถึง เพราะว่ามันจะนำไปสู่เรื่องที่ว่าเราไปรู้จักกับเพื่อน ๆ ที่เมลเบิร์นได้ยังไง แล้วเราไปทำอีท่าไหน ถึงต้องไประเหเร่ร่อนอยู่ต่างแดนมาจนถึงทุกวันนี้

ออฟฟิศที่เมืองไทย เป็นหนึ่งในสาขาย่อยของบริษัทที่เรียกว่าเป็น Market Unit โดยมีบริษัทแม่อยู่ที่สวีเดน เนื่องจากสินค้าและบริการที่บริษัทนี้ขายให้กับลูกค้าในทั่วทุกภูมิภาคของโลก ทางบริษัทแม่จึงได้ตั้งส่วนที่เป็น Regional Office ไว้สามแห่ง คือ ที่เมลเบิร์น (ออสเตรเลีย) ดูแลภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่เฮลซิงกิ (ฟินแลนด์) ดูแลยุโรป อาฟริกา และตะวันออกกลาง และที่มอลทริอัล (แคนนาดา) ดูแลอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้

ที่ต้องบอกข้อมูลพวกนี้ก่อน เพราะมันจะเกี่ยวเนื่องไปถึงเรื่องที่จะเขียนต่อ ๆ ไปนะคะ

สมัยก่อน ระบบบริหารโครงข่ายที่เราทำอยู่ ไม่ค่อยมีความสำคัญมากนัก ทั้งในมุมมองของลูกค้า และบริษัทของเรา เนื่องจากถูกมองเป็นเพียงระบบที่ช่วยให้การดูแลและจัดการกับระบบโครงข่ายง่ายและเร็วขึ้นเท่านั้น และเนื่องจากสมัยก่อน โครงข่ายโทรศัพท์ของลูกค้าก็ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายด้วย แต่มาถึงยุคนี้แล้ว โครงข่ายโทรศัพท์ได้ขยายขนาดและมีความซับซ้อนมากขึ้น ระบบที่เราทำอยู่จึงมีความสำคัญต่อลูกค้าเป็นอย่างมาก ทางบริษัทจึงใช้ Regional Office ทั้งสามแห่งเป็นเครื่องมือในการเปิดให้บริการแก้ปัญหากับลูกค้าตลอด 24 ชั่วโมง โดยผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันไปที่ละ 8 ชั่วโมงในแต่ละวัน

เราทำงานกับบริษัทนี้มาได้ประมาณสามปี ก็มีโอกาสได้ไปทำงานชิ้นหนึ่งให้กับ Regional office ที่เมืองเมลเบิร์ล รัฐวิคตอเรีย ประเทศออสเตรเลีย และนั่น ก็คือจุดเริ่มต้นของการทำงานในต่างแดนของเรา

เรื่องที่จะเล่าให้ฟังในตอนนี้แหละ ที่เป็นเหตุว่าทำไมเราถึงได้ไปทำงานชิ้นนี้ให้กับ Regional office จนเป็นเหตุให้หัวหน้าที่นั่นเปิดโอกาสให้เราได้เข้ามาทำงานที่ Regional office

มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดูแล้วไม่ค่อยเท่เท่าไหร่ เพราะมันเริ่มจากการบิดเบือนความจริงของเราเอง ต่อคนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนรักของเราเอง เพื่อนคนนี้ ก็ทำงานอยู่ที่เมลเบิร์นนี่แหละ ชื่อแอ็ดนัน แต่เหตุการณ์นี้มันเกิดมาเมื่อหลายปีก่อนโน้น จนถึงวันนี้เราก็ยังรู้สึกผิดอยู่ตลอด

ในช่วงปี พ.ศ. 2543 ตอนนั้น เราทำงานอยู่ที่ออฟฟิศที่เมืองไทย งานที่ทำก็ไม่ใช่งานที่อยู่ในตอนนี้ เพราะมีน้องคนหนึ่งทำอยู่แล้ว ส่วนเราก็ดูแลระบบอื่น ๆ ไป เหตุมันเกิดเพราะน้องที่ทำหน้าที่นี้อยู่ในตอนนั้น เป็นคนที่เก่งมาก ๆ เรากับหัวหน้าก็ไว้ใจ ปล่อยให้ทำหน้าที่ของเขาไป และเขาก็ทำได้ดีมาก ๆ ด้วย จนวันหนึ่ง เรา (ซึ่งก็ถือว่าเป็นหัวหน้าทีมในตอนนั้น) ก็คุยกับหัวหน้าเราว่าอยากสนับสนุนให้เขาได้พัฒนาความสามารถมากขึ้น ซึ่งเรื่องนี้เจ้าตัวเขาก็รู้ดี โดยปกติ คนที่จะทำการติดตั้งและทดสอบระบบคอมฯ ที่พวกเราดูแลอยู่ จะต้องเป็นคนที่มาจาก Regional office เท่านั้น ซึ่งบางครั้ง คนที่มาก็ใช่ว่าจะเก่งอะไรมากมาย

ปรึกษากันเสร็จก็ยกโทรศัพท์หา Regional Manager ก็คนที่รับเราเข้ามาทำงานที่ออสเตรเลียนี่แหละ บอกว่าอยากที่ขอรับการทดสอบเพื่อเป็นตัวแทนติดตั้งและทดสอบระบบ โชคดีที่ตอนนั้น ออฟฟิศที่เมลเบิร์นกำลังประสบปัญหาคนทำงานมีน้อยกว่าปริมาณงานที่จะต้องทำ เขาก็เลยตอบตกลง เราก็วางแผนการ นัดแนะกันว่าจะทำการทดสอบวันไหน

งานพร้อม คนพร้อม ทุกอย่างพร้อม เหลือเวลาอีกไม่ถึงเดือนก่อนที่ทุกอย่างจะเริ่ม ฟ้าก็ถล่มลงมาใส่หัวเรากับหัวหน้าเมื่อน้องคนนี้มันยื่นใบลาออก

“เสียห_าเลยงานนี้ มึนตึ๊บ!!!!!”

หัวหน้าเรา (เป็นฝรั่ง เอ๊ะ บอกไปหรือยังหว่า) ก็คงเห็นว่าทำอะไรไม่ได้แล้ว แกก็บอกเราว่า

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวจะโทรไปขอยกเลิกกับทางโน้นเอง”

แต่เรารู้สึกว่าเสียดายอย่างแรง โอกาสเบบนี้ไม่ได้มีบ่อย ๆ จะปล่อยให้หลุดมือไปก็น่าเสียดาย คิดในแง่ดี อาจจะมองได้ว่าถึงเวลาที่ต้องสร้างวีระชน คนใหม่ (อิอิ) ว่าแล้วเราก็ (เสียบ เอ๊ย) พูดอย่างมั่นอกมั่นใจว่า

“ไม่เป็นไร ไม่มีใครทำ เราทำเองก็ได้ (ฟะ)” ถ้าผ่านก็ดี ไม่ผ่านก็แล้วไป ถือว่าเป็นประสบการณ์

หัวหน้าก็เป็นห่วง (หรือกลัวว่าจะเสียหน้าก็ไม่รู้อ่ะ อิอิ) พูดย้ำอีกตั้งหลายครั้งว่า

“ถ้าไม่ไหวจริง ๆ ก็บอกได้ ไอยอมเสียหน้า (ดีกว่าหน้าแตก เหอๆๆ)” แต่เราก็ไม่ยอม

“ลูกผู้ชาย ฆ่าได้ หยามไม่ได้” (ลืมไปว่า ตัวเองเป็นผู้หญิง อิอิ)

แต่พอหนึ่งอาทิตย์ผ่านไป เราชักอยากจะโดนหยามมากกว่าแล้วหละ เพราะเหนื่อยกับการที่ต้องมาปลุกปล้ำคนที่เค้าไม่เต็มใจ เอ๊ย ไม่ช่าย มาอยู่ในตำแหน่งที่ทุกคนกำลังมองอย่างคาดหวังว่าผลจะออกมายังไง ช่วงนั้นเราก็อ่านเอกสารทุกอย่างที่ขวางหน้า ไม่มีเครื่องคอมพิวเตอร์ชุดทดลองให้ลองด้วยจนถึงอาทิตย์สุดท้ายนั่นแหละถึงได้ลองของจริง ก็นั่งปลุกปล้ำกับมันอยู่ทั้งอาทิตย์

กว่าจะลงซอฟแวร์และทดสอบการใช้งานจนเสร็จ ก็เล่นเอาเหงื่อตก ลองผิดลองถูกอยู่หลายวัน แต่งานก็เสร็จทันเวลาพอดีที่ผู้ประเมิลผลเดินทางมาถึง การทดสอบใช้เวลา 2 อาทิตย์เต็ม ๆ ตั้งแต่ตรวจสอบระบบที่เราทำไว้ก่อนเขามา จนกระทั่งส่งมอบระบบให้ลูกค้า คนที่มาชื่อ แอ็ดนัน เป็นชาวออสเตรเลียเชื้อสายบอสเนีย

“หน้ามันดุจังเว้ย” (อาจจะน้อยกว่าเรานิดนึง แฮ่)

พอมาถึงก็ตรวจไอ้ที่เราทำไว้นั่นแหละว่าใช้ได้หรือเปล่า วันแรก ๆ เขาก็ยังทำหน้าเครียดอยู่ แต่สองสามวันถัดมาก็ค่อยเริ่มพูดคุย (นึกว่าเป็นใบ้ซะอีก) ยิ่งคุยนาน ยิ่งรู้สึกว่าหมอนี่ก็เพี้ยน ๆ เหมือนกัน

“เมื่อวานไอไปเจอเค้าขายแมลงทอดมา ไออยากรู้ว่ารสชาติเป็นไง ก็เลยซื้อมากิน” เขาบอก

“แล้วเป็นไงมั่งหละ” เราถาม

“อร่อยดีนะ โดยเฉพาะตั๊กแตนทอดน่ะ ซื้อมาตั้งเยอะแน่ะ เคยกินหรือเปล่า” เขาถาม

“เคยดิ สมัยที่อยู่บ้านนอกน่ะ กว่าจะจับได้แต่ละตัวนะ เหนื่อยแทบแย่เลยรู้ไหม” เราเล่า

“อ้าวเหรอ” เขาทำหน้าเสมือนว่าสนใจเรื่องที่เราเล่าซะเต็มประดา

“ใช่ แต่ช่วงที่ผ่านมา พวกตั๊กแตนมาจากไหนไม่รู้ ถล่มชาวสวนเละเลย” เราเล่าต่อ

“พวกเขาก็เลยจับมันมาทอดขาย”

“พวกยูกินมันหมดเลยเหรอ” เขาถามอย่างแปลกใจ เราก็เลยลอยหน้าลอยตาตอบไปว่า

“อ๋อ คนไทยไม่ได้กินหมดหรอก แต่ฝรั่งอย่างยูนี่แหละ ที่กินหมด”

ผ่านไปห้าวัน เขาก็บอกว่า ใช้ได้ แต่ไม่ได้บอกว่าให้ผ่านหรือไม่ให้ผ่าน บอกว่าต้องแล้วแต่หัวหน้า เราก็ได้แต่ร้องเพลงรอไปก่อน จะทำไงได้

ก่อนจะไปต่อ ขอนอกเรื่องนิดนึง ช่วงที่มาแรก ๆ เราก็พาแอดนันไปกินข้าวกลางวัน ตามประสาเจ้าบ้านที่ดี ก็อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ว่าเมืองไทย หมูคืออาหารหลัก ดังนั้น แทบจะทุกร้าน ก็จะมีหมูขายทั้งนั้น ยกเว้นร้านของคนมุสลิม

แอดนันแกก็เดินเลือกอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ไปจบที่ร้านของมุสลิมทุกครั้ง ตอนแรก ๆ เราก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะฝรั่งส่วนใหญ่ก็มักจะกินเนื้อมากกว่าหมูอยู่แล้ว บางครั้งเราก็พาเขาไปกินอาหารตามสั่ง ซึ่งก็มักจะไม่ค่อยมีเนื้อขาย เขาก็จะกินไก่แทน จนวันสุดท้ายก่อนกลับนี่แหละ เขาบอกเราว่า

“ไอเป็นมุสลิมนะ ยูรู้หรือเปล่าเนี่ย”

“เอ๊า แล้วตรูจะไปตรัสรู้ได้ไงว่าทั่นเป็นมุสลิม หน้าตามันไม่ได้บอกนี่หว่าว่าใครนับถือศาสนาอะไร”

เล่นเอาเรารู้สึกผิดไปนาน เพราะพาเขาไปกินข้าวทีไร ก็จะชักชวนให้เขากินอาหารเหมือนที่เรากินตลอด ซึ่งก็แน่หละ มีแต่หมูทั้งน๊านนนน

ผ่านไปห้าวัน เขาก็บอกว่า ใช้ได้ แต่ไม่ได้บอกว่าให้ผ่านหรือไม่ให้ผ่าน บอกว่าต้องแล้วแต่หัวหน้า เราก็ได้แต่ร้องเพลงรอไปก่อน จะทำไงได้

ก่อนจะไปต่อ ขอนอกเรื่องนิดนึง ช่วงที่มาแรก ๆ เราก็พาแอดนันไปกินข้าวกลางวัน ตามประสาเจ้าบ้านที่ดี ก็อย่างที่รู้ ๆ กันอยู่ว่าเมืองไทย หมูคืออาหารหลัก ดังนั้น แทบจะทุกร้าน ก็จะมีหมูขายทั้งนั้น ยกเว้นร้านของคนมุสลิม

แอดนันแกก็เดินเลือกอยู่นาน แต่สุดท้ายก็ไปจบที่ร้านของมุสลิมทุกครั้ง ตอนแรก ๆ เราก็ไม่ได้คิดอะไรเพราะฝรั่งส่วนใหญ่ก็มักจะกินเนื้อมากกว่าหมูอยู่แล้ว บางครั้งเราก็พาเขาไปกินอาหารตามสั่ง ซึ่งก็มักจะไม่ค่อยมีเนื้อขาย เขาก็จะกินไก่แทน จนวันสุดท้ายก่อนกลับนี่แหละ เขาบอกเราว่า

“ไอเป็นมุสลิมนะ ยูรู้หรือเปล่าเนี่ย”

“เอ๊า แล้วตรูจะไปตรัสรู้ได้ไงว่าทั่นเป็นมุสลิม หน้าตามันไม่ได้บอกนี่หว่าว่าใครนับถือศาสนาอะไร”

เล่นเอาเรารู้สึกผิดไปนาน เพราะพาเขาไปกินข้าวทีไร ก็จะชักชวนให้เขากินอาหารเหมือนที่เรากินตลอด ซึ่งก็แน่หละ มีแต่หมูทั้งน๊านนนน

งานในครั้งนั้น เป็นการทดสอบระบบที่เครียดที่สุด เท่าที่เคยทำมา อย่างหนึ่งก็เพราะลูกค้าใหม่กับระบบ ทั้งกับระบบที่เราเอามาติดตั้งให้ และระบบอื่น ๆ ที่เราจะต้องต่อเชื่อมด้วย ก็เลยต้องอธิบายกันยืดยาวกว่าจะเข้าสู่การทดสอบในแต่ละหัวข้อ แต่ก็เป็นผลดีกับเรา เพราะเราได้เรียนรู้อะไรมากขึ้นอีกเยอะจากงานนี้ เนื่องจากว่าต้องศึกษาทุกอย่างที่ลูกค้าถามมาให้กระจ่างในระดับนึง

วันสุดท้าย แอ็ดนันก็กลับมา แต่มาในสถาพที่เรียกว่าไม่น่าดู แขนขวาเข้าเฝือกตั้งแต่ข้อมือถึงศอก หน้ามีรอยขีดข่วนแต่พองาม สอบถามก็ได้ความว่า

“ไอไปเช่ามอเตอร์ไซด์ที่เกาะเสม็ด ขับชมวิวเพลิน ๆ ขึ้นไปบนเขา วิวสวยมาก ๆ เลย” เขาว่า

“แต่ขากลับลงมานี่แหละ มีรถขับตัดหน้ากระชั้นชิด รถไอเบรคไม่อยู่ แล้วมันก็เป็นทางชันด้วย”

“อ้าว แล้วยูชนเค้ารึเปล่า พวกเขาเป็นไงมั่งอ่ะ” เราถาม เขามองเราแปลก ๆ ประมาณว่า

‘ทำไมไม่ถามชั้นหละว่าเป็นไง ไปถามถึงคนที่ไม่รู้จักทำไม เอ้อ’ ก่อนจะบอกว่า

“พวกเขาไม่เป็นอะไรหรอก เพราะไอไม่ได้ชนเค้า ไอชนกำแพงเว้ย”

"อ้าว เหรอ ก๊ากกกกกก เอิ๊กกกก" ฟังเขาเล่าไป เราก็หัวเราะไป

“โชคดีจริง ๆ เนอะ“ เราว่า แต่ในใจน่ะคิดแบบนี้ตะหาก

“เออ เวรกรรมจริง ๆ สมน้ำหน้า ทิ้งให้ตรูเผชิญตะชากรรมกับลูกค้าตามลำพังก็เงี้ยแหละ “

สุดท้าย เราก็ผ่านการทดสอบ ได้เป็นตัวแทน Regional สมใจ (เป็นคนแรกของบริษัทเลยนะ ที่ได้เป็นตัวแทน Regional อิอิ ขอโม้ซะหน่อย) ส่วนแอ็ดนัน ก็ติดต่อกันเป็นประจำ ตอนหลัง ๆ เราก็เป็นเพื่อนสนิทกันไปแล้ว

การได้เป็นตัวแทน Regional ในวันนั้น คือจุดเริ่มต้นที่สำคัญที่ทำให้เกิดจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่อีกครั้งในชีวิตของเรา หลังจากทำงานในหน้าที่ตัวแทน Regional ที่ประเทศไทยอยู่สักพัก ในช่วงปลายปี พ.ศ. 2545 เราได้มีโอกาสมาเมลเบิร์นเป็นครั้งแรก จริง ๆ เคยมาออสเตรเลียแล้วครั้งหนึ่ง แต่ตอนนั้นไปซิดนีย์ เพราะบริษัทส่งให้มาทำงานชิ้นหนึ่งร่วมกับเพื่อน ๆ ที่อยู่ที่ Regional office คนอื่น ๆ ซึ่งระยะเวลาก็ไม่ได้มากมายอะไร แค่สามอาทิตย์

ด้วยความที่ภาษาอังกฤษก็แค่พอใช้ได้ ประกอบกับไม่ค่อยได้ใช้มากนัก เจอเพื่อนที่จะต้องมาทำงานด้วยที่เมลเบิร์นนี่ ก็คุยกันจนเมื่อยมือ คน ๆ นี้ชื่อ อาฮาน เป็นชาวออสเตรเลียเชื้อสายตุรกี เป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษแล้วเรารู้สึกว่า ฟังออกน้อยที่สุดในตอนนั้น นึก ๆ อยู่ในใจ

“แกจะพูดให้ช้า ๆ ชัด ๆ กว่านี้มันจะตายมั๊ยฟะ”

อาฮานเป็นคนตลกโปกฮา พูดมากด้วย หลังจากทำงานด้วยกันไปสักอาทิตย์ เมื่อยมือกันพอสมควร อาฮานก็สารภาพกับเราว่า

"To be honest, your English is so bad"
(ด้วยความสัตย์จริง ภาษาอังกฤษของคุณนี่ห่วยมากเลย)

โอ้ คุณพระช่วย กล้วยทอด มันพูดซะเราหมดสมรรถภาพ เอ๊ย หมดความมั่นใจเลยนะเนี่ย เราก็ตอบกลับไปว่า

“Your English is bad too” แหะๆๆๆ ประมาณว่า ดันทุรังไง เค้าก็หัวเราะขำเรายกใหญ่ ในใจเราก็คิดว่า

“อย่าหลงไปประเทศไทยนะเฟ้ย แม่จะแก้แค้นให้เข็ด”

และแล้ว โอกาสที่รอคอยก็มาถึง ฟ้าก็ส่งให้อาฮานต้องไปทำงานที่เมืองไทยกับเราซะด้วย เพราะเขาต้องไปติดตั้งระบบให้กับบริษัทที่เป็นลูกค้าใหญ่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีเราไปด้วยในฐานะที่เป็นคนพื้นที่ รู้จักลูกค้าดี (แถมด้วยมีความรู้มากพอที่จะช่วยมันได้ อิอิ ขอโม้อีกที)

พอทำงานเสร็จ มันไม่เสร็จเรียบร้อยอย่างหวัง เพราะเกิดปัญหาเครื่องมัน Restart เองบ่อย ๆ มารู้ทีหลังว่าเป็นเพราะฮาร์ดแวร์ตัวหนึ่ง เราสองคนก็ต้องช่วยกันแก้ปัญหาให้ลูกค้าอยู่ในห้องเครื่อง ซึ่งมีซอกแคบ ๆ ให้เราสองคนนั่งได้ ก็นั่งเฝ้าสังเกตพฤติกรรมและหาทางแก้ไขอยู่ เราสองคนทำงานอยู่อย่างนั้นสองวันเต็ม ๆ ไม่ได้กลับบ้านกันสักคน

สองวันที่นั่งจับเจ่าอยู่ที่นี่แหละ ฟ้าดินก็เป็นใจให้เราได้แก้แค้นโดยที่ไม่ต้องลงแรงอะไรสักอย่าง

เราสองคนนั่งทำงานด้วยกันมาได้ประมาณ 24 ชั่วโมง ต่างคนก็ต่างเหนื่อย เราก็เลยตกลงกันว่าจะผลัดกันนอนเอาแรงครั้งละ 1 ชั่วโมงโดยที่อีกคนก็อยู่โยงทำงานไป แต่เชื่อไหม ทุกครั้งที่เรางีบหลับก็ไม่มีใครเดินผ่านมาแถว ๆ นั้นเลย แต่หลายครั้งที่อาฮานงีบหลับไป ลูกค้าก็เดินเข้ามาคุยกับเรา

“อ้าว หลับไปแล้วเหรอ” ลูกค้าถาม

“ก็ผลัดกันนอนน่ะค่ะ ต้องมีใครคนนึงทำงานตลอด” เราบอก

แต่ลูกค้าเข้ามาทีไร ก็มักจะเห็นว่าอาฮานหลับอยู่ แล้วก็มีอยู่ครั้งนึง ที่อาฮานตื่นมาพอดีตอนที่ลูกค้าคุยกับเราอยู่ พอลูกค้าออกไป เขาก็ถามว่า

"ลูกค้าเพิ่งเข้ามาเหรอ" เขาถาม

"เปล่า มาสองสามครั้งแล้วแหละ" เราพูดหน้าตาเฉย แต่เห็นอาฮานทำหน้าเหวอ เราก็อดขำไม่ได้

"อย่าบอกนะว่าเขาเข้ามาทีไรก็เห็นผมหลับทุกที"

"ก็แหงหละ"

“แล้วเค้าว่าไง” อาฮานยังถามต่อ

“ก้อ..คงจะเห็นว่ายูกินแรงหละมั้ง ไม่เห็นพูดอะไรนิ” อิอิอิ เราตอบ

แต่นั่นก็ยังไม่ถูกใจเราเท่าเรื่องที่เกิดหลังจากนั้น อาฮานจะเป็นคนที่พูดภาษาอังกฤษแบบที่เราต้องบอกว่า ฟังยากมาก ๆ ทุกครั้งที่เขาคุยกับเพื่อน ๆ เรา เขาก็จะค่อนข้างเครียด เพราะสำเนียงหรือที่เรียกว่า แอคเซ่น ของคนไทยด้วย แล้วเพื่อนเราที่เป็นคนไทยก็จะมีปัญหาคล้าย ๆ กันว่าฟังเขาพูดไม่ค่อยออก แต่พอดีเราอยู่กับเขามาได้ระยะนึง เริ่มเกิดความเคยชิน ทำให้เข้าใจที่เขาพูดได้มากขึ้น

วันหนึ่ง เขาก็เล่าให้เราฟังว่า เขาขอให้เจ้าหน้าที่ที่โรงแรมให้ช่วยเชคก๊อกน้ำอุ่นให้หน่อย ก็ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะรู้เรื่อง ใกล้ ๆ วันที่อาฮานต้องกลับ เขาก็มาสารภาพกับเรา

"ไอขอโทษจริง ๆ นะ" เขาว่า

"ขอโทษเรื่องอะไรเหรอ" เราถามงง ๆ

"ก็ที่ไอเคยพูดว่าภาษาอังกฤษยูห่วยแตกน่ะ ตอนนี้ เปลี่ยนใจแล้ว” เขาว่า

“ไอว่า ยูเป็นคนไทยที่พูดภาษาอังกฤษได้ดีที่สุดเท่าที่ไอรู้จักมาเลยหละ"

เอิ๊กกๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ฮ่ะๆๆๆๆๆๆๆๆๆ นั่นเป็นเสียงหัวเราะของเราในตอนนั้นจริง ๆ หัวเราะจนเพื่อนเราเขินไปเลย

หลังจากวันนั้น เรากับอาฮานก็เลยกลายเป็นเพื่อนรักกันไปโดยปริยาย

ด้วยความที่เราซี้ปึ๊กกันขนาดนั้น วันหยุดเสาร์อาทิตย์ เราก็เลยวางแผนพาเพื่อนซี้เที่ยวเมืองไทย เป็นการส่งท้าย หลังจากที่ตรากตรำทำงานหนักมาด้วยกันหลายวัน ทริปนั้นก็ไม่ไกล้ไม่ไกล พาไปท่องจังหวัดนครนายก ขับรถออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ไปรับเพื่อนสาว ๆ อีกสองคนโดยมีคุณชาย (ชื่อที่เราใช้เรียกแฟนเรา) เป็นสารถี แล้วก็ไปรับอาฮานที่โรงแรมแลนมาร์คเป็นคนสุดท้าย

ที่แรกที่พวกเราไปแวะเที่ยวกันก็เป็นค่ายทหารที่จังหวัดนครนายก เราและเพื่อน ๆ อยากไปลองฝึกยิงปืนดูสักครั้ง พอจ่ายเงินคนละเกือบสองร้อยพวกเราก็ได้ครูฝึกใจดีเป็นครูสอนยิงปืนให้ พร้อมปืนและกระสุนอีกสิบนัด ปืนที่พวกเราใช้ฝึก เป็นปืนสั้น ครูฝึกก็จะสอนวิธีจับปืน การเล็งเป้า และเทคนิกการยิง ใช้เวลาประมาณสิบนาทีพวกเราก็พร้อมที่จะยิงเป้ากันจริง ๆ ซะที ขณะที่พวกเราสามสาวและคุณชายกำลังเตรียมเล็งเป้ากันอยู่นั้น ก็ได้ยินเสียงปืนรัวติด ๆ กัน คาดว่าคงจะสิบนัดแหละ พอหันไปทางต้นเสียงก็ได้เห็นว่าเป็นเสียงจากเพื่อนซี้เรานั่นเอง

“โอ๊ะแม่เจ้า รัวยังกะเอ็ม 16 นี่เค้าคิดว่าเค้าไปรบสงครามเวียดนามหรือไงเนี่ย”

ครูฝึกก็เอาแผ่นที่ใช้เป็นเป้าที่อาฮานยิงมาดูผลงานแล้วก็ส่ายหัว (ฮะๆๆ) ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่าทำไม

ถึงคราวที่เรายิง นัดแรกก็แบบว่าตั้งใจสุด ๆ ตื่นเต้นมาก ๆ ยิงออกไปแล้วก็ขอดูผลงานก่อน ปรากฏว่าเข้ากลางเป้าเลย (ฟลุ๊กสุด ๆ) กระโดดเหยง ๆ ร้องเรียกให้เพื่อน ๆ ดู

“โอ้ โชคดีนะเนี่ย ที่ออสเตรเลียไม่เคยมารบกับคนไทย ไม่งั้นหละตายกันหมดแหง ๆ“ เพื่อนซี้เราส่งเสียงแซว

มัวแต่คุยกันจนครูฝึกคงจะรำคาญ เลยต้องเรียกเราให้กลับมายิงต่อให้เสร็จ ๆ (อิอิ) ก็เข้ากลางเป้าแค่นัดเดียวนั่นแหละ นัดที่เหลือก็เฉียดไปเฉียดมา จริง ๆ ที่ค่ายนี้มีอะไรให้ทำเยอะ อย่างพวกกระโดดหอ โหนเชือก และอะไรต่อมิอะไรที่พวกเราเคยฝึกสมัยเรียนลูกเสือหญิงน่ะ แต่ต้องจองไว้ก่อน วันนี้พวกเราก็เลยอด

หลังจากยิงปืนกันจนเป็นที่พอใจ พวกเราก็ตรงไปยังน้ำตกนางรอง พอดีช่วงนั้นเป็นช่วงปลายหน้าฝน น้ำก็ยังเยอะอยู่ คนที่ไปเที่ยวก็เยอะตามไปด้วย โดยเฉพาะกลุ่มหนุ่ม ๆ สาว ๆ เล่นน้ำกันสนุกสนาน เป็นที่ตื่นตาตื่นใจของเพื่อนซี้เราอย่างมาก

พวกเราเดินขึ้นไปบริเวณชั้นสามของน้ำตก ซึ่งเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ มีเด็ก ๆ และวัยรุ่นจำนวนมากเล่นน้ำอยู่ เพื่อนซี้เราคงถูกวิญญาณจิงโจ้เข้าสิง กระโดดเหยง ๆ ขึ้น ๆ ลง ๆ อยู่ตามโขดหินระหว่างชั้นสามกับชั้นสี่ของน้ำตก ในขณะที่คุณชายลงไประเริงอยู่ในแอ่งเรียบร้อยแล้ว พอเล่นน้ำไปสักพักคุณชายก็ขึ้นมาพักที่ลานหินที่เรานั่งเล่นรออยู่ แกก็ถอดเสื้อมาบิดน้ำออกแล้วก็เปลี่ยนตัวใหม่ เราสองคนนั่งคุยกันสักครู่ก็เห็นพ่อจิงโจ้ก็กระโดดข้ามโขดหินลงมาจากชั้นสี่ โดยมีเพื่อนเราเดินตามมาห่าง ๆ

ตรงลานหินที่เรานั่งอยู่ ก็จะมีโขดหินสูงสักไม่น่าเกิน 1 เมตร เราก็เหลือบไปเห็นเพื่อนกำลังจะกระโดดลงมาจากโขดหิน ก็กำลังจะร้องเตือนว่าตรงนั้นมันเปียกและลื่น ก็ไม่ทันแล้ว พ่อจิงโจ้หนุ่มก็กระโดดลงมาซะก่อน

“ตุ๊บ”

ก็ไม่ใช่เสียงอะไรอื่นไกล เพราะทุกอย่างเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น จิงโจ้หนุ่มของเราก็มีอันต้องเสียฟอร์ม เพราะลื่นล้มไม่เป็นท่าอยู่ตรงนั้น ต่อหน้าผู้คนนับร้อย ด้วยความที่เขาตัวใหญ่ เสียงมันก็เลยดังมากกว่าปกติ เงียบกันไปอึดใจ แต่ก็ตบท้ายด้วยเสียงหัวเราะของเด็ก ๆ ที่เล่นน้ำอยู่แถวนั้น พวกที่เป็นผู้ใหญ่หน่อยก็ได้แต่อมยิ้ม เรากับคุณชายก็รีบเข้าไปช่วยประคองให้ลุกขึ้น

“เป็นอะไรมากหรือเปล่า” เราถาม อาฮานหน้ามุ่ย ก่อนจะตอบเราเสียงสั่น

“ไม่เป็นไร ขอบใจ”

เจ็บตัวคงไม่เท่าไหร่ อายเขานะสิ (อิอิ) พวกเรานั่งพักกันแถว ๆ นั้นอีกสักครู่ก็ได้เวลาไปเที่ยวที่อื่นต่อ ตอนที่เดินขึ้นจากน้ำตก พวกเราก็คงลืมเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกันไปแล้ว ต่างคนก็เลยต่างเดินขึ้นไปตามปกติโดยมีอาฮานรั้งท้ายอยู่ เดินไปสักพัก เราก็ได้ยินเขาเรียกให้รอ

“เฮ่ เดินช้า ๆ หน่อยดิ”

“มีอะไรเหรอ” เราถาม

“เจ็บก้นอ่ะ”

ตั้งแต่นั้นมา ไม่ว่าใครจากออฟฟิศที่เมลเบิร์นจะมาทำงานที่เมืองไทย ถ้าเรามีเวลา เราก็จะพาพวกเขาเที่ยวจังหวัดรอบ ๆ กรุงเทพเสมอ จนพวกเพื่อน ๆ ที่เมลเบิร์นพากันติดอกติดใจเมืองไทยและคนไทยกันมาก เพื่อน ๆ และหัวหน้าที่เมลเบิร์นออกปากชวนเราไปทำงานที่เมลเบิร์น แต่นั่น ก็ไม่ได้ทำให้เราคิดอยากจะไปทำงานที่เมลเบิร์นมากนัก อีกอย่างเราก็ไม่ได้รู้จักและสนิทสนมกับหัวหน้าที่นั่นเป็นการส่วนตัว รู้จักกันในฐานะที่เราเป็นตัวแทน และขึ้นตรงกับเขาเมื่อต้องทำงานให้กับทางออฟฟิศที่เมลเบิร์นเท่านั้น

จนกระทั่งวันนึง ลูกค้ารายหนึ่งที่ออสเตรเลียกำลังจะเปิดให้บริการระบบใหม่ ออฟฟิศที่เมลเบิร์นขาดคน เราก็เลยมีโอกาสได้ไปเมลเบิร์นเป็นครั้งที่สอง ซึ่งก็ได้เกิดเหตุการณ์ ๆ นึง ที่ทำให้เราซี้ปึ๊กกับหัวหน้าที่นั่นไปอย่างไม่ตั้งใจ หัวหน้าคนนี้ชื่อเดวิด

มีเพื่อนคนหนึ่งเคยบอกเราว่า ผู้หญิงโดยส่วนใหญ่ จะไม่เก่งเรื่องการบอกทิศ โดยเฉพาะกับสถานที่ที่คุณเธอทั้งหลายไม่คุ้นเคย เราเองก็เป็นคนประเภทที่เรียกว่า มีความดันทุรังพุ่งสูง (ปรี๊ด) ใครมาพูดแบบนี้เราก็ต้องเถียงให้รู้แพ้รู้ชนะกันไปข้างหนึ่งนั่นแหละ ก็จะให้ไม่เถียงได้ยังไง ตอนที่เราทำงานอยู่บริษัทแรกน่ะ น้องเทคนิเชี่ยนก็เป็นผู้ชาย เขาก็หลงทางประจำ เราซะอีกที่ต้องรับหน้าที่ดูแผนที่และบอกทางให้เขาน่ะ

ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา คำนี้ก็ได้ยินบ่อย แต่ไม่ค่อยซึ้งกับมันเท่าไหร่เพราะยังไม่เจอกับตัวเอง จนกระทั่ง

ออฟฟิศที่เมลเบิร์น ที่จริงต้องเรียกว่าที่บรอดมิโดว์ (Broadmeadows) จะอยู่ห่างจากสถานีรถไฟพอประมาณ ถ้าเดินก็ใช้เวลาเกือบ 20 นาที รถเมล์ก็มีวิ่งผ่านอยู่เหมือนกัน แต่มันเป็นอะไรที่น่าเบื่อสุด ๆ กับระบบการจัดการของที่นี่ จะไม่ให้เบื่อได้ยังไง ทันทีที่รถไฟจอด เราและคนอื่นๆ ก็รีบวิ่งจะไปต่อรถเมล์ ระยะทางก็ไม่ได้ไกลอะไร พ่อเจ้าพระคุณคนขับก็ขับออกไป (ไม่รอซะงั้น) สงสัยว่าจะเป็นนโยบายใหม่ที่ต้องการให้คนออสเตรเลียออกกำลังกายด้วยการเดินแน่ ๆ ตอนหลัง ๆ เราก็เลยเดิน

จากสถานีรถไฟ ก็พอจะมองเห็นออฟฟิศอยู่ไกลๆ เคยเดินก็หลายครั้ง ทุกครั้งก็จะใช้เส้นทางเดิม ๆ วันนี้ก็เลยตั้งใจว่าจะหาทางลัดไปดีกว่า เผื่อเจอเส้นทางใหม่ที่มันใกล้กว่า ปกติแล้วถนนหนทางที่นี่มันก็เป็นบล๊อก ๆ ต่อเชื่อมถึงกันหมด ระหว่างทางเราก็มองเห็นอยู่ว่าออฟฟิศอยู่ข้างหน้า ก็ไม่น่าที่จะหลงอยู่แล้ว พอเดินไปสักพัก

“อ้าว ทางตัน ไม่มีทางออก”

เราก็เลยต้องย้อนกลับมาอีกนิด เพื่อจะเข้าอีกซอย (เอ๊ะ ก็ตันอีกแล้ว) ตอนนี้ก็เริ่มเหนื่อย และก็ร้อนแล้วด้วย เลยถอดใจเดินย้อนกลับไปที่สถานี แล้วใช้เส้นทางเดิม ๆ (อิอิ) ยังค่ะ ยัง ถึงตอนนี้เราก็ยังไม่เชื่อว่าผู้หญิงส่วนใหญ่ มีปัญหาเรื่องนี้ ก็(แหม... )สี่เท้ายังรู้พลาด นี่นา

ออฟฟิศที่เราทำงานจะอยู่ชั้นสามของตึกทางทิศใต้ ตอนที่เรากลับไปเมลเบิร์นครั้งที่สอง เขาก็ย้ายมาอยู่ชั้นสองของอีกฝั่งหนึ่งซึ่งอยู่ทางทิศเหนือ เนื่องจากที่นี่ เคยเป็นที่ที่มีนักออกแบบระบบ (Designer) รวมอยู่ด้วย แต่ปัจจุบันนี้ย้ายออกไปรวมกันอยู่ที่ยุโรปหมดแล้ว การออกแบบสำนักงานมันก็เลยสลับซับซ้อนมากกว่าออฟฟิศปกติทั่ว ๆ ไป

ในสองวันแรกเราก็ใช้ประตูหน้าเข้าออก ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร นอกจากว่าจะต้องเดินไกลพอสมควร เพราะถ้าเข้าจากด้านหน้า ซึ่งเป็นประตูใหญ่ที่อยู่ด้านหน้าบริษัท ก็ต้องเดินผ่านปีกตึกทางทิศเหนือ เราก็จะเดินขึ้นบรรไดไปที่ชั้นสอง แล้วก็วกกลับมาทางทิศเหนือ (ก็อ้อมไปอ้อมมาหละ) เราก็เป็นคนประเภทชอบค้นหาเส้นทางลัดอยู่แล้ว พอเข้าสู่วันที่สามก็เลยอดใจไม่ไหวต้องออกสำรวจเส้นทางกันซะหน่อย วันนั้นเราก็ไปทำงานตั้งแต่เช้า ไปถึงที่ทำงานก่อนแปดโมง ทั้ง ๆ ที่ช่วงหน้าร้อนเขาเริ่มทำงานกันเก้าโมงครึ่ง ด้วยความที่อยากลองของใหม่ ก็เลยยอมตื่นแต่เช้า

“วันนี้ไม่เข้าด้านหน้าแล้ว เอามันประตูแรกที่เจอเลยนี่แหละ”

เจอประตูแรกก็รูดบัตรผ่านได้ ก็ค่อยมีลุ้นว่าคิดไม่ผิดแน่ ๆ เดินเข้าไปก็เห็นบรรไดอยู่ทางขวา ก็ยิ่งมั่นใจว่าวันนี้เราเจอทางลัดแน่นอน ผ่านเข้ามาได้ก็ขึ้นบรรไดไปชั้นหนึ่ง (ชั้นแรกของตึกที่ออสเตรเลีย เขาเรียกชั้น Ground หรือที่บ้านเราเรียกว่าชั้นใต้ดิน ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน)

“ทำไมมันตันหว่า แต่ก็เออนะ มันอาจจะซ่อนอยู่หลังประตู”

เราก็ลองรูดบัตรดูอีกที คราวนี้ไม่ผ่าน ทำไงดี ก็เลยต้องยืนรอ เผื่อมีใครเดินผ่านมา เรารออยู่ตรงนั้นนานพอสมควรแต่ก็ไม่มีใครเดินผ่านไปมาให้ถามได้ ก็เลยต้องเดินย้อนกลับลงมา แต่ยังไม่ถอดใจเดินออกไปเข้าทางเดิม พอกลับมาที่ชั้น G ก็เดินวนไปอีกเส้นทางหนึ่งเพื่อหาบรรไดอื่นอีกก็ไม่เจอ ผ่านไปสักเกือบ ๆ ยี่สิบนาที ก็เลยคิดว่า

“ถามดีกว่าเว้ย มีปาก ก็ใช้ซะหน่อย”

ตัดสินใจก็เปลี่ยนเป้าหมายเดินตามหาคน แทนที่จะเป็นเส้นทางไปสู่ชั้นสองเหมือนที่ตั้งใจไว้ในตอนแรก พอเดินไปได้สักพักก็เจอผู้ชายคนหนึ่งนั่งทำงานง่วนอยู่ในห้อง คงจะเป็นหัวฝ่ายอะไรซักอย่าง พอเราเดินไปที่หน้าห้อง เขาก็เงยหน้ามามองแล้วยิ้มให้ แล้วก็ถาม

“Hello, who’re you looking for?” (สวัสดีครับ มองหาใครอยู่เหรอครับ)
“Hello, I’m looking for David Chipper, do you know him?....I’m lost” (สวัสดีค่ะ ฉันมาพบคุณเดวิดค่ะ คุณพอจะรู้จักไหมคะ)

เขาก็พยักหน้าบอกว่ารู้จักแล้วก็ยิ้ม ๆ คงจะขำเรานั่นแหละ แล้วเขาก็โทรศัพท์หาเดวิด ก่อนที่จะบอกให้เราตามเขาไป บอกว่าเดี๋ยวจะพาเราไปส่ง ระหว่างทางเขาก็ถามว่าเราเป็นใครมาจากไหน มาทำอะไร แล้วก็มีคำพูดปลอบใจว่าการออกแบบออฟฟิศที่นี่มันก็คงจะทำให้คนที่ไม่คุ้นเคยหลงได้ง่ายแหละ (แหะๆๆ) นึก ๆ อยู่ในใจว่า

‘ขอบใจนะเพื่อน ที่ปลอบใจ น่ารักจริงจริ๊งงง’

พอเขาพาเราไปส่งเราก็ขอบอกขอบใจเขาไป ก็มานึกขึ้นได้ว่า

“อ้าว ลืมดูชื่อเลย ที่หน้าห้องเค้าก็มีติดอยู่ ว้า.. แย่จัง” จะเดินลงไปดูก็กลัวจะหลงอีก

นั่งทำงานอยู่สักพัก เดวิดก็มาถึง ยิ้มแป้นมาเลย

“What’re you doing??” (เธอทำอะไรลงไป รู้ตัวไหมเนี่ย)
“I got lost, hehehe” (ก็ฉันหลงทางนี่ อิอิ)
“You got lost, but I was shocked when I got a call from MD 8 o’clock in the morning” (เธอหลงทาง แต่ผมจะช็อคตายตอนที่ได้รับโทรศัพท์จาก MD ตั้งแต่แปดโมงเช้านี่แหละ)

“HA!!! Who’s that, say that again?” (หา!!! ว่าไงนะ) ตอนนี้เราเป็นฝ่ายช็อคมากกว่า แต่ก็ปลอบใจตัวเองว่าหูคงฝาดไป
“That’s MD – Managing Director” (นั่นน่ะ MD – ผู้บัญชาการสูงสุด รู้จักป่ะ)
“จ๊ากกกกกก Managing Director เลยเรอะ!!!!!!!!!”

ความเปิ่น ความเป๋อของคนเรา เป็นเรื่องที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ความเปิ่นของเราในครั้งนั้น ก็ทำให้เราโดนเพื่อน ๆ ล้อมาตลอดจนถึงทุกวันนี้ ทุกครั้งที่เดินผ่านหน้าห้องของ MD เพื่อน ๆ เราก็มักจะถามเราว่า

“อ้าว วันนี้ไม่เข้าไปทักทายเพื่อนหน่อยเหรอ”



Create Date : 19 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 21 มิถุนายน 2551 13:38:29 น. 0 comments
Counter : 243 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

NoiseN
Location :
Melbourne Australia

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Noise219 นะคะเพื่อน ๆ มาในบล็อกใหม่เพราะของเดิมโดนไวรัสค่ะ

ขอบคุณป้ามด คุณ N_BEE810 และคุณเนยสีฟ้า สำหรับของแต่งบล็อกสวย ๆ นะคะ

^-^ ^_^ ^_^ ^_^

I love Melbourne Long Live the King
Group Blog
 
 
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
19 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add NoiseN's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.