เด็กผีขี้เหงา
ในอดีตสมัยที่ยังเป็นวัยรุ่นจนถึงวัยทำงานระยะแรกๆฉันมักชอบหาเวลาว่างๆ หรือวันหยุดยาวไปปฏิบัติธรรมตามวัดหรือสถานปฏิบัติธรรมในต่างจังหวัดเป็นประจำ
ครั้งนั้นเป็นเทศกาลวันหยุดยาวช่วงสงกรานต์จึงทำให้ฉันและครอบครัวได้มีโอกาสไปร่วมปฏิบัติธรรมกันที่วัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี
วันแรกที่ไปถึงหลังจากจัดของเข้ากุฏิที่พักเรียบร้อยแล้วทุกคนก็จัดการทำธุระส่วนตัวและผลัดเครื่องแต่งกายเป็นชุดขาวเพื่อเตรียมพร้อมก่อนลงไปฟังเทศน์ธรรมและสมาทานรับศีลแปดในอุโบสถ
หลังจากทำวัตรเย็นเสร็จหลวงพ่อเจ้าอาวาสก็เทศนาธรรมต่อจนเกือบสี่ทุ่มจากนั้นคณะเจ้าภาพจึงได้เชิญผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหมดลงไปรับน้ำปานะที่จัดเตรียมไว้ในโรงครัว
ระหว่างที่ฉันและครอบครัวกำลังนั่งดื่มน้ำปานะอยู่ก็ได้ยินเสียงของผู้ปฏิบัติธรรมที่นั่งจับกลุ่มอยู่ใกล้ๆคุยกันเรื่องผีที่วัด
ว่ากันว่าที่วัดนี้มีเจ้าอาวาสจำวัดอยู่เพียงรูปเดียวนานๆ ทีถึงจะมีพระบวชใหม่หรือพระจากวัดอื่นมาจำวัดด้วยสักครั้งแต่ก็อยู่ได้ไม่นานนักเพราะเจอดีเข้า ก็จะอะไรซะอีกล่ะถ้าไม่ใช่ผี ที่เป็นเหตุให้พระหลายรูปขอย้ายไปจำวัดที่วัดอื่นกันหมดขนาดพระบางรูปที่ว่าไม่กลัวๆ ยังทนอยู่ไม่ไหวสุดท้ายก็ต้องขอย้ายวัดตามพระรูปอื่นไปจะมีก็แต่เจ้าอาวาสนั่นแหละที่อยู่ได้แถมผีก็ไม่กล้าไปยุ่งกับท่านด้วย
ยอมรับว่าตอนที่ได้ยินเรื่องผีๆ สางๆ ของวัดนี้ ฉันถึงกับหูผึ่งแอบตั้งอกตั้งใจฟังเอามากๆพลางคิดไปว่าผีที่วัดนี้คงดุน่าดูเลยนะเนี่ย อันที่จริงเรื่องผีกับวัดมันเป็นธรรมดาของคู่กันอยู่แล้วแต่ก็แปลกตรงที่ฉันไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองจะสัมผัสได้ว่าที่นี่มีผีทั้งๆที่ปกติเซ้นต์ฉันจะไวมากกับเรื่องพวกนี้ แต่ฉันกลับสัมผัสได้ถึงพลังที่สูงกว่านั้น ก็จะให้ท่านทนอยู่ไหวยังไงล่ะ ก็เล่นมาทุกคืนขนาดนั้นอันนี้หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังเองเลยนะ ท่านบอกว่าฟังมาจากพระที่ว่าเจอผีมาอีกทีแล้วเรื่องเล่าจากหลวงพ่อเจ้าอาวาสก็พรั่งพรูออกมาจนเป็นที่ได้รับความสนอกสนใจจากผู้ปฏิบัติธรรมเป็นวงกว้างกว่าเดิม พอสรุปใจความได้ว่าสาเหตุที่พระลูกวัดไม่สามารถทนอยู่ที่วัดได้เพราะผีไปรบกวนการจำวัดของพวกท่านทุกคืนโดยที่จริงผีก็ไม่ได้มาหลอกหลอนให้กลัวอะไร เพียงแต่ผีจะชอบมาตอนที่พวกท่านกำลังจำวัดอยู่แล้วก็มาดึงขาทีดึงไหล่ทีเดี๋ยวดึงเดี๋ยวดึงอยู่อย่างนั้นทั้งคืน ประมาณว่าถ้ามีพระ เณรที่จำวัดอยู่ในกุฏินั้นมีหลายรูปจำวัดนอนเรียงเป็นแถวระนาบเดียวกันเป็นอันต้องเจอผีเดี๋ยวก็ดึงขาเดี๋ยวก็ดึงไหล่นั้น สาเหตุเกิดจากเวลาที่พวกท่านจำวัดนอนปลายเท้าไม่เรียงเสมอกันทำให้ดูไม่เป็นระเบียบสวยงามผีเลยจับขาดึงให้ปลายเท้าเรียงเสมอกัน พอเห็นว่าปลายเท้าเรียงเสมอกันแล้วแต่หัวนอนไม่เรียงเสมอกันเลยมาจับไหล่ลากดึงขึ้นมาเพื่อให้ศีรษะของพระเรียงตรงเสมอกันพอจัดหัวนอนเพื่อให้ศีรษะของพระเรียงตรงเสมอกันแล้วแต่ตรงปลายเท้ากลับไม่เสมอกันเหมือนที่จัดไว้ก็กลับมาดึงขาอีกดึงขาเสร็จก็กลับไปดึงไหล่ ดึงไหล่เสร็จก็กลับไปดึงขาสลับกันไปมาอย่างนี้ทั้งคืนถึงจะแผ่เมตตาให้ก็จะสงบลงแค่ชั่วประเดี๋ยวประด๋าวแล้วก็กลับมาดึงขาดึงไหล่เหมือนเดิม เท่าที่ฟังมาตั้งแต่ต้นจนจบมันไม่ได้ทำให้ฉันรู้สึกนึกกลัวผีตนนี้ขึ้นมาได้เลยแต่ก็ไม่ได้อยากเจอด้วยสักเท่าไหร่นักเพราะตัวฉันเองก็ไม่ได้ชอบเจอผีอยู่เท่าไหร่หรอกนะเอาเข้าจริงออกจะกลัวผีซะด้วยซ้ำไป โชคดีที่กุฏิที่พักของฉันอยู่คนละโซนกันกับกุฏิที่มีผีซึ่งเป็นกุฏิสร้างเก่าส่วนโซนที่ฉันพักเป็นกุฏิสร้างใหม่แค่สองสามปี หลังจากดื่มน้ำปานะและนั่งฟังเรื่องผีเจ้าระเบียบนั่นจนจบฉันพร้อมด้วยครอบครัวรวมถึงสมาชิกผู้ปฏิบัติธรรมซึ่งพักอยู่กุฏิเดียวกันก็พากันเดินกลับที่พัก ระหว่างทางที่เดินอยู่นั้นฉันสัมผัสได้ถึงกลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ที่ไม่คุ้นเคยมาก่อนพร้อมกับได้ยินเสียงสวดมนต์ดังกังวาลเสนาะหูตลอดทางที่เดินผ่านจนถึงหน้ากุฏิ ไม่ว่าจะคืนแรกหรือในคืนที่สองฉันยังคงสามารถปฏิบัติธรรมได้อย่างเป็นปกติสุข โดยไม่มีวี่แววว่าจะสัมผัสถึงวิญญาณอื่นๆที่ร่วมอาศัยอยู่ภายในวัดนอกจากเสียงสวดมนต์อันไพเราะทั้งเช้าและค่ำในช่วงเวลาก่อนทำวัตรเช้าและหลังทำวัตรเย็นทำให้เกิดปิติสุขอยู่ตลอดเวลา วันที่สามของการปฏิบัติธรรมหลังทำวัตรเช้าเสร็จได้มีผู้ปฏิบัติธรรมบางส่วนขอลาศีลเพื่อจะได้มีเวลากลับไปพักผ่อนเตรียมพร้อมรับมือกับวันทำงานเมื่อสิ้นสุดวันหยุดเทศกาลจึงเหลือผู้ที่อยู่ปฏิบัติธรรมต่อแค่สิบกว่าคนเท่านั้นโดยทั้งหมดพักอยู่ในโซนกุฏิสร้างใหม่ซึ่งหมายความว่าโซนที่เป็นกุฏิสร้างเก่าจะไม่มีใครพักอาศัยตั้งแต่คืนนี้เป็นต้นไป พาให้บรรยากาศในช่วงบ่ายและหลังทำวัตรเย็นเงียบเหงาถนัดใจไม่มีใครนั่งจับกลุ่มคุยกันเถียงกันเรื่องผีเจ้าระเบียบ ผีเด็ก ผีผู้ใหญ่ไม่มีเสียงบ่นว่านอนไม่ค่อยหลับเพราะถูกรบกวน ถูกดึงขาดึงไหล่ หลังดื่มน้ำปานะ ฉันและครอบครัวก็พากันเดินกลับไปยังกุฏิที่พักถึงแม้กลิ่นหอมเย็นสดชื่นจะโชยมาให้สัมผัสรับรู้ และแว่วเสียงสวดมนต์ที่ดังกังวานไพเราะเสนาะหูเฉกเช่นทุกเช้าค่ำที่เป็นมา ทว่าฉันกลับรู้สึกถึงความเย็นเยือกและวังเวงชอบกลหรืออาจเพราะคืนนี้เป็นคืนมีผู้อยู่ปฏิบัติธรรมต่อไม่มากนัก พลอยให้บรรยากาศภายในวัดแปลเปลี่ยนตามไปก็เป็นได้ คืนนั้นหลังออกจากสมาธิและแผ่เมตตาเสร็จฉันล้มตัวลงนอนเหมือนเช่นทุกคืน พอหัวถึงหมอนเปลือกตาก็ปิดตามทันที แต่เฮ้ย!...ทำไมยังมองเห็นสภาพห้องโดยรอบตัวอยู่อีกล่ะ ฉันขยับเปลือกตาที่ปิดสนิทอยู่แล้วให้ปิดลงอีกเพราะเข้าใจว่าตัวเองยังไม่ได้หลับตาหรืออาจหลับตาไม่สนิทจนรู้สึกได้ถึงหัวคิ้วที่ขยับย่นจนแทบจะผูกติดกันอยู่รอมร่อแต่ไฉนฉันยังคงมองเห็นทุกสิ่งได้อย่างชัดเจนดังเดิมเปลือกตาของฉันทำไมมันถึงไม่ยอมปิดลงซะที แล้วภาพใบหน้าของฉันที่นอนหลับตาขมวดคิ้วเครียดก็ปรากฏขึ้นในมุมที่สามารถมองทะลุได้จากภายในที่มองเห็นร่างของตัวเองนอนเหยียดตรงเป็นท่อนห่มคลุมด้วยผ้า โดยเริ่มจากปลายจมูกไล่ไปถึงส่วนที่ห่มคลุมด้วยผ้าลงไปจนถึงปลายเท้ารวมถึงสภาพห้องโดยรอบตัวคือ พื้นที่ว่างจากปลายเท้ามีกระเป๋าและสัมภาระวางชิดติดผนังและเพดานห้องที่อยู่สูงขึ้นไปในแนวขนานลำตัว อะไรกันเนี่ย!?ความรู้สึกมึนงงเริ่มบังเกิด ฉันรู้สึกสับสนระหว่างความจริงกับความฝันนี่ฉันหลับอยู่หรือว่าตื่นอยู่กันแน่? ฉันพยายามตั้งสติเพื่อค้นหาคำตอบของสิ่งที่เกิดขึ้นให้รู้แน่ชัดว่าตกลงแล้วฉันกำลังหลับและอยู่ในความฝันหรือว่ากำลังตื่นอยู่กันแน่ ถ้าฉันกำลังหลับอยู่และนี่คือความฝันฉันก็จะตื่นจากฝันด้วยการลืมตาแต่ทั้งที่มองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างโดยรอบตัวแท้ๆกลับรู้สึกถึงเปลือกตาที่ยังคงปิดสนิทอยู่และไม่มีทีท่าว่าจะขยับแม้แต่น้อย ครั้นจะขยับตัวลุกขึ้นก็ไม่สามารถขยับเขยื่อนร่างกายได้เลยแม้เพียงปลายนิ้ว คิดเอนเอียงไปว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝันและคงจะหลับลึกมากเลยไม่ยอมตื่นง่ายๆเพราะหลายครั้งที่ฉันรู้สึกตัวในขณะที่ฝันอยู่ซึ่งบางครั้งก็ตื่นขึ้นหลังจากที่รู้ตัวแต่บางครั้งก็ไม่สามารถตื่นจากความฝันได้ในทันทีทันใดต้องรอจนกว่าจะตื่นเองหรือมีอะไรมาทำให้ตื่น ขณะที่ฉันได้แต่นอนกวาดสายตามองสรรพสิ่งรอบตัวท่ามกลางความมืดฉันอดคิดไม่ได้ว่าความฝันอะไรกันเนี่ยช่างประหลาดแท้แล้วนี่ฉันจะต้องนอนฝันอย่างนี้ทั้งคืนจนถึงตื่นนอนเลยรึเปล่า? ระหว่างนั้นเองที่ฉันสัมผัสได้ถึงความเคลื่อนไหวจากภายนอกกุฏิ ฉันเหลือบมองที่หน้าต่างหัวนอนซึ่งอยู่สูงจากระดับพื้นที่ฉันนอนอยู่มากพอสมควร น่าแปลกที่ฉันกลับมองผ่านม่านผ้าสไบและผ้าขนหนูที่แขวนตากไว้กับมือจับของบานหน้าต่างฉันมองลอดช่องกระจกออกไปได้ราวกับกำลังซุ่มมองหาต้นตอที่ทำให้เกิดความเคลื่อนไหวจากภายนอกอย่างใจจดใจจ่อทั้งที่ตัวเองยังคงนอนนิ่งอยู่บนพื้นห้องแท้ๆ สายตาที่เพ่งมองฝ่าความมืดออกไปภายนอกกุฏิที่แลเห็นแต่เงาไม้ไหวมันช่างเป็นความรู้สึกเสมือนจริงมาก ซึ่งถ้าฉันไม่ได้รู้ตัวมาก่อนว่าตัวเองกำลังนอนหลับอยู่ที่พื้นห้องและไม่สามารถขยับเขยื่อนตัวได้ฉันคงคิดว่ากำลังลุกขึ้นมาถ้ำมองหาสิ่งผิดปกติจากภายนอกที่ข้างหน้าต่างด้วยตัวเองจริงๆ ซะอีก เสียงซวบซาบกรอบแกรบคล้ายมีอะไรกำลังเดินแหวกหญ้าเหยียบใบไม้และกิ่งไม้แห้งที่ดังอยู่ภายนอกซึ่งได้ยินมาสักพักหนึ่งแล้วเสียงนั้นดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ สายตาก็ยิ่งเพ่งยิ่งสอดส่ายเฟ้นหาที่มาของเสียงทว่ากลับไร้วี่แวว จะมีก็แต่เพียงเงาไม้ไหวท่ามกลางความมืด แว่วเสียงเหมือนมีใครกำลังพูดหรือบ่นอะไรสักอย่างลอยเข้ามากระทบโสตประสาทแรกทีเดียวก็ฟังไม่รู้เรื่องเท่าไหร่ เพราะเสียงที่ได้ยินนั้นเป็นเสียงเล็กและแหลมประกอบกับเสียงนั้นยังเบาอยู่มาก ถึงตอนนี้ฉันเริ่มรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลของบางสิ่งที่อยู่ภายนอกซึ่งกำลังใกล้เข้ามาจนอดรู้สึกประหวั่นใจไม่ได้ เสียงดังซวบซาบกรอบแกรบเหมือนมีบางสิ่งเดินแหวกพงหญ้าเหยียบใบไม้และกิ่งไม้ดังใกล้เข้ามาเสียงเล็กๆ แหลมๆ ที่ได้ยินเมื่อครู่นั้นก็เหมือนจะดังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เช่นกันจนเริ่มจับเป็นใจความได้ เฮ้อ...น่าเบื่อไม่สนุกเลย เบื่อๆๆๆๆ หายกันไปหมด ไม่มีใครอยู่เลยรึไง อุตส่าห์เดินมาตั้งไกลหาคนเล่นด้วยไม่ได้เลย เฮ้อ.....เบื่อ ใครก็ได้ออกมาเล่นกันเถอะ เสียงบ่นกระปอดกระแปดดังใกล้กุฏิเข้ามาทุกทีทว่าเจ้าของเสียงนั้นก็ยังไม่ปรากฏกายจากความมืด ด้วยใจที่กำลังระทึกและจดจ่อต่อการปรากฏตัวของเจ้าของเสียงปริศนาหัวใจฉันต้องกระตุกวูบขึ้นมาทันทีเมื่ออยู่ๆ ก็ปรากฏร่างของเด็กชายตัวอ้วนดำมัดผมจุกนุ่งโจงไม่สวมเสื้อตัวสูงเท่าขอบหน้าต่างยืนจังก้าเท้าสะเอวยืดคอขึ้นมาในระดับสายตาระยะประชิด เจอแล้ว!พี่สาวมาเล่นกันมั้ย เสียงนั้นดูจะตื่นเต้นดีใจซะเหลือเกินแต่ภาพที่เห็นเล่นเอาฉันถึงกับผงะถอยหลัง เพราะเจ้าเด็กอ้วนดำคนนี้ช่างน่าเกลียดเหลือเกินหัวก็โต ตาก็โปน ปากก็หนาสภาพนี้เห็นแล้วชักไม่แน่ใจว่าที่เห็นอ้วนนี่คืออ้วนจริงหรือขึ้นอืดที่เห็นว่าตัวดำนี่คือดำจริงหรือเขียวคล้ำ และแม้ว่าท่าทางของเจ้าเด็กอ้วนจะดูเหมือนเด็กใสๆทั่วไปก็เถอะ แต่น่ากลัวเหลือเกิน ถึงตอนนี้ฉันเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองไม่ได้นอนอยู่แต่กำลังหน้าหงายเพราะตกใจในขณะที่ร่างของฉันยังคงนอนนิ่งสงบรายรอบด้วยคนในครอบครัวที่กำลังหลับไหล ไม่มีโอกาสให้ทันได้ตั้งตัวหรือตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นร่างของฉันก็เซถลาออกมายืนอยู่ข้างกุฏิคล้ายมีแรงดึงดูดบางอย่างกระชากออกมา เบื้องหน้าคือเด็กชายอ้วนดำยืนฉีกยิ้มอย่างกำลังดีอกดีใจรอยยิ้มบนใบหน้าช่างบานและกว้างขวางมาก ฉีกยิ้มซะจนมองเห็นฟันหลอ ฟันดำจนถึงเขี้ยว ฉันรู้สึกสยองมากกว่าจะเอ็นดูทั้งที่ปกติออกจะเป็นคนรักเด็กซะด้วยซ้ำ พี่สาว เล่นกับหนูนะหนูเหงา ไม่มีเพื่อนเล่น คนพวกนั้นหนีกลับไปหมด ไม่มีใครอยู่ให้หนู่เล่นด้วยเลยใบหน้าเบื้อนยิ้มปากไม่ขยับแต่ดันมีเสียง นะ นะ พี่สาวมาเล่นกันเถอะ เล่นเป็นเพื่อนหนูหน่อยนะ หนูเหงา หนูไม่มีเพื่อนเด็กชายอ้วนดำเริ่มรบเร้าอ้อนวอนเมื่อเห็นว่าฉันยังไม่ตอบสนองกลับ จากท่าทีสดใสเมื่อครู่กลายกลับเป็นตีหน้าเศร้าหงอยลงเหมือนอยากจะร้องไห้ไอ้ฉันล่ะก็เป็นคนใจอ่อนพอเห็นอย่างนี้ก็รู้สึกสงสาร แต่เพราะใจมันรู้ว่าเด็กที่ยืนอยู่ตรงหน้านี่เป็นเด็กผีและใจมันกลัวเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว คือถ้าเป็นผีเด็กน่ารักน่ารักก็ไม่แน่แต่ผีเด็กตนนี้ดูน่ากลัวอยู่ ครั้นจะให้ทำใจมันก็ยากแม้จะรู้สึกสงสารอยู่บ้างก็ตามที พี่เล่นกับหนูไม่ได้หรอกนะพี่มาปฏิบัติธรรม ถือศีลแปด พี่เป็นผู้หญิงแล้วหนูเป็นเด็กผู้ชายพี่เล่นกับหนูไม่ได้ ประเดี๋ยวศีลจะขาดเอา แล้วหนูจะเป็นบาปไปด้วย ฉันพยายามตั้งสติแล้วตอบกลับอย่างชนิดที่บัวไม่ให้ช้ำน้ำไม่ให้ขุ่น ทำไมจะเล่นไม่ได้ต้องเล่นได้สิ ไม่เป็นไรหรอก ทีพวกที่อยู่ฝั่งโน้นหนูยังไปเล่นกับเขาได้เลย นะนะพี่เล่นกับหนูนะ เด็กผียังคงรบเร้า คนฝั่งโน้นที่หนูบอกว่าหนูไปเล่นกับเขาไม่มีใครเขารู้เรื่องกับหนูซะหน่อย มีแต่หนูไปรบกวนพวกเขา การรบกวนผู้ปฏิบัติธรรมหนูจะทำบาปโดยไม่รู้ตัวนะ ฉันพยายามอธิบาย ก็หนูเหงาหนูแค่อยากเล่นด้วย ไม่มีใครเล่นกับหนู หนูไปเล่นกับใครเค้าก็เอาแต่นอนไม่มีเห็นใครลุกมาคุยกับหนูเหมือนพี่สาวเลย พี่สาวเล่นกับหนูนะ โอ้แม่เจ้า! ครั้งแรกเลยนะเนี่ยที่เจอผีพูดมากช่างต่อล้อต่อเถียงปกติที่เคยเจอมาแทบจะไม่พูดเลยด้วยซ้ำมาแต่ให้หลอนหรือถ้าจะมีได้ยินเสียงผีบ้างก็แค่สั้นๆ ประโยคสองประโยคไอ้ที่จะมาต่อล้อต่อเถียงพูดจาเป็นต่อยหอยขนาดนี้นี่ไม่มี้ไม่มีแสดงว่ามีพลังล้นเหลือเลยทีเดียวสำหรับเด็กผีตนนี้ จะเล่นหนูจะเล่นกับพี่ พี่ต้องเล่นกับหนู เด็กผีอ้วนดำเริ่มก้าวร้าวเอาแต่ใจหลังจากที่ฉันเปลี่ยนจากการพูดโต้ตอบเป็นการสงบจิตแผ่เมตตาให้ท่าทางที่แปลเปลี่ยนไปของเด็กผีตนนั้นทำให้ฉันรู้สึกถึงความไม่ปลอดภัย ขณะที่เด็กผีแสดงกิริยาและอาการคุกคามฉันอยู่ๆ ร่างของฉันก็ถูกดึงกลับเข้ามาภายในกุฏิ เพียงเสี้ยววินาทีที่ฉันได้เห็นร่างของตัวเองยังคงนอนสงบนิ่งดังเดิมแม้จะทำให้ฉันรู้สึกสับสนเล็กๆ ว่าตกลงนี่คือเรื่องจริงหรือฉันแค่ฝันไป สิ่งที่ทำให้ฉันมั่นใจว่ามันคือเรื่องจริงเพราะความรู้สึกถึงความมีตัวตนของฉันที่ยืนอยู่ตรงนี้ หากเมื่อเสี้ยววินาทีนั้นผ่านพ้นไปฉันจำต้องละวางทุกสิ่งที่เกิดขึ้นภายในกุฏิเหตุเพราะพลังที่เกรี้ยวกราดรุนแรงของเด็กผีซึ่งยังคงอยู่ด้านนอกกุฏินั้นได้แผ่เข้ามากระทบจิตสัมผัสของฉันถึงภายในกุฏิ สิ่งที่เห็นทำให้ฉันถึงกับตะลึงเมื่อเด็กผีตนนั้นมีขนาดตัวที่ใหญ่โตขึ้นเรื่อยๆ จนฉันไม่สามารถมองเห็นร่างที่ขยายใหญ่โตของเด็กผีตนนั้นผ่านทางช่องกระจกหน้าต่างได้อีกต่อไป พี่ต้องเล่นกับหนูหนูจะให้พี่เล่นกับหนู เสียงนั้นดังก้องอยู่ด้านบนเหนือศีรษะของฉัน พร้อมๆกับที่ฉันรับรู้ได้ว่ากุฏิเกิดการสั่นคลอน ทันใดนั้นหลังคากุฏิก็ถูกแง้มออกจนเปิดกว้าง ฉันตะลึงกับสิ่งที่เห็นเด็กผีนั่นใช้มือยกหลังคาให้เปิดออก ชะโงกหน้าลงมาพร้อมกับตะคอกใส่ฉัน พี่ต้องเล่นกับหนูได้ยินมั้ยพี่ต้องเล่นกับหนู วินาทีนั้นฉันสัมผัสได้ถึงแรงเหวี่ยงมหาศาลจนร่างหมุนรุนแรง ร่างทั้งร่างหนักอึ้งไร้สิ้นเรี่ยวแรงที่จะแข็งขืนใดๆความรวดร้าวแผ่ซ่านไปทั่วทั้งสรรพางค์กาย ตอนนี้ฉันกลับเข้ามาอยู่ในร่างของตัวเองซึ่งยังคงนอนหลับอยู่เหมือนเช่นก่อนหน้าหากแต่ทุกส่วนของร่างกายกลับหนักอึ้งจนรู้สึกทรมานและปวดร้าวไปทั้งร่างที่สำคัญฉันยังคงมองเห็นทุกสิ่งโดยรอบตัวได้แม้จะยังหลับตาอยู่ก็ตาม เด็กผีนั่นยังชะโงกหน้ามองมาที่ฉัน มาเล่นกันเถอะพี่สาวพูดไม่พูดเปล่า เจ้าเด็กผีเอื้อมมือลงมาจับที่ข้อเท้าของฉันจะว่าไปเรียกว่าใช้นิ้วคีบคงจะเหมาะกว่า ร่างของฉันถูกลากไปมาจนบางครั้งก็กลิ้งหลุนๆไปทั่วห้อง ช่างเจ็บปวดทรมานเหลือเกิน เจ้าเด็กผีได้แต่หัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจสนุกสนานเป็นการใหญ่ สนุกจัง พี่สาวสนุกมั้ย?เจ้าเด็กผีหัวเราะร่าเริงเปิดเผย แต่ฉันสินอกจากจะไม่สนุกด้วยแล้วยังรู้สึกเหมือนร่างแทบจะปริแตกออกมาทีเดียว เมื่อความทรมานใกล้ถึงขีดสุดในขณะที่ร่างกายถูกพันธนาการด้วยพลังลึกลับเหนือธรรมชาติฉันพยายามรวบรวมสติเพื่อกำหนดจิตด้วยแรงฮึดเฮือกสุดท้ายอย่างเต็มกำลัง หลังจากความพยายามหลายต่อหลายครั้งไม่ว่าจะสวดมนต์รึจะแผ่เมตตาแต่ก็ล้มเหลวทุกครั้งเพราะไม่ว่าจะบทสวดมนต์หรือบทแผ่เมตตาที่ท่องอยู่หายไปจากความจำเอาดื้อๆ จนต้องเริ่มต้นใหม่หลายต่อหลายรอบ ครั้งนี้ฉันตั้งจิตอธิษฐานถึงเทวดาทั้งหลายภุมเทวดา เจ้าที่เจ้าทางเจ้าป่าเจ้าเขาที่ดูแลอารักษ์วัดแห่งนี้ให้ช่วยเหลือเนื่องจากถูกรบกวนการพักผ่อนและการปฏิบัติธรรมด้วยบุญกุศลที่มีขอให้เหล่าท่านผู้อารักษ์ทั้งหลายเมตตาช่วยเหลือให้หลุดพ้นจากเหตุที่ประสบอันเกิดจากอำนาจของเด็กผีตนนี้ พลันภาพจากภายนอกกุฏิที่อยู่ห่างออกไปไม่ไกลนักก็ปรากฏให้เห็นลักษณะร่างบางเป็นเงาตะคุ่มยืนอยู่ในความมืด ไอ้อิฐ! ไปซนอะไรแถวนั้นกลับออกมาเดี๋ยวนี้นะ อย่าไปยุ่งกับเขา เดี๋ยวเถอะ เสียงผู้หญิงตะหวาดลั่นทำให้ฉันได้รู้ว่าเจ้าเด็กผีตนนี้ชื่อ อิฐ แต่ก็นึกจำให้เรียกจิกตามเสียง ไอ้อิฐด้วยเพราะความเคือง กลับออกมาเดี๋ยวนี้นะไอ้อิฐถ้าดื้อนักจะฟ้องหลวงพ่อ ได้ผล เพราะพอสิ้นเสียงขู่จากวิญญาณอีกตนที่ยืนอยู่ เจ้าเด็กผีร่างยักษ์นั่นก็ปล่อยขาฉันพร้อมกับย่อร่างลงมาเหลือตัวเท่าเดิมก่อนจะแว้บหายกลับไปยืนเคียงข้างวิญญาณของหญิงผู้ติดตามมา ทันทีที่วิญญาณทั้งสองเลือนหายไปร่างของฉันก็ถูกปลดออกจากพันธนาการ ฉันนอนลืมตาโพลงอยู่กลางห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ที่รู้คือปวดระบมไปทั้งร่าง ฉันค่อยๆตะเกียกตะกายคลานกลับเข้าไปนอนในที่ของตัวเองอย่างไร้สิ้นเรี่ยวแรงในขณะที่ทุกคนยังคงหลับไหลอย่างเป็นปกติสุข เสียงระฆังดังเหง่งหง่างบอกให้รู้ว่าถึงเวลาลงโบสถ์ทำวัตรเช้าแล้วแต่ฉันยังไม่สามารถขยับตัวลุกขึ้นได้เนื่องจากยังรู้สึกระบมอยู่มากจึงไม่ได้ลงไปทำวัตรเช้าที่โบสถ์กับคนอื่นๆ หลังทำวัตรเช้าเสร็จแม่กับน้องสาวเดินกลับมาช่วยพยุงฉันลงไปกินข้าว สภาพฉันในขณะนั้นไม่ต้องพูดถึงยังแย่อยู่มาก จนคนอื่นๆ อดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นทำไมอยู่ๆฉันถึงได้มีสภาพเป็นอย่างที่เห็น ฉันจึงได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นเมื่อคืนให้คนในครอบครัวและคนอื่นๆได้ฟัง หนูนะจำชื่อมันได้ขึ้นใจเลยมันชื่อ ไอ้อิฐฉันแทนตัวเองว่าหนูกับพ่อแม่เป็นปกติเอ่ยชื่อเรียกจิกเด็กผีนั่นด้วยว่ายังเคืองไม่หาย คอยดูเถอะ เดี๋ยวตอนขึ้นไปลาศีลกลับบ้านจะฟ้องหลวงพ่อฉันยังพาลไม่เลิกจนแม่ต้องปรามเพราะสงสารเจ้าเด็กผีตนนั้นโดยชักแม่น้ำทั้งห้ามาพูดโน้มน้าวให้สงสารเจ้าอิฐที่เป็นผีไม่ได้ไปผุดไปเกิดก็แย่อยู่แล้วแถมยังเป็นเด็กผีขี้เหงาคงเพราะเป็นผีเด็กตนเดียวที่อยู่ในวัดเลยหาเพื่อนเล่นไม่ได้ ถือซะว่าสงสารเขานะลูกเมตตาเขาเถอะจะได้ไม่เป็นการผูกเวรผูกกรรมกัน เมื่อผู้เป็นแม่พูดซะขนาดนี้สติยั้งคิดจึงเกิดขึ้น ฉันมาปฏิบัติธรรมแท้ๆจะไปขึงโกรธอาฆาตจองเวรกับผีที่เป็นเด็กก็คงไม่ใช่เรื่องจริงๆ นั่นแหละสุดท้ายจึงยอมอโหสิกรรม แผ่เมตตาและอุทิศส่วนกุศลให้ไป แม้เวลาจะผ่านไปกว่าสิบห้าปีแล้วก็ตามแต่ชื่อของ ไอ้อิฐก็ยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของฉันถึงจะไม่เคยได้กลับไปปฏิบัติธรรมที่วัดแห่งนั้นอีกเลยก็ตาม
Create Date : 16 มิถุนายน 2559 |
Last Update : 19 มิถุนายน 2559 0:48:07 น. |
|
0 comments
|
Counter : 3224 Pageviews. |
|
|