บันทึกการพิชิต มะเร็งต่อมน้ำเหลือง ของ นร ป โท อังกฤษ วัย 26 ปี (Hodgkin Lymphoma)

<<
กรกฏาคม 2557
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
28 กรกฏาคม 2557
 

ตอนที่ 22- ระยะปลอดภัย หรือ ระยะทำ “ใจ"





ตอนที่ 22 ระยะปลอดภัย หรือระยะทำ “ ใจ ”

หลังจากได้ดราม่า เรื่องยา TB (วัณโรคเยื่อหุ้มปอด) เพราะต้องทนกินยายาว 9 เดือนและไม่รู้ชะตากรรมตัวเองว่าในอนาคตจะต้องเป็นอย่างไร จึงเลือกที่จะมี ความสุข อยู่กับ ปัจจุบัน มากกว่าไปคิดถึงอดีตและกังวลถึงอนาคตที่ยังมาไม่ถึง ยังไงซะ ตอนนี้ ณ เวลานี้ เรายังตื่นขึ้นมาทุกเช้าได้ ยังเดินได้ ยังมีข้าวกินยังมีคนที่คอยห่วงใยเรา ได้ตื่นมาให้ป๊าได้เห็นหน้า แค่นี้ ก็ถือว่าทำหน้าที่ของลูกที่ ไม่ชิงไปสบายก่อนพ่อแล้ว

กุมภา พาสังขาร ไปฉายแสง (Feb 2014)
หลังจากที่ต้องอยู่ รพ ยาวสองอาทิตย์ เพื่อหาสาเหตุ ของอาการติดเชื้อในตอนที่แล้วไปนั้น คุณหมอฉายแสงก็ให้หยุดพักยาวเพิ่มอีก หนึ่งอาทิตย์ เพื่อรักษาอาการไข้ให้หายก่อนถึงจะกลับไปฉายแสงใหม่ได้ โดยคุณหมอฉายแสง เพิ่ม จำนวนครั้งการฉายแสงให้ จากที่เคยตกลงกันไว้ว่าจะฉาย 15 ครั้ง 30 gry เป็น 18 ครั้ง 36 gry ไม่ต้องนับหนึ่งใหม่ คือก็แค่เพิ่มมาอีก 3 ครั้ง จนจบคอร์ส ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้การฉายแสงจะสามารถเอาเจ้ามะเร็งอยู่มั้ยเพราะหยุดไปต้องเกือบสามอาทิตย์ ปกติฉายแสงเค้าห้ามหยุด ต้องฉายต่อเนื่องแต่นี่ฉายๆหยุดๆ และหยุดครึ่งๆกลางๆ ตัวคุณหมอเองก็ไม่ทราบว่าผลการรักษาจะเป็นอย่างไรเพราะไม่เคยมีคนไข้คนไหนฉายแสงแล้วหยุดไปนานขนาดนี้

เฮ้อ…….ยิ่งคิดยิ่งกลุ้ม ได้แต่บอกตัวเองเบาๆว่ากลุ้มใจไปก็ไม่มีประโยชน์อะไร เอาเป็นว่าทำหน้าที่ของเราตอนนี้ให้ดีที่สุดก็พอ

มีนา ลัลลา ปรับยา ( March 2014)

เดือนนี้เป็นเดือนที่แข็งแรงที่สุดในรอบปีก็ว่าได้ แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ และก็มีเรื่องดีๆตามมาหลายอย่าง หรือว่า นี่จะเป็นบทพิสูจน์ ของสำนวนไทยที่เค้าว่าจิตเป็นนายกายเป็นบ่าวจริงๆ

เริ่มตั้งแต่เรื่องปอดน้ำในปอดได้แห้งหายไปหมดแล้ว ปอดนี่เคลียร์ใสไร้ฝ้า เป็นสัญญานว่า เราตอบสนองต่อยาTB (วัณโรคเยื่อหุ้มปอด) เป็นอย่างดี ค่าตับ SCOT /SGPT ก็ปกติไม่มีการอักเสบ โดยปกติถ้ากินยา TB ต่อเนื่องเป็นเวลานาน จะมีผลต่อตับมาก ถ้าค่าเกิน 2-3 เท่า ทำให้ตับอักเสบได้ คุณหมอ เห็นว่า โดยรวมร่างกายตอบสนองต่อยาชุดนี้ ดี เลยปรับโดสของยาลง จากกิน วันละ 4 ตัว เหลือกินแค่ 2 ตัว คือ Rifampicin และ Isoniazid (INH) แล้วยังให้ วิตามิน B6 ควบคู่กันมาด้วยเผื่อมือเท้าชา แค่นี้ ชีวิตก็ happy แล้วคะคุณหมอ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าโรคหลักหายมั้ยแต่โรคแทรกค่อยๆหายไป ก็ดีใจมากแล้ววววว นอกจากนี้ ผลเลือดต่างๆก็เป็นปกติ ทำให้ได้วีซ่า เริ่มออกจากบ้านไปกินข้าวข้างนอกบ้านได้ หลังจากหดหู่มานาน เริ่มมีอีเว้น ไปกินเลี้ยงเป็นกลุ่ม 

การเดินสายไปกินอาหารทะเลแถวบางขุนเทียนกินกุ้งแม่น้ำที่อยุธยา ซัดส้มตำสุดแซ่ป ต่อซูชิของโปรด และ Afternoon Tea สุดชิค โอ้ย สวรรค์มาก โต๊ะข้างๆอาจจะหาว่าเราบ้าอีนี่ไม่เคยกินหรือไง กินไปยิ้มไปแต่ถ้าไม่มาเป็นเราไม่รู้หรอก ว่าหนึ่งคำของอาหารที่โดนงดมานานเป็นโมเม้นที่มีค่ามาก เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม พอได้เดินสายกิน เริ่มโพสรูปลงสื่อเพื่อนๆต่างดีใจที่เห็นเราแข็งแรง ออกจากบ้านได้ ก็พากันนัดเลี้ยงกันใหญ่กลุ่มนั้นทีกลุ่มนี้ที ผลพลอยได้ก็คือ น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ทำให้พุ่งไปถึง 39.6 Kg จาก 35 Kg ก็เหลือไม่อีกกี่ขีด จะได้ถึงเป้าหมาย 40 Kg เป็นเกณฑ์ปกติก่อนป่วยซักที J และอีเว้นที่สำคัญที่เรียกความมั่นใจให้มวลหมู่ญาติสนิทมิตรสหายของเราก็คือ ได้ไปขยับแข้งขยับขา ตีแบต ต้อง 3 ชม รวด กับเพื่อนเก่า ในหมู่สังคมออฟฟิสแบบที่ฝั่งตรงข้ามไม่รู้ว่าฉันป่วยอยู่ อิอิ ขอบอกว่าสูสีมาก ตบไม่ยั้งกันเลยทีเดียว ทำให้เรามั่นใจว่า เฮ้ยฉันก็ปกติแข็งแรงดีนี่หน่า

เมษา สัญญาณมา (Apri 2014)

เดือนนี้ก็ยังเดินสายไม่จบไม่สิ้นนะครัช ออกจากบ้าน วันเว้นวัน มีนัดกับ เจ้านายเก่า สองคน ซึ่งเจ้านายเก่า ได้ชักชวนให้กลับไปรับ jobs สั้นๆระหว่างรอผลรักษา มีรุ่นพี่ที่ออกไปตั้งบริษัทเอง โทรมาชักชวนบอกว่า มีโปรเจค อยากให้ไปช่วย (ไม่ใช่การขายตรงแฮ่ !) ถือว่าเป็นเดือนที่มีงานราษฎร์ งานหลวง ติดต่อเข้ามาไม่ขาดสาย เริ่มกลับไปใช้ชีวิตเหมือนคนอื่นบ้าง และเราก็ดีใจที่เรายังมี Value มีศักยภาพให้คนอื่นเห็น ก็เรียกความมั่นใจได้กลับคืนมาหน่อยว่าเราก็ยังมีประโยชน์ หลังป่วยไม่มีใครรังเกียจเนาะ ! (เออ แกก็ไม่ได้เป็นเอดส์ หรือ โรคติดต่อหนิ) แต่ยังแค่รับข้อเสนอมาคิดๆดู ยังไม่ได้ตัดสินใจเรื่องจะทำงานอะไรมากเพราะป๊าก็กลัวเราเครียด แล้วโรคกำเริบ ป๊าอยากให้จบเป็นเรื่องๆ ไม่ใช่จับปลาสองมือ มันจะไม่ได้เรื่องซักอย่างง แต่ยังไม่ทันรับปาก หรือ เซ็นสัญญาใดๆ ก็ดันมาเป็นไข้หวัดก่อน ซึ่งการเป็นไข้หวัดครั้งนี้มันไม่ธรรมดา เพราะจากที่เราดีๆ กลายเป็นต้องนอนซม บนเตียง เกือบอาทิตย์ในช่วงวันหยุดยาว ตอนสงกรานต์ ซึ่งไข้หวัดที่ว่านั่นคือ ไข้หวัดใหญ่ FLU A นี่เอง  ถือว่าเป็นชนิดรุนแรง และกำลังแพร่ระบาดมากในขณะนั้น ซึ่งเมืองไทย จะระบาดมากช่วงหน้าร้อน โรงหนัง นี่หมอบอกว่าเป็นศูนย์กระจายเชื้อ หรือ เป็นแหล่งนั่นเอง คนที่เป็นไข้หวัดใหญ่ชนิดรุนแรง ส่วนมากจะเป็นคนที่ภูมิต่ำ จำพวก เด็กที่อายุต่ำกว่า 5 ปี คนชราอายุมากกว่า 50 ปี และผู้ป่วยที่เป็นโรคเรื้อรัง (อ่าวตรูเข้าข่าย !) ตอนแรกก็ไม่เชื่อหมอเพราะว่ากิจกรรมที่ทำมาทั้งเดือนก็บอกว่าเราแข็งแรงดี คุณหมอก็ไม่ชะล่าใจจับทำแล็ป ปั่นน้ำมูกไปตรวจเสียไป 800 บาท รอผล ครึ่ง ชม ที่ รพ กรุงเทพคริสเตียน สรุปว่าชัวร์และชัด ว่าใช่คะ เลยโดนยาไปขนานใหญ่รวมถึงยาต้านไวรัส ไปกินอาทิตย์หนึ่งด้วย ถ้าไม่ดีมากคงต้องมาตรวจละเอียดกันยาว ดีนะที่ซมไปอาทิตย์นึงแล้วมันดีขึ้น ไม่งั้นงานเข้าแน่ๆ

พฤกษภา ทมิฬ มึน อึ้ง ช็อค (May 2014)

ช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมา จึงเป็นสงครามไข้หวัดใหญ่ สาดยากันเข้าไป แทนสาดน้ำเล่นกันแต่ก็ยังดีที่ยังไม่ต้องถึงกับสาดน้ำตาใส่กันในวันปีใหม่ไทย พอฟื้นไข้ปุ๊ป ก็อยากจะเริ่มซนสรรหาของกินเพื่อเพิ่มน้ำหนัก เพราะพิษไข้ ทำเอา นน ลง ไปที่ 36 Kg ที่เก็บสะสมมานี่หายหมด ก็เริ่มทัวร์กินฉิ่งฉับต่อไป เริ่มกลับมาใช้ชีวิตแบบคนปกติ ไปเที่ยวลาวกับญาติ ปีนไต่น้ำตกบันไดเป็นร้อยขั้น เหนื่อยมากกกกกหัวใจนี่เต้นเราตึ๊บๆ เหงื่ออกโชก ไอ้เราก็คิดว่าปกติ เพราะ คนอื่นที่มาผจญภัยด้วยนี่ก็เหนื่อย แน่นหน้าอก เข่าอ่อนเหมือนกัน ทั้งๆที่อายุน้อยกว่าและเท่ากัน พอกลับจากเที่ยวลาววันอาทิตย์วันจันทร์ก็มีนัดต่อยาวัณโรค กับคุณหมอปอดพอดี ตอนที่กลับมากรุงเทพ นั้น ก็ยังรู้สึกเหนื่อยอยู่ ก็คิดไปเองว่า คงเป็นเพราะทริปนี้ นอนน้อยผจญภัย ไปห้าน้ำตก เดินทางเยอะมั้งเพราะนั่งรถข้ามด่านเอา โดยเฉพาะวันจันทร์ช่วงเช้านี่ ยิ่งเหนื่อยกว่าเดิม เราก็คิดไปเองอีก ว่าอาจเป็นเพราะไปร่วมกิจกรรมOuting กับ รรอนุบาล พาน้องสาวเล่นสไลเดอร์ สูง 5 เมตรปีนไปมา อุ้มนางขี่รถ ลอดอุโมงค์ กระโดดแทมมารีน เลยเหนื่อยมาก จนไม่ไหว ต้องขอพักข้างๆ สนามเด็กเล่นและเรียกป๊ามารับไปหาหมอตอนบ่าย ใจเราคิดว่าไม่เป็นอะไร เพราะกิจกรรมที่เราทำ ผู้ปกครองท่านอื่นก็เหนื่อยพอกัน แต่สมองมันคิดว่า เอาหน่า ไหนๆ เดือนนึง เจอหมอแค่ครั้งเดียว ก็เลยลองขอหมอทำ X-ray ปอดดูละกาน เสียไม่กี่ร้อย เพื่อความสบายใจ ว่าเราเหนื่อยๆเนี่ย ปอด ยังทำงานดีอยู่

ระหว่างที่นั่งรอผลอยู่หน้าห้องหมอ ก็ชิวๆ กินชานมเล่นมือถือ ไม่คาดคิดว่า วันนั้นจะเป็นวันสุดท้ายที่ใช้ชีวิตแบบคนปกติ

หมอปอด : “ อ้าวเป็นไงบ้าง  ผมสั้นทรงใหม่ เก๋ดีนะ ”

เรา : J “ วันนี้มาต่อยา วัณโรค คะ แล้วก็เมื่อกี้ ขอหมอ x-ray ดูไม่รู้ผลเป็นไงบ้างคะ ”

หมอปอด : “ ไหนๆดูสิ ” เปิดไฟล์ที่เพิ่งx-ray มาดู (พ.ค.) เทียบกับเดือน (มีนา) หมอ ทำหน้าเครียด “ ปอดเคลียร์ไม่มีอะไร ปอดทุกอย่างโอเคแต่หัวใจหนูโตมาก โตเป็นสองเท่า !! เทียบกับตอนเดือนมีนานี่มันดูผิดปกติมาก ”

ป๊า : เป็นเพราะอะไรครับคุณหมอ

หมอปอด : ไม่พูดอะไร “เดี๋ยวหมอส่งไปให้ หมอหัวใจตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ กับ ทำเอคโค่ ดูก่อนนะ ผลจากการ เอกเรย์บอกอะไรมาไม่ค่อยได้ แล้วให้หมอหัวใจเค้าดูอีกทีว่าเป็นยังไง”

ป๊านิ่งเงียบ ไม่พูดอะไร ตอนนั้นเป็นช่วงเวลา สี่โมงแล้วส่วนตัวเราเองก็คิดว่า อาจเป็นแค่เงา ตอนเอกเรย์ ไม่น่ามีอะไรมากแต่เรื่องมันไม่ได้จบแค่นั้นนะสิ !!

คุณพยาบาลจับตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ(EKG) ปรากฎว่าผลตรวจก็ดูเหมือนจะปกติ คุณหมอหัวใจมานั่งคุยก่อนที่จะเริ่มลงมือทำเอคโค่ เราก็เล่าประวัติทุกอย่างไปอย่างละเอียด ว่าตอนนี้เป็นโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองคือโรคหลักและมีวัณโรคเป็นโรคแทรกซ้อน หมอหัวใจพอดูผลเอกเรย์และฟังประวัติสารพัดโรคหลัก โรคแทรกซ้อนติดเชื้อนู่นนี่นั่น อันโชกโชน ของเราก็เลยขอสรุปว่า สาเหตุที่ทำให้หัวใจโต อาจจะมาจาก

1. ผลข้างเคียงจากยาคีโมชุดABVD ทำให้หัวใจโตได้
2.กล้ามเนื้อหัวใจมีปัญหาก็อาจทำให้หัวใจโต

ซึ่งสองสาเหตุบนเป็นสาเหตุที่ทำให้เป็นโรคหัวใจ นอกจากโรคมะเร็งซึ่งเป็นโรคหลักแล้ว   ในใจเราก็คิด นี่เราจะเหมาอวัยวะช่วงบนหมดเลยหรือไง ทั้งปอดและหัวใจ เอิ่มมม จะเทพไปละนะ ตอนนี้ก็เริ่มที่จะหวั่นๆละ แต่เอาวะ รอเอคโค่ ให้เห็นกันจะๆ ก่อน ค่อยเริ่มเครียด ตอนนี้ขอตั้งสติ เพื่อรอยิงคำถามหมอดีกว่า  ก่อนที่จะเริ่มลงมือ เอคโค่หัวใจ  คุณหมอหัวใจบอกว่า ถ้าผลเอคโค่ออกมากล้ามเนื้อหัวใจคุณปกติ ในขณะที่หัวใจคุณโตผิดปกติถือว่าคุณไม่ได้เป็นโรคหัวใจนะ  มันเป็นอาการปลายเหตุ ซึ่งต้องหาต้นตอกันต่อไปว่าสาเหตุหลักมันมาจากไหน  (ในใจนี่ไม่ภาวนาเลย  ระหว่าง มะเร็งกำเริบ กับหัวใจมีปัญหา นี่จะเป็นเรื่องเดียวกัน หรือ ไม่ใช่เรื่องเดียวกันก็ไม่มีอะไรดีทั้งนั้นเลย ……เงียบไป สิบ วิ)

ก่อนที่จะเริ่มนอนราบ ให้ พยาบาลติดเครื่องมือเตรียมเอคโค่

การเอคโค่ ก็ไม่มีอะไรมากใช้เวลาประมาณ 30 นาทีโดยนอนตะแครงซ้าย และหมอจะใช้ลูกกลิ้ง คล้ายๆที่ กลิ้งตอนอัลตราซาวดูเด็กในท้องมากลิ้งๆ แถวหน้าอกฝั่งซ้ายของเรา และหมอจะใช้เจลเย็นๆ ทาบนลูกกลิ้งอีกทีเพื่อหามุมที่เหมาะ และจะได้เห็นภาพชัดขึ้น

หมอหัวใจ : กลัวมั้ย ?

เรา : ไม่กลัวคะ มาถึงจุดนี้แล้ว หมอมีอะไรพูดตรงๆได้เลยคะ

หมอหัวใจ: อื้มๆ ดีละ เนี่ย พอเริ่มปุ๊ป ก็เจอปั๊ปเลยเรามีก้อนอะไรซักอย่าง อยู่ในหัวใจนะ ห้องล่างขวา เนี่ยๆ ตรงนี้ (หมอชี้ให้ดูภาพ ซึ่งตรูก็ดูไม่รู้เรื่องหรอก )มันไปอุดเต็มๆเลย เหลือแค่ 20 % ให้เลือดผ่าน ไปยังปอด

เรา : แล้วมันใหญ่มากมั้ยคะ?

หมอหัวใจ : ใหญ่ ประมาณ 4 ซม

เรา : มันเป็นก้อนประเภทไหน อะไรคะหมอ

หมอหัวใจ : ก็ไม่แน่ อาจเป็นลิ่ม ตอนนี้ ยังตอบอะไรไม่ได้ หมอเองก็ไม่เคยเจอมาก่อน เรามีเหนื่อยมีแน่นหน้าอก อะไรมั้ย

เรา : ไม่มีคะ แค่รู้สึกเหนื่อย เมื่อเช้ายังไปเล่นสไลเดอ์ ห้าเมตร และเพิ่งไปปีนเขา ไต่บันได จากลาว เมื่อวานซืนเองคะ

คุณหมอ นิ่งเงียบไม่พูดอะไร เก็บรายละเอียดทั้งหมด รวมถึงทำหน้าเครียดขึ้นเรื่อยๆเหมือนยิ่งหาก็ยิ่งเจออะไรซักสิ่ง พอคุณหมอทำเสร็จ ก็ปล่อยให้พยาบาลจัดการ เอาสารพัดสายออกจากตัวเรา และกลับไปรอที่ห้องตรวจ เพื่อคุยกับญาติและเรา

หมอหัวใจ : “ผลตรวจออกมา ค่าEF (ประมาณ 72)  การทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ และฟังกชันอื่นๆปกติ แต่ว่าที่น่าตกใจคือ มีก้อนหรืออะไรซักอย่างอยู่ในหัวใจห้องล่างขวา เป็นขนาดใหญ่”

เรา : พยายามรวบรวมสติและถามหมอว่า “แสดงว่าที่หัวใจโต เพราะมีก้อนข้างในใช่มั้ยคะ”

หมอหัวใจ : โตเพราะ ก้อนในหัวใจไปเบียดทำให้หัวใจทำงานได้น้อยลง และก็มีน้ำล้อมรอบเยื่อหุ้มหัวใจประมาณ 3 ซม เดี๋ยวต้องแอดมิดทันทีเลยนะเย็นนี้

ป๊า: ทำไมต้องแอดมิดครับ

หมอหัวใจ : เพราะมันอันตรายมากถ้าก้อนนี้มันเป็นลิ่ม แล้ว หลุดเข้าไปอุดในหัวใจ อาจทำให้คนไข้เสียชีวิตทันทีนะครับ

ป๊า : “งั้นผมขอปรึกษาหมอเจ้าของไข้ก่อน”ป๊าต่อสายตรงมือถือคุยกับอาจารย์ธีระ ทันที เพื่ออัพเดชอาการ และดูเหมือนว่า ป๊าจะไม่ค่อยเชื่อในสิ่งที่หมอหัวใจพูด หมอหัวใจยันยืนยันคำเดิมว่าต้องแอดมิด ถ้าไม่แอดมิด ต้องเซ็นใบอนุญาติว่ายอมกลับบ้านเอง ถ้าเกิดอะไรขึ้นทาง รพและหมอ ไม่รับผิดชอบ อาจารย์ธีระจึงขอคุยกับคุณหมอหัวใจ เป็นภาษาหมอมากๆ ตอนนั้นเรายอมรับว่าสติไม่ค่อยมีละ แบบว่ากำลัง งงๆ ว่า จริงหรอ? เรามา รพ แบบชิวมาก คิดว่าแค่จะมาต่อยา เพราะยาหมด ใส่เสื้อยืด รองเท้าแตะกางเกงขาสั้น กับมือถือไอโฟนที่แบตเสื่อม ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมใจที่จะมานอน รพ ยาว เลยยยย

หลังจากสองหมอได้คุยกัน อาจารย์ธีระก็ขอคุยกับป๊า และบอกป๊าว่า  มันจำเป็นและสำคัญมากที่จะต้องแอดมิด  ซึ่งไม่ใช่การแอดมิดธรรมดา  แต่ต้องเข้า ห้อง CCU เลย และคงต้องกำหนดวันผ่าตัดให้เร็วที่สุดภายในวันสองวันนี้   !!!!

เรากับป๊า อึ้งมาก ในใจเราคิดถึงแต่ จะหา second opinion อยากหาหมอหัวใจคนอื่น แต่คืนนั้น มันทำไม่ได้และก็ยังยอมรับความจริงไม่ได้  “ไม่จริงอะ”  2 เดือน ที่ผ่านมาชั้นยังแข็งแรงอยู่เลยแล้วทำไมมันเรื่องมันถึงเป็นแบบนี้

พอออกจากห้องตรวจ เพื่อรอทำเรื่องแอดมิด เราก็อัพเดชเพื่อนทางไลน์ ป๊าก็โทรหาซินเสทันที ซินแสเองก็ไม่เชื่อว่าจะมีก้อนในหัวใจ แกบอกว่าไม่มีทางเป็นไปได้ แล้วซินแสก็ถามคำแรก ว่า เราไม่ได้กินโสมต่อเนื่องใช่มั้ย เราตอบป๊าว่าใช่เพราะตอนนั้นเป็นไข้หวัดใหญ่ เลยต้องหยุด เพราะถ้าเป็นหวัดแล้วซินแสบอกเองว่ากินโสมไม่ได้ และหลังจากฟื้นไข้หายหวัด เราก็ไม่ได้กินต่อเนื่องเพราะรู้สึกร่างกายแข็งแรงดี ป๊าโกรธมาก ด่าเรา และสีหน้าผิดหวังในตัวเรามาก

“ กรุบอกเมิงแล้วใช่มั้ย ว่าให้กินต่อ เมิงไม่กินกรูก็ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ช่วยตัวเองไปแล้วกันต่อไปนี้กรูจะไม่ยุ่งกับชีวิตเมิงแล้ว เรื่องของเมิง !!”

ป๊าพูดจบก็เดินหันหลังออกจาก รพ ไปเลย ไม่หันกลับมาอีกปล่อยให้เราทำเรื่องแอดมิดคนเดียว จ่ายเงินค่ายา ค่าตรวจ ขอผลเอคโค่ คนเดียว พยาบาลต้องเข็นเตียงพร้อมสายน้ำเกลือ ไปที่เคาน์เตอร์เพื่อจ่ายเงิน และรอรับยานอนอยู่คนเดียวในห้องฉุกเฉิน เพื่อที่จะเตรียมเข็นขึ้นไป อยู่ห้อง CCU เรารอทำเรื่องรอรับยา รอห้อง รอคนมาเข็นเตียง รออยู่เป็น ชม 2 ทุ่มก็แล้ว 3 ทุ่ม4 ทุ่ม ป๊าก็ไม่เดินกลับมาหา ไม่โทรมา ไม่มีสัญญาณอะไร จากป๊า หรือที่บ้านเลย นี่ชั้นโดนทิ้งให้อยู่ รพคนเดียวจริงๆหรอ พยาบาลก็เดินมาถามตลอดว่าญาติจะมาเซ็นใบแอดมิดมั้ยเราก็บอกว่าเดี๋ยวคงมาคะ แต่ก็ไม่มีสัญญาณอะไร ไม่มีเสียงโทรศัพท์จากที่บ้านเลยจึงตัดสินใจโทรบอกน้องสาว น้องสาวบอกว่าเพิ่งเลิกงานเดี๋ยวจะตามมาดูและดูเหมือนคนที่บ้านจะไม่รู้เรื่องอะไรเลยเหมือนว่าป๊าไม่ได้อัพเดชหรือสั่งใครในบ้านให้มาดูแลเรา พอรู้แบบนั้นร้องไห้ออกมาหนักมาก คาห้อง CCU ยิ่งร้องไห้ หัวใจก็ยิ่งเต้นเร็วยิ่งเหนื่อย ยิ่งเจ็บ หมอบอกว่าเป็นมะเร็ง มีก้อนในหัวใจ มีโน่นนี่นั่น อยู่ได้ไม่เกินหกเดือนยังไม่เคยร้องไห้ ไม่เคยเสียสติเท่ากับการที่รู้สึกเหมือนโดนป๊าทิ้งแบบนี้ นี่เป็นการร้องไห้รอบที่สองตั้งแต่รู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็ง ครั้งแรก คือเข้าห้อง CCU เพราะติดเชื้อที่ปอดกินข้าวเองไม่ได้ รู้สึกร่างกายเหนื่อยมาก เหมือนตัวเองกำลังแพ้โรค แต่คราวนี้น้ำตาที่ออกมา มันไม่ใช่แค่ร่างกายที่เหนื่อยอย่างเดียว แต่เป็นใจที่เหนื่อยย และท้อมากกกกกกกก 



ติดตามเรื่องราวและ Tips สุขภาพดีๆได้ที่  

FB Page : เรื่องจริงกะเบลล์ Jingabell

https://www.facebook.com/cancerfreeforever/






 

Create Date : 28 กรกฎาคม 2557
3 comments
Last Update : 11 เมษายน 2559 12:17:08 น.
Counter : 3702 Pageviews.

 
 
 
 
ขอเข้ามาเป็นกำลังใจให้น้องนะคะ พี่เข้าใจทั้งความรู้สึกของน้องและของป๊านะคะ เค้ารักและห่วงน้องมาก พอรู้ว่าไม่ได้ทานโสมต่อหลังหายไข้ เค้าเลยโกรธและเสียใจ แต่เชื่อพี่เถอะค่ะ ป๊าเค้าไม่มีทางทิ้งน้องเหมือนที่เค้าพูดหรอกค่ะ ที่พูดไปเพราะอารมณ์โกรธล้วนๆ ส่วนตัวน้อง ก้คิดว่า ชั้นแข็งแรงดี เลยละเลยเรื่องนี้ไป ไม่ได้คิดว่าจะเกิดเรื่องใหญ๋โตขนาดนี้ แต่สิ่งหนึ่งที่พี่อยากแชร์นะคะ โรคนี้ เราจะประมาทมันไม่ได้เลย เราจะต้องมีสติ ต้องควบคุมทั้งเรื่องการกิน การปฎิบัติตัว อารมณ์ เพราะทุกอย่างเกี่ยวโยงกันหมด ถึงแม้เราจะอยู่ในระยะการักษา หรือระยะโรคสงบนะคะ ทานของปรุงสุกสะอาด ไม่ปิ้งทอดย่าง หรือ พวกของหมักดอง บางตำรา งดอาหารทะเล โดยเฉพาะปูนะคะ ขออวยกรให้น้องหายจากโรคเร็วๆ และดำเนินชีวิตต่ิไปด้วยความเข้มแข็งนะคะ พี่ขอเอาใจช่วยค่ะ
 
 

โดย: พี่พร IP: 192.99.14.34 วันที่: 28 กรกฎาคม 2557 เวลา:16:54:56 น.  

 
 
 
เมื่อวานพี่เขามาดูใน blog ของน้อง
ไม่เห็นความคืบหน้า คิดว่าคงยุ่งกับการรักษา
ยังได้แต่ส่งกำลังใจไปให้
พอวันนี้ได้รู้ว่าน้องมา update แล้ว
ขอให้รู้ว่าพี่ยังคงส่งความปราถนาดีและเอาใจช่วยให้
หายป่วย มีสุขภาพที่แข็งแรงนะค่ะ
 
 

โดย: bug&ping IP: 49.230.174.151 วันที่: 28 กรกฎาคม 2557 เวลา:17:28:02 น.  

 
 
 
เป็นกำลังใจให้คนเก่งนะคะ

ขอให้ดูแลตัวเองอย่างต่อเนื่องอย่าชะล่าใจ ขอให้ร่างกายกลับมาแข็งแรงอีกครั้งนะคะ
 
 

โดย: บุษกร IP: 171.5.49.33 วันที่: 29 กรกฎาคม 2557 เวลา:9:28:58 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

labellalala
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 138 คน [?]




สาวตัวเล็ก วัย 26 ปี ผู้ไม่เคยยอมแพ้กับโชคชะตา - ขอบคุณที่ติดตามอ่านประสบการณ์ผู้ป่วยตัวเล็กๆที่แชร์ เรื่องจริง เจ็บจิง กับ การต่อสู้ มะเร็งต่อมน้ำเหลืองคะ :) สามารถร่วมคอมเม้น ใต้ บล็อก เพื่อให้กำลังใจได้นะคะ ^___^ ติดตามการต่อสู้ ทิปสุขภาพต่างๆได้ที่ FB Page : เรื่องจริงกะเบลล์ Jingabell ค่ะ www.facebook.com/cancerfreeforever หรือ อีเมล์ติดต่อมาที่ Lymphomafighter@hotmail.com
New Comments
[Add labellalala's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com